๒๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๒๗ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

ชีวิตของเรา เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ ปัญญากับการประพฤติการปฏิบัติต้องไปพร้อม ๆ กัน เพราะสองอย่างนี้คือเหตุคือปัจจัย ด้วยเหตุผลนี้การประพฤติ การปฏิบัติกับปัญญาต้องไปพร้อม ๆ กัน ความสงบกับปัญญาถึงไปพร้อม ๆ กัน

 

อดีตก็มารวมกันที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะก้าวไปข้างหน้าก็มารวมกันที่ปัจจุบัน  ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ปัญญากับวัตถุต้องไปพร้อม ๆ กัน ทั้งทางวัตถุทั้งทางจิตใจต้องไปพร้อมกัน เพื่อเป็นมรรคเป็นอริยมรรค ความสงบกับปัญญาควบคู่กันไป เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ

 

ให้ทุกคนพากันรู้พากันเข้าใจ ว่าทุกอย่างน่ะมันคือเหตุคือปัจจัย ในเรื่องของกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรม ทุก ๆ ท่านทุกคนนั้นจะเหนือกรรม เหนือกฎ   แห่งกรรม เหนือผลของกรรมไปไม่ได้ ไม่มีใครช่วยเหลือเราได้ปฏิบัติให้เราได้

 

นายทุนถึงเป็นกรรม เป็นกรรมกร เป็นอุปกรณ์ ถ้าเราได้นายทุนดี นายทุนที่มีความสงบมีปัญญา ชีวิตของเราก็ก้าวไปด้วยความดีด้วยปัญญา ถ้าเราได้นายทุนไม่ดี นายทุนไม่มีความสงบไม่มีปัญญา เอาความรู้สึกนำชีวิต ความรู้สึกก็ได้แก่ที่ปรากฏการณ์กับเราทุกคน ความรู้สึกที่ไม่มีปัญญา ที่เอาธาตุ เอาขันธ์ เอาอายตนะ เป็นตัวเป็นตน เอาธาตุทั้งสี่ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ขันธ์ทั้ง ๕ ก็ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เอาอายตนะ ๑๒ น่ะ อายตนะภายในก็ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะภายนอกก็ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์

 

ความไม่รู้ไม่เข้าใจ ได้เอาธาตุเอาขันธ์เอาอายตนะมาเป็นเรา อย่างนี้เรียกว่าเป็นนายทุน ไม่มีสติไม่มีปัญญา ชีวิตนี้ก็ย่อมเป็นสังสารวัฏ วกไปวนมา เดินไปข้างหน้าแล้วก็ก้าวกลับมาข้างหลัง ไปไหนไม่ได้ ย่ำต๊อกอยู่ในที่เก่า ย่ำต๊อกอยู่ในความหลง เพราะเอาธาตุทั้ง ๔ เอาขันธ์ทั้ง ๕ เอาอายตนะ ๑๒ มาเป็นเรา ไม่รู้ไม่เข้าใจความเป็นจริง ว่าสิ่งเหล่านี้แหละมันคือความเป็นประภัสสรของธรรมะของธรรมชาติ ธรรมชาติที่เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ไม่เข้าใจ อย่างนี้เรียกว่านายทุน ไม่มีสติไม่มีปัญญา เราทั้งหลายถึงต้องมารู้มาเข้าใจ

 

เราทั้งหลายน่ะ จะได้เอาปัญญานำชีวิต เอาบริสุทธิคุณนำชีวิต เราทั้งหลายจะได้มีนายทุนที่มีสติมีปัญญา เป็นนายทุนที่บริสุทธิคุณ เราไม่ต้องเอาความหลงเป็นนายทุน เราต้องรู้ เราต้องเข้าใจ ไม่ต้องเอาความหลงเป็นนายทุน

 

เราต้องรู้เข้าใจ ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร รู้จักเกมส์ชีวิต รู้จักไฟต์ของชีวิต เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ผ่านด่านของธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องผ่านด่านนี้ไปให้ได้

 

เราโฟกัสในการประพฤติการปฏิบัติด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา เห็นเรื่องการประพฤติการปฏิบัติเป็นสิ่งที่มีสาระมีประโยชน์ เราต้องรู้เข้าใจธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ นี้มันกดดันเรา

 

การเห็นภัยในวัฏฏสงสารนี้ มีความสำคัญต่อเราทุก ๆ คน สัมมาสมาธิความตั้งใจมั่นเป็นสิ่งที่คอนโทรลให้เราเข้าสู่ความว่างจากสิ่งที่มีอยู่

 

สัมมาสมาธินี้  เป็นปัญญาความรู้ความเข้าใจเรื่องของมรรค ของอริยมรรคคือเรื่องหยุดกรรม หยุดความระงับสังขารทั้งหลาย หยุดกงล้อกงจักรในก้าวไปของวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราทั้งหลายต้องพากันเห็นภัยในวัฏฏสงสารให้เต็มที่ ควบคุมตัวเอง คอนโทรลตัวเองเต็มที่ ต้องมีฉันทะ มีความพอใจ เพราะเราต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ  ในการประพฤติการปฏิบัติ ทั้งความรู้กับการปฏิบัติต้องก้าวไปพร้อม ๆ กัน

 

เราทั้งหลายต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเรามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัตินั้นย่อมไม่มีปัญหา

 

เราทั้งหลายน่ะทุกคนต้องพากันเอาตัวให้รอด เอาตัวให้รอดก็หมายถึง บริสุทธิคุณทางศีล สำรวมในสิกขาบทน้อยใหญ่ แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ สำรวมในอินทรีย์สังวร คือตาหูจมูกลิ้นกายใจ สำรวมระวังในกายเลี้ยงชีพสำรวมในการบริโภคเหตุปัจจัย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเราต้องรู้เข้าใจทุกอย่างคือเหตุคือปัจจัย

 

เราต้องบริโภคทุกอย่างด้วยสติคือความสงบ เราต้องบริโภคทุกอย่างด้วยปัญญา ด้วยความสงบด้วยปัญญา ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

การปฏิบัติธรรมของเราให้พวกเราเข้าใจ ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารในการเวียนว่ายตายเกิด การปฏิบัตินั้นถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ชื่อว่าความปรุงแต่งนั้นน่ะมันเป็นทุกข์ทั้งนั้น ต่อหน้าก็เป็นทุกข์ ลับหลังก็เป็นทุกข์ เพราะความปรุงแต่งนั้นคือความไม่สงบ

 

ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ ถ้าเราไม่เอาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ นั้นมันจะสงบไปไม่ได้ มันจะสงบไปได้อย่างไร เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงอาคันตุกะที่จรไปจรมาเท่านั้นเอง ธรรมชาตินั้นได้จรไปจรมา

 

อย่างร่างกายของเรานี้ตาม หลักการของธรรมของสภาวธรรม อายุขัยของมนุษย์อยู่ได้ ๑ ศตวรรษคือร้อยปี ถ้าเราทำดี ๆ มีปิติมีความสุขเอกัคคตาก็อยู่ได้มากกว่านั้น อันนี้มันเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม มันเป็นประภัสสรของสรีระร่างกายแห่งความเป็นมนุษย์

 

ทุกอย่างน่ะ ให้เรารู้เข้าใจ มันได้สัญจรไปมาทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ มันเป็นเพียงสัญจรไปมา เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายถึงต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ควบคุมด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ ตั้งมั่นด้วยสัมมาสมาธิ รู้เข้าใจว่าการเวียนว่ายตายเกิดคือความปรุงแต่ง สัมมาสมาธิถึงเป็นประธาน เป็นผู้ควบคุม มนุษย์เราถึงมีปัญญาสัมมาทิฏฐิเพื่อจะเข้าถึงความรู้ความเข้าใจ

 

ความรู้กับการประพฤติการปฏิบัติเพื่อจะเป็นความดับทุกข์ เป็นที่สุดแห่งความดับทุกข์ เพื่อเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เพราะอดีตก็มารวมกันที่ปัจจุบัน อนาคตจะก้าวไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน

 

พระนิพพานเป็นความรู้ความเข้าใจเป็นความสงบกับปัญญาที่จะต้องก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา

 

เราทั้งหลายน่ะต้องพากันเอาตัวรอดให้ได้ ปลอดภัยให้ได้ เพราะทุกข์ทั้งหลายนั้นมันบีบคั้นเรา ถ้าสัมมาสมาธิของเราไม่เพียงพอ ความตั้งมั่นไม่เพียงพอก็ย่อมหวั่นไหว

 

ให้เข้าใจนะ ให้เข้าใจเหมือนตึก สตง.นี้แหละ ตึก สตง.อยู่เมืองหลวงของประเทศไทย ความไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิต เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต ชีวิตนั้นย่อมล้มละลายพังทลายเหมือนตึก สตง.

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เอาธรรมนำชีวิต เอาจะได้บริโภคธรรมนำชีวิตเราจะไม่ได้บริโภคอวิชชาความหลง

 

เราคิดดูดี ๆ นะ ถ้าเรามีความสงบไม่เพียงพอ เราจะแก้ปัญหาได้อย่างไร เรามีปัญญาไม่เพียงพอ เราจะแก้ปัญหาได้อย่างไร เราต้องรู้ปัญหาต้องแก้ปัญหา นี้เป็นโอกาสพิเศษของเรา

 

ให้พวกเราเข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้เสียเวลา ไม่ปล่อยเวลามันกลืนกินเราด้วยความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ถ้าเรารู้เข้าใจ มีปิติมีความสุข มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราก็จะหยุดกรรมหยุดเวรหยุดภัยหยุดเวลาด้วยความรู้ความเข้าใจ เราต้องรู้เข้าใจ

 

ไม่เป็นไรน่ะ ทุกข์ทางร่างกายมันเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ เพราะทุกข์ทางกาย มันเป็นผลของใจน่ะ ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก ให้รู้เข้าใจว่ามันเป็นผลของใจ ใจที่ไม่มีปัญญา ใจที่เอาอวิชชาความหลงนำชีวิต นี้เป็นผลของใจที่เป็นนายทุน ที่เอาอวิชชาความหลงนำชีวิต นี้คือกรรมคือผลของกรรมนี้คือกรรมใครใครก่อกรรมนั้นย่อมตามสนอง แต่ทุกข์ทางใจนั้นแก้ได้ด้วยความรู้ ความเข้าใจ หยุดได้ด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

ใจของเราต้องขอบคุณธาตุทั้ง ๔ ขอบคุณขันธ์ทั้ ๕ ขอบคุณอายตนะ ๑๒ เพื่อเปิดโอกาสให้เราสร้างความดี สร้างบารมี เราต้องขอบใจ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ เราก็ไม่ได้สร้างความดี ไม่ได้สร้างบารมี ไม่ได้เอาธรรมนำชีวิต เราก็ไม่มีข้อวัตรกิจวัตรในการประพฤติการปฏิบัติ ต้องขอบใจ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงบริสุทธิคุณด้วยความสงบด้วยปัญญา

 

การพัฒนามนุษย์นี้เค้าถึงพัฒนาทั้งใจพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ที่เป็นวัตถุไปพร้อม ๆ กันให้เป็นทางสายกลาง ต่างจากพวกสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายอยู่ไปด้วยสัญชาตญาณ อยู่ไปด้วยธาตุด้วยขันธ์ด้วยอายตนะด้วยสัญชาตญาณ ชีวิตจะไปตามผัสสะไปตามสิ่งแวดล้อม

 

มนุษย์เราถึงเป็นภพภูมิที่ต้องมาตรัสรู้ มาตัดกรรมตัดเวรตัดภัยด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยปิติสุขเอกัคคตา ด้วยรู้ข้อวัตรข้อปฏิบัติ กิจวัตรคือวัตรเป็นเครื่องวัด เค้าจะสร้างบ้านเค้าก็ต้องวัดระยะแคบระยะกว้าง วัดน้ำหนัก หนักเบา

 

เราทั้งหลายพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ให้รู้เข้าใจ อันนั้นเป็นความพอดีเป็นความพอเพียงเพียงพอเป็นเครื่องวัดเป็นข้อวัตรปฏิบัติ

 

ให้เรารู้เข้าใจทุกคนก็ต้องใช้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมอย่างเดียวกันนี้หมด

 

มนุษย์ทั้งหลายอยู่ในโลกนี้มีปัจจุบันมีแปดพันกว่าล้านคน มนุษย์ปัจจุบันมี ๑๙๕ ประเทศก็ใช้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมอันเดียวกันนี้มันเป็นสากล ความแก่เจ็บตายพลัดพรากมันเป็นสากล ต้องใช้หลักการอันเดียวกัน เพราะอันนี้เป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม มันเป็นไฟต์ในการประพฤติการปฏิบัติ

 

การเจริญสติปัฏฐาน สติก็ได้แก่ปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อเอาธรรมนำชีวิตที่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ตั้งใจตั้งเจตนาในการประพฤติการปฏิบัติที่ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง เป็นสติวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่

 

มีความสำนึกว่าความถูกต้องคือศีล ศีลนี้ต้องออกจากใจออกจากพระนิพพาน ศีลนี้เป็นบริสุทธิคุณ ไม่ด่างไม่พร้อยด้วยความรู้ความเข้าใจ ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ไม่มีความรู้สึกว่าข้อนี้สำคัญข้อนี้ไม่สำคัญ สำคัญเหมือนกันหมด ไม่มีสิ่งไหนไม่สำคัญ

 

เราเน้นมาที่ศีลเพื่อให้ใจของเราเข้าสู่บริสุทธิคุณ ไม่ให้ขาดไม่ให้ด่างไม่ให้พร้อย ด้วยความรู้ความเข้าใจ ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง

 

การประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเรามีศีลมีพระวินัย มีข้อวัตรกิจวัตร มีอาชีพมีการบริโภคที่เป็นบริสุทธิคุณ ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องมันก็ต้องก้าวไปด้วยความรู้ ความเข้าใจ ศีลนี้ถึงเป็นความสงบระงับสังขารทั้งหลาย

 

ไม่เป็นไร ให้เอาหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมน่ะ ใจไม่ให้สงบก็ให้เอากายมันสงบก่อน กิริยามารยาทสงบก่อน อาชีพสงบก่อน ด้วยความรู้ความเข้าใจในการฝึกการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายจะมองข้ามเรื่องศีลไปไม่ได้ เพราะศีลที่เป็นบริสุทธิคุณนี้มันจะเป็นพื้นเป็นฐาน มันจะก้าวไปด้วยปัญญา ปัญญาที่เป็นทุนเดิม หรือว่าปัญญาเป็นนายทุน การรักษาศีลข้อวัตรกิจวัตรเราต้องเน้นความรู้ความเข้าใจอย่างนี้

 

เราอย่าไปคิดที่ว่าทางพระศาสนาน่ะ เป็นการร้อยกรองให้หมู่มวลมนุษย์ สงบเป็นหมวดหมู่เป็นกลุ่มเป็นก้อน อันนั้นก็จริง

 

เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราก็คิดว่า เราทำอย่างนี้เพราะจำเป็นทำอย่างโน้นเพราะจำเป็น คำว่าจำเป็นนั้นคือความทุกข์นะ คือความไม่ลงตัวไม่ลงกายไม่ลงใจ ไม่ลงกิริยามารยาทอาชีพนะ มันไม่เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ  มันไม่ได้เข้าถึงความพอดี

 

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมาพิจารณากระบวนการของธรรมะของธรรมชาติ ของปฏิจจสมุปบาท ท่านเปรียบเสมือนสายพิณหรือสายกีต้าร์ ที่เราเล่นดนตรีหรือเล่นคอนเสิร์ตน่ะ ถ้ามันตึงเกินไปสายพิณนั้นก็จะขาด ถ้ามันหย่อนเกินไปเสียงมันก็ไม่เพราะ

 

รู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงความเพียงพอ เข้าถึงความพอดี         

  

เราคิดดูดี ๆ เราอยากได้มากมันได้มากมั๊ย ไม่ได้ เราอยากได้น้อยได้มั๊ย มันก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นความพอดี เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นประภัสสรของทุกสิ่งทุกอย่าง

 

เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ ด้วยเหตุด้วยผลนี้เราทั้งหลายถึงพากันมีความสุขในการทำหน้าที่ ทำอะไรก็มีความสุขเต็มที่ อย่าไปคิดว่าทำเพราะจำเป็น เราใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ก็เพราะจำเป็น เรามีบ้านมีที่อยู่ที่อาศัยก็เพราะจำเป็น

 

เราต้องรู้เข้าใจว่าเราทำหน้าที่เพื่อเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละมันก็เป็นนิติบุคคลตัวตน ถ้าเราไม่เสียสละมันก็ไม่เป็นพระศาสนาเพราะมันเป็นตัวเป็นตน ความสงบกับปัญญามันถึงไปพร้อม ๆ กัน สติปัฏฐานทั้ง ๔ ต้องเอาความสงบกับปัญญาไปพร้อม ๆ กัน ศีลนั้นถึงเป็นพื้นเป็นฐาน ข้อวัตรกิจวัตรถึงเป็นพื้นฐานนะ

 

ให้รู้เข้าใจ นี้เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม เป็นพื้นฐานของชีวิตเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมีได้

 

เหมือนพระสารีบุตรเมื่อยังไม่ได้บรรพชาอุปสมบทกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นพระอัสสชิแล้วเคารพเลื่อมใสในกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ ดูแล้วสวยสดงดงามสง่างาม มีความสงบเย็นอกเย็นใจ มีความเคารพเลื่อมใส

 

จึงได้ถามพระอัสสชิว่า ทำไมท่านถึงได้มีความสง่างามทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพทั้งจิตใจ

 

พระอัสสชิก็ตอบว่า พระธรรมพระวินัยนี้เป็นเหตุปัจจัยให้สง่างามด้วยศีล ด้วยสมาธิด้วยปัญญา ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นี้เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือธรรมะ คือธรรมชาติ เป็นความรู้ความเข้าใจ

 

พระสารีบุตรรู้เข้าใจว่าธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย ได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าแล้วเอาธรรมนำชีวิต ผ่านด่านทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจ ไม่ติดอยู่หลงอยู่ในธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ ผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการตรัสรู้ รู้แล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ อย่างนี้เค้าเรียกว่าตรัสรู้

 

ผู้ยังเป็นเสขบุคคลคือบุคคลที่ต้องบำเพ็ญบารมีเพื่อให้ติดต่อต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ จนกว่าอินทรีย์บารมีจะสมบูรณ์ สมบูรณ์ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ เป็นความสมบูรณ์ เป็นความพอเพียงเพียงพอ เพื่อให้ติดต่อต่อเนื่อง เพื่อให้เข้าถึง พระนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตาย ไม่ต้องรอพระนิพพานในเมื่อตายไปแล้ว ต้องเข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน อย่าไปพากันคิดว่าพระนิพพานอยู่เบื้องหน้าโน้นเทอญ  เบื้องหน้ามันอยู่ข้างหน้ามันไปไม่ถึง มันจะอยู่ไกลโน้น ไกลมากทีเดียว เบื้องหน้าโน้นเทอญ...

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้เอาที่ปัจจจุบันอยู่ที่ปัจจุบัน ไม่ใช่เอาเบื้องหน้าโน้นเทอญ ไม่เหมือนที่พระคุณเจ้าทั้งหลายแสดงธรรมกันหรอก เพราะเมื่อปัจจุบันไม่ได้พระนิพพานอนาคตมันจะได้อย่างไร ให้รู้ให้เข้าใจ

 

เราทั้งหลายต้องผ่านด่านให้ได้ อย่าเอาบาปเอากรรมเอาเวรเอาภัยเลี้ยงชีวิต เลี้ยงชีวิตด้วยปาณาติบาต ด้วยความโลภ ความหลงน่ะ  เอาชีวิตของคนอื่นเอาของคนอื่น อย่าไปเพลิดเพลินในวัฏฏสงสาร เพราะทุกอย่างมันไม่จบหรอก เราต้องรู้เข้าใจทุกอย่างมันไม่จบหรอก สังสาระรู้เข้าใจมันไม่จบหรอก พูดถึงรูปมันก็ไม่จบหรอก เพราะรูปมันเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป เก่าไปใหม่มา มันไม่จบหรอก เพราะมันสัญจรไปมาอย่างนี้มันจะจบได้อย่างไร

 

เราต้องรู้เข้าใจ รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณมันเป็นสิ่งที่ไม่จบ จบด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิด้วยพระธรรมพระวินัยด้วยความรู้ความเข้าใจ ตั้งมั่นด้วยสัมมาสมาธิ รู้จักว่าความอร่อยความแซบความลำความนัวความหรอยนั้นเป็นสิ่งที่ไม่จบแน่นอน  

 

เราทั้งหลายจะไม่ต้องให้ยืดเยื้อ ตัดอกตัดใจ ด้วยพระธรรมพระวินัย หยุดบริโภควัฏฏสงสารด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ ให้รู้เข้าใจ เราพากันฝึกเจริญสติสัมปชัญญะ สติพระวินัย กายวาจากิริยามารยาทอาชีพน่ะ เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เพื่อเราจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ไม่ก้าวไปแล้วถอยกลับมาอยู่ที่เก่า เป็นวัฏฏสงสารเหมือนเมื่อก่อนน่ะ

 

รากเหง้าของการเวียนว่ายตายเกิดถึงเป็นอวิชชาเป็นความหลง

 

รากเหง้าของโคตรของวงศ์ตระกูลให้เข้าใจนะมันคืออวิชชาคือความหลง มันเป็นรากเหง้าของการเวียนว่ายตายเกิด เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี

 

เราต้องรู้เข้าใจ สัมมาสมาธิกับปัญญาต้องเสมอกัน ต้องเข้มแข็ง ความสงบต้องเต็มที่ ปัญญาต้องเต็มที่ด้วยความตั้งใจด้วยเจตนา ให้มองไปข้างหน้าข้างหลัง ถ้าใจของเราเอาปัญญานำชีวิตด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา กรรมเก่าที่ก้าวมามันก็จะหยุด เพราะวาระแห่งชาติในการเวียนว่ายตายเกิดมันเป็นวาระ เป็นวาระ เป็นวาระไป

 

ใจของเราก็คิดได้ทีละอย่าง ตรึกได้ทีละอย่าง วาจากิริยามารยาทก็ทำได้ทีละอย่างให้รู้เข้าใจ สติปัฏฐาน ๔ สงบได้ด้วยพระวินัย สงบได้ด้วยสมาธิ

 

รู้เข้าใจว่าการเวียนว่ายตายเกิดมันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไปนอกจากทุกข์ไม่มีเลย มันเหมือนทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำ เหมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ ต้องรู้เข้าใจ ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร มันก็วนไปวนมา มันไปไหนไม่ได้มันก็อยู่ที่เก่านี้แหละ

 

เรามองดูกรรมดูเวรดูภัยด้วยความรู้ความเข้าใจ อย่าให้ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ ที่มันเป็นสัญชาตญาณที่เป็นตัวเป็นตนนำเรา

 

เราต้องเอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญานำเราด้วยความรู้ความเข้าใจ เรารู้จักไฟต์ในการประพฤติการปฏิบัติ ตาของเรานี้แหละมันคือไฟต์ หูนี้แหละคือไฟต์ จมูกนี้แหละคือไฟต์ ลิ้นคือไฟต์ กายสัมผัสนี้คือไฟต์ ใจของเราที่มันเกิดอารมณ์นี้เป็นไฟต์ในกาประพฤติการปฏิบัติ เราต้องรู้เข้าใจ นี้คือไฟต์นี้คือการชิงแชมป์ ให้เรารู้ให้เราเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายน่ะอาศัยสรีระร่างกายนี้ประพฤติปฏิบัติ อาศัยพระศาสนาที่เป็นความรู้เป็นประภัสสรมาประพฤติมาปฏิบัติเพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา

เราต้องก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญาอย่างนี้

 

ถ้าใจไม่สงบน่ะตามหลักการแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เอาสติปัฏฐานทั้ง ๔ มาทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ ไม่เพลิดเพลินไม่ประมาท ทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ด้วยสติปัฏฐานน่ะ

 

เราเกี่ยวข้องกับอะไรเราต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ เพราะความสมบูรณ์คือความสงบ ความสมบูรณ์คือความเคารพ ความสงบความเคารพคารวะ ความประภัสสรหรือว่าสุจริตมันเป็นกระบวนการเดียวกัน ให้รู้ให้เข้าใจ

 

เราจะได้เอาความสงบเอาความเคารพความไม่ประมาทมาใช้มาปฏิบัติ เพื่อเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะไม่ได้หลงงมงาย เสียกาลเสียเวลาเสียทรัพยากรที่ประเสริฐที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เอาร่างกายเอาสรีระมาหาอยู่หาหลง เอาความเป็นข้าราชการนักการเมืองหรือว่าเป็นนักบวชมาหาอยู่หาหลงอย่างนี้ไม่ได้ อย่างนี้ใช้ไม่ได้ มันเสียหายทั้งส่วนตัวเสียหายทั้งส่วนรวม มันไม่มีประโยชน์และประโยชน์ เป็นชีวิตที่ตั้งอยู่ในความหลง ความเพลิดเพลิน ความประมาท อย่างนี้ใช้ไม่ได้นะ มันไม่ถูกต้องนะ

 

มันไม่ถูกต้องจะใช้ได้ได้อย่างไรเพราะมันไม่ถูกต้อง  มันไม่ใช่ความดี นี้มันเป็นความไม่ดีมันเป็นความชั่วน่ะ นี้มันไม่ใช่ปัญญามันเป็นอวิชชาเป็นความหลง เป็นผู้ที่ไม่สติไม่มีปัญญา เป็นนายทุนที่โง่เง่าเต่าตุ่น ไม่ทันโลกทันสมัย ไม่ใช่นายทุนที่มีสติมีปัญญา

 

เราทั้งหลายอย่ามีชีวิตอยู่ระดับผีบ้าระดับคนบ้าหรือคนมีเชื้อบ้า เอาตัวตนนั้นแหละเค้าเรียกคนบ้ามีเชื้อบ้ามีเชื้อผีบ้าน่ะ ความไม่รู้ไม่เข้าใจในความดี ไม่รู้เข้าใจในเรื่องศีลสมาธิเรื่องปัญญาเค้าเรียกคนนั้นว่าคนผีบ้านะ คนมีเชื้อบ้านะ ให้รู้เข้าใจ  เราอย่าไปหลงงมงาย หลงงมงายมาก ๆ นะ หลงงมงายในวัฏฏสงสาร อาหารของ วัฏฏสงสารให้รู้เข้าใจนะ มันเป็นเรื่องของความหลงงมงายนะ

 

อาหารโน้นก็อร่อยอาหารนี้ก็อร่อย รูปสวย ๆ นี้อร่อยมาก ๆ เสียงเพราะ ๆ นี้ก็อร่อยมาก กลิ่นหอมนี้ก็อร่อยมาก ผัสสะนี้ดีมากอร่อยมาก อย่างนี้เรียกว่าหลงงมงาย เป็นหนักเสียด้วย เป็นมากเสียด้วย คำว่ามากหมายถึงความไม่พอดี ไม่เพียงพอ มันเป็นความไม่สงบเป็นความฟุ้งซ่าน ไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ความเคารพไม่ใช่คารวะมันคือความไม่ถูกต้อง คือไม่รู้ไม่เข้าใจไม่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เดี๋ยวก็มากเดี๋ยวก็น้อยอยู่นั่นแหละ อย่างนี้เค้าเรียกว่าคนบ้าคนผีบ้าคนมีเชื้อบ้านะ

 

ให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องมาเอาร่างกายที่เป็นมนุษย์นี้ เอาที่เค้าแต่งตั้งให้เราเป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นพ่อค้าประชาชนพากันมาเสียสละ มาเป็นผู้ให้มาเสียสละ ดูตัวอย่างสิ ดูตัวอย่างอย่างพระพุทธเจ้าพระเยซูพระอัลเลาะห์ท่านมาเสียสละ

 

อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเสียสละให้กับธาตุกับขันธ์ให้กับอายตนะ ท่านบรรทมท่านพักผ่อนวันละ ๔ ชั่วโมง เป็นการเสียสละให้ธาตุให้ขันธ์ ให้อายตนะนะ ท่านไม่ได้พักผ่อนเพื่อตัวเพื่อตนนะ แล้วอีก ๒๐ ชั่วโมงท่านก็เสียสละให้หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลาย เทพเทพวา อินพรหมยมยักษ์สรรพสัตว์ทั้งหลาย ท่านเสียสละ เสียสละตลอด ๒๔ ชั่วโมง ถึงมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา ชีวิตนี้ถึงมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา เป็นชีวิตที่หยุดวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจที่เป็นบริสุทธิคุณด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ท่านประสูติก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ แสดงธรรมจักรกัปปวัตตสูตรก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสกับมหาชนทั้งหลายว่าอีก ๓ เดือนข้างหน้านะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้ละธาตุวางขันธ์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เสด็จขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำอีกน่ะ

 

เดือน ๖ น่ะ ๖ ก็หมายถึง ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ๖ ยกเลิกด้วยความรู้ความเข้าใจ ยกเลิกสิ่งภายนอกภายในเป็น ๑๒ น่ะ ไม่ให้กรรมเก่าทำงาน ไม่ให้กรรมใหม่ทำงาน รู้เข้าใจ มีความสงบมีปัญญา เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ต้องรู้เข้าใจในเรื่องพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร มันเป็นสิ่งที่หมู่มวลมนุษย์ที่รู้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะไปของมันเรื่อย

 

เหมือนประเทศไทยของเรามีโครงการที่ยกเลิกอบายมุขอบายภูมิยกเลิกสิ่งเสพติดได้ทำกัน ได้ปฏิบัติกันมาเป็นโครงการร่วมร้อยปีแล้วมันก็ยังปฏิบัติไม่ได้ มีแต่มากทวีคูณยิ่ง ๆ ขึ้นไป พวกยาเสพติดทั้งหลายพวกเหล้าเฮโรอีนฝิ่นกัญชายาม้า ยาอีบุหรี่ไฟฟ้า อะไรต่าง ๆ ทั้งหลายมีแต่มากขึ้น เราต้องรู้เข้าใจ รู้วัฏฏสงสารในการเวียนว่ายตายเกิด

 

อย่างโครงการขับขี่จักรยานยนต์ ที่ประเทศเค้าเจริญ เค้าพัฒนาจากเดินเท้ามาเป็นจักรยานปั่นมันเร็วขึ้น แล้วพัฒนาจักรยานยนต์ด้วยน้ำมันด้วยไฟฟ้า เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า ๖๐ ปีแล้ว ได้ออกกฎหมายให้เพื่อความปลอดภัยตั้งแต่ปี ๒๕๒๕ เดี๋ยวนี้เป็นเวลาผ่านไป ๔๓ ปีแล้ว ก็พากันปฏิบัติไม่ได้

 

ทางรัฐบาลผู้บริหารเห็นความไม่ถูกต้องน่ะ เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตมันก็พังทลายเหมือนตึก สตง.นี้ ตึก สตง. มันพังทลายด้วยความรู้ความเข้าใจเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ว่าเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตนี้ไม่ได้มันพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ

 

ให้รู้เข้าใจถ้าไม่เข้าใจมันก็ไปของมันเรื่อยไม่เห็นความสำคัญในความรู้สึกนึกคิด ข้อวัตรกิจวัตรมันก็จะไปของมันเรื่อย มันจะพังทลายเช่นเดียวกันตึกสตง.

 

ตึก สตง.อยู่ที่กรุงเทพฯอยู่ที่เมืองหลวงศูนย์กลางของทุกอย่างทั้งเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องวิทยาศตร์เรื่องการบริหารอยู่ที่กรุงเทพมหานคร

 

 

ตึก สตง.อยู่ที่กรุงเทพมหานคร ตึก ๓๐ กว่าชั้น ตึก สตง.ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิตเอาทุจริตนำชีวิต ชีวิตมันเลยพังทลาย ชีวิตมันพังทลายนะ ตึกสตง.มันพังทลายด้วยนิติบุคคลตัวตนพังทลายด้วยทุจริตมันจะไปแก้ไขตั้งแต่ภายนอกมันจะไปพัฒนาตั้งแต่วิทยาศาสตร์จะไปเอาความสุขบนความหลง ชีวิตเลยพังทลายนะ

 

เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งน่ะ เราคิดดูดีๆ นะ ตึกใหญ่กว่าสูงกว่าตึก สตง.ตั้งหลายสิบตึกที่กรุงเทพมหานครที่ปริมณฑล เค้าไม่พังทลายเหมือนตึกสตง. เพราะพอที่จะรับน้ำหนักได้ ไม่ใช่ไม่โกงกินคอร์รัปชั่นนะ แต่เค้าโกงกินคอร์รัปชั่นน้อยพอที่จะรับแผ่นดินไหวจากมัณฑะเลย์ประเทศพม่า ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ประเทศพม่าห่างไกลกันตั้งนับพันกิโล

 

นี้ให้เรามองเห็นในแง่มุมความไม่ถูกต้องน่ะ ชีวิตที่เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ

 

เราทั้งหลายถึงต้องเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร รู้จักความคิดรู้จักอารมณ์เหมือนท่านพระอาจารย์ลี ธัมมธโร วัดอโศการาม สมุทรปราการ ท่านรู้จักความคิดการปรุงแต่งของตัวเอง ท่านรู้จักว่าความปรุงแต่งนี้มันคือวัฏฏสงสารนะ ท่านรู้จักความปรุงแต่ง เพราะความปรุงแต่งมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

 

เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ชีวิตนี้ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. เพราะมันไม่ถูกต้อง มันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. นี้แหละ

 

ตึก สตง.ที่อยู่กรุงเทพมหานครอยู่เมืองหลวงอยู่เมืองกรุง เป็นศูนย์รวมของประเทศ เหมือนสมองเป็นศูนย์รวมของร่างกาย เหมือนหัวใจเป็นศูนย์รวมของสรีระร่างกาย

 

สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่บริหารประเทศ บริหารแผ่นดินไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เอาแต่ความรู้เอาแต่วิทยาศาสตร์เอาแต่ตัวเอาแต่ตน ไปแก้แต่สิ่งภายนอก ไม่ได้แก้ตัวเองไปพร้อม ๆ กัน

 

การพัฒนาวิทยาศาสตร์มันต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันมันถึงถูกต้องนะ พัฒนาทั้งภายนอกภายในด้วยความรู้ความเข้าใจให้ครบวงจร อริยมรรคองค์แปดถึงเป็นความรู้ความเข้าใจ เพื่อการประพฤติการปฏิบัติมันจะได้สมบูรณ์ สมบูรณ์ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพด้วยความถูกต้อง

 

มันต้องรู้ธรรมรู้ปัจจุบันธรรม รู้ธรรมธรรมนูญน่ะ ถ้าเราไปจัดการแต่สิ่งภายนอก เราไม่ได้จัดการตัวเองมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้นะ

 

การบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่น มันต้องรู้เข้าใจแล้วมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์

 

ถ้าเรามีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติมันก็ไม่มีความทุกข์อยู่แล้ว ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติ ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพ เราต้องเน้นมาที่ตัวเราในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองให้มันสมบูรณ์ เราทั้งหลายจะไม่ได้พังทลายเหมือนตึก สตง.

 

ถ้าใครมีตัวมีตนบุคคลนั้นคือทุจริตนะ เราทั้งหลายจะได้รู้ว่าทุจริตนั้นคือตัวตนน่ะ ใครเอาตัวตนนำชีวิตบุคคลนั้นคือบุคคลที่ทุจริต เราต้องรู้จักธรรมรู้จักธรรมนูญ ปัญหาต่าง ๆ นั้นมันอยู่ที่ทุจริตนะ

 

การที่จะบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่นต้องยกเลิกทุจริต ถึงจะเป็นนักบริหารตัวเองนักบริหารคนอื่นด้วยการรู้เข้าใจในการบริหารในการปฏิบัติ

 

ตำแหน่งที่เค้าแต่งให้เราเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นตำแหน่งที่ให้เรามาเสียสละ  มารับผิดชอบโฟกัสในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ใช่ตำแหน่งที่ให้พวกเราทั้งหลายมาทุจริตนะ

 

ให้ถือว่ามันเป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติมีเกียรติมีศักดิ์ศรี เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันจะมีเกียรติมีศักดิ์ศรีได้อย่างไร ถึงพวกเราทั้งหลายจะพากันใส่สูทผูกเนคไทห้อยเหรียญตรา เป็นผู้ทรงเกียรติมันก็ไม่เป็นผู้ทรงเกียรตินะ มันเป็นผู้ทรงความหลงต่างหาก ทรงความโง่ความหลงงมงายต่างหากล่ะ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะเข้าถึงบริสุทธิคุณ เข้าถึงธรรมนูญเข้าถึงรัฐธรรมนูญไม่ได้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเป็นอบายมุขอบายภูมินะ มันตกอยู่ในภพภูมิของ ๓๑ ภพภูมิ

 

ในภพภูมิของวัฏฏสงสารนี้มีอยู่ ๓๑ ภพภูมิ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะอยู่ในระนาบของ ๓๑ ภพภูมินี้แหละ

 

เค้าถึงมีศัพท์ว่าคน คนนี้หมายถึงตัวถึงตน หมายถึง ๓๑ ภพภูมินี้แหละ ภพภูมิที่เวียนว่ายตายเกิดมีทั้งหมด ๓๑ ภพภูมิ

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ประพฤติปฏิบัติ เราจะไม่ได้ย่ำต๊อกกับความหลงที่มีศัพท์ว่า “คน” คนนี้ความหมายหมายถึงความไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้น มันจะวกวนอยู่ที่เก่า มันจะเป็นผู้ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา สัมผัสกับอะไรก็ไปกับสิ่งนั้น ๆ อยู่ในภพภูมินั้น ๆ

 

เรารู้เราเข้าใจเราจะได้หยุดภพภูมินั้น ๆ ด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ด้วยความเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเค้าเรียกว่ามันหลง มันวกวนในความหลงอย่างนั้น จิตใจวกวน   อย่างนั้นมันจะไปไหนไม่ได้ มันจะเป็นได้แต่เพียงคนเป็นได้แต่เพียงความหลง หัวใจของบุคคลนั้นมันจะอยู่ในระนาบแห่งความหลงหรือว่าหัวใจบ่อนคาสิโน เอาตัวตนเป็นที่ตั้งคือหัวใจบ่อนคาสิโน หัวใจบ่อนทำลายความถูกต้อง หัวใจบ่อนความหลง

 

ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้เห็นภัยในความไม่ถูกต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารด้วยปัญญาบริสุทธิคุณ ด้วยเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ พอใจยินดีมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิตหัวใจของเราทั้งหลายจะได้หยุดอบายมุขอบายภูมิ

 

เราทั้งหลายถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายจะพากันคิดว่า ความสุขทั้งหลายได้มาจากสิ่งที่อำนวยความสุขความสะดวกความสบายด้วยการพัฒนาวิทยาศาสตร์ อันนี้จริงอันนี้ถูกต้อง ความสุขทั้งหลายมันอยู่พัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์

 

เราทั้งหลายต้องมีสัมมาทิฐิเราต้องมีความรู้ความเข้าใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ก็ต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ถ้าเราพัฒนาวิทยาศาสตร์มันก็ยังเป็นนิติบุคคลตัวตนอยู่

 

เราต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันด้วยความรู้ความเข้าใจเราทั้งหลายน่ะ ถึงเป็นการพัฒนาครบวงจรด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็จะเอาความหลงนำชีวิตเอาวิทยาศาสตร์นำชีวิต

 

เราต้องเอาทั้งวิทยาศาสตร์เอาทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กันนะ

 

เราอย่าไปคิดว่าประเทศสิงคโปร์นั้นน่ะประเทศเล็ก ๆ เท่าอำเภอหนึ่งของเมืองไทยก็ไม่ได้ เค้าพัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์เป็นหนึ่งของเอเชียเพราะเค้าตั้งบ่อนคาสิโน มาเก๊าส่วนหนึ่งของประเทศจีนเค้าก็รวยเพราะเค้าพัฒนาตามหลักเหตุตามหลักวิทยาศาสตร์

 

พวกเราทั้งหลายเมื่อมีปัญญาแล้วต้องรอบคอบนะ มีปัญญาแล้วต้องรอบคอบ อย่าลืมว่าชีวิตของเรามันเป็นรายรับรายจ่ายนะ เราไปจับหางงูเดี๋ยวงูมันจะมากัดเรา  งูพิษมันจะมากัดเรานะ การที่เราเอาหลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องแล้ว เราต้องมีหลักการมีอุดมการณ์แล้วก็มีอุดมธรรมนะ หลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์น่ะ แต่ต้องไม่ทิ้งอุดมธรรมนะ

 

เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเอาความรู้สึกที่เอาตัวเป็นที่ตั้งมันเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์แล้วอุดมด้วยความหลงนะ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราเอาทั้งหลักการอุดมการณ์แล้วก็ยกเลิกอุดมหลงนะ

 

ให้เอาอุดมธรรมให้เอาธรรมเอาธรรมนูญมันถึงจะสมบูรณ์เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี เราอยากได้มากมันก็ไม่มาก เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อย เราต้องรู้จักความพอดีเข้าสู่ความสมดุลทั้งรายรับรายจ่าย

 

เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี การประสูติของพระพุทธเจ้าถึงเป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็เป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ

 

เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้รู้หลักการรู้อุดมการณ์แล้วก็อุดมธรรม เราอยู่ที่ไหนก็พากันปฏิบัติได้ เมื่อเรามีลมปราณ มีอายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ มีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้

 

ให้รู้เข้าใจมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

อย่าไปคิดด้วยอวิชชาความหลงเอาแต่หลักการอุดมการณ์เอาแต่วิทยาศาสตร์น่ะ ถ้าเรารวย รวยความหลงมันไม่ดีนะ รวยความโง่หลงงมงายเรียกว่ารวยไสยศาสตร์มันไม่ดีนะ ไม่ใช่ความดีมันไม่ใช่บารมีไม่ใช่ปัญญาบริสุทธิคุณนะ มันเป็นความหลงนะ

 

ให้เรารู้เข้าใจ อย่าไปคิดว่าทำไมเราโง่ไปตั้งหลายปี ประเทศสิงคโปร์ประเทศ เค้าเล็กนิดเดียวเค้าตั้งบ่อนคาสิโนเค้ารวยกัน ประเทศมาเก๊าก็เหมือนกันเค้ารวยกัน

 

ประเทศสิงคโปร์เค้ามีหลักเหตุผลมีหลักวิทยาศาสตร์น่ะ เค้าคิดว่าประเทศสิงคโปร์มันเล็กนิดเดียว จะทำเกษตรกรรมก็ไม่ได้ จะทำอุตสาหกรรมก็ไม่ได้ ถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโนด้วยหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์ก็รวยได้ เพราะคนในนี้โลกนี้มันคนมีความไม่ฉลาด เอาความหลงนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิตมันมีมากถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโน เราสามารถรวยได้ทางวัตถุ ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์เค้าถึงพากันตั้งบ่อนคาสิโน จะเรียกบ่อนคาสิโนก็ได้หรือเรียกบ่อนแห่งความหลงก็ได้ มันคืออันเดียวกัน

 

ให้เรารู้เข้าใจ ประเทศไทยเราแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลเราต้องรู้เข้าใจว่า เราทั้งหลายอย่ายินดีในการเอาความหลงนำชีวิต อย่าไปยินดีในการเอาบ่อนคาสิโน นำชีวิตนะ

 

พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ศาสดาทุกศาสนาเค้ามายกเลิกบ่อนคาสิโน มายกเลิกอบายมุขอบายภูมิ ให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเรารู้เข้าใจ ทุกอย่างน่ะไม่มีปัญหา ปัญหาอยู่ที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจนะ

 

 

 

 

เหมือนประเทศไทยของเรานี้แหละ โครงการยกเลิกเหล้ายกเลิกเบียร์ ยกเลิกสิ่งเสพติดยาเสพติดที่มันเป็นอบายมุขแห่งชีวิต ที่มันเป็นอบายภูมิแห่งชีวิต

 

เกือบร้อยปีของโครงการพากันประพฤติปฏิบัติด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ ตั้งอยู่ในความประมาท เอาความหลงนำชีวิตเอาความประมาทนำชีวิตมันก็ปฏิบัติไม่ได้ มันก็ยิ่งมากกว่าเก่า ไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิต ความหลงก็เลยยิ่งใหญ่ใหญ่ยิ่ง

 

มันก็แก้ปัญหาไม่ได้ มันยิ่งมากทวีคูณ มันก็ไปของมันเรื่อย มากยิ่งกว่าเก่าทวีคูณยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก

 

อย่างการสวมหมวกกันน็อคอย่างนี้แหละ มอเตอร์ไซด์เข้ามาในเมืองไทย ประเทศไทย ไม่ต่ำกว่า ๖๐ ปี ขณะนี้เวลานี้ก็ยังทำไม่ได้ เรื่องสวมหมวกกันน็อคนี้ที่ให้ประชาชนผู้ขับขี่จักรยานยนต์เพื่อสะดวกในการสัญจรไปมา ได้ออกกฎหมายบังคับตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๒๕ ขณะนี้เวลานี้มันก็เป็นเวลาจวนจะ ๕๐ ปีแล้วก็ยังพากันทำไม่ได้

 

ถ้าเรารู้เข้าใจว่า การทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยนี้ไม่ได้ มันเป็นความเสียหายทั้งตัวเราและส่วนรวม มันไปไม่ได้ ชีวิตของเรามันไปไม่ได้นะ ชีวิตนี้มันพังทลายเหมือนตึก สตง.ของเมืองไทยนี้แหละ

 

เราต้องเข้าใจ ทุกคนต้องเข้าใจ ไม่ใช่เข้าใจเฉย ๆ ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าไม่อย่างนั้น มันก็จะไปของมันด้วยความไม่ถูกต้องอย่างนี้แหละ

 

พูดอย่างนี้ไม่ใช่คนบ้าจี้นะ ไม่ใช่คนผีบ้าจี้นะ  นี้มันคนดีจี้ คนมีปัญญาจี้ นี้เป็นพระธรรมคำสั่งสอนที่เป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ อาชีพที่ถูกต้องเป็นมรรคเป็นอริยมรรค เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจในภัยทั้งทางกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ ภัยที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ เราไม่เห็นภัยก็ตั้งอยู่ในความประมาท เราจะเอาความประมาทนำชีวิตมันเป็นความไม่ถูกต้องนะ

 

--------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันศุกร์ที่ ๒๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

 

 

Visitors: 98,212