๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒๙ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เป็นวันหยุดการทำงานภายนอก เป็นหลักการของหมู่มวลมนุษย์ มนุษย์เราหยุดทำงานวันเสาร์วันอาทิตย์ ปัจจุบันนี้มนุษย์เราเอาหลักการวันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดการทำงานภายนอก อดีตที่ผ่านมาเอาวันพระ ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำเป็นวันหยุดทำงานภายนอก มาเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ เพื่อให้ใจของเรามีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ
ทุก ๆ ศาสนาใช้หลักการเดียวกันนี้ ศาสนาเป็นเพียงชื่อเฉย ๆ ศาสนาก็คือธรรมนูญ ธรรมนูญคือศาสนา
การที่เอาธรรมนำชีวิตที่ทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ ไม่สร้างทุกข์ให้กับตัวเอง ไม่สร้างทุกข์ให้กับคนอื่นเค้าเรียกว่าธรรมนูญ เป็นการพัฒนาวัตถุพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน
วัตถุก็ได้แก่หลักเหตุหลักผลหลักวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้รับการอำนวยความสะดวกในความเป็นอยู่ บริโภคใช้สอย มันเป็นการพัฒนาวัตถุพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน
วัตถุเราก็ได้รับการอำนวยความสะดวกความสบายจนกว่าเราจะหมดอายุขัย หรือว่าเราจะตายไป ทางจิตใจของเราก็มีความสุขมีปัญญา เพื่อไม่หลงในสิ่งต่าง ๆ เพราะสิ่งต่าง ๆ นั้นเราต้องรู้เราต้องเข้าใจ มันเป็นเหตุเป็นปัจจัยของกรรมเก่าในอดีตชาติที่ผ่านมา ที่เราแก่เราเจ็บเราตายเราพลัดพราก นี้มันคือผลของกรรมจากอดีตแล้ว
การประพฤติการปฏิบัติถึงมาเน้นที่ปัจจุบัน เพื่อไม่ให้กรรมเก่ามันทำงาน เพื่อให้กรรมเก่าหยุดทำงาน เพื่อมายกเลิกกิจการกิจกรรม หยุดสร้างกรรมสร้างเวรสร้างภัย หยุดสร้างภพสร้างชาติ เดี๋ยวมันจะไปของมันเรื่อย
ด้วยความรู้ความเข้าใจนี้เราถึงพากันมาหยุดกรรมเก่า กรรมใหม่เราก็รู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันสัญจรไปมา ภาษาบาลีเค้าเรียกว่าอาคันตุกะสัญจรไปมา มันสัญจรไปมาทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ มันสัญจรไปมาทางธาตุทั้ง ๔ ทางขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ นี้ เรารู้ว่ามันสัญจรไปมา เราทั้งหลายจะได้รู้ว่า โอ้...สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันสัญจรไปมา
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ดีใจเสียใจกับสิ่งที่สัญจรไปมา
เรารู้เราเข้าใจ เราจะได้หยุดสิ่งที่สัญจรไปมาด้วยความรู้ความเข้าใจ
ธรรมะที่เราจะหยุดนี้ ถ้ามันจะหยุดมันก็ต้องมีความรู้ มนุษย์เราถึงมีการเรียนการศึกษาทั้งหมด ๑๘ ศาสตร์นะ
มนุษย์เรามีการเรียนการศึกษาทั้งหมด ๑๘ ศาสตร์มันมารวมลงที่พุทธศาสตร์เรื่องจิตเรื่องใจ ตัวผู้รู้ ตัวปัญญา ที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ รู้เรื่องกรรม รู้กฎแห่งกรรม รู้ผลของกรรม เน้นที่ตัวเรา เราทั้งหลายจะได้มีปัญญามีความสงบ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม จะไม่ได้ไปตามผัสสะ ไม่ได้ตามอายตนะ เราต้องรู้เข้าใจ
เราจะไม่ได้วุ่นวาย เราจะไม่ได้ขัดข้อง เราจะไม่ได้พลัดถิ่นหากินในแดนไกล หรือหากินในต่างแดน เรารู้เข้าใจ ชีวิตของเราต้องเอาปัญญาบริสุทธิคุณนำชีวิต ไม่เอาความหลงโง่งมงายนำชีวิต รู้ธรรมรู้สภาวธรรม พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เราจับหลักจับประเด็นให้ได้ ให้ทุกคนมีความสุขกัน เราทั้งหลายจะได้เป็นมนุษย์ มนุษย์แปลว่าผู้เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต ปกครองคนอื่นเรียกว่าเอาธรรมนูญนำชีวิต ไม่เอาความชอบความชัง ความดีใจเสียใจนำชีวิต
มนุษย์เราต้องมีความสุขมีปัญญามีศิลปะชีวิต รู้ด้วยปัญญา ไม่ไปตามผัสสะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม ถึงธาตุถึงขันธ์ถึงอายตนะของเรามันจะกดดัน เราก็ต้องรู้ว่าอันนี้มันเป็นธรรมชาติ ทุกอย่างก็ทำหน้าที่ของเค้า เป็นใหญ่ของเค้าเอง
ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดมันเป็นธรรมชาติ เป็นประภัสสรเราต้องรู้เข้าใจ เราจะไปลิดรอนธรรมชาติได้อย่างไร เราทั้งหลายจะได้รู้เข้าใจจะได้สงบ จะได้มีปัญญา
ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ มันกดดันเราทำให้เอาตัวรอดจากความไม่รอด
เอาตัวรอดจากความไม่รอดเป็นอย่างไร...
เค้าเรียกว่าเป็นคนเอาปัญญาหาเรื่องหาราวทำกับดักให้กับตัวเอง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้รู้เข้าใจ ท่านเปรียบอุปมาอุปไมยเหมือนบุรุษคนหนึ่งแบกไหน้ำผึ้งข้ามทะเลทราย ทะเลทรายก็รู้แล้วว่ามันแห้งแล้ง มันไม่มีอาหารไม่มีน้ำ มันไม่มีที่อยู่ที่อาศัย บุรุษผู้นั้นแบกไหน้ำผึ้งไป ความหิวความกระวนกระวายมันกดดัน ทำให้ชายผู้แบกไหน้ำผึ้งไปอดใจไม่ได้ที่จะดื่มน้ำผึ้ง เพราะน้ำผึ้งมันหวาน มันอร่อย มันมีความสุข บริโภคเข้าไป มันหวาน มันอร่อย มันมีความสุขน่ะ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเมตตาบอกว่าน้ำผึ้งน่ะมันมียาพิษ ใครบริโภคดื่มเข้าไปแล้วมันตายทุกคน ต้องรู้เข้าใจ
เราทั้งหลายเป็นคนดีก็ต้องมีปัญญา เป็นคนมีปัญญาก็ต้องเป็นคนดี
การประพฤติการปฏิบัติที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา”ขันติเป็นความอดกลั้น รู้จักเพราะอันนี้มันเป็นข้อสอบมันสอบด้วยธรรมชาติเลย สอบด้วยความหิวกระหาย ความกระวนกระวายชักดิ้นชักงอเลย ข้อสอบนี้มันหนัก เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องสงบได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ความอดทนนี้ถึงเป็นเบรกนะ เป็นความสงบหรือว่าเป็นความหยุด
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราต้องรู้เข้าใจ
สัมมาสมาธิถึงเป็นประธาน เป็นองค์ประธาน ประธานกับท่าน ๆ ๆ ก็อันเดียวกัน ท่านกับประธานน่ะ ที่สมัยใหม่เค้าเรียกว่าพวก ส.ส. ส.ว.หรือคณะรัฐมนตรีทั้งหลายเรียกว่าท่าน คำว่าท่านก็เปรียบเสมือนแท่นศิลาอาสน์ ไม่หวั่นไหว ตั้งอยู่ในความเป็นธรรมความยุติธรรม เค้าถึงเรียกว่าท่าน
ความหมายของท่านคือหมายถึงเสาเข็มที่เจาะลึกลงไป ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม ไม่หวั่นไหวต่อร้อนต่อหนาวต่อสุขต่อทุกข์ มีความสงบมีปัญญามีความอดทนน่ะ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการเอาธรรมนำชีวิต อะไรก็ช่างหัวเผือกช่างหัวมัน
เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช ท่านตรัสว่าอะไรก็ช่างหัวเผือกช่างหัวมัน เราจะไปหวั่นไหวตามผัสสะตามอารมณ์ตามธาตุตามขันธ์นั้นไม่ได้ เพราะเราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เหมือนบุรุษผู้มีปัญญาแบกไหน้ำผึ้งข้ามทะเลทราย
ชีวิตของเรานี้ต้องรู้เข้าใจ เราต้องผ่านด่านให้ได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราจะต้องสงบ สงบคือสมถะ เราต้องมีเจตนา ตั้งใจตั้งเจตนา อะไรก็ช่างหัวเผือกช่างหัวมัน เราต้องตั้งใจอย่างนี้ เราอย่าไปอ่อนแอ ใจอ่อนอ่อนแอตามสิ่งแวดล้อมตามธาตุตามขันธ์ไม่ได้ ต้องรู้เข้าใจทุกต้องพากันปฏิบัติอย่างนี้ เราจะได้เอาความดีกับปัญญาไปด้วยกัน
เรารู้จักอาคันตุกะที่มันสัญจรไปมาจนลายหูลายตาลายจิตลายใจ มันลายยิ่งกว่าตุ๊กแก พวกสักลายทั้งหลายนี้มันจะไปแข่งขันกับตุ๊กแกไม่ได้นะ เพราะว่าตุ๊กแกมันเป็นลายของธรรมชาติ ประชากรของโลกพากันไปสักลายแข่งกับตุ๊กแก ทั้งไทยทั้งฝรั่งทั้งจีนทุกประเทศพากันสักลายเอาตัวตนเป็นที่ตั้งก็ลายเหมือนตุ๊กแกนี้แหละ พากันไปเจ็บตัวเปล่า ๆ หาเรื่องให้กับตัวเองเจ็บตัวเปล่า ๆ พวกสักลายทั้งหลายให้พากันเข้าใจนะ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายให้ถือว่าให้เข้าใจว่านี้มันเป็นข้อสอบข้อตอบสำหรับมนุษย์เราผู้ที่ประเสริฐที่ รู้เข้าใจ เราเอาความดีกับปัญญามาประพฤติมาปฏิบัติ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ต้องเอาความดี ความดีก็คือธรรมนูญรัฐธรรมนูญ ความไม่ดีก็คือไม่เอาธรรมนูญไม่เอารัฐธรรมนูญ เราต้องเอาความถูกต้องนำชีวิต อย่าไปเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต ถึงทุกอย่างมันจะแซบจะลำจะนัวจะหรอยอะไรก็ช่างหัวมัน เราต้องมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบอย่างนี้
เราทำไปติดต่อต่อเนื่องเหมือนทดน้ำไว้ โบราณเค้าเรียกว่าทด พัฒนายิ่งใหญ่ ใหญ่ยิ่งขึ้นไปเค้าเรียกว่าเขื่อน ที่เค้าทำเขื่อน เขื่อนนั้นน่ะเค้าเอาฝุ่นมาทำขึ้นเป็นเม็ด เป็นเม็ดดิน ดินเอามารวมกันมาอัดให้แน่นเป็นเขื่อนใหญ่ ทำอะไรติดต่อต่อเนื่องกันเป็นปฏิปทา ทำอะไรติดต่อต่อเนื่องด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา มันจะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม มันจะเป็นปัญญา ให้เข้าใจนะ ถ้าไม่เข้าใจมันจะไปตามผัสสะตามสิ่งแวดล้อมตามอารมณ์ มันจะเป็นคนศีลขาดศีลด่างศีลพร้อย มันก็พังทลายเหมือนประเทศไทยนี้แหละ
เมืองไทยประเทศไทยมีตึก สตง.อยู่เมืองหลวงกรุงเทพมหานคร ตึกนั้นสูง ๓๐ กว่าชั้น พังทลายด้วยไม่ได้มาตรฐานไม่ได้ มอก. มันพังทลายทั้งที่ตึกอื่น ๆ มีหลายสิบตึกทั้งใหญ่ทั้งสูงกว่า ตึกต่าง ๆ เค้าก็ไม่พังทลาย เพราะมาตรฐาน มอก.เค้ามากกว่า
การทำเขื่อนทำฝายนั้นมันเป็นภายนอก แต่เขื่อนฝายของเรานั้นคือ อริยมรรคมีองค์แปด กายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจของเรา
การประพฤติการปฏิบัติมันต้องติดต่อต่อเนื่องกัน เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม
การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องกันใช้เวลาเป็นอาทิตย์ ๑ อาทิตย์ ๒ อาทิตย์ ๓ อาทิตย์ ผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์มันจะเป็นชิฟเป็นเมมโมรี่ฝังในขันธ์ในสัญญาขันธ์มันถึงจะเป็นเรื่องเป็นราว ถึงจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยความรู้คู่การประพฤติการปฏิบัติ
เราคิดดูดี ๆ ไก่มันฟักไข่ด้วยแม่ของไข่ มันใช้เวลา ๓ อาทิตย์มันถึงออกมาเป็นลูกไก่ สมัยใหม่เค้าฟักด้วยไฟฟ้าก็ใช้เวลา ๓ อาทิตย์เหมือนกัน เราทำอะไรก็ต้องติดต่อต่อเนื่องให้เป็นความดีเป็นปฏิปทา ติดต่อต่อเนื่อง ไม่ใช่ได้ข้างหน้าลืมข้างหลัง ได้ข้างหลังลืมข้างหน้า ไม่ไปไม่มา ย่ำต๊อกอยู่ที่เก่า ถอยไปหนึ่งก้าวกลับไปหนึ่งก้าวมันก็อยู่ที่เก่า สรุปแล้วมันเป็นคนไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา เป็นบุคคลไม่รู้อริยสัจสี่ ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เป็นเหมือนบุรษที่ไม่รู้เข้าใจแบกไหน้ำผึ้งที่เอร็ดอร่อยแล้วบริโภคน้ำผึ้งแล้วก็ตาย นี้ก็เหมือนกัน
เรารู้จักว่าตาย ตายนี้ก็หมายถึงว่าผ่านไปนะ เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ปัจจุบันมันคือปัจจุบัน ผ่านไปแล้วเค้าเรียกว่าตาย ตายเค้าเรียกว่าเกษียณ เกษียณมันเอาคืนมาไม่ได้ ปู่ย่าตายายบรรพบุรุษของเราตายไปแล้วเรียกว่าเกษียณแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้ เราต้องรู้เข้าใจ ว่าปัจจุบันให้มีความสุขให้มีสติให้มีสัมปชัญญะ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติเพราะอันนี้มันถูกต้อง อย่าเอาตัวตนนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิตมันชี้เกียจขี้คร้าน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่า ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความขี้เกียจขี้คร้านไม่ได้นะ อันนี้จะเป็นวัฏฏสงสารเป็นตัวตนเป็นตน
เราทุกคนต้องขยัน ต้องเสียสละ เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ มีความสุขในการเอาธรรมนำชีวิต ข้อวัตรกิจวัตรทำอะไรในปัจจุบันให้มีความสุข เพราะอันนี้มันถูกต้อง มันถูกต้องเราก็มีความสุข เราก้าวไปด้วยปิติสุขเอกัคคตาด้วยความรู้ความเข้าใจอย่างนี้
เราทั้งหลายต้องเอาพระนิพานนำชีวิต เอาบริสุทธิคุณนำชีวิต ไม่ใช่เอาความหลงนำชีวิต ความหลงมันคือภพคือชาติ คือความเกิดแก่เจ็บตายพลัดพรากให้รู้เข้าใจ
เราทั้งหลายจะไม่หลงงมงาย หลงพลัดถิ่น หลงพลัดถิ่นทิ้งคนแก่คนเฒ่าคนชราไปหากินต่างจังหวัด ไปหากินต่างประเทศอย่างนี้
เราต้องรู้เข้าใจว่า เราทั้งหลายอย่าไปทิ้งความสงบ อย่าไปทิ้งปัญญาสัมมาทิฏฐิ ถึงมันจะอร่อยหวานหอม เราต้องรู้ว่าอันนี้คือการเวียนว่ายตายเกิด เราต้องรู้วัฏฏสงสาร จบด้วยความรู้การประพฤติการปฏิบัติที่ติดต่อต่อเนื่อง
เราคิดดูดี ๆ น่ะอย่างผู้มีปัญญาททั้งหลายนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายประเทศที่พัฒนาไปไกลแล้ว อันนั้นมันไกลทางความหลงก็ว่าได้ หรือไกลไปทางวัตถุก็ได้ แต่ทางจิตทางใจนี้มันยังไม่ไกลนะ เราพัฒนาสองอย่างเอาทั้งวิทยาศาสตร์ เอาทั้งใจไปพร้อม ๆ กันมันถึงแก้ปัญหาได้
อย่างท่านพระอาจารย์สุเมโธ พระฝรั่ง เป็นประชากรของประเทศอเมริกา
คนอเมริกาเค้าพัฒนาวิทยาศาสตร์ พัฒนาวัตถุก้าวไปไกลกว่าเอเชียมาก ห่างกันหลายสิบปีเลยทีเดียวน่ะ พัฒนาอย่างไร เป็นคนฉลาดมากเป็นคนเก่งมากมันก็ยังมีความทุกข์อยู่นั่นแหละ เพราะทุกข์ไม่ได้อยู่ที่อื่น มันอยู่ที่เอาตัวเอาตนนำชีวิต ไม่ได้เอาธรรมนูญนำชีวิต นักวิทยาศาสตร์ไปไม่ได้ ท่านก็ไปที่ประเทศอินเดีย ประเทศเนปาล ศรีลังกา แล้วก็วกมาที่ประเทศพม่า มาที่เมืองไทย มาทำไม ก็เพื่อแสวงหาความสงบ หาที่สุดแห่งความดับุทกข์ เพราะทำอย่างไรมันก็แก้ปัญหาไม่ได้ มาศึกษาทางพระศาสนา มาบวชที่เมืองไทย บวชทางจังหวัดหนองคาย แล้วก็ถามคนในประเทศไทยว่า พระอาจารย์องค์ไหนเป็นผู้ฉลาด เป็นผู้มีปัญญา เป็นพระดีปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นสุปฏิปันโน
เค้าก็บอกว่าท่านพระอาจารย์ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง อยู่ที่จังหวัดอุบลฯ อำเภอวารินชำราบ ให้ไปหาท่าน
ท่านพระอาจารย์สุเมโธก็ไปหาท่านพระอาจารย์ชา ไปอยู่กับท่านพระอาจารย์ชาเป็นวัดป่า ป่าดงพงไพรเค้าเรียกว่าวัดหนองป่าพง ไปที่นั่นไฟฟ้าก็ไม่มี น้ำประปาก็ไม่มี ไม่มีอะไรอำนวยความสะดวก มีแต่ความสงบมีแต่ป่า
เมื่อนักวิทยาศาสตร์ หรือว่าคนมีปัญญาเอาความสุขความดับทุกข์จากความหลงหรือว่าเอาความสุขจากสิ่งที่อำนวยความสะดวกสบาย ก็ยิ่งทุกข์มากกว่าเก่า ทุกข์กว่าอยู่ในเมืองที่เจริญ เดินไปเดินมานั่งนอนอะไรก็มีแต่ทุกข์
ท่านพระอาจารย์ชาน่ะ ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านทำตามหลวงปู่มั่นทุกอย่างทุกประการ เอาธรรมเอาธรรมนูญนำชีวิต ท่านรู้ท่านเข้าใจเรื่องวิทยาศาสตร์เรื่องจิตใจ ว่ามนุษย์เราต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ท่านก็รู้แล้วว่าคนทางยุโรปคนทางโน้นมีปัญญามากแต่ไปไม่ได้ ต้องเอาใจไปพร้อม ๆ กัน
ท่านดูเห็นอาการกิริยามารยาทก็รู้แล้ว เพราะมีตาอยู่มันก็เห็น มีหูอยู่ก็ได้ยิน มีจมูกก็ได้กลิ่น มีกายมีสัมผัส มีใจมีความรู้สึกนึกคิดก็รู้น่ะ
ท่านถึงพูดถึงมาว่าพระสุเมโธ พระสุเมโธน่ะมีทุกข์หรือว่าวัดหนองป่าพงมีความทุกข์น่ะ
พระอาจารย์สุเมโธได้สติ ได้ปัญญาว่า โอ้... เรามีความทุกข์นี้เพราะมีเรามีเขา เมื่อมีเรามีเขาเมื่อไหร่มันก็ไม่สงบ เพราะความสงบมันคือเราคือเขา ความไม่สงบมันคือความปรุงแต่งนี้เอง
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เราต้องรู้เข้าใจด้วยปัญญาว่าทุกอย่างมันคือเหตุคือปัจจัย ไม่ใช่เราไม่ใช่คนอื่น เรามาสงบระงับสังขารมันเป็นความทุกข์ดับนะ การมาสงบระงับสังขารเป็นความสุขอย่างยิ่ง
เราต้องรู้เข้าใจในเรื่องอริยสัจสี่ เราจะไม่ได้วิ่งตามสิ่งแวดล้อม นักวิทยาศาสตร์ก็ต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน เอาความสงบเอาปัญญามาเป็นหนึ่งเดียว
พระอาจารย์สุเมโธรู้เข้าใจ ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกันใช้เวลานานร่วม ๑๐ ปี ชีวิตของท่านพระอาจารย์สุเมโธเป็นชีวิตที่สงบเย็นเป็นพระนิพพาน เย็นออกมาจากจิตใจโน่น ออกมาจากพระนิพพานโน่น กายวาจากิริยามารยาทใจมันเย็น เย็นด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยรู้วัฏฏสงสาร เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกันน่ะ อะไรไปอะไรมาถือว่าเป็นข้อสอบข้อตอบ การประพฤติการปฏิบัติ เราต้องรู้เข้าใจอย่างนี้นะ
เดี๋ยวนี้น่ะ ท่านพระอาจารย์ชา ก็ส่งท่านพระอาจารย์สุเมโธไปเผยแผ่ทางยุโรปแล้ว ไปบอกประชาชนบอกมหาชนให้พากันพัฒนาวิทยาศาสตร์ พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ทางวัตถุก็ให้ยิ่ง ๆ ทางจิตใจก็ยิ่ง ๆ ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน อย่างนี้ถึงจะแก้ปัญหาได้ อย่างนี้ถึงเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นการทำที่สุดของหมู่มวลมนุษย์
มนุษย์เราต้องเอาความดีที่มีปัญญา จะได้เป็นผู้ปฏิบัติดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นผู้พัฒนาปัญญาให้ตั้งมั่นอยู่ในความดี จะได้เข้าถึงความสงบ
เราทั้งหลายจะไม่ได้เป็นคนพลัดถิ่นไปหากินกับความหลงหรือไปหากินในต่างแดน พวกเราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ปรับตัวเข้าหาความรู้คู่การประพฤติการปฏิบัติ เอาความถูกต้องนำชีวิต เรียกว่าเอาพระรัตนตรัยนำชีวิต เอาหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ
ให้ไปพัฒนาที่เราที่ตัวเรา เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็จะตกอยู่ในสัญชาตญาณ เกิดมาสิบกว่าปีมันก็ไปตามสัญชาตญาณ ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะต่าง ๆ มันกดดันเราเหมือนบุรุษผู้แบกไหน้ำผึ้งข้ามทะเลทราย มันกดดันเรา มันทำให้เราอดไม่ได้ ทนไม่ได้ เห็นการทำบาปก็เพราะคิดว่ามีความจำเป็น เรียนหนังสือก็เพราะ มีความเห็นว่ามันมีความจำเป็น ทำการทำงานก็มีความคิดเห็นว่านี้มันเพราะมีความจำเป็น
เราไม่รู้ไม่เข้าใจว่าอันนี้มันคือข้อสอบ เราตอบด้วยข้อสอบนั้นแหละ ตอบด้วยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ
ถ้าเรามีปิตีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ มันก็ต้องผ่านไปด้วยปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะไม่ได้คิดเหมือนแต่เก่า เกิดมาอายุสิบกว่าปีก็อยากได้ผัวอยากได้เมียอยากมีครอบครัว
เราต้องรู้เข้าใจเหมือนครั้งพุทธกาล รู้เข้าใจในหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ผู้มีปัญญาทั้งหลายได้พากันออกบวชจนใจหายหมดน่ะ พวกคนรุ่นใหม่สมัยใหม่ เข้าใจในอริยสัจสี่ว่ามนุษย์เราต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการดำเนินชีวิต เราจะมีความทุกข์ไปทำไม ทำไมเราถึงจะไปมีลูกมีผัวมีเมีย เราต้องรู้ว่า เราต้องหยุดด้วยความรู้ความเข้าใจ เค้าเรียกว่าหยุดด้วยพระธรรมพระวินัย
ความรู้ความเข้าใจมันเป็นการทำหมันเพื่อไม่ให้เกิดแก่เจ็บตายพลัดพราก พระธรรมพระวินัยเป็นเรื่องทำหมันนะ เพื่อไม่ให้เกิดคือทำหมัน ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัยด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยปัญญาด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เพราะทุกอย่างมันไม่จบ มันสัญจรไปมาอย่างนี้
เราต้องรู้เข้าใจเราต้องจบด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยพระธรรมพระวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมมีแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ อันนี้เป็นหลักการที่เป็นเครื่องหยุดหรือว่าเป็นอุปกรณ์ทำหมัน
เราทั้งหลายน่ะต้องรู้เข้าใจ เราต้องพากันทำหมันตัวเองนะ
แพทย์ก็อยู่ที่เรานี้แหละ ผู้ถูกทำหมันก็ตัวเรา ต้องรู้เข้าใจพระธรรมพระวินัยคือหยุดการเวียนว่ายตายเกิด คือเป็นการทำหมันในการเวียนว่ายตายเกิด
ให้รู้เข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยคืออุปกรณ์ คือบุคลากรที่ทำหมัน
ให้พวกเรารู้เข้าใจนะ หยุดความเกิดแก่เจ็บตายด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมพระวินัย
พระธรรมพระวินัยถึงเป็นสิ่งที่มีคุณมีอุปการคุณอย่างมาก ๆ อย่างหาที่สุด หาประมาณไม่ได้ เราต้องรู้เข้าใจ
พระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่ขลังศักดิ์สิทธิ์ ขลังก็หมายถึงเป็นเส้นทางแห่งการเดินไป เดินไปทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาททั้งอาชีพที่เป็นสัมมาทิฏฐิมันเป็นทาง ทางสายกลาง คือความสงบกับปัญญา วิปัสสนากับสมถะมันเป็นศีลเป็นสมาธิปัญญา ต้องรู้เข้าใจ
ให้เรารู้เข้าใจเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง เข้าใจอย่งนี้เข้าใจง่าย ต้นไม้ต้นหนึ่งที่จะได้อาหารมา มันไม่ใช่ได้มาจากทางรากอย่างเดียวนะ มันได้มาจากทางกิ่งทางก้านทางใบทางสาขาทางยอดตลอดปริมณฑล ทั้งแสงแดดอากาศออกซิเจน มันได้มาจากทุกทิศทุกทาง
ธรรมะที่เราเข้าใจมันเป็นอริยมรรคทุกแง่ทุกมุมเลยมันได้มาจากทุกทิศทุกทางไม่ใช่ได้มาจากสัมมาสมาธิอย่างเดียว
เราไปคิดดูดี ๆ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่า สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นั้นอยู่ที่เรารู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้ทุกอย่างน่ะมันเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นความสงบเป็นปัญญาไปพร้อม ๆ กัน มันจะไม่ได้คิดเหมือนพวกชีเปลือยทั้งหลาย นึกว่าการปล่อยวางคือปล่อยอะไรหมดเสื้อผ้าอาภรณ์อะไรก็ไม่ใส่เหลือแต่ตัวล่อนจ้อน อย่างนี้ถือว่าไม่ใช่ปัญญา ถือว่าไม่มีปัญญาอย่างนี้ มันเป็นการปล่อยปะละเลย ปล่อยวางความถูกต้อง เอาความหลงนำชีวิต ไม่ใช่การปล่อยวาง ต้องรู้เข้าใจ เรามองในแง่มุมของสติปัญญา นางวิสาขามหาอุบาสิกา (ให้ผู้แสดงธรรมพูดเรื่องประวัติของนางวิสาขาเพื่อเราให้เกิดปัญญา)
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บำเพ็ญพุทธบารมีหลายล้านชาติหลายอสงไขย ได้มาอุบัติในโลกนี้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดีไม่มากไม่น้อยเป็นทั้งทางวิทยาศาสตร์เป็นทั้งทางใจไปพร้อม ๆ กัน
เราคิดดูดี ๆ น่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสูติก็พระจันทร์วันเพ็ญ ตรัสรู้ก็พระจันทร์วันเพ็ญ แสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรก็พระจันทร์วันเพ็ญตรัสบอกมหาชนว่าอีก ๓ เดือนข้างหน้าพระตถาคตเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้วนะก็พระจันทร์วันเพ็ญเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็พระจันทร์วันเพ็ญน่ะ มันเป็นความเต็ม ๆ ๆ มันเป็นความพอเพียงเพียงพอ มันเป็นความพอดี
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญความเพียรทุกรกิริยามันไปไม่ได้ เพราะไม่รู้เข้าใจในเรื่องปฏิจสมุปบาท ยังไม่เข้าใจในเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม
ท่านมาระลึกถึงพิณถึงสายพิณ สายพิณที่เราใช้ทำดนตรี ทำกีต้าร์อะไรสมัยใหม่ ถ้าตึงเกินไปสายพิณนั้นก็จะขาด ถ้าหย่อนเกินไปสายพิณมันก็ไม่ไพเราะ
ท่านมาระลึกถึงกระบวนการของปฏิจสมุปปบาท ท่านถึงได้ทรงเสวยอาหารปกติ ทรงเสวยวันหนึ่งเพียงหนเดียวก็เพียงพอ พระองค์ถึงเอาหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมนี้มาประพฤติมาปฏิบัติ ท่านถึงได้รับการถวายข้าวมัทธุปายาสของนางสุชาดา
(ให้ผู้แสดงธรรมเล่าเรื่องของนางสุชาดาถวายข้าวมัทธุปายาสจนไปถึงพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และเสวยวิมุติสุข จนกระทั่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ และทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตร)
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านแสดงธัมมจักรกัปปวัตตนสูตรทำให้ ๓ แดนโลกธาตุหวั่นไหวเลย ด้วยธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร
เราทั้งหลายต้องก้าวไปด้วยธรรมด้วยธรรมนูญด้วยธัมมจักรกัปปวัตตนสูตรนี้ ด้วยบริสุทธิคุณเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยความดี มันจะเป็นบารมีพร้อมทั้งส่งบุญกุศลให้คนอื่นหรือว่าส่งดีเอ็นเอให้คนอื่น เพื่อเป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
----------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอาทิตย์ที่ ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา