๓๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ ๓๐ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

ให้เราทุก ๆ คนพากันรู้พากันเข้าใจเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เพราะเรื่องเหตุเรื่องปัจจัยมันเป็นเรื่องของกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรม

 

หมู่มวลมนุษย์นี้ใช้หลักการอันเดียวกันทุกชาติทุกศาสนาใช้หลักการอันเดียวกัน

 

อริยมรรคมีองค์แปด กายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจ ต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ต้องรู้ต้องเข้าใจ ต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราทั้งหลายจะได้มีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม แล้วก็มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ให้พวกเราพากันเข้าใจอย่างนี้

 

การประพฤติการปฏิบัติไม่มีใครปฏิบัติให้กันได้ ปฏิบัติแทนกันได้ มันต้องเน้นมาที่ตัวเรา

 

 

การประพฤติการปฏิบัติเมื่อเรารู้เข้าใจแล้วก็ให้ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกันเพื่อไม่ให้ขาด ไม่ให้ด่าง ไม่ให้พร้อย ไม่ให้เศร้าหมอง เน้นที่ปัจจุบัน มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราทุกคนจะได้เป็นผู้มีศีลมีสมาธิมีปัญญา จะได้ก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา เป็นการก้าวไปด้วยอริยมรรค

 

ให้เข้าใจ เหมือนเข้าใจต้นไม้ต้นหนึ่งนี้แหละ ต้นไม้ต้นหนึ่งนั้นเค้าได้อาหารมาเลี้ยงตัวของต้นไม้เอง เราต้องรู้เข้าใจ ไม่ใช่ได้มาจากทางรากอย่างเดียว ถ้าได้มาจากทางรากอย่างเดียวมันยังไม่เพียงพอ ต้องได้อาหารมาจากทางกิ่งทางก้านทางใบทางสาขาทางยอดตลอดปริมณฑลทั้งแสงแดดทั้งอากาศออกซิเจน ต้นไม้นั้นก็จะสมบูรณ์สง่างาม

 

ชีวิตของหมู่มวลมนุษย์ต้องรู้เข้าใจอย่างนี้ จะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันมารวมกันอยู่ที่ปัจจุบันนี้แล้ว อดีตก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มาเริ่มที่ปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญ ถือว่าเป็นวาระแห่งชาติในการเกิด เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี

 

ความรู้ความเข้าใจนี้มันจะเป็นความดับทุกข์ หรือว่าเป็นการทำที่สุดของความไม่มีทุกข์ ทุกข์เก่าจะได้หมดไป ทุกข์ใหม่ก็ไม่ได้สร้างขึ้นมาใหม่ด้วยความรู้ความเข้าใจ ชีวิตของเราจะได้มีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ

 

ทุกคนต้องรู้เข้าใจ ความสงบกับปัญญาตีคู่กันไปเลย เสมอกันไปเลยใจกับวัตถุ หรือว่าใจกับปัญญานี้ หรือว่าใจกับศีลสมาธิปัญญา ต้องตีคู่กันไปเลยเรียกว่าเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตาในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ

 

การปฏิบัติของเราน่ะให้พวกเรารู้เข้าใจ เราจะไปตามความชอบความชังไม่ได้ ไปตามความดีใจเสียใจไม่ได้ ไปตามร้อนตามหนาวตามผัสสะตามอารมณ์ไม่ได้ ต้องรู้เข้าใจ เพราะอันนี้มันเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม ถือว่าเป็นกรรมเก่าก็แล้วกัน กรรมเก่าที่เราได้เวียนว่ายตายเกิด ที่เรามีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ ถือว่าเป็นกรรมเก่าก็แล้วกัน

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้รู้จักทั้งกรรมเก่ากรรมใหม่

เราทั้งจะได้พากันเจริญสติสัมปชัญญะ เราต้องตัดอกตัดใจตัดกรรมตัดเวรตัดภัยพากันมีความสงบมีปัญญา เพราะวาระอะไรทุกอย่างมันเป็นวาระเป็นวาระไป ไม่ใช่มาหลายอย่างหรอก เป็นวาระไป ใจของเราก็คิดได้ทีละอย่าง ปากของเราก็พูดได้ทีละอย่างหรือว่ากินได้ทีละอย่างทานได้ทีละอย่าง กิริยามารยาทก็ทำได้ทีละอย่าง อาชีพก็ทำได้ทีละอย่าง ใจก็คิดได้ทีละอย่าง เราต้องรู้เข้าใจ

 

ถ้าเรามีความสงบน่ะ ความสงบกับปัญญาเอาไปใช้เราก็จะได้หยุดกรรมเก่าไม่ได้สร้างกรรมใหม่ เรารู้เข้าใจอย่างนี้

 

เราทุกคนเป็นพระได้พอ ๆ กันนั่นแหละ

 

ฆราวาสก็เป็นพระได้ นักบวชก็เป็นพระได้ ข้าราชการนักการเมืองก็เป็นพระได้ พ่อค้าประชาชนทุก ๆ คนก็เป็นพระได้ พระคือผู้ที่รู้เข้าใจเรื่องเหตุเรื่องปัจจัยแล้วก็มีความสงบมีปัญญา การเจริญสติปัฏฐานนี้ถึงเป็นหลักการของเราทุก ๆ คนนะ

 

การเจริญสติปัฏฐานมีทั้งสติคือความสงบ มีสัมปชัญญะคือตัวปัญญา สติสัมปชัญญะนี้ต้องตีคู่กันเลย สติคือสมถะ สัมปชัญญะคือวิปัสสนา ให้เข้าใจ

 

เราทั้งหลายจะพากันไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยไม่ได้แน่นอนเป็นเด็ดขาด เพราะจะทำให้การปฏิบัติของเราเนิ่นช้า ตั้งอยู่ในความประมาทความเพลิดเพลิน

 

เราทั้งหลายต้องสงบตัวเองให้ได้ด้วยสติ ด้วยความสงบด้วยสัมปชัญญะด้วยปัญญา มันไม่จบหรอก รูปก็ไม่จบ เสียงก็ไม่จบ กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ไม่จบแน่นอน เราต้องจบด้วยมีสติคือความสงบ ต้องจบด้วยสัมปชัญญะคือตัวปัญญา เราทั้งหลายต้องเจริญสติปัฏฐาน เราทุกคนพากันทำอย่างนี้แหละ

 

ตนแลเป็นที่พึ่งของตน ในโลกนี้ไม่ต้องไปพึ่งใครแล้ว พึ่งความรู้ความเข้าใจพึ่งการประพฤติการปฏิบัติ มีสติมีสัมปชัญญะ

 

เครื่องอยู่ของเราน่ะให้รู้เข้าใจนะ เครื่องอยู่ของเราที่ดีมากที่สุดคือความสงบ ที่พึ่งของเราคือปัญญา ความสงบกับปัญญานี้แหละคือที่พึ่งของเรา ให้รู้ให้เข้าใจ

 

เราต้องขอบใจสิ่งต่าง ๆ อีกด้วย ขอบใจสิ่งที่มาปรากฏการณ์ ที่ให้เรามีโอกาสได้ประพฤติได้ปฏิบัติ ขอบใจความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากความหนาวร้อนสุขทุกข์ ให้รู้เข้าใจ

 

เราทั้งหลายจะได้พากันเจริญสติสัมปชัญญะ จะได้ประพฤติปฏิบัติธรรม เราจะได้มีปิติสุขเอกัคคตาให้เต็มที่ในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้ไม่เสียกาลเสียเวลา เราจะได้หยุดวัฏฏสงสารคือการเวียนว่ายตายเกิด ที่เป็นวัฏจักร เป็น cycle of life เวียนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้ เป็นสังสารวัฏอยู่อย่างนี้แหละ

 

เราทั้งหลายน่ะต้องพากันเห็นภัยในวัฏฏสงสาร

เราต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ให้เข้าใจว่าการเดินทางของเรามันก็เหมือนบุรุษผู้หนึ่งนี้แหละที่เดินข้ามทะเลทราย ทะเลทรายเราก็รู้อยู่แล้ว บุรุษแบกไหน้ำผึ้งไป อย่างนี้ต้องรู้เข้าใจ ในน้ำผึ้งนั้นแหละมีพิษมียาพิษ

 

ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ มันกดดันเรา เราต้องเอาตัวรอดนะ เราอย่าไปเอาตัวรอดในความไม่รอดนะ เราต้องรู้ว่ามันรอดตายก็จริง แต่ว่ามันไม่รอดจากกรรมจากเวรจากภั ยไม่รอดจากวัฏฏสงสาร เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร

 

การประพฤติการปฏิบัตินี้มันต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน 

ความละอายต่อบาปความเกรงกลัวต่อบาปก็มีความรู้สึกเหมือนไฟมันร้อน เราไปจับมันต้องไหม้แน่นอน ให้รู้จักเหมือนดวงตาเราก็มีสองข้างจะให้ตาของเราบอดได้อย่างไร ความละอายต่อบาปความเกรงกลัวต่อบาปมันก็ต้องเห็นอย่างนั้น

 

เราต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ต้องรักษาธรรม ปฏิบัติธรรมต้องเป็นอย่างนั้น

 

การประพฤติการปฏิบัติธรรมถึงต้องเน้นมาที่ตัวเรา เรื่องจิตเรื่องใจเรื่องเจตนา ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ต้องรู้เข้าใจ ถ้ามีต่อหน้าและลับหลังไม่ได้ ไม่ได้แน่นอนไม่ได้เด็ดขาด ถ้ามีต่อหน้าและลับหลังมันยังมีตรึกในกามตรึกในพยาบาทอยู่ เราจะหยุดในกามในพยาบาทได้ เราก็ต้องไม่มีต่อหน้าและลับหลัง

 

การปฏิบัติ การเคารพคารวะในธรรมในปัจจุบันธรรมนี้สำคัญน่ะ

 

เหมือนเค้าไปกราบเรียนถามพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้านี้พระพุทธเจ้าเคารพอะไร เพราะว่าเป็นพระพุทธเจ้าน่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่าพระพุทธเจ้าเคารพในธรรมนี้แหละ คารวะในธรรม ไม่ลิดรอนสิทธิในธรรม

 

ความเคารพกับความสงบมันถึงเป็นอันเดียว ถ้าเราไม่มีความเคารพก็ไม่มีความสงบ ถ้าเราไม่มีความละอายต่อบาปความเกรงกลัวต่อบาปนั่นแหละคือตัวตน นั่นแหละคือไม่เคารพ คือความไม่สงบ เรามีความสงบก็มีความเคารพ มีความเคารพ ก็มีความสงบ ให้รู้เข้าใจ คารวธรรมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญนะ

 

ถ้าเรารู้เข้าใจน่ะ มันจะเข้าถึงความสงบเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี เป็นปัญญาบริสุทธิคุณ ไม่ใช่ปัญญาเอาแต่วิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เอาแต่ตัวแต่ตน มันเป็นการพัฒนาตั้งแต่วัตถุ ไม่พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน

 

เราทั้งหลายต้องพากันเคารพคารวะในพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร เอาพระธรรมเอาพระวินัยเป็นหลักการอุดมการณ์ อย่าไปว่ายากสอนยาก อย่าไปเก่งกว่าธรรมะ อย่าไปเก่งกว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าน่ะท่านก็ยังเคารพในพระธรรม

 

ให้รู้เข้าใจ ไม่มีใครใหญ่เหนือธรรมชาติ มีแต่แก่เจ็บตายพลัดพรากทั้งนั้น เราต้องรู้เข้าใจ เข้าใจแล้วก็พากันประพฤติพากันปฏิบัติ ให้มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เน้นมาที่ตัวเรา

 

เอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาพระอรหันต์เป็นหลัก อย่าเอาโลกธรรมเป็นหลัก ใครไม่ปฏิบัติก็ช่างหัวเค้า ใครไม่ปฏิบัติก็ช่างหัวมัน เราต้องเน้นมาที่ตัวเรา เราเกิดมาก็มาคนเดียว เวลาเราลาละสังขารก็ลาละสังขารคนเดียว ให้เข้าใจอย่างนี้ เราเข้าใจอย่างนี้แหละ เราถึงจะเข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา

 

เราทั้งหลายได้รับโอกาสพิเศษที่เราได้ทรัพยากรพิเศษคือความเป็นมนุษย์น่ะ เราได้รับโอกาสพิเศษแล้ว อายุขัยเราน่ะก็อยู่ได้ศตวรรษหนึ่งคือร้อยปี เราทำดี ๆ เอาธรรมนำชีวิต มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาอยู่ได้มากกว่าร้อยปี ให้เข้าใจอย่างนี้

 

เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งให้เข้าใจเลยนะว่า เอาตัวตนเป็นที่ตั้งคือมันเป็นบุคคลไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา มีแต่ตัวมีแต่ตนนั่นแหละคือการเวียนว่ายตายเกิดให้รู้ให้เข้าใจ

 

เราทั้งหลายถึงมารู้มาเข้าใจมาสละ ความรู้ความเข้าใจเรียกว่ามาละสักกายทิฏฐิมาละตัวละตน เพื่อไม่มีตัวไม่มีตน เราจะได้มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา

 

ถ้าเอาตัวตนมันก็ต้องทุกข์อยู่อย่างนั้นแหละ เป็นคนรวยก็ทุกข์เพราะไม่พอ เป็นคนจนก็ทุกข์เพราะไม่มี เค้านินทาก็เสียใจ เค้าสรรเสริญก็ดีใจ เราต้องรู้เข้าใจ

 

เราทั้งหลายอย่าไปพากันติดความสุขติดความสะดวกความสบาย เพราะความสุขนี้ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ ถ้าไม่มีเหตุมีปัจจัยจะให้สุขก็มีอยู่แล้ว อย่ามาติดในความทุกข์ ถ้ามันมีเหตุมีปัจจัยที่ให้ทุกข์มันก็มีอยู่น่ะ เราต้องรู้เข้าใจว่าสุขทุกข์นี้มันก็ยังเป็นความปรุงแต่ง สุขทุกข์ก็เป็นวัฏฏสงสาร เราต้องรู้เข้าใจ เราไม่ต้องไปสุขไปทุกข์มันเพราะมันเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม เราต้องมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ

 

เราทั้งหลายอย่าพากันฟุ้งซ่านไปตามสิ่งแวดล้อม อย่าไปฟุ้งซ่านไปตามตาหูจมูกลิ้นกายใจ ฟุ้งซ่านตามเค้านินทาสรรเสริญ อย่าไปฟุ้งซ่าน ต้องควบคุมตัวเองให้อยู่กับความสงบอยู่กับปัญญา หยุดความฟุ้งซ่าน สงบด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

สัมมาสมาธินี้มันเป็นประธานเพื่อให้เป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ เป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่าไม่มี

 

ถ้าเราหยุดเรายกเลิกมันก็ไม่มี ถ้าเราไม่หยุดไม่ยกเลิกมันก็มี ให้รู้ให้เข้าใจ

 

ถ้าเรามีการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องมันจะค่อย ๆ รู้เรื่องรู้ราว ถ้าเราไม่มีการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องมันไม่เข้าใจเลย เหมือนปลาไม่รู้เรื่องของนก นกอยู่ในอากาศบินไปบินมา ปลาไม่รู้เรื่องของนก นกก็ไม่รู้เรื่องของปลา ว่าปลาอยู่ในน้ำทำไมอยู่ได้ มันไปหายใจที่ไหน มันไม่รู้เรื่องกันน่ะ

 

เราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ ทุกคนจะได้เป็นพระกันทุก ๆ คน ฆราวาสก็เป็นพระได้ นักบวชก็เป็นพระได้ ข้าราชการนักการเมืองพ่อค้าประชาชนก็เป็นพระได้ ทุกชาติทุกศาสนาก็เป็นพระได้ เป็นพระได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

ที่เค้าแต่งตั้งเราให้เป็นโน้นเป็นนี่ นั้นเป็นตำแหน่งที่เค้าแต่งตั้งให้เรานะ

 

เรามีการเรียนการศึกษาในศาสตร์ต่างๆ เมื่อรู้เข้าใจแล้วเค้าแต่งตั้งให้รับผิดชอบในหน้าที่ ผู้รับแต่งตั้งก็ต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ใช่เค้าแต่งตั้งให้หลงนะ เค้าแต่งตั้งให้เราเสียสละ เป็นตำแหน่งที่แต่งตั้งต้องเสียสละ เพื่อให้ได้ประพฤติปฏิบัติธรรม แต่ตำแหน่งพระอริยเจ้า ตำแหน่งพระอรหันต์ ตำแหน่งพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามีไม่มีใครแต่งตั้งได้ เพราะอันนี้มันคือความสงบคือปัญญา เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา จะไม่ต้องไปหาพระที่ไหน หาพระไม่ใกล้ไม่ไกลอยู่ที่กายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจของเรานี้เอง เราต้องรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้

 

การประพฤติการปฏิบัติน่ะให้พวกเราเน้นที่ปัจจุบัน ให้สงบอยู่กับปัจจุบัน ให้มีปัญญาในปัจจุบันอย่างนี้ เพราะปัจจุบันเค้าเรียกว่ามันเป็นของสด เป็นฟอร์มสดน่ะ ถ้าเป็นอดีตไปแล้ว อดีตนั้นคือตัวตนนะ อนาคตก็คือตัวตน

 

ปัจจุบันถึงมีแต่ความสงบมีปัญญา ปัจจุบันถึงเป็นพระนิพพาน

 

มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตาย ด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิพร้อมกับการประพฤติการปฏิบัติ มันจะเป็นศีลสมาธิปัญญา เป็นมรรคเป็นอริยมรรค มันต้องก้าวไปอย่างนี้ ก้าวไปด้วยความพอดี ความพอเพียงเพียงพอน่ะ

 

สิ่งภายนอกทั้งหลายทั้งปวงเราตัดไปเลย ตัดไปด้วยพระธรรมพระวินัย ตัดไปด้วยอินทรีย์สังวร สังวรตาหูจมูกลิ้นกายใจ ตัดไปเลยด้วยการบริโภคปัจจัยด้วยปัญญา

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้ไปตามผัสสะตามสิ่งแวดล้อม เราจะได้เอาทั้งความสงบเอาทั้งปัญญา มันจะเป็นของใหม่ของสด เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม

 

เราต้องรู้คุณรู้อุปการะคุณ สิ่งที่เป็นคุณคือพระธรรมพระวินัย เราไปทิ้งพระธรรมพระวินัย ไปทิ้งข้อวัตรกิจวัตร เค้าเรียกว่าเป็นผู้ไม่รู้จักคุณไม่รู้จักประโยชน์ เป็นผู้ไม่รู้จักสิ่งที่มีพระคุณ

 

คำว่า “คุณ” ที่เค้าเรียกว่าคุณโน้นคุณนี้ ก็หมายถึงสิ่งที่เป็นคุณไม่เป็นโทษ พระธรรมพระวินัยคือสิ่งที่เป็นคุณไม่มีโทษ มันจะมีโทษได้อย่างไร เพราะมันมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญามันก็เป็นคุณน่ะ

 

คำว่า “ท่าน” หมายถึงมีความสงบมีปัญญาไม่ตามผัสสะ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม มีความสงบมีปัญญา มีศีลมีสมาธิมีปัญญา ยกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ ไม่มีอคติทั้ง ๔ เค้าเรียกว่าท่านน่ะ ที่พวก ส.ส. ส.ว. หรือผู้บริหารระดับสูงเค้าเรียกว่าท่าน ให้เข้าใจความหมายนะ ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเป็นท่านได้ที่ไหนล่ะ มันเป็นท่านไม่ได้ เพราะมันมีนิวรณ์ทั้ง ๕ มีอคติทั้ง๔ มันโยกไปโยกมาเหมือนแผ่นดินไหว

 

แผ่นดินไหวที่เมืองไทยประเทศไทยน่ะ อยู่ห่างไกลจากมัณฑะเลย์ตั้งพันกว่ากิโล ตึก สตง.ของเมืองไทยมีตึกเดียวเท่านั้นแหละที่พังทลาย ตึกทั้งหลายทั้งปวงนับเป็นร้อย ๆ ก็ไม่พังทลายเหมือนตึก สตง. นี้เป็นหลักฐานพยานแห่งไม่เอาธรรมะนำชีวิต เอาทุจริตนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิต ชีวิตมันเลยมันพังทลายเหมือนตึก สตง.นะ

 

ชาวโลกทั้งหลายพากันเข้าใจนะ ให้พากันเจริญสติปัฏฐานทั้งสี่น่ะ ให้มีความสงบมีปัญญาไปพร้อม ๆ กัน เราจะไม่ได้ไปตามผัสสะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อมทุกอย่างมันจะมีคุณ มันจะเข้าถึงคำว่าท่าน

 

ให้เข้าใจที่เค้าเรียกกันว่าท่านท่านน่ะ เป็นผู้เอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิตมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา มีแต่ปัญญามีแต่ความสงบ 

 

ให้พากันประพฤติพากันปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นตัวเป็นตน ตัวตนนั้นแหละมันลูบคลำในศีลในข้อวัตรปฏิบัติ ตัวตนมันด่างพร้อยมันขาดให้รู้เข้าใจ

 

ให้ปรับตัวเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา เพราะนี้เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกัน ความสงบมันก็ต้องเกิดจากเหตุปัจจัย ปัญญาก็เกิดขึ้นจากเหตุจากปัจจัย เพราะสิ่งทั้งหลายนั้นมันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม

 

เราอย่าไปเข้าขบวนการแห่งความหลงนะ เราต้องเข้าขบวนการแห่งพุทธะ ต้องจับหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมไว้ให้ดี

 

วันหนึ่งคืนหนึ่งน่ะ เราต้องทำอย่างนี้ วันหนึ่งคืนหนึ่ง อันหนึ่งก็สงบอันหนึ่งก็ปัญญา อันหนึ่งก็ปัญญาอันหนึ่งก็ความสงบ มันต้องไปอย่างนี้

 

การนอนการพักผ่อนก็คือความสงบ ถ้าเราสงบเราเสียสละตัวตนนั้นคือการพักผ่อน

 

เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่เสียสละ ไม่ละไม่วาง มันก็ไปของมันเรื่อยเราก็ไม่ได้หยุดเราก็ไม่ได้พักผ่อน เมื่อเราพักผ่อน มันสงบแล้วเราก็ต้องทำงาน ความสงบกับการทำงานมันต้องไปอย่างนี้ เราอย่าปล่อยให้ตัวเองฟุ้งซ่าน ต้องเจริญสติปัฏฐาน เอาข้อวัตรกิจวัตรมีปิติมีความสุขในการทำการทำงาน เพราะเราจะได้ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตา เราทำไปอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้แหละ

 

ให้เข้าใจเหมือนท่านพระอาจารย์ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง ท่านไปฟังพระธรรมเทศนาของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อยู่กับหลวงปู่มั่น ๓ วัน ๒ คืน ประวัติท่านน่ะ ไปฟังหลวงปู่มั่นเรื่องพระศาสนา เรื่องพระธรรมพระวินัยเรื่องเหตุ เรื่องปัจจัย รู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัยเรื่องความสงบเรื่องปัญญา

 

ท่านพระอาจารย์ชาก็รู้เข้าใจก็เอามาใช้เอามาปฏิบัติอยู่ที่บ้านเกิดเมืองนอน อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ท่านได้สร้างวัดป่าที่เป็นป่าห่างไกลจากหมู่บ้าน ๒ กิโลเมตร วัดหนองป่าพงน่ะ

 

เรารู้เข้าใจเราเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ท่านพระอาจารย์ชาสอนพระสอนเณร สอนประชาชนที่ไปที่วัดว่า ผมน่ะรู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัยข้อวัตรข้อปฏิบัติ ปฏิบัติตัวเอง สอนตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมเพียงสอนพวกท่านเพียงห้าเปอร์เซ็นต์เท่านั้นน่ะมันถึงพอไปได้

 

การประพฤติการปฏิบัติต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องมาเน้นที่ตัวเราอย่าไปฟุ้งซ่านมาก อย่าไปคิดว่าจะไปโปรดคนโน้นคนนี้ สอนคนโน้นสอนคนนี้ ให้รู้เข้าใจ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะเราได้ทรัพยากรที่ประเสริฐแล้ว ได้รับการแต่งตั้งเป็นนักบวชถูกต้องตามกฎหมาย เราได้อยู่ตำแหน่งที่ทรงเกียรติแล้วเราเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติของเรา อยู่วัดบ้านก็ปฏิบัติอย่างนี้ อยู่วัดป่าก็ปฏิบัติ อย่างนี้ เป็นฆราวาสอยู่ในครอบครัวก็ปฏิบัติอย่างนี้ ทุกชาติทุกศาสนาก็ทำอย่างนี้ ไม่ใช่มีพระนิพพานอยู่ในศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ถ้ารู้เข้าใจจะมีพระนิพพานอยู่ทุกหนทุกแห่ง

 

เราอย่าไปโง่หลงงมงายว่าพระนิพพานมีแต่ศาสนาของตัวเอง ถ้ามีตัวมีตนไม่มีศาสนาหรอก เพราะตัวตนไม่ใช่ศาสนา ตัวตนคือตัวตนไม่ใช่ศาสนา พระศาสนาคือความสงบ พระศาสนาคือปัญญามีทั้งปัญญามีทั้งความสงบ ถ้าเรารู้เข้าใจมันจะมีความสงบไม่วุ่นวาย ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจก็เหมือนธรรมกถึกกับวินัยธรไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความดีเอาความถูกต้องไปทะเลาะกัน

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไปตรัสบอกว่าอันนี้ไม่ได้นะ อย่าทะเลาะกัน ถ้าทะเลาะกันมันคือความไม่สงบมันคือความปรุงแต่ง การระงับสังขารทั้งหลายต้องหยุดวุ่นวาย ยกเลิกทั้งภายนอกภายใน ทั้งตัวเราตัวเขา มันถึงจะเป็นคนมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบน่ะ

 

เราพยายามเจริญสติสัมปชัญญะเพื่อบริสุทธิคุณน่ะ อย่าพากันฟุ้งซ่าน เล่นแต่โทรศัพท์ไลน์แต่โทรศัพท์ ให้รู้เข้าใจ ต้องพากันมาเจริญสติสัมปชัญญะ มามีความสุขกับหน้าที่ข้อวัตรกิจวัตรอย่างนี้ เพื่อการประพฤติการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง

 

เราดูตัวอย่างแบบอย่าง อย่างสมเด็จญาณสังวร วัดบวรนิเวศวิหาร เวลาหน้าฝนเมื่อสมัยท่านยังเป็นพระหนุ่ม ท่านก็จำพรรษาในกรุงเทพมหานคร วัดบวรนิเวศวิหาร ออกพรรษาท่านก็ไปหาครูบาอาจารย์ สายป่าสายกรรมฐานสายหลวงปู่มั่นเพื่อไปศึกษาภาคประพฤติภาคปฏิบัติ

 

อย่างสมเด็จพระสังฆราชรูปปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน ในพรรษาท่านก็อยู่ในกรุงเทพฯในเมืองกรุงเมืองหลวง หน้าแล้งท่านก็ออกไปหาพระวัดป่าพระกรรมฐาน

 

เพื่อให้รู้เข้าใจ เพราะการประพฤติการปฏิบัติมันไม่ได้อยู่ที่วัดป่าวัดบ้าน พระพุทธเจ้าไม่ได้ว่าวัดป่าวัดบ้านที่ไหน รู้เข้าใจก็มีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ ให้รู้เข้าใจเราจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่

 

เราไปคิดเหมือนแต่ก่อนไม่ได้ไปหาความสงบจากป่าจากเขาน่ะ ป่าเขานั้นมันก็หมดไปแล้ว เค้าก็ถางไร่ถางป่ากันหมดน่ะ

 

เราต้องรู้เข้าใจ เพราะความเป็นพระนั้นมันไม่ได้อยู่ที่ป่าที่บ้าน ความเป็นพระอยู่ที่รู้เข้าใจ มีสติคือความสงบ มีสัมปชัญญะปัญญา

 

เรายกเลิกตัวตนมันก็สงบมันก็เคารพมันก็สุจริตไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นผู้หญิงผู้ชาย เป็นคนแก่คนเฒ่าคนชรา เป็นคนดีกว่าเค้า เก่งกว่าเค้า มีเพาเวอร์มมากกว่าเค้า ไม่มีเขาไม่มีเรา มันเป็นความสงบเป็นความเพียงพอ เป็นความพอดี ให้รู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายต้องเปลี่ยนทัศนคติใหม่ อย่าไปเอาความว่างจากสิ่งไม่มีอยู่น่ะ

 

เรามีตาก็ต้องมีรูป เรามองไปไหนก็เห็นอันนั้นแหละเพราะเรามีตา เรามีหูก็ได้ยินเสียง เราต้องรู้เข้าใจเราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ เราจะได้รู้จักปล่อยรู้จักวาง ช่างหัวเผือกช่างหัวมัน เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ท่านตรัสว่าช่างหัวเผือกช่างหัวมัน

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องมีความสงบมีปัญญา เราทั้งหลายจะได้เสียสละทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน จะไม่ได้แบกความโลภความโกรธความหลงพาไป เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นวัฏฏสงสาร มันหาเรื่องหาราวให้กับตัวเองหาเรื่องหาราวให้กับคนอื่นเป็นวัฏฏสงสาร

 

พวกเราน่ะพากันเจริญสติสัมปชัญญะให้เต็มที่กัน ให้อยู่กับปัจจุบัน ให้มีความสุข ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม มีทั้งความสงบมีทั้งปัญญาอยู่ในปัจจุบัน ให้การประพฤติการปฏิบัติมันติดต่อต่อเนื่อง ถ้าเราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้แหละทุกคนมันก็เป็นพระได้หมดทุกคน ไม่มีใครเป็นพระไม่ได้ ให้รู้เข้าใจอย่างนี้ นอกจากคนบ้า คนบ้าสมอง มันเสีย มันเป็นพระไม่ได้ นอกจากคนที่เอาความหลงนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิต พวกนี้เป็นพระไม่ได้ ให้เข้าใจอย่างนี้

 

ถ้าเรารู้เข้าใจเอาพระธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ นี้เป็นพระได้ทุกคน

 

ให้รู้เข้าใจในเรื่องความเป็นพระหรือว่าพระศาสนา

 

เราทั้งหลายน่ะเดินไปพร้อมกันด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมพระวินัยด้วยข้อวัตรข้อปฏิบัติ สิ่งที่จะเดินคือพระธรรมคือพระวินัยที่เข้าสู่  มอก. เข้าสู่มาตรฐาน สีก็มาตรฐาน เสียงก็มาตรฐาน กลิ่นก็มาตรฐาน ทุกอย่างก็ได้มาตรฐานทุกอย่างก็ได้ มอก. ความสงบก็ได้มาตรฐาน ปัญญาก็ได้มาตรฐาน ฐานคือกรรมคือการกระทำทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นบริสุทธิคุณ

 

ให้เอาความถูกต้องนำชีวิต เพราะความถูกต้องคือความถูกต้อง ความถูกต้องมันไม่มีตัวไม่มีตนนะ

 

การมีตัวมีตนนั้นถูกต้องมั๊ย ไม่ถูกต้อง เพราะตัวตนคือความไม่ถูกต้อง ถึงไม่เอาความรู้สึกเป็นเรา ไม่เอาตาหูจมูกลิ้นกายใจเป็นเรา มีแต่พระธรรมมีแต่พระวินัย ก้าวไปด้วยพระธรรมพระวินัยที่เป็นบริสุทธิคุณที่เป็นพระนิพพาน ศีลสมาธิปัญญาถึงเป็นพระนิพพาน เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตาย ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

ให้เข้าใจว่าอันนี้คิดไม่ได้ อันนี้ตรึกไม่ได้ อันนี้ทำไม่ได้ อันนี้ทำได้ แล้วก็มีปิติมีความสุขในการหยุดในสิ่งที่ต้องหยุด มีปิติทำในสิ่งที่ทำน่ะ เราต้องรู้เข้าใจ เพื่อเป็นความสงบเป็นปัญญาเป็นพระนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตาย

 

อย่าไปเข้าใจเหมือนแต่ก่อน ว่าพระนิพพานอยู่เบื้องหน้าโน้นเทอญ อยู่โน้นอยู่ไกลเหลือเกิน อยู่ชาติหน้าหรือว่าชาติไหน อยู่ไกล อันนั้นไม่ใช่ เราทั้งหลายต้องได้พระนิพพานที่ยังเป็น ๆ อยู่นี้แหละ

 

เราคิดดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นพระพุทธเจ้า ท่านทรงเสียสละ ๔๕ ปี ๔๕ พรรษา ใครได้เป็นพระอรหันต์ก็ได้เป็นที่ปัจุจบัน ผู้ที่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็บำเพ็ญในปัจจุบันนี้แหละ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี เพราะชีวิตของเราเป็นฐานของกรรม ก้าวไปด้วยซ้ายขวาด้วยปลีแข้งในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราก้าวไปด้วยความสงบด้วยปัญญาอย่างนี้ มันเป็นฐานชีวิตที่ประกอบด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญานะ

 

เราอยู่ที่บ้านไหนเมืองไหนเราก็ปฏิบัติอย่างนี้ เราอยู่ที่วัดไหนก็พากันปฏิบัติอย่างนี้ ตนแลเป็นที่พึ่งของตนในการประพฤติการปฏิบัติ เอาความเรื่องความบริสุทธิใจเป็นหลักเลย

 

ถ้าสงสัยอะไรก็อย่าไปคิดอย่าไปพูดอย่าไปทำ ถ้าเราสงสัยเรายังไปพูดไปทำ ถึงสิ่งนั้นจะถูกต้องก็ยังไม่พ้นอาบัติ อย่าไปทำตามโลกธรรม อย่าไปทำตามครูบาอาจารย์ตามใครต่อใครที่ไม่ถูกต้อง เพราะความผิดความถูกก็ให้เป็นเรื่องของคนอื่นไป เราไม่ต้องไปเอาผิดเอาถูกกับใคร

 

เราทั้งหลายต้องมีความสงบมีปัญญา เพราะเราเกิดมาเพื่อมามีความสงบมีปัญญา ไม่ใช่มาเป็นผู้ไม่รู้ไม่เข้าใจ แล้วก็ไปทำตามสิ่งแวดล้อมทำตามผัสสะอย่างนี้ไม่ได้ ไม่ถูกต้อง

 

เราเน้นมาที่ใจของเรานี้แหละ ต้องให้มีพระพุทธเจ้าอยู่กับเรามีพระอรหันต์อยู่กับเรา มีพระธรรมพระวินัยอยู่กับเรา ด้วยความรู้ความเข้าใจ ใจของเราจะได้ สง่างามด้วยศีลด้วยสมาธิ  ด้วยความสงบด้วยปัญญาอย่างนี้

 

ให้มันสง่างามเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งที่กล่าวมาเบื้องต้นน่ะ ต้นไม้ต้นนั้นได้อาหารมาจากทุกทิศทุกทางถึงเป็นต้นไม้ที่สง่างาม มีดอกมีผลด้วยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ชีวิตของเราก็จะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมอย่างนี้

 

เรารู้เข้าใจ ไม่มีอะไรใหญ่ไม่มีอะไรเล็ก ไม่มีอะไรช้าไม่มีอะไรเร็ว รู้เข้าใจ ความหลงต่างหากความปรุงแต่งต่างหาก มันเป็นความช้าความเร็ว เป็นสิ่งที่ใหญ่ที่เล็ก ทุกอย่างเล็กใหญ่มันเป็นธรรมเป็นสภาวธรรมมันเป็นประภัสสร

 

เราต้องเอาเล็กวางไว้ เอาใหญ่วางไว้ ให้ใจของเราสงบใจของเรามีปัญญา ใจของเรามีปัญญา วางไว้ ไม่มีใครใหญ่ใครเล็ก มีแต่ความสงบมีปัญญา ใจของเราต้องเด่นต้องสง่าอย่างนี้ มันต้องบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจต้องเป็นบริสุทธิคุณ

 

เราไม่ต้องไปปรุงแต่งอะไร เพราะความปรุงแต่งมันจะมีช้ามีเร็ว มีดีมีชั่ว สัมมาสัมมาธิที่ประกอบด้วยปัญญาถึงเป็นสัมมาสมาธิ เรารู้เราเข้าใจ

 

ให้พากันทำอย่างนี้ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง ถ้าไม่ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกันไม่ได้

 

ทำไมเค้าถึงให้มีศีลมีสมาธิมีปัญญาเพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อให้มันติดต่อต่อเนื่องเพื่อเป็นความดี เป็นปัญญา เป็นปฏิปทา ให้รู้ให้เข้าใจ   

              

เราจะไม่ได้ก้าวไปแล้วถอยกลับ เราต้องเดินไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา      

        

ให้พวกเราทั้งหลายพากันมาเจริญสติปัฏฐาน ๔ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อจะได้ละสิ่งภายนอก เพื่อเราจะได้มีความสงบมีปัญญา

 

ถ้าเราไม่เจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ กรรมหรือว่ากฎของกรรมมันก็จะไปของมันเรื่อย ๆ เพราะมันไม่ได้สงบด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา ด้วยความสงบด้วยปัญญา      

 

ผู้ปฏิบัติถึงต้องมีสติปัฏฐานทั้ง ๔ ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

อานาปานสติเป็นหลักการ ต้องเอามาใช้งานทุก ๆ อิริยาบถนะ ไม่ใช่เฉพาะเวลานั่งสมาธิ ยืนเดินนั่งนอนต้องเอามาใช้งาน ตามหลักการแล้วถ้าใจฟุ้งซ่านมาก ก็ให้หยุดลมหายใจกลั้นลมหายใจ ใจมันจะขาดค่อยหายใจ ทำอย่างนี้หลาย ๆ ครั้งออกซิเจนในสมองก็จะกลับคืนมา ให้รู้หลักการ

 

การเจริญอานาปานสติหายใจเข้ายาว ๆ ลึก ๆ แล้วก็กลั้นลมหายใจไว้นาน ๆ หน่อย เพื่อให้ลมเข้าไปในปอด อย่างนี้แหละ เพื่อปอดจะส่งลมไปเลี้ยงสรีระร่างกายเลี้ยงทุกชิ้นส่วน มันเป็นหลักการ

 

ถ้าเราทำการทำงานทำข้อวัตรกิจวัตรก็เน้นความสุขในการทำหน้าที่ ให้มีปิติมีความสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบันนี้ ใจของเราก็จะตัดสิ่งภายนอก ใจของเราก็จะไม่ฟุ้งซ่าน

 

การประพฤติการปฏิบัติก็เหมือนแพทย์ผ่าตัดสมอง ร่างกายของเรามีเส้นประสาทเยอะอะไรอย่างนี้ สมองเป็นศูนย์รวม แพทย์ผ่าตัดก็ต้องมีความรู้มีปัญญา ด้วยการเรียนการศึกษาแล้วก็ต้องมีความสงบการผ่าตัดนั้นถึงจะปลอดภัย ให้รู้เข้าใจ

 

หรือว่าการประพฤติการปฏิบัติเหมือนกับคัดตัวหนังสือ เขียนหนังสือให้สวยงาม บรรจงเหมือนตัวพิมพ์ ทำอักขระอะไรไม่ผิด อย่างนี้ การฝึกสติเราต้องฝึกอย่างนี้ ใจไม่สงบก็ไม่เป็นไรให้กายมันสงบก่อน ใจไม่สงบไม่เป็นไรให้วาจากิริยามารยาทมันสงบ มันทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เพราะอันนี้มันเป็นฐานของการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราต้องรู้เข้าใจ ว่าธรรมะที่จะดับทุกข์ได้ไม่ใช่ธรรมะของผู้ที่ฟุ้งซ่าน มันเป็นธรรมะที่รู้เข้าใจ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร

 

ถ้าเราไม่ปฏิบัติอย่างนี้มันก็ไม่ได้ เพราะอันนี้มันเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่จะให้เรามีความสงบมีปัญญา ให้รู้เข้าใจ

 

เราทั้งหลายต้องเอาหลักการอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้แหละ ทำข้อวัตรกิจวัตรให้ดี ๆ เพราะวัดนั้นหมายถึงการเจริญสติปัฏฐาน เอาพระธรรมพระวินัยข้อวัตรปฏิบัติ

           

อย่างที่วัดเราที่ว่ามันสะอาด ๆ นี้ เราคิดดูดี ๆ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านก็ถือว่ามันสะอาดระดับคนบ้าอยู่ ไม่ใช่ระดับคนมีปัญญาหรือปัญญาชน มันระดับคนบ้าอยู่

 

ทำไมถึงว่าอย่างนั้น พวกที่ฟุ้งซ่านมาก พวกที่ไม่สงบ ครูบาอาจารย์ท่านก็ให้ทำงาน ทำงานล้างห้องน้ำห้องสุขาดูแลต้นไม้ ให้น้ำให้ปุ๋ยให้อากาศให้แสงแดดต้นไม้

 

แต่คนบ้าก็อย่างว่าก็ทำได้ระดับคนบ้า แต่มันก็ดี เค้าได้ทำได้เสียสละ ทำให้สมองเค้าดีขึ้น เพราะเสียสละมีความสุขในการทำงานทำให้สมองดีขึ้นต้องรู้เข้าใจ ถ้าระดับปัญญาชนมันจะเน้นมาที่ใจด้วย กายวาจากิริยามารยาท ทุกอย่างจะเน้นทั้งภายนอกภายในนี้จะสะอาดมากกว่ามันจะไม่สกปรก

 

ธรรมะของพระพุทธเจ้าถึงเป็นสิ่งที่สะอาดบริสุทธิทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพทั้งใจมันจะแสดงออกภายนอก ที่อยู่ที่อาศัยก็สะอาด ถ้วยโถโอจานมีแต่สะอาดเพราะใจมันสะอาด เพราะพวกนี้ไม่มีความเห็นแก่ตัว มันสะอาด มันขาว มันว้าว ว้าว ว้าว อย่างนี้มันสะอาด มันสะอาดสว่างสงบอย่างนี้แหละมันเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นความดีที่ไม่หลง เป็นความดีที่ไม่มีตัวมีตน นี้แหละถึงจะเป็นสุปฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควรอย่างยิ่ง

 

เราทำอย่างนี้แหละ เราทั้งหลายก็จะเข้าถึงความสงบ เข้าถึงปัญญา เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตาย เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ อย่าไปเข้าใจเหมือนแต่ก่อนนะ เหมือนพระคุณเจ้าทั้งหลายสอนว่า เอ้ย...ทำอย่างนี้ได้บุญเยอะ จะได้พระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญนะ อะไรอย่างนี้ รักษาศีลปฏิบัติธรรมจะได้บุญได้กุศลในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ ต้องรู้เข้าใจ ไม่เทินไม่แบกแล้ว

 

ทำงานเพื่อมีความสุขไม่เอาอะไร รักษาศีลปฏิบัติธรรมเพื่อไม่เอาอะไร มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ เราเอาธาตุทั้ง ๔ เอาขันธ์ทั้ง ๕ มาใช้นี้มันเสียหายนะ มันพังทลายเหมือนตึก สตง. มันพังทลายเป็นสักขีพยาน

 

 

พูดอย่างนี้ให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจนะ นี้มันเป็นธรรมเป็นธรรมนูญเป็นปัญญาบริสุทธิคุณให้รู้เข้าใจ นี้เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา นี้คือธรรมนูญรัฐธรรมนูญ นี้เป็นความมั่นคงของชาติคือความเกิด ด้วยเหตุที่ถูกต้อง ไม่มีความผิด ถูกต้องน่ะ

 

ความถูกต้องหมายถึงบริสุทธิคุณ ไม่ใช่ตัวตน นั่นแหละคือความถูกต้องเป็นความมั่นคงของพระศาสนา ศาสนาคือธรรมนูญรัฐธรรมนูญ

 

เป็นความมั่นคงของพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์นั้นได้แก่ปัญญาบริสุทธิคุณ ไม่ใช่ปัญญาเพื่อตัวตน ปัญญาบริสุทธิคุณนี้เป็นความหมายของพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ทุก ๆ พระองค์ที่ขึ้นครองราชย์ถึงทรงทศพิธรราชธรรม  เอาทศพิธราชธรรมนำชีวิต                        

 

คำว่าพระหมายถึงไม่มีตัวไม่มีตน ให้เข้าใจ ถ้ามีตัวมีตนก็ไม่ใช่พระ ไม่ใช่ธรรมนูญ ไม่ใช่รัฐธรรมนูญ

นี้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เป็นพระศาสนา เป็นพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นธรรมเป็นธรรมนูญ เพื่อให้เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม

ให้เรารู้ให้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้พากันประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง ทำให้ถูกต้อง จะได้ไม่พากันทำความผิด เพื่อเข้าสู่ขบวนการแห่งความถูกต้องของรัฐธรรมนูญในการดำเนินชีวิต  การดำเนินชีวิตต้องไม่เอาความผิดดำเนินชีวิต  

 

----------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันจันทร์ที่ ๓๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

 

 

 

 

Visitors: 98,212