๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวัน ๙ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

เดือนนี้เป็นเดือนกรกฎาคมเข้าหน้าฝนประชาชนมาเตรียมบวช ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ ประชาชนที่เป็นชาวบ้านพากันมาเตรียมบวชเพื่อที่จะบวช

 

การบวชคือออกจากบ้าน ออกจากสถานที่อยู่ ไปอยู่วัด มาอยู่วัด ทางวัดเรียกว่ามาอยู่วัด วัดคือสถานที่ของนักบวช นักบวชได้รับสิทธิพิเศษ ไม่ต้องทำงานอะไรได้รับการสนับสนุนจากทุก ๆ คน ได้รับความสนับสนุนเป็นลายลักษณ์อักษร ถูกต้องตามกฎหมายประเพณีที่ดี ผู้ที่ไปบวชมาถึงแล้วคือพากันมาบวช

 

บวชนี้เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่มีคุณมีอุปการคุณ พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ข้อวัตรกิจวัตร มีทั้งหมดแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ผู้ที่บวชต้องมาบวชทั้งกายบวชทั้งใจ กิริยามารยาทอาชีพ

 

อาชีพของนักบวช อาชีพของนักบวชคือเป็นผู้ออกบิณฑบาตทุกวัน ภิกขาจารบิณฑบาตทุกวันตอนเช้าน่ะหกโมงกว่า ๆ

 

สำหรับวัดป่าทรัพย์ทวีฯแห่งนี้น่ะหกโมงกว่า ๆ ถ้าวัดป่าวัดกรรมฐานที่อยู่ไกลหมู่บ้านหลายกิโลเค้าก็จะออกแต่เช้ามากกว่านี้ สำหรับวัดที่อยู่ใกล้บ้านหรืออยู่กลางหมู่บ้าน สว่างแล้วก็พากันออกบิณฑบาตภิกขาจาร

 

เรามาบวช เรามาทำความรู้ความเข้าใจในเรื่องพระธรรมพระวินัยเรื่องพระศาสนา และก่อนจะบวชนี้ต้องพากันมาฝึกพากันมาปฏิบัติก่อน มาวอร์มตัวมาวอร์มการประพฤติการปฏิบัติก่อน เพราะเราอยู่ที่บ้านอยู่ที่ทำงานพากันทานอาหารวันหนึ่งหลายครั้งน่ะ เรามาบวชเป็นพระไม่ได้ทานอาหารแล้วมาฉันภัตตาหารแล้ว ปกติพระในพระพุทธศาสนามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน

 

พระพุทธเจ้าน่ะเสวยภัตตาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว พระพุทธเจ้าไม่ได้ฉันเพล พระพุทธเจ้าน่ะฉันอาหารเพียงครั้งเดียว พวกที่ฉันเพลที่เป็นนักบวชของพระพุทธศาสนาได้แก่พระภิกษุสามเณรอาพาธน่ะ ถ้าใครไม่ป่วยไม่อาพาธ จะฉันอาหารเพลไม่ได้ แต่เราเห็นกันทุกวันนี้ ที่เห็นพระฉันเพลนี้ยังไม่ถูกต้อง ถ้าตามพระธรรมพระวินัยการฉันอาหารเพลนี้สำหรับภิกษุสามเณรอาพาธ

 

พระภิกษุสามเณรอุปัฏฐากย์พระผู้อาพาธ พระผู้อาพาธฉันอาหารไม่ได้ เพราะป่วยอาพาธ พระที่เฝ้าเลยพากันฉัน เมื่อฉันแล้วติดอกติดใจ เลยพากันป่วยทั้งประเทศทั้งโลกเลย

 

ให้ผู้ที่จะมาบวชใหม่หรือผู้ที่ยังไม่เข้าใจให้เข้าใจนะ เดี๋ยวนี้มีประเพณีฉันอาหารเพลเป็นทางการ นี้เป็นความผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้พระภิกษุสามเณรที่มาบวชนี้ไม่ต้องมีภาระมากในเรื่องฉัน ให้ฉันวันเดียวก็เพียงพอ ฉันวันเดียวเวลาเดียว ฉันให้อิ่ม ๆ นะ ฉันให้เพียงพอ

 

ตอนเย็นน่ะ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ให้ฉันน้ำปานะ น้ำปานะนี้สำหรับพระภิกษุสามเณรป่วย พระภิกษุสามเณรป่วยฉันอาหารไม่ได้ หลังเที่ยงไปก็ให้ฉันน้ำปานะคือน้ำผลไม้ ที่โยมเค้าทำมาถวาย สำหรับถวาย ถ้าพระทำเอง พระทำได้ตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง พระทำเองเก็บไว้ให้พระภิกษุป่วยภิกษุอาพาธได้วันหนึ่งกับคืนหนึ่งเพราะเอาไว้มากกว่านั้นมันจะเสีย สมัยโบราณไม่มีตู้เย็น ไม่มีน้ำแข็งเหมือนทุกวันนี้ ให้ผู้ที่มาเตรียมบวชหรือว่าพระใหม่พระเก่าเข้าใจตามนี้นะ

 

เรามาบวชเราต้องมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ เหมือนรถเหมือนเครื่องบินเหมือนเรือ เค้าต้องมีเบรก มีเกียรต์ตั้งหลายเกียร์

 

พระธรรมพระวินัยให้รู้เข้าใจเป็นสิ่งที่มีคุณมีอุปการคุณ พระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่มีคุณมีอุปการคุณ เป็นอุปกรณ์เป็นกรรมกรที่เราต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติ

 

เราจะไปทิ้งอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติไม่ได้ ถ้าเราทิ้งมันก็จะว่างจากการประพฤติการปฏิบัติ มีความรู้ไม่มีการปฏิบัติมันก็เจ๊ากัน มันก็ไม่มีอะไร

 

ปัญญากับการปฏิบัติต้องเอามาใช้พร้อมกัน เป็นคนดีก็ต้องมีปัญญาเป็นคนมีปัญญาก็ต้องเป็นคนดี

 

พระธรรมพระวินัยเป็นทั้งคำสั่งให้หยุด เป็นคำสั่งสั่งให้ทำน่ะ

 

ถ้าเรารู้เข้าใจเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เจริญสติสัมปชัญญะให้มากขึ้น ให้มีปิติมีสุขเอกัคคตาในการเจริญสติสัมปชัญญะให้มากขึ้น เพื่อใจของเราจะได้อยู่กับความสงบอยู่กับปัญญา อยู่กับข้อวัตรข้อปฏิบัติอยู่กับกิจวัตรน่ะ

 

เราต้องเอาพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตรเป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติของเรา สถานที่เป็นสิ่งที่ดี พระธรรมพระวินัยถึงเป็นสิ่งที่ดี ถ้าเราอยู่ที่บ้าน อยู่กับเค้าทานอาหาร อยู่กับเค้าดูหนังฟังเพลง เล่นโทรศัพท์ เล่นอินเทอร์เนท เล่นไลน์ มันก็ยากที่จะประพฤติปฏิบัติได้ สิ่งแวดล้อมนี้น่ะถึงเป็นสิ่งที่สำคัญความวิเวกภายนอกน่ะ ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

 

เราอินทรีย์บารมียังอ่อนน่ะ ต้องอาศัยสถานที่สงบ อาศัยสถานที่วิเวก อาศัยสิ่งแวดล้อม อาศัยตัวอย่างแบบอย่าง ผู้เก่าผู้ปฏิบัติเก่า อาศัยครูบาอาจารย์ ผู้ที่เอาธรรมนำชีวิต อาศัยพระธรรมพระวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติแล้วทุกอย่างนั้นจะไม่มีปัญหา มันจะลงตัว เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ

 

เราต้องรู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตร เรามาอยู่วัดอยู่สถานที่ด้วยอาศัยบารมี อาศัยแบรนด์เนมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามาทำเหมือนพระพุทธเจ้า ปลงผมเหมือนพระพุทธเจ้า นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ สีเหลืองหม่นเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ าเพื่อบวชทั้งกายทั้งใจทั้งกิริยามารยาท เพื่อจะได้ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกัน เพื่อไม่ให้ขาดไม่ด่างไม่ให้พร้อยมีความติดต่อต่อเนื่อง เป็นความดีเป็นบารมี เป็นปฏิปทาที่ติดต่อต่อเนื่องกัน

 

เราหยุดเรื่องอดีตทางจิตใจของเรา หยุดเรื่องสัญญาขันธ์หยุดเรื่องอดีต เรามาหยุดเรื่องอนาคต อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับความสงบ มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม อยู่กับปัญญามีสติรู้ตัวทั่วพร้อม มาเจริญสติปัฏฐาน หรือว่ามีสติเป็นพื้นฐานมีปัญญาเป็นพื้นฐานเพื่ออบรมบ่มอินทรีย์

 

เราทั้งหลายน่ะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้เราตรึกในกามในความอร่อยของกาม หยุดตรึกในพยาบาท เราจะหยุดทั้งสองอย่างนี้ด้วยความรู้ ด้วยความเข้าใจ ด้วยการอบรมบ่มอินทรีย์ เราทั้งหลายจะได้บวชทั้งกายทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน

 

ผู้ที่มาบวชไปบวชน่ะ เบื้องต้นถึงรู้หลักการอย่างนี้แหละ เป็นคนละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปเห็นภัยในวัฏฏสงสาร

 

คำว่าพระนี้มีความหมาย ๒ อย่าง พระอย่างหนึ่งมีความหมายว่าผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร อีกอย่างหนึ่งพระนี้มีความหมายว่าพระนี้มีความเป็นอยู่ด้วยภิกขาจารอาหารจากประชาชน ไม่เก็บอะไรไว้เพื่อบริโภควันต่อไป มีอะไรก็ฉันวันหนึ่งเพียงหนเดียว ไม่เก็บอะไรไว้

 

ถ้าเป็นพระภิกษุไข้ภิกษุอาพาธก็เก็บน้ำอ้อยน้ำตาลน้ำมันน้ำผึ้งได้ไม่เกิน ๗ วัน ๗ ราตรี ไม่สะสมอะไร พระนี้ไม่สะสมอะไรนะ พระนี้ก็คือพระธรรมคือพระวินัยมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญาไม่สะสมอะไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านวางหลักการไว้อย่างนี้

 

พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่จะทำให้ตัวเองน่ะมีความสงบมีปัญญาทำให้ทุกคนโอเค ทุกคนเห็นด้วย ทุกคนอยากจะอำนวยความสะดวกความสบายในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เรามาบวชมาปฏิบัติเราต้องเข้าใจอย่างนี้ พระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ พระอรหันต์เป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าน่ะคือธรรมะคือพระธรรมคือพระวินัย พระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวตน พระพุทธเจ้ามีแต่สงบมีแต่ปัญญา ก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา

 

ความรู้ความเข้าใจของผู้ที่มาบวชมาประพฤติมาปฏิบัติธรรมนี้ จะไม่มีใครตรึกในกามตรึกในพยาบาท ทุกคนเน้นที่ใจเน้นที่เจตนา เน้นที่บริสุทธิ ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง เป็นบริสุทธิคุณ ไม่สร้างภาพไม่มีต่อหน้าและลับหลังเป็นผู้เคารพผู้สงบ ผู้คารวะในธรรมในปัจจุบันธรรมผู้ที่มาบวชต้องเข้าใจอย่างนี้     

                       

ให้เอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาพระธรรมเอาพระวินัยเป็นหลัก อย่าเอาสามัญชน เอาตัวเอาตน อย่าเอาโลกธรรมนำชีวิต ต้องเอาบริสุทธิคุณนำชีวิต เราทั้งหลายจะได้เคารพกราบไหว้ตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ คนอื่นเค้าจะได้เคารพ  กราบไหว้เราร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าเราเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เป็นผู้มีความสงบเป็นผู้ที่มีปัญญา เราถึงจะสมควรให้พ่อให้แม่ปู่ย่าตายายข้าราชการนักการเมืองเจ้าพระมหากษัตริย์ประชาชนทั้งหลายยกมือไหว้กราบไหว้ เป็นผู้ควรรับการสนับสนุนจากบุคคลอื่น

 

การประพฤติการปฏิบัตินี้ให้เราเน้นที่ปัจจุบัน เพราะปัจจุบันใจของเราคิดได้ทีละอย่าง คำพูดเราก็พูดได้ทีละอย่าง กิริยามารยาทเราก็ทำได้ทีละอย่าง อาชีพเราก็ทำได้ทีละอย่าง ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ ไม่มีใครทำไม่ได้ ผู้ที่ทำไม่ได้ก็มีตั้งแต่คนบ้า คนบ้านี้ทำไม่ได้ เพราะสมองได้เสียแล้ว หรือผู้ที่เอาตัวตนเป็นที่ตั้งน่ะก็ทำไม่ได้เช่นเดียวกัน ทางราชการนักการเมืองนักบวชทั้งหลายเค้าถึงไม่เอาเรื่องเอาราวกับคนบ้า เอาตัวตนเป็นที่ตั้งนี้ก็ชื่อว่าเรามีเชื้อบ้านะ

 

ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ให้มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อเราทั้งหลายจะได้ผ่านด่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ด่านนี้ก็ได้แก่ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ ทุกคนต้องผ่านด่านนี้ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราต้องผ่าน ด่านนี้ไปได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ นี้เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราอย่าไปคิดว่าเราทำไม่ได้ ความปรุงแต่งนี้มันเป็นตัวเป็นตน ที่มันปรุงแต่ง แต่เราน่ะว่าทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ ความคิดอย่างนี้เรียกว่าเป็นความคิดที่เอาความหลงนำชีวิต ไม่ใช่เอาพระธรรมเอาพระวินัยนำชีวิต ไม่ใช่คุณไม่ใช่ประโยชน์ ความคิดนี้มันเป็นโทษ อย่างนี้เราต้องไม่ให้มันทำงานน่ะ ยกเลิกความคิดอย่างนี้ ยกเลิกธุรกิจอย่างนี้ เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ ต้องเห็นภัยในความคิดอย่างนี้ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร อย่าให้ความคิดอย่างนี้มันทำงาน ยกเลิกมันไปเสีย แคนเซิลมันไปเสีย

 

เราพยายามมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เพื่อมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ สติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์จะทำให้มีพลังมีกำลัง เราต้องหยุดความฟุ้งซ่าน หยุดความปรุงแต่ง มามีสติรู้ตัวทั่วพร้อมให้มากขึ้น ให้มีความสุขในพระธรรมในพระวินัย ถ้าใจมันไม่สงบ ก็ให้หยุดลมหายใจของตัวเอง กลั้นลมหายใจของตัวเอง ใจมันจะขาดเดี๋ยวมันก็กลับมา มันไม่เก่งถึงกับปล่อยให้ตัวเองตายหรอก

 

ให้รู้ให้เข้าใจ เครื่องบินจะลงรันเวย์น่ะ เครื่องบินมันมีพลังเพาเวอร์สูง มีพลังเร็วมากน่ะ เราก็ต้องแตะเบรก แตะเบรกก็คือหยุดตรึกในกาม                              หยุดตรึกในพยาบาท มาอยู่กับกายกับเวทนากับจิตกับธรรม มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมให้สมบูรณ์ ถ้ามันยังไม่สงบก็ต้องหยุดลมหายใจมันเสียเลยอย่างนี้

 

เราอย่าไปปล่อยให้ตัวตนทำงาน อย่าปล่อยให้ความฟุ้งซ่านมันทำงาน เรามาบวชมาประพฤติมาปฏิบัติเป็นโอกาสดีของเราเป็นเวลาของเรา เราต้องตั้งในประพฤติตั้งใจปฏิบัติ ไม่มีใครประพฤติปฏิบัติให้เราได้

 

เราอย่ามาบวชเพื่ออยู่ไปเป็นวัน ๆ ให้เวลามันผ่านไป

 

เราต้องพากันเจริญสติสัมปชัญญะ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำข้อวัตร ข้อปฏิบัติ เราจะไม่ได้เสียเวลา

 

วันหนึ่งคืนหนึ่งเรานอนพักผ่อนให้เพียงพอ เรามาบวชเป็นพระ ตามหลักการแล้วนอนพักผ่อนจำวัดเวลา ๓ ทุ่ม ตื่นตีสาม ปกติเราอยู่บ้านเราไม่ได้ควบคุมตัวเองไม่ได้คอนโทรลตัวเอง จะปล่อยไปตามสัญชาตญาณที่มันเป็นตัวเป็นตน ที่มันเป็นเราเป็นเค้า มันจะปล่อยไปตามสัญชาตญาณ

 

เรามาบวชมาปฏิบัติ ต้องมาหยุดสัญชาตญาณของตัวเองด้วยพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร เราต้องยกเลิกตัวตนที่สมมติว่าตัวตนนี้เพราะการมาบวชคือการยกเลิกชาติชั้นวรรณะเชื้อชาติตระกูล เพื่อทิ้งอดีตหมดน่ะ มาอยู่กับธรรมอยู่กับปัจจุบันธรรมยกเลิกอดีตยกเลิกอนาคต มีแต่พระธรรมมีแต่พระวินัย

 

ใครเค้าไม่รู้ไม่เข้าใจว่าเราเป็นใครมาจากไหนไม่เป็นไร เพราะความสุขความดับทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์ มันอยู่ที่เรามีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ ถ้าเรามีตัวมีตนมันไม่สงบ ให้รู้ให้เข้าใจ เรามีตัวมีตนเป็นคนจนก็ทุกข์เพราะไม่มีเป็นคนรวยก็ทุกข์เพราะไม่พอ สองอย่างนี้ก็มีทุกข์พอ ๆ กัน

 

เราอย่าไปสนใจว่าใครเค้าจะรู้หรือไม่รู้ ให้เรามารู้ตัวเอง ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมรู้ตัวเองในการยืนเดินนั่งนอน รู้เรื่องพระธรรมพระวินัย เข้าถึงความตั้งใจตั้งเจตนา

           

เราทั้งหลายต้องสงบต้องมีปัญญา เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งเค้าเรียกว่ามันเป็นระดับคนบ้า คนผีบ้า เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเค้าเรียกคนบ้าคนผีบ้าหรือว่ามีเชื้อบ้า

 

ให้รู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัยเรื่องความสงบเรื่องปัญญา เป็นเรื่องหยุดความเป็นบ้าความเป็นผีบ้าไม่ให้มีเชื้อบ้า

 

เราทั้งหลายต้องหยุดความฟุ้งซ่านของตัวเอง หยุดความง่วงเหงาหาวนอนหยุดวิฉิกิจฉา หยุดเรื่องตรึกในกามตรึกในพยาบาท เพื่อเข้าสู่กระบวนการของการประพฤติการปฏิบัติ ความดีกับความฉลาดต้องจับคู่กันไปตีคู่กันไปเลย

 

เรามาบวชมาปฏิบัติ เรามาเป็นคนดีคนฉลาด เน้นลงที่ปัจจุบัน มีความเคารพมีความคารวะในข้อวัตรกิจวัตร ข้อวัตรปฏิบัติ ความสงบความเคารพความสุจริตถึงเป็นสิ่งเดียวกัน มันจะเป็นสมถะเป็นวิปัสสนาคู่กันไป อันหนึ่งก็สงบอันหนึ่งก็ปัญญา อันหนึ่งก็พักผ่อนอันหนึ่งก็ทำงาน

 

การมาบวชน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เราพิจารณากระบวนการของเหตุของปัจจัย ให้เข้าใจเรื่องขบวนการเรื่องเหตุของปัจจัย ว่าเรื่องราวต่าง ๆ มันเป็นมาอย่างไร

 

ท่านให้เราเอาหลักการโดยการสาธยายสรีระร่างกาย เพื่อเป็นฐานของความสงบฐานของปัญญา ท่านให้เราพิจารณาร่างกาย

 

ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบทจึงได้บอกการบอกงานบอกกรรมฐานคือฐานของการประพฤติการปฏิบัติให้พิจารณาร่างกายให้แยกออกเป็นชิ้นส่วนน่ะ อาการ ๓๒ น่ะ อาการ ๓๒ ก็มีอะไรบ้าง

 

"อาการ 32" ซึ่งจะมีการแบ่งร่างกายมนุษย์ออกเป็น 4 ธาตุ ได้แก่ ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ แต่อาการ 32 จะเป็นการนับเฉพาะธาตุที่สามารถจับต้องได้เท่านั้น นั่นก็คือธาตุดิน 20 ประการ และ ธาตุน้ำ 12 ประการ รวมเป็น 32 นั่นเอง โดยจะไม่นับธาตุที่จับต้องไม่ได้อย่าง ลม และ ไฟ โดย ธาตุดิน ก็จะเป็นอวัยวะในหมวดของเเข็งอย่างเช่น ผม, ขน, เล็บ, ฟัน, ตับ, ไต และ ธาตุน้ำ ก็จะเป็นหมวดของเหลวอย่างเช่น น้ำดี, น้ำเหลือง, เหงื่อ, น้ำลาย เป็นต้น

 

ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าพูดถึง "ครบ 32 ประการ" ตามหลักพระพุทธศาสนา ระบุว่ามาจากการฝึกจิตในหัวข้อ กายคตาสติ คือให้ระลึกถึงส่วนต่างๆ ของร่างกายที่เรียกว่า โกฏฐาส 32 ประการ ได้แก่ ปฐวีธาตุ เป็นอาการ 20 และ อาโปธาตุเป็นอาการ 12 ซึ่ง ปฐวีธาตุ อาการ 20 มีดังนี้

 

เกสา-ผม, โลมา-ขน, นะขา-เล็บ, ทันตา-ฟัน, ตะโจ-หนัง, มังสัง-เนื้อ,นะหารู-เอ็น, อัฏฐิ-กระดูก, อัฏฐิมิญชัง-เยื่อในกระดูก, วักกัง-ม้าม, หะทะยัง-หัวใจ, ยะกะนัง-ตับ, กิโลมะกัง-พังผืด, ปิหะกัง-ไต, ปัปผาสัง-ปอด, อันตัง-ไส้ใหญ่, อันตะคุณัง-ไส้น้อย, อุทะริยัง-อาหารใหม่, กะรีสัง-อาหารเก่า (อุจจาระ), มัตถะลุงคัง-มันสมอง

 

ส่วน อาโปธาตุ อาการ 12 มีดังนี้ ปิตตัง-น้ำดี, เสมหัง-เสมหะ, ปุพโพ-น้ำเหลือง, โลหิตัง-น้ำเลือด, เสโท- เหงื่อ, เมโท-มันข้น, อัสสุ-น้ำตา, วะตา-มันเหลว, เขโฬ-น้ำลาย, สิงคาณิกา-น้ำมูก, ละสิกา-น้ำไขข้อ, มุตตัง-มูตร (ปัสสาวะ)

 

นอกจากนี้ ยังมีอีก 1 ทฤษฎีที่บอกว่า "เกิดมาครบ 32 ก็คือมีอวัยวะภายนอกครบ 32 ไง" แค่นั้นเลยง่ายๆ นั่นก็คือ ตา 2, หู 2, จมูก 1, ปาก 1, แขน 2, ขา 2, มือ 2, นิ้วมือ 10 และ นิ้วเท้า 10 นั่นเอง

 

เรามาบวชมาปฏิบัติ เราจะเอาแต่ความสงบเอาแต่สมาธิเอาแต่สมถะ ปัญญานั้นย่อมไม่เกิด การพิจารณาต้องให้ติดต่อต่อเนื่อง ถ้าเราพิจารณาติดต่อต่อเนื่อง มันจะเป็นความรู้ความเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน มันเป็นเพียงธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะภายนอกภายใน ๑๒ น่ะ เราจะมองเห็นอย่างนั้นมันจะมองเห็นเป็นสภาวธรรม เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี มันจะมองเห็นกระบวนการการเกิด อย่างเรามองไปอย่างนี้มันจะไม่เห็นเพียงผมหรือหนังอย่างนี้  มันจะมองเห็นภาพรวม มันจะได้ว่างจากนิติบุคคลตัวตน เราจะไม่มีความรู้ว่าเป็นผู้หญิงผู้ชาย คนหนุ่มคนสาวคนแก่คนเฒ่าคนชรา มันจะเข้าถึงสักแต่ว่ามันจะเห็นเป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่มันปรากฎทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ มันเป็นสิ่งสองอย่างที่มันเป็นขั้วบวกขั้วลบเป็นกระแสบวกระแสลบ ต้องอาศัยการปฏิบัตติดต่อต่อเนื่อง การประพฤติการปฏิบัติต้องติดต่อต่อเนื่อง

 

เหมือนพระที่พิจารณากายคตาสติ ที่เดินผ่านผู้หญิง ท่านไม่มีนิมิตหมายว่าเป็นผู้หญิงผู้ชาย เห็นเป็นเพียงรูปเกิดขึ้น รูปตั้งอยู่ รูปดับไป ไม่มีความสำคัญมั่นหมาย ผ่านสตรีผ่านผู้หญิงไป เห็นเป็นเพียงโครงกระดูกที่เดินไปเดินมา

 

การพิจารณากรรมฐานก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราพิจารณาจิตใจของเราก็จะเป็นอย่างนั้น เราจะไม่มีนิมิตหมายว่าเราเป็นผู้หญิงผู้ชาย สักแต่ว่ามันจะเป็นอย่างนั้น

 

พระภิกษุผ่านไปน่ะ สามีของเขาก็ถามพระว่าเห็นสตรีผ่านไปมั๊ยเห็นภรรยาเค้าผ่านไปมั๊ย พระผู้บำเพ็ญภาวนาก็ตอบว่าไม่เห็นผู้หญิงเห็นผู้ชายเห็นแต่โครงกระดูกมันเดินไปผ่านไป

 

การประพฤติการปฏิบัติของเรา ถ้าเราประพฤติปฏิบัติเอาความสงบเอาปัญญาประพฤติปฏิบัติมันจะรู้สึกอย่างนั้น มันจะเกิดความสงบเกิดปัญญาด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

การที่เรามาบวชนี้เป็นโอกาสเป็นเวลาที่ประเสริฐ เราต้องรู้เข้าใจ อย่าไปคิดว่าทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ หรือคิดว่าบวชสามเดือนหรือว่าบวช ๑๒๐ วัน เอาพอไปได้พอมันผ่านไปได้แต่ละวัน เราคิดอย่างนั้นไม่ได้นะ คิดอย่างนั้นตั้งอยู่ในตัวตน ตั้งอยู่ในความประมาท ไม่เห็นกาลไม่เห็นเวลาไม่เห็นพระศาสนาเป็นสิ่งที่สำคัญ เราคิดอย่างนั้นตั้งใจอย่างนั้นมันเสียหายนะ อย่าให้ความคิดอย่างนั้นความตรึกอย่างนั้นมาทำความเสียหายให้กับเรา

 

เราทั้งหลายต้องรู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เราอย่าทำความเสียหายให้กับตัวเองและส่วนรวมให้เอาปัจจุบันเป็นการประพฤติการปฏิบัติ อย่าเอาตัวตนเอาความรู้สึกต้องเอาธรรมเอาปัจจุบันธรรม ต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา ในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าอย่างนั้นมันเสียหาย เราจะมาบวชทำไมถ้าเราตั้งใจอย่างนี้ อยู่ที่บ้านไม่ดีกว่าเหรอ เพราะเราอยู่ที่บ้านก็ได้

 

เรามาบวชมาปฏิบัติต้องเข้าใจ เพื่อเห็นคุณค่าในการประพฤติการปฏิบัติมีความเคารพมีความคารวะในความถูกต้อง มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ถ้าไม่อย่างนั้น ชีวิตที่ประเสริฐของเราที่เกิดมาด้วยอายุขัยที่อยู่ได้ชั่ว ๑ ศตวรรษคือร้อยปีเดี๋ยวมันจะพังทลายด้วยเอาความหลงนำชีวิตเอาอวิชชานำชีวิต ชีวิตของเราย่อมพังทลายด้วยความประมาท มันจะพังทลายเหมือนตึก สตง.

 

ตึก สตง.อยู่ที่กรุงเทพมหานคร ตึก ๓๐ กว่าชั้น ตึก สตง.ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิตเอาทุจริตนำชีวิต ชีวิตมันเลยพังทลาย ชีวิตมันพังทลายนะ ตึกสตง.มันพังทลายด้วยนิติบุคคลตัวตนพังทลายด้วยทุจริตมันจะไปแก้ไขตั้งแต่ภายนอกมันจะไปพัฒนาตั้งแต่วิทยาศาสตร์จะไปเอาความสุขบนความหลงชีวิตเลยพังทลายนะ

 

เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งน่ะ เราคิดดูดีๆ นะ ตึกใหญ่กว่าสูงกว่าตึก สตง.ตั้งหลายสิบตึกที่กรุงเทพมหานครที่ปริมณฑล เค้าไม่พังทลายเหมือนตึกสตง. เพราะพอที่จะรับน้ำหนักได้ ไม่ใช่ไม่โกงกินคอร์รัปชั่นนะ แต่เค้าโกงกินคอร์รัปชั่นน้อยพอที่จะรับแผ่นดินไหวจากมัณฑะเลย์ประเทศพม่า ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ประเทศพม่าห่างไกลกันตั้งนับพันกิโล

 

นี้ให้เรามองเห็นในแง่มุมความไม่ถูกต้องน่ะ ชีวิตที่เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต มันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ

เราทั้งหลายถึงต้องเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร รู้จักความคิดรู้จักอารมณ์เหมือนท่านพระอาจารย์ลี ธัมมธโร วัดอโศการาม สมุทรปราการ ท่านรู้จักความคิดการปรุงแต่งของตัวเอง ท่านรู้จักว่าความปรุงแต่งนี้มันคือวัฏฏสงสารนะ ท่านรู้จักความปรุงแต่ง เพราะความปรุงแต่งมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ชีวิตนี้ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. เพราะมันไม่ถูกต้อง มันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. นี้แหละ

 

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะ ท่านทั้งหลายเป็นผู้มีโอกาสพิเศษถือว่าการมาประพฤติมาปฏิบัติการมาบวชนี้เป็นสิ่งที่ดีมากเป็นสิ่งที่ประเสริฐมาก เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อก้าวไปด้วยรู้ ความเข้าใจด้วยพระธรรมพระวินัยอขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บริสุทธิคุณ

การแสดงพระธรรมเทศนาเช้าวันนี้ก็เห็นสมควรแก่เวลา ขอจบไว้ด้วยโอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตว่า

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ

--------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

Visitors: 98,212