๑๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นอังคารที่ ๑๕ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม
ทุก ๆ ชาติ ทุก ๆ ศาสนา ทุก ๆ ประเทศ การดำเนินชีวิตการประพฤติการปฏิบัติก็ใช้หลักเดียวกันทางเดียวกัน คือเอาธรรม ธรรมนูญนำชีวิต เอารัฐธรรมนูญนำชีวิต มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะไม่ได้พากันมีความทุกข์ ความทุกข์กับโรคซึมเศร้านี้คือสิ่งเดียวกัน อันเดียวกัน
ทุกคนน่ะ จะไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยนั้นไม่ได้ หยุดทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย เอาธรรมนูญนำชีวิต เน้นมาที่ตัวของเรานี้เอง ไม่ต้องไปจัดการบุคคลอื่นเน้นมาที่ตัวเรา
เราพากันทำหน้าที่ของตัวเองให้มีความสุข มาทำหน้าที่ของตัวเราให้สมบูรณ์อย่าให้ขาดตกบกพร่อง ให้สมบูรณ์ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งกิริยามารยาท ทั้งอาชีพ ทั้งใจ คำว่าสมบูรณ์ก็ได้แก่ไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท มีความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัสแก่หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายว่าเธอทั้งหลายนั้นจงพากันประพฤติพรหมจรรย์เถิด พรหมจรรย์นั้นก็หมายถึงธรรมนูญ รัฐธรรมนูญ
ธรรมนูญไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน มันเป็นสภาพหยุดความปรุงแต่ง ไม่มีอะไรเข้าไปปรุงแต่ง เป็นความสงบและปัญญา เป็นปัญญาและความสงบ
มันเป็นธรรมนูญ มันหยุดความปรุงแต่งด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ มันเป็นการทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ ความไม่มีทุกข์ ได้แก่ ความสงบและปัญญา ปัญญาและความสงบ
เราทุกคนให้รู้ให้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติธรรม การประพฤติการปฏิบัตินั้นไม่มีใครประพฤติปฏิบัติแทนกันได้ ปฏิบัติให้กันได้ เราทั้งหลายถึงต้องตั้งใจตั้งเจตนา เพื่อให้การประพฤติการปฏิบัติมันติดต่อต่อเนื่อง ไม่ขาดไม่ด่างไม่พร้อยไม่เศร้าหมอง
การประพฤติการปฏิบัติของเราน่ะเน้นที่มาใจที่เจตนา
ให้เรารู้เข้าใจ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้มันเป็นเพียงอุปกรณ์ของใจ เราถึงเน้นที่ใจที่เจตนา เพื่อให้ความสงบและปัญญามันไปพร้อม ๆ กัน ถึงจะหยุดความปรุงแต่งได้ สมองของเรากับลมหายใจถึงจะจับคู่กันไป ตีคู่กันไป เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นการทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ของเราทุกคน เป็นมรรคเป็นอริยมรรค มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะทุกอย่างมันคือกรรมคือผลของกรรม
เราพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนการพักผ่อนเป็นเรื่องของความสงบและปัญญา เพราะร่างกายของเราเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม เราต้องเสียสละให้ส่วนของร่างกาย เพราะร่างกายเค้าต้องได้รับการนอนการพักผ่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงพักผ่อน ทรงบรรทมวันหนึ่งคืนหนึ่ง ๔ ชั่วโมง เพื่อให้ธาตุให้ขันธ์ให้อายตนะได้พักผ่อน
สำหรับนักบวชผู้ที่มาบวช มาบำเพ็ญบารมี บำเพ็ญความดีประกอบด้วยปัญญา เพื่อเอาธรรมนูญนำชีวิต เอาความสงบและปัญญานำชีวิตเพื่อเป็นบริสุทธิคุณ เราต้องพากันนอนพากันพักผ่อนวันละ ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง ต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ทุก ๆ คนมาบวชต้องนอนต้องพักผ่อนให้เพียงพอ
เรามาบวชแล้วเค้าเปลี่ยนศัพท์ใหม่ไปใช้ศัพท์ใหม่ เค้าใช้ศัพท์ว่าจำวัดน่ะ
คำว่าจำวัดก็หมายถึงอยู่กับที่ ไม่ได้สัญจรไปไหนมาไหน เน้นที่ใจของเราให้ใจของเราพักผ่อน หยุดความปรุงแต่งยกเลิกสิ่งที่เป็นอดีตอนาคต ปัจจุบันก็หยุดความปรุงแต่ง เราจะหยุดปรุงแต่งเพื่อการติดต่อต่อเนื่องกันอย่างน้อย ๕ ชั่วโมง อย่างมาก ๖ ชั่วโมง ตัดอายตนะภายนอกไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยการหยุดความปรุงแต่ง มามีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่กับธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ ที่เป็นอายตนะภายใน เรามีรูปมีเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเค้าก็ต้องทำหน้าที่ของเค้าไป เราต้องรู้เข้าใจ ต้องหยุดด้วยหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม
ให้อายตนะภายในเป็นอายตนะภายใน เราต้องสงบอายตนะภายในด้วยความรู้ความเข้าใจที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ
อายตนะภายนอกก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์เป็นสิ่งที่มีอยู่
การนอนการพักผ่อนนี้คือการหยุดไม่ให้อายตนะภายนอกภายในที่เป็นขั้วบวก ขั้วลบมันทำงาน เรื่องการเรื่องงาน มันเป็นธุรกิจหน้าที่การงานของธาตุของขันธ์ของอายตนะภายนอกภายใน
ให้พวกเรารู้ให้พวกเราเข้าใจ เราจะได้นอนเราจะได้พักผ่อน เราอาศัยหลักการอย่างนี้เป็นการประพฤติการปฏิบัติ หลักการของพระธรรมพระวินัยมันเป็นเบรกมันเป็นความหยุด เราหยุดอายตนะภายนอกภายในด้วยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ศีลนี้ถึงเป็นความหยุด เป็นเบรก เป็นการดับสวิตซ์ไฟฟ้าไม่ให้มันติดต่อต่อเนื่องในการทำงานของขบวนการไฟฟ้า
การที่เราเอาหลักการ เอาพระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ เป็นเบรก เป็นอินทรีย์สังวร สังวรในศีลในพระปาฏิโมกข์ สังวรในศีลในระเบียบในข้อวัตรกิจวัตรยังไม่พอยังไม่เพียงพอ ต้องสำรวมในอินทรีย์อีก ได้แก่สำรวมในตาหูจมูกลิ้นกายใจ ถ้าเราไม่สำรวมในตาหูจมูกลิ้นกายใจมันก็จะหยุดปัญหาไม่ได้แก้ปัญหาไม่ได้ เหมือนกับพระโปฐิละ (ให้ผู้แสดงธรรมเล่าเรื่องพระโปฐิละ)
เรามาอยู่กับความสงบมาอยู่กับปัญญา เพื่อให้สมองของเรากับลมหายใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือเป็นความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน ผู้มีปัญญามากก็ต้องมีความสงบ ผู้มีความสงบก็ต้องมีปัญญา สมองกับลมหายใจถึงไปพร้อม ๆ กัน เพื่อออกซิเจนของเราจะได้สมบูรณ์
เราพากันคิดดูดี ๆ นะ อยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่า อยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่า ให้เรารู้เข้าใจ เราจะไปทุกข์มันทำไม เราจะไปปรุงแต่งมันทำไม เราต้องรู้ต้องเข้าใจ
พระพุทธเจ้าน่ะท่านไม่ให้เราไปมองคนอื่น ไปจับผิดจับถูกคนอื่น การมองคนอื่นจับผิดคนอื่นนั้นมันเป็นบาปเป็นกรรมเป็นเวรเป็นภัยนะ
ถ้าเรามองคนอื่นไม่ใช่เราไปมองเพื่อจับผิดถูกดีชั่ว เรามองคนอื่นเพื่อจะดูแลคนอื่นเทคแคร์คนอื่น มองเพื่อจะเป็นผู้ให้เป็นผู้ที่เทคแคร์ดูแล ให้เข้าใจอย่างนี้ เพราะตัวของเรานั้นมันเป็นคนเห็นแก่ตัว มันเป็นนิติบุคคล มันเป็นตัวเป็นตน มันมีความสำคัญมั่นหมาย มันว่าแต่ตัวเราดี คนอื่นไม่ดี มันไปมองดูคนอื่นว่าเป็นคนเก่ง เราไม่เก่ง เราสู้เขาไม่ได้ ความเก่งหรือไม่เก่งน่ะมันไม่ใช่ความดับทุกข์นะ เรากำลังสร้างความทุกข์สร้างปัญหา มันไม่ใช่ปัญญาสัมมาทิฏฐิ มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันเป็นนิติบุคคลตัวตน ให้เรารู้เข้าใจ ความดับทุกข์มันอยู่ที่เรามีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องที่หยุดวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ
พูดถึงเรื่องความดับทุกข์ ให้ทุกคนรู้และเข้าใจ ให้พากันตั้งใจตั้งเจตนา ทุกคนนั้นดับทุกข์ได้ด้วยความรู้ความเข้าใจเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ คนไม่มีเงินไม่มีทรัพย์สมบัติก็ดับทุกข์ได้ถ้าเรารู้ถ้าเราเข้าใจ เมื่อมันแก้ไขภายนอกไม่ได้ เราก็แก้ที่ใจของเรา
เราอยากให้มันรวยเหมือนเขาหรือมากกว่าเขา ความคิดความปรุงแต่งนั้น ให้เรารู้เข้าใจ เราจะไปปรุงไปแต่งในสิ่งนั้นไปทำไม มันเป็นทุกข์เปล่า ๆ ปัญหาก็อยู่นิดเดียวคือความปรุงแต่งนั้นเป็นความทุกข์ของผู้ที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ การมาสงบระงับสังขารด้วยความรู้ความเข้าใจมันเป็นความดับทุกข์นะ
อยากให้เก่งเหมือนเค้ามันก็ย่อมไม่เหมือนเขา เพราะอันหนึ่งเขาอันหนึ่งเรามันจะเหมือนกันได้อย่างไร เราอย่าให้มีความปรุงแต่งว่าเขาว่าเรา เราต้องมีความสงบมีปัญญา เราอย่าไปเปรียบเทียบ ความเปรียบเทียบมันคือความปรุงแต่ง เราเห็นเค้ารวย เราก็อยากรวยเหมือนเขา เราอย่าวิ่งตามความหลง เราอย่าไปวิ่งตามความปรุงแต่ง เรารู้เข้าใจเราจะเป็นทุกข์ทำไม เราทั้งหลายต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เห็นภัยในความวุ่นวาย เห็นภัยในความปรุงแต่ง เราจะไปหาเรื่องหาราวให้เราเป็นทุกข์ไปทำไม
เราประพฤติปฏิบัติไปอย่างนี้แหละด้วยความรู้ความเข้าใจ ความสงบกับปัญญา ความซื่อตรงความพอเพียงเพียงพอ ที่ท่านสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ ๙ ของเมืองไทย ที่ท่านตรัสให้กับประชากรของไทยและของโลกให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ นี้คือสัจธรรมความจริงนะ เราอยากได้มากมันก็ไม่มาก เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อย ความซื่อตรงกับความพอเพียงเพียงพอกับความถูกต้องกับความสุจริตถึงเป็นสิ่งอันเดียวกัน
สมองของเราจะได้เอามาใช้งานในสิ่งที่จำเป็น มายกเลิกในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ มันจะเป็นทุกข์ไปเปล่า ๆ ด้วยหาเรื่องหาราวให้ตัวเอง หาเรื่องหาราวให้คนอื่น
เราจะไปคิดไปปรุงไปแต่งให้เสียสมองทำลายสมองไปทำไม สมองในส่วนที่มันเป็นไปไม่ได้ก็แก่ความอยากน่ะ ความอยากและความไม่อยาก เราต้องรู้เข้าใจ มันเป็นความปรุงแต่ง ชื่อว่าความปรุงแต่งมันคือความทุกข์ ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มี
ความอยากมีอยากเป็น หรือว่าความไม่อยากมีไม่อยากเป็น สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เราต้องรู้เข้าใจ เราจะไปอยากไม่อยากมันไปทำไม
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะพากันเป็นทุกข์ทำไม เราต้องเข้าถึงความสงบ เข้าถึงปัญญา เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ มันรวยจนมันเป็นเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เมื่อเรารู้เหตุปัจจัย รู้เรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม เพราะสิ่งเหล่านี้มันคือปลายเหตุแล้ว เรามีหน้าที่เอาความสงบและปัญญานำชีวิต
เราจะรวยจะจนนั้นมันอยู่ที่เราต้องเสียสละ เราไม่เสียสละเราก็ยากจน คนไม่เสียสละมีใครบ้างรวยน่ะ เราต้องรู้เข้าใจเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เราจะได้ทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้อง ให้ถูกต้องนั้นยังไม่เพียงพอ เราต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ตัวตนนี้แหละจะทำให้เราทุกคนมีความทุกข์ เป็นคนไม่รู้จักปัญหา เป็นผู้ที่สร้างแต่ปัญหา เป็นคนเห็นแก่ตัว เป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน ย่ำต๊อกอยู่ในอวิชชาความหลง ย่ำต๊อกอยู่ในอบายมุขอบายภูมิ
ถ้าเราไม่เสียสละ เราก็เป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน คนขี้เกียจขี้คร้านน่ะ คือคนมิจฉาทิฏฐิ คือคนไม่มีปัญญา เป็นผู้ที่มีอัตตาตัวตน องค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่า ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อตัวเพื่อตน ทำเหล่านั้นจะทำให้เราเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน ไม่เอาธรรมนำชีวิต ไม่เอาธรรมนูญนำชีวิต อันนี้คือตัวตน ไม่ใช่ธรรมนูญ ไม่ใช่รัฐธรรมนูญ
เราทั้งหลายต้องยกเลิกความไม่ถูกต้อง มายกเลิกความขี้เกียจขี้คร้าน เราเป็นคนมีปัญญา เป็นคนเก่งคนฉลาด นี้เป็นบุญเป็นกุศลเป็นวาสนาที่ได้สั่งสมมานาน ได้ไปเกิดหรือว่าได้มาเกิดกับพ่อแม่ที่ดี พ่อแม่ที่รวย พ่อแม่ที่มีส่วนสรีระร่างกายดี เป็นคนสมองดีเป็นคนมีสติมีปัญญา นี้ก็ถือว่าเป็นคนมีบุญเก่ามีกุศลเก่ามีกรรมเก่าที่ดี
เราต้องรู้เข้าใจ อย่าเอากรรมเก่านั้นมาเป็นตัวเป็นตนนะ เราถือว่าเรารวยกว่าเค้าเก่งกว่าเค้า ฉลาดกว่าเค้า มีปัญญามากกว่าเค้าน่ะ เราต้องรู้เข้าใจ ยกเลิกเค้า ยกเลิกเรา เราทั้งหลายถึงจะมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ เพราะสภาวธรรมมันเป็นธรรมะเป็นธรรมชาติมันไม่มีเราไม่มีเขา มีแต่ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะภายนอกภายใน ๑๒ มันไม่มีเขาไม่มีเรา
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา ถ้าไม่อย่างนั้นมันไม่ได้มันจะเป็นอัตตาตัวตน มันจะมีเขามีเรา
เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจพากันมาเสียสละ ถ้าไม่เสียสละมันก็ไม่มีความสงบ ถ้าเราไม่เสียสละมันก็ไม่มีปัญญา เราต้องเอาความรู้ความเข้าใจ เราจะได้ยกเลิกเขายกเลิกเรา ยกเลิกความปรุงแต่งความวุ่นวาย ให้พวกเรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องพากันมาเสียสละ
ทำไมมนุษย์มันต่างจากพวกสัตว์เดรัจฉาน พวกสัตว์เดรัจฉานมันไม่มีบ้านไม่มีเรือน ไม่มีที่อยู่ที่อาศัยเป็นหลักแหล่ง มีบ้านมีอาคารเหมือนหมู่มวลมนุษย์ มันไม่มีไร่นาสวนน่ะ ไม่มีการทำอุตสาหกรรมเกษตรกรรม ไม่มีข้าราชการนักการเมือง ไม่มีนักบวชน่ะ เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจมันเลยไม่มีน่ะ ให้รู้เข้าใจ
ทำไมมนุษย์เราถึงใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ อาบน้ำแปรงฟัน เราจะรู้เข้าใจ
เราทั้งหลายรู้เข้าใจแล้วจะได้พากันวัตถุ พัฒนาวิทยาศาสตร์ พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์ เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ผมก็ไม่ตัด พวกผู้ชายนี้ไว้ผมยาวไว้หนวดไว้เครา พวกผู้หญิงอย่างนี้ก็ไว้ผมยาวเพื่อแบ่งเพศ แบ่งเพศระหว่างชายหญิง ระหว่างขั้วบวกขั้วลบ สายไฟที่เค้าเดินไฟ เดินหลาย ๆ เส้น ก็ยังมีหลายสีเลยนี้เค้าเอาไว้แบ่งเพศ เพื่อให้เราได้รู้เข้าใจเสียสละ คนไม่อาบน้ำแปรงฟัน คือคนไม่เสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละ กลิ่นตัวกลิ่นปากกลิ่นอะไรต่าง ๆ มันก็เหม็นน่ะ
มนุษย์เราต้องเสียสละ ตื่นขึ้นมาต้องเสียสละ ระลึกถึงความดีความถูกต้อง เราต้องเอาความถูกต้องนำชีวิต เอาบริสุทธิคุณนำชีวิต เอาความถูกต้องมาไว้ที่ใจ ใจนี้สำคัญนะ เพราะกายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้เป็นเพียงอุปกรณ์ของใจเท่านั้นเอง เพราะกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมันเป็นกระบวนการของใจเฉย ๆ
เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องตั้งใจตั้งเจตนาทั้งต่อหน้าและลับหลัง เราไม่ได้ทำเพื่อให้คนอื่นเค้าเลื่อมใส คนอื่นเค้าโอเค เราทำไปทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาทก็เพื่อเสียสละ เพราะถ้าเราไม่เสียสละมันก็ไม่ถูกต้อง ไม่เสียสละมันก็เป็นนิติบุคคลตัวตน ทุกคนต้องมาเสียสละ
พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่หรือข้อวัตรข้อปฏิบัติแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์เป็นสมมติสัจจะที่ให้เรารู้เรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องผิดเรื่องถูก อันไหนทำได้ ทำไม่ได้ เพื่อเราจะได้เสียสละ ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยความเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละมันก็ไม่เป็นธรรมไม่เป็นปัจจุบันธรรมมันก็เป็นตัวเป็นตน
การที่พวกเราพากันมาบรรพชาอุปสมบทพากันมาบวชมาปฏิบัติ เพราะสิ่งนี้มันดีมากดีพิเศษดีจริง ๆ ที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา ให้รู้เข้าใจ เราทั้งหลายมารู้เข้าใจภูมิใจแล้วก็พากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติเราก็มีความทุกข์น่ะ ความทุกข์กับโรคซึมเศร้ามันคืออันเดียวกันให้รู้เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจอารมณ์ของเรามันก็เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาเป็นโรคไบโพล่า
เราต้องรู้เข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นหาใช่นิติบุคคลตัวตนเลย มันคือเหตุคือปัจจัย เราพากันมาประพฤติปฏิบัติ เข้าสู่ไฟต์ในการประพฤติการปฏิบัติการประพฤติการปฏิบัติถือว่าเป็นไฟต์ เป็นการชิงแชมป์นะ ชิงแชมป์ระหว่างความผิดความถูก ระหว่างโลกกับธรรม
เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะอันนี้มันถูกต้องมันดีที่ไม่มีโทษ มันเป็นการเอาตัวรอดผ่านอุปสรรคต่าง ๆ นานาด้วยพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ เพราะเราต้องผ่านธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะไปเอาตัวรอดในทางที่ไม่รอดนะ
ที่เหตุการณ์ที่ผ่านมาเราไปเอาตัวรอดในทางที่ไม่รอด
เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเป็นการเอาตัวรอดของความไม่รอดนะ มันไม่ใช่ปัญญาสัมมาทิฏฐิ ชีวิตนี้เอาความหลงนำชีวิตมันเป็นการเอาความรอดในทางที่ไม่รอด ให้รู้ให้เข้าใจนะ
เราพากันมาอยู่วัดมาปฏิบัติธรรม ให้เรารู้เข้าใจ เราต้องเป็นความสงบเป็นปัญญา เราอย่าได้เป็นอัตตาตัวตนให้รู้เข้าใจ ให้เราเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตาให้เราเป็นความสงบเป็นปัญญา
เราพากันเน้นที่ตัวเรานี้แหละ ตั้งใจตั้งเจตนา ให้รู้เข้าใจว่าอันไหนมันผิดอันไหนมันถูกเราจะได้เข้าสู่ไฟต์ในการประพฤติการปฏิบัติ
สิ่งไหนไม่ถูกต้องเราก็อย่าไปคิด อันไหนไม่ถูกต้องเราอย่าไปพูด อย่าไปทำ กิริยามารยาทอันไหนไม่ดีไม่งามเราอย่าไปแสดงออก เราต้องบังคับคอนโทรลตัวเอง ไม่ปล่อยอะไรไปตามอัธยาศัย เพื่อให้ปฏิปทามันติดต่อต่อเนื่องด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราทั้งหลายอย่าพากันตั้งอยู่ในความประมาท มีความละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาปทั้งต่อหน้าและลับหลัง การประพฤติการปฏิบัติอย่าให้มีต่อหน้าและลับหลัง ถ้าเรามีต่อหน้าและลับหลังนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง ถือว่ามันเป็นบาปนะบาปก็คือบาดแผลนั้นแหละ บาดแผลเล็ก บาดแผลกลาง บาดแผลใหญ่ บาปคืออันเดียวกัน บาปนั้นมันด่างมันพร้อยมันด่างมันทะลุมันเศร้าหมอง
เราทั้งหลายต้องมารู้เข้าใจ เราทั้งหลายอย่าเอาตัวตนนำชีวิตอย่าเอาโลกธรรมนำชีวิตต้องเอาความสงบเอาปัญญานำชีวิตเน้นที่ตัวเรา
เรานอนเราพักผ่อนให้เพียงพอ ฉันอาหารให้เพียงพอ ออกกำลังกายให้เพียงพอ วันหนึ่งคืนหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมง เรานอนเราพักผ่อนอย่างน้อย ๕ ชั่วโมง อย่างมากไม่เกิน ๖ ชั่วโมง เมื่อเรามีปิติมีความสุขอย่างนี้ เราก็จะมีแต่ปิติมีแต่ความสุขมีแต่เอกัคคตา มันจะก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา
เราอยู่ที่บ้านน่ะ เราไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยอย่างนี้เราต้องเอาใหม่ปฏิบัติใหม่ ให้ตั้งอกตั้งใจตั้งเจตนา เพื่อจะได้เข้าสู่หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมเพื่อจะเข้าสู่ฟอร์มสด เพื่อเอาของสดของใหม่ เพื่อฟอร์มสดน่ะ
เราต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านไม่บรรทมพักผ่อนตอนกลางวันนะ พระอรหันต์ขีณาสพไม่บรรทมพักผ่อนตอนกลางวัน ไม่จำวัดตอนกลางวัน ถ้าท่านจะพักผ่อนท่านก็เข้าสมาธิเข้าสมาบัติ เข้านิโรธสมาบัติกัน อยู่กับสติอยู่กับสัมปชัญญะ อยู่กับความสงบ อยู่กับการปล่อยวางหรือว่าอยู่กับธรรมอยู่กับปัจจุบันธรรม
พวกเราพากันมามีปิติมีสุขมีเอกัคคตาให้เต็มที่ จิตใจสบายจิตใจมีความสุขนี้สำคัญ ถ้าใจไม่สบายใจไม่มีความสุข จะทำให้เราร่างกายมันป่วยไปด้วย พวกที่เจ็บออด ๆ แอด ๆ เป็นโรคโน้นโรคนี้เพราะเนื่องมาจากใจไม่สบาย ใจไม่มีความสุข ใจไม่สว่างไม่ไสว ใจมืดมัวใจขาดใจด่างใจพร้อย ใจสกปรก ใจเศร้าหมอง พวกที่เจ็บป่วยน่ะ
เราเอาเหมือนท่านหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่มั่นท่านเข้มแข็ง ท่านไม่ให้นิวรณ์ทั้ง ๕ อคติทั้ง ๔ ครอบงำใจของท่าน ท่านบอกว่าเรื่องของกายก็ให้มันเป็นเรื่องของกาย เรื่องของกายมันแก่เจ็บตายพลัดพรากเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องของใจก็ให้มันเป็นเรื่องของใจเพราะมันเป็นคนละเรื่องกัน ความสงบก็เป็นความสงบไปปัญญาก็ไปเป็นปัญญาไป เรื่องของใจเราไม่ได้เป็นอะไร เรามีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา มีแต่ปัญญามีแต่ความสงบอย่างนี้ ต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่มีความแก่ความเจ็บความตายอย่างนี้เราก็จะเอาอะไรมาปฏิบัติ เพราะภพภูมิของความเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐอายุขัยของมนุษย์อยู่ได้ร่วมศตวรรษหนึ่งคือร้อยปี
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ถ้าไม่รู้เข้าใจ มันก็จะต้องเสียหาย มันต้องล้มละลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ
ตึกสตง.มันไปตรวจแต่เงินของคนอื่น ตรวจแต่ของคนอื่น มันไม่ย้อนกลับมา ตรวจตัวเอง ตัวเองไม่แก้ไขจะไปแก้ไขภายนอก ไปแก้ไขภายนอกมันก็บาปสิ ไปเอาตัวเอาตนไปจับผิดคนอื่น มันบาป ชีวิตนี้ต้องรู้เข้าใจ ชีวิตนี้ต้องแก้ไขทั้งภายนอกแก้ไขทั้งภายใน เพื่อเป็นอริยมรรคเป็นความสงบเป็นปัญญา
พระใหม่พระเก่า ผู้ปฏิบัติเก่าปฏิบัติใหม่ ต้องเอาความสงบและปัญญา ไม่มีคำว่าเก่าว่าใหม่ ให้รู้เข้าใจ เพราะปัจจุบันนี้คือไฟต์ในการประพฤติการปฏิบัติมันจะไม่มีเก่าไม่มีใหม่
ให้รู้เข้าใจ อดีตมันก็มารวมในปัจจุบันนี้แหละ อนาคตมันก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน เรารู้เข้าใจในการปฏิบัติ การปฏิบัติถึงเป็นไฟต์เป็นการประพฤติการปฏิบัติให้รู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจ เราก็เอาความหลงนำชีวิต เอาไสยศาสตร์นำชีวิต เอาสายมูสายหลงนำชีวิต มีความสำคัญมั่นหมายว่าเขาว่าเรา เขาเรานั้นคือความปรุงแต่งนะ ไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา
เราทั้งหลายต้องมีความสงบมีสติสัมปชัญญะในปัจจุบัน เราอย่าให้ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ ครอบงำเรา
เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ความสงบกับปัญญาต้องตีคู่กันไปเลย มีความสุขมีเอกัคคตา ชีวิตของเรามันจะได้ก้าวไปอย่างนี้ มันจะได้สว่างไสวทั้งตาภายนอก ทั้งตาภายในคือตาปัญญาที่เรารู้เข้าใจ ชีวิตนี้จะได้ ว้าว ว้าว ว้าว อย่างนี้นะ
เราพากันมาเจริญสติคือความสงบ เจริญสัมปชัญญะคือปัญญา เอาความสงบกับปัญญามาใช้มาประพฤติปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน
การคบค้าสมาคมคือกัลยาณมิตร ต้องเอาพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร เป็นกัลยาณมิตร คือเอาพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตร เอาพระธรรมพระวินัยเป็นกัลยาณมิตร เอาพระอริยสงฆ์เป็นกัลยาณมิตร เอาข้อวัตรกิจวัตรเป็นกัลยาณมิตร เป็นกัลยาณมิตรที่ดีประกอบด้วยปัญญา
เราต้องรู้เข้าใจว่าการคบค้าสมาคมในระบบความคิดในระบบคำพูดการกระทำกิริยามารยาทต้องให้ถูกต้อง เราจะได้รู้จักการพบแขกหรือว่ารับแขกอย่างนี้นะ แขกมันมาทางตาหูจมูกลิ้นกายใจนี้คือรับแขกนะ แขกที่สัญจรไปมา
เราต้องต้อนรับแขกที่สัญจรไปมา เพราะเค้ามาแล้วก็ต้องจากไปตามเหตุตามปัจจัย สิ่งที่เกิดขึ้นก็ต้องตั้งอยู่แล้วดับไป มาแล้วก็ต้องไป มาทางไหนก็ให้ไปทางนั้น มาทางตาก็ให้กลับไป มาทางหูก็ให้กลับไป มาทางจมูกก็ให้กลับไปมาทางลิ้นก็ให้กลับไป มาทางกายก็ให้กลับไปมาทางความรู้สึกนึกคิดก็ให้กลับไป คำว่ากลับกับความสงบก็คืออันเดียวกัน ความสงบกับความเคารพมันก็คืออันเดียวกัน มันจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดีนะ
เราทั้งหลายต้องรู้นะ ไม่มีใครเหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรมนะ
พระเก่าก็เน้นที่ปัจจุบันนี้แหละ พระใหม่ก็เน้นที่ปัจจุบันนี้แหละ ความประมาท ความเพลิดเพลินนี้คือเจ้าเสือร้าย ให้ถือว่าเป็นตัวร้ายตัวอันตรายนะ เรียกว่าเจ้าเสือร้าย ตัวตนนี้แหละมันจะพังทลายเหมือนตึก สตง.
ตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของประเทศเอาความหลงนำชีวิตเอาความผิดนำชีวิตเอาทุจริตนำชีวิตตึกสตง.นั้นมันเลยพังทลาย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่าปัจจุบันคือไฟต์คือการประพฤติการปฏิบัติ อย่าไปประมาทต้องมีความตั้งใจตั้งเจตนามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาอย่าไปประมาท ต้องปรับเข้าหาธรรมะสิกขาบทน้อยใหญ่ข้อวัตรกิจวัตร อย่าประมาท ถ้าประมาทแล้วนั่นแหละคือความผิดพลาดคือความด่างคือความพร้อยนะ มันจะไม่เข้าถึงความสงบไม่เข้าถึงปัญญา มันจะไม่เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
เราต้องเคารพในแขกที่สัญจรไปมาทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราจะได้รับแขก การรับแขกนี้ถือว่าเป็นธรรมะที่คารวธรรมนะ
เดี๋ยวนี้แหละเราไม่ได้เป็นคนคารวธรรมนะ คารวะความหลงนะ เอาตัวนำชีวิตเค้าเรียกว่าคารวะความหลง อย่างเราพากันเอาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ มาเป็นเรา อย่างนี้เรียกว่าคารวะความหลง เราต้องรู้เข้าใจนะ เพื่อจะไม่ได้เอาความหลงนำชีวิตจะไม่ได้เอาตัวตนนำชีวิต
เราพยายามเจริญปฏิปทาของเรา ตั้งอกตั้งใจตั้งเจตนา อย่าให้ความรู้สึกที่เป็นนิติบุคคลตัวตน มันทำให้พวกเราตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินความประมาทต้องเพิ่มความสงบเพิ่มปัญญา เพิ่มศีลสมาธิปัญญาให้ติดต่อต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ขาดไม่ให้ด่างไม่ให้พร้อย
เราพยายามหยุดพูดคุย การคบค้าสมาคม เราต้องคิดในเรื่องดี ๆ วาจากิริยามารยาทดี ๆ การคบเพื่อนอย่างนี้ก็ต้องคบกับเพื่อนที่มีศีลมีสมาธิมีปัญญา อย่าไปคบเพื่อนที่มีอัตตาตัวตนเหมือนกับเรา ถ้าเราไปคบอย่างนั้นมันก็พอ ๆ กันนั่นแหละ เพราะสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์คืออะเสวนาจะพาลานัง ปัณฑิตานัญจะเสวนาเกี่ยวกับการคบค้าสมาคมนะ คบค้าสมาคมในความคิด คบค้าสมาคมในคำพูด คบค้าสมาคมในกิริยามารยาทที่ดี ๆ คุณสมบัติผู้ดี ไม่ใช่คุณสมบัติผู้ชั่วหรือว่าความหลง อันนี้มันเป็นคุณสมบัติดี เอาตัวตนนำชีวิตเค้าเรียกว่าไม่ได้เป็นผู้ดีนะ เป็นผู้ชั่วเป็นผู้มีความผิด ไม่ใช่บัณฑิตคือพาล ให้เรารู้เข้าใจ
เราอย่าไปคบระดับเดียวกันน่ะ ส่วนใหญ่เราไม่รู้เข้าใจ เราก็จะไปคบระดับเดียวกับเราหรือต่ำต้อยกว่าเรา
ความเป็นตัวเป็นตนน่ะ ตัวตนมันไม่อยากเสียสละ
เราต้องรู้เข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรนี้มันเป็นกัลยาณมิตรมันเป็นมิตรของเรานะ เราอยู่ในวัดน่ะ
เราต้องคิดดูดี ๆ คนไหนปฏิปทาดี หรือว่าคนไหนเป็นพระอรหันต์ คนไหนเป็นพระอริยเจ้า เราก็ต้องคบกับคนนั้น คนไหนไม่เอาข้อวัตรปฏิบัติ ซิกแซกเก่ง เอาความหลงนำชีวิต คนอย่างนั้นอย่าไปคบค้าสมาคม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่าถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราเอาความหลงนำชีวิต อลัชชีเพียงคนเดียวนี้สามารถเอาปัญญาชนร้อยคนเป็นอลัชชีได้ จะเอาปัญญาชนเป็นพรรคเป็นพวก เป็นผู้ไม่ละอายต่อบาปไม่เกรงกลัวต่อบาป ปัญญาชนทั้งหลายที่ตั้งในความประมาทจะกลายเป็นพระอลัชชีได้
เหมือนโรคโควิดนี้แหละ เรารู้เข้าใจ จะเป็นโรคอะไรก็คือโรคคือเชื้อโรคนี้แหละ เชื้อโรคคือนิติบุคคลตัวตน ให้ทุกคนรู้เข้าใจ เรื่องโรคเรื่องเชื้อโรคเรื่องตัวเรื่องตน เราต้องไม่คบค้าสมาคมกับความคิดคำพูดกิริยามารยาทอาชีพที่ไม่ถูกต้อง
เราต้องหยุดด้วยความรู้ความเข้าใจ เราต้องไม่คบค้าสมาคมกับพระกับเณร กับญาติโยมที่เอาความหลงนำชีวิต เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจเราจะเอาเชื้อโรคต่าง ๆ มาไว้ในกายวาจากิริยามารยาทมาไว้ในใจนะ
คนเราน่ะ เราต้องเอาความถูกต้องเป็นเครื่องอยู่ เอากระบวนการศีลสมาธิปัญญาเป็นเครื่องอยู่ เป็นกัลยาณมิตรให้รู้เข้าใจ
ดูแล้วน่ะมันก็พอ ๆ กันนั่นแหละ มันถึงไปกันได้ ขั้วบวกขั้วลบมันก็พอ ๆ กันนั่นแหละ
เราพยายามประพฤติปฏิบัติของเรา เราอย่ามีต่อหน้าและลับหลัง ถ้าเรามีต่อหน้าและลับหลัง เราปฏิบัติในสังคมอย่างหนึ่ง แต่ว่าใจของเรานี้ไปอีกอย่างหนึ่ง การปฏิบัติของเราไปอีกอย่างหนึ่ง การปฏิบัติของเรามีต่อหน้าและลับหลังอย่างนี้เครียดนะ เพราะศีลสมาธิปัญญามันไม่ติดติ่ต่อเนื่อง สมองกับใจมันจะไม่สัมพันธ์กัน ความสงบกับปัญญามันไม่เพียงพอพอเพียง การปฏิบัติธรรมถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง
เราทั้งหลายถึงต้องเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป มันจะเป็นไปเองมันจะหยุด มันจะไม่มีต่อหน้าและลับหลังมันจะตั้งใจตั้งเจตนา มันจะมีความสุขมีปิติ มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
ให้เราถือว่ากายวาจากิริยามารยาทอาชีพมันเป็นเพียงอุปกรณ์หรือกรรมกร ให้เราได้บำเพ็ญบารมีนะ
เราต้องตั้งใจตั้งเจตนามีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้มีความสุข เราอย่ามาอาศัยพระศาสนาหาอยู่หาหลงนะ หรือว่าอาศัยพระศาสนาหาอยู่หากินนี้ไม่ใช่นะ
เราอาศัยพระศาสนาเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพราะพระศาสนานี้ มันเป็นความถูกต้องทางกฎหมายมีลายเซ็นต์เป็นตัวอักษรน่ะ เราอย่ามาอาศัย พระศาสนาหาอยู่หาหลง หาอยู่หากินนะ
เรามาบวชมาปฏิบัติ เราต้องพากันมาเสียสละ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการเสียสละ
พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ว่าอะไร ใครจะมาจากตระกูลไหนเชื้อชาติอะไรเป็นคนหนุ่มคนสาวคนแก่คนเฒ่าคนชราพระพุทธเจ้าไม่ว่าอะไร ให้เราตั้งอกตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ
เราไม่ต้องมาอาศัยพระศาสนาหาอยู่หากินน่ะ คิดว่าพระศาสนานี้มีลายเซ็นต์เป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าเรามาบวชมาปฏิบัติมาอยู่วัดก็อยู่ได้ อย่างนี้ไม่ได้อย่างนี้ไม่ใช่พระ ไม่ใช่พระธรรมพระวินัยนี้เป็นตัวเป็นตน เราต้องรู้เข้าใจ
เราทั้งหลายพากันมาบวชมาปฏิบัติต้องมาเป็นพระธรรมพระวินัยเป็นข้อวัตรปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้
เราตั้งใจให้ถูกต้อง ตั้งเจตนาให้ถูกต้อง ก้าวไปที่ปัจจุบัน ที่เป็นพระธรรมพระวินัยข้อวัตรปฏิบัติมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะปัจจุบัน เป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ ด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ
กุฏิวิหารห้องน้ำห้องสุขา เป็นของใช้ของส่วนรวมของพระศาสนา
เราทั้งหลายรับผิดชอบในเรื่องใจของเราไม่พอ ต้องรับผิดชอบเรื่องภายนอกด้วย ให้เข้าใจ เราไม่รับผิดชอบในเรื่องความคิดของเรา กิริยามารยาทของเรา ความถูกต้องของเรา ไม่ได้นะ เพราะทุกอย่างน่ะมันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรมนะ
เราต้องรู้กรรมรู้เวรรู้ภัย เราทั้งหลายจะได้รับผิดชอบในการประพฤติการปฏิบัติ
เราอย่ามาอยู่ลอย ๆ น่ะ ลอยไปลอยมาลอยหน้าลอยตาด้วยอวิชชาความหลง เราต้องหยุดลอยหน้าลอยตาลอยอวิชชาความหลง เราต้องรับผิดชอบในความคิดคำพูดการกระทำกิริยามารยาท ต้องรับผิดชอบกุฏิวิหาร ความรับผิดชอบนี้มันคือความสงบคือปัญญา คือสติคือสัมปชัญญะนะ ถ้าเราไม่รับผิดชอบก็ชื่อว่าเราเป็นผู้ประมาท เอาความหลงนำชีวิต
การประพฤติการปฏิบัติเรามาปล่อยให้ตัวเองเสียเวลา เสียกาลเสียเวลา ไม่หยุดวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจ ปล่อยให้เวลามันกินเราด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ พระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่หยุดกาลหยุดเวลา ความสงบกับปัญญาเรียกว่าหยุดกาลหยุดเวลา หยุดกรรมหยุดเวรหยุดภัยหยุดการพังทลาย เหมือนตึก สตง.นี้นะ ให้เรารู้ให้เข้าใจ
เราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งเราจะมีปัญญาได้อย่างไรเพราะตัวตนคือไม่มีปัญญา ตัวตนคือตัวตนไม่ใช่ปัญญา เรามาเสียสละเป็นผู้มีศีลในสิกขาบทน้อยใหญ่ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา มีข้อวัตรมีข้อปฏิบัติอย่างนี้
เราอย่าอยู่ระดับคนบ้าหรืออยู่ระดับคนอาศัย อย่างเราอยู่กับคนไม่มีที่อยู่ที่อาศัย
พระธรรมพระวินัยข้อวัตรข้อปฏิบัตินี้มันเป็นที่อยู่ที่อาศัยของเรา พระธรรมพระวินัยน่ะมันเป็นพระนิพพานมันเป็นบ้านของเรานะ พระธรรมพระวินัยนี้เป็นบ้านของเรา เป็นความสงบเป็นปัญา เป็นการยกเลิกวัฏฏสงสารมีความสงบมีปัญญา พระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร มันเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นบ้านของเรานะ
เรามีบ้านภายนอกมีที่ไร่ที่นาที่สวนมีธุรกิจหน้าที่การงานนั้นเป็นที่อยู่ของกาย ให้รู้เข้าใจ ที่อยู่ของใจคือพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาอยู่กับเนื้อกับตัว อยู่กับความสงบอยู่กับปัญญา เอาพระนิพพานเป็นบ้านของเรา เป็นการทำที่สุดแห่งความดับทุกข์
ทำไมถึงดับทุกข์ล่ะ เราไม่ตามใจตามความรู้สึก ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อมมันจะเป็นทุกข์อะไร เพราะเรามีความสงบมีปัญญา เราต้องรู้เข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ ที่ติดต่อต่อเนื่องมันก็จะเป็นกระบวนการที่ไม่ขาดไม่ตกไม่ด่างไม่พร้อยมันเป็นความสงบเป็นปัญญา
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจนะ ในพรรษานี้เวลานี้แหละให้ทุกคน ว่าทุกคนก็แล้วกันเพราะยังเป็นเสขบุคคลอยู่ไม่ใช่อเสขบุคคลคือบุคคลที่ต้องประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่ภาคปฏิบัติต้องเข้าสู่ภาคบำบัด ภาคบำบัดต้องอาศัยศีลสมาธิปัญญา อาศัยข้อวัตรกิจวัตร อาศัยศีลสมาธิปัญญาเข้าสู่ภาคบำบัด
เรานอน ๓ ทุ่มตื่นตี ๓ วัดเราไม่ให้พระมีโทรศัพท์มือถือ ไม่ให้พระใช้โทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์คอมพิวเตอร์อินเทอร์เนตเฟซบุ๊คมันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์แล้วก็มีโทษ ให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเรามาบวชเราต้องยกเลิกการมีโทรศัพท์มือมือถือ
พระเก่าทั้งหลายน่ะ พวกนี้แหละถือว่าเป็นงานหนักนะ ตัวตนคือความหนักนะ พวกนี้ยกตนข่มท่าน ตีตัวเหนือท่าน เหนือธรรมะเหนือพระวินัยเหนือพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้าเลย เหมือนกับพระพุทธเจ้าสองอย่างคือโกนหัวแล้วก็นุ่งห่มผ้าจีวรเหมือนพระพุทธเจ้า ๒ อย่างเท่านั้นเอง
พระเก่าทั้งหลาย เราเอาพระในเมืองไทยหรือต่างประเทศไม่ได้ เพราะพวกนี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระอรหันต์ไม่ใช่พระธรรมพระวินัย ถ้าเราไม่เข้าสู่อุดมการณ์หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายก็จะไม่มีความสงบไม่มีปัญญา เป็นแต่เพียงนักปรัชญา ถึงจะเรียนจบ ปธ.๙ จบปริญญาเอกนั้นก็จะมีแต่ปัญหา มีแต่สร้างปัญหา พระเราที่อยู่ในเมืองไทยในต่างประเทศยังไม่ได้เข้าสู่ความสงบเข้าสู่ปัญญาไม่ได้เข้าสู่บริสุทธิคุณ
ต้องเข้าสู่ความถูกต้อง เราทั้งหลายจะเอาความหลงนำชีวิตไม่ได้ เราจะไม่มีความสงบไม่มีปัญญา เราเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต เอาทุจริต นำชีวิตมันจะไปได้อย่างไร เพราะอันนั้นมันเป็นตรงกันข้ามกับพระศาสนามันไม่ใช่ความสงบ มันเป็นการเอาตัวรอดในความไม่รอด ใครจะเหนือกรรม เหนือกฎแห่งกรรมเหนือความถูกต้องไปได้
เราทั้งหลายต้องเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ เราทั้งหลายอย่าไปดันทุรงทุรัง เอาความหลงนำชีวิต อันนี้มันทิฏฐิมานะมากอัตตาตัวตนเป็นที่ตั้ง
เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเราไม่ใช่พระนะ เราเป็นนักหลอกลวงต้มตุ๋นต่างหาก เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งจัดเป็นระดับนักต้มตุ๋นหลอกลวงนะ ไม่ใช่พระก็ว่าเป็นพระ ไม่ใช่ข้าราชการนักการเมืองก็ว่าเป็นข้าราชการนักการเมือง อย่างนี้เรียกว่าเป็นนักหลอกลวงนักต้มตุ๋น ถึงจะมีกันทั้งบ้าทั้งเมืองก็ช่างหัวมัน ให้รู้เข้าใจ เราจะไม่ได้เอาความหลงนำชีวิต เพราะเราต้องมาเน้นที่ตัวเรา
เราต้องรู้เข้าใจ เราเกิดมาก็คนเดียวตายไปก็คนเดียวเราทั้งหลายต้องมีความสงบต้องมีปัญญา
พวกนักปฏิบัติทั้งหลายต้องออกกำลังกายด้วยการทำข้อวัตรกิจวัตรทำอะไรให้สมบูรณ์ กราบพระไหว้พระก็ต้องให้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ทำอะไรก็ให้สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ สติคือความสงบสัมปชัญญะคือตัวปัญญา มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ
เราอย่าซบเซาจมอยู่หมกหมุ่นอยู่ เราต้องรู้เข้าใจ ชีวิตของเราจะได้สว่างไสวด้วยความรู้ความเข้าใจ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราพิจารณาพระไตรลักษณ์นะ อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงให้สติให้ปัญญาแก่พระอานนท์
อานนท์เอย พระอานนท์เอย อานนท์ระลึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง พระตถาคตเจ้าระลึกถึงความตายทุกลมหายใจนะ คำว่าระลึกถึงความตายก็หมายถึงเรามีตาเราก็ต้องมีปัญญา เรามีหูก็มีปัญญา เรามีจมูกมีลิ้นกายใจอะไรต่าง ๆ เราก็ต้องมีปัญญา เราจะได้มีศีลสมาธิปัญญาจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม จะไม่ได้ตั้งอยู่ในความหลงความประมาทอย่างนี้ ทุกอย่างต้องมีสติคือความสงบว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป
อย่างเรานั่งสมาธิอย่างนี้แหละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ให้เอาหลักการคืออานาปานสติ ให้เอาลมหายใจเป็นเครื่องอยู่ หายใจเข้าก็มีความสุขในการหายใจเข้า จะว่าความสุขหรือความสงบก็ได้ หายใจออกก็เอาของเสียเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป ไม่เอาอะไร มีความว่างจากตัวตน ว่างจากอดีต ปัจจุบันก็เข้าสู่ความว่าง หายใจเข้ามันก็ไม่แน่ไม่เที่ยง หายใจออกก็ไม่แน่ไม่เที่ยง ให้รู้เข้าใจ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้การให้งานสำหรับผู้ที่มาบวช ให้พิจารณาสาธยายร่างกายเพื่อเราจะได้ละสักกายทิฏฐิตัวตน ให้พิจารณาร่างกายเป็นชิ้นเป็นส่วนเลย ให้เอาผมออก เอาขนออก เอาหนังออก เอาอะไรออกเป็นชิ้น เป็นส่วนเลย คนเราถ้าเอาหนังออกมันก็ไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงผู้ชาย ทำอย่างนี้แหละ ทำวันหนึ่งหลายครั้งนะ เพราะในสิ่งดี ๆ เรื่องดี ๆ มันจะไม่อยากทำไม่อยากพิจารณา
ผู้ที่บวชมาตอนที่เป็นสามเณรน่ะที่จะเป็นพระเป็นเณรเค้าถึงบอกปัญจกรรมฐานที่เป็นภาษาบาลีว่า เกสา โลมา นะขา ทันโต ตะโจ นี้เป็นภาษาบาลีของประเทศอินเดียโน้นไม่ใช่ภาษาไทย ท่านถึงให้พิจารณาออกไปชิ้นเป็นส่วน
ถ้าเราปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องหลายวันหลายเดือนหลายปีเราก็จะเกิดความสงบเกิดปัญญาเพราะมันไม่มีอัตตาตัวตนมีแต่ส่วนประกอบที่เกิดจากเหตุจากปัจจัย
เราทั้งหลายต้องรู้จักการรู้จักงาน อย่างเรานั่งสมาธิอย่างนี้แหละ เราจะปล่อยให้โงกง่วง อย่างนี้เราก็ระลึกในใจเอาผมออก เอาหนังออก เอาอันโน้นออกอันนี้ออก มันจะได้เข้าถึงความสงบถึงปัญญา ให้เข้าใจอย่างนี้นะ ดีกว่าไปนั่งโงกนั่งง่วง ไปอ่อนน้อมถ่อมตนต่อความหลงอยู่นั่นแหละ ให้มันมีความสงบมีปัญญา ให้รู้หลักการประพฤติการปฏิบัติ
วัดเรานี้ไม่ให้สูบบุหรี่ ไม่ให้เคี้ยวหมาก ไม่ให้ดื่มยาดองเหล้าพญานาค พวกนี้แหละไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้ถือว่ามันเป็นสิ่งเสพติด ไม่จำเป็นต่อชีวิต มันเป็นสิ่งเสพติดมันทำให้เราใจอ่อน ใครติดต่อบุหรี่ติดอะไรต่าง ๆ มาอยู่นี้แหละ ต้องยกเลิกหมดน่ะ แล้วมาปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกัน
เราต้องเข้าสู่กระบวนการของการประพฤติการปฏิบัติ เพราะเรื่องติดบุหรี่เรื่องติดนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ คนโบราณสูบยาเส้นน่ะ ไปทำนาทำสวนห่างไกลจากบ้านหนึ่งกิโลสองกิโล ถ้าวันไหนไม่ได้เอาบุหรี่ไปนี้วันนั้นน่ะอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิดเพราะมันขาดสิ่งเสพติด ขาดคาเฟอีน แล้วพูดออกมาว่า ถ้าให้เลิกสูบบุหรี่หรือให้ผมหย่ากับภรรยาหย่ากับแม่บ้าน ผมจะหย่ากับแม่บ้าน...
สิ่งเสพติดมันต้องหยุดด้วยข้อวัตรข้อปฏิบัติด้วยเจตนาด้วยระเบียบด้วยพระธรรมพระวินัย ถ้าอันไหนมันไม่ดีไม่ถูกต้อง เราไปคิดไปพูดไปทำมันจะหมองหม่น มันจะเศร้าหมอง มันจะไม่เกิดความสงบไม่เกิดปัญญานะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราไปตรึกในกามในพยาบาท เพราะกามพยาบาทคือตัวตน
เราต้องบวชทั้งกายทั้งใจ เราทั้งหลายเอาความรู้สึกเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา
เราต้องพากันมาประพฤติปฏิบัติ พระเก่าต้องตั้งอกตั้งใจ เพราะเราปล่อยให้ ความประมาท ความเพลิดเพลิน ความหลงครอบครองชีวิตมาหลายวันหลายเดือนหลายปี ถือว่าพระเก่าต้องทำงานหนักนะ เพราะความไม่ละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาปที่ยกตนข่มท่าน ที่ไม่เอาข้อวัตรข้อปฏิบัติ ถือว่าเป็นงานหนักของพระเก่านะ
คนเรากว่าจะรู้ตัวมันติดไปแล้ว กรรมมันให้ผลถึงระดับไอซียูไปแล้ว
เราจะปล่อยให้ความไม่ถูกต้องนั้นครองใจของเราอีกต่อไปไม่ได้ เราต้องมาระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อจะได้สืบทอดต่อยอดบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทจะได้เข้าถึงความสงบและปัญญา จะเข้าถึงปัญญาและความสงบ จะได้เข้าถึงความเคารพ ความคารวะ ความซื่อสัตย์ความกตัญญูกตเวที
พระธรรมพระวินัยเป็นเครื่องหมายของคนดีพระดีจะเข้าถึงการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ เราต้องตั้งอกตั้งใจเข้าสู่ มอก. เข้าสู่มาตรฐาน อย่ามัวแต่เอาแต่ตัวเอาแต่ตน เดินซื่อบื้อ นั่งซื่อบื้อ กิริยามารยาทซื่อบื้อ ตัวตนนี้มันซื่อบื้อ เราต้องเสียสละ ปัญญากับความดีต้องแวววาวในปัจจุบันนะ เพื่อพัฒนาให้ทุกคนต้องหยุดเซ่อ ๆ เบลอ ๆ หยุดซื่อบื้อ เราต้องเสียละ
อดีตที่ผ่านมาก็ช่างหัวเผือกช่างหัวมัน เอาเหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ ๙ เป็นทั้งความสงบทั้งปัญญานะ ช่างหัวเผือก ช่างหัวมัน ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ เราอย่าไปใจอ่อน นอนให้เพียงพอ ขวนขวายเดินจงกรมออกกำลังกายหรือว่ากวาดวัดถูกุฏิ มีความสุขในการกระทำ หรือว่าทำการสงฆ์น่ะ ดูแลห้องน้ำห้องสุขาน้ำประปาไฟฟ้า เราพากันมาเสียสละเพื่อเป็นมรรคเป็นอริยสงฆ์ไม่ใช่มาเป็นคนเซ่อ ๆ เบลอ ๆ ซื้อบื้อ อย่างนี้ไม่ได้
เราทุกคนถ้าเสียสละก็ต้องมีความสงบมีปัญญาทุกคน ถ้าไม่เสียสละ มันก็ไม่มีความสงบไม่มีปัญญา เราดูสิ ที่เค้าเอาความหลงนำชีวิต มันเป็นการสร้างภาพเฉย ๆ มันเป็นการถ่ายรูปสร้างภาพ มันเป็นรูปแบบ แต่ว่ามันไม่ใช่พระธรรมพระวินัย ไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา
ธรรมะต้องเป็นความเสียสละต้องเป็นความสงบเป็นปัญญาต้องรู้เข้าใจ ที่ใจของเราต้องให้มันสะอาด วาจาของเรามันสะอ าดห้องน้ำห้องสุขาต้องสะอาด ทีนี้แหละไม่ต้องอาศัยใครแล้ว ต้องอาศัยตัวเองนี้แหละ ยกเลิกเขายกเลิกเรา เราก็มีแต่ความสงบมีปัญญา เรามีแต่ปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ทุกอย่างมันจะเข้าถึงความเป็นมาตรฐานเข้าถึง มอก.ในการประพฤติการปฏิบัติ มันจะเข้าสู่สแตนดาร์ดน่ะ ให้รู้เข้าใจ มันจะเป็นเหมือนพระอรหันต์ขีณาสพ เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ย่อมพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ
เรามาบวชมันจะมีประโยชน์อะไร มาบวชทำไมมาบวชแต่ทางกายไม่ได้มาบวชทางใจ จะมาบวชให้เสียเวลาทำไม เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการบวชในการประพฤติการปฏิบัติ
เราอย่าไปคิดว่า โอ้...ปฏิบัติขนาดนั้นใครเค้าจะมาบวชได้ ถ้าคิดว่าปฏิบัติไม่ได้ ก็อย่าพากันมาบวช เพราะการบวชนั้นทั้งกายทั้งใจต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เป็นพระธรรมพระวินัยเป็นข้อวัตรกิจวัตรเป็นความสงบเป็นปัญญา
ถ้าเรามาบวชเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาพระศาสนาหาอยู่หากินหาอยู่หาหลง มาเอายศเอาตำแหน่งเอานารีสีกา สีดำสีสกปรกมาหาอยู่หาหลง เดี๋ยวกรรมกฎแห่งกรรมมันจะเช็คบิลเรานะ เพราะกรรมมันเป็นสิ่งที่มีอยู่ กฎแห่งกรรมมันเป็นสิ่งที่มีอยู่
เราอย่าไปคิดว่าปฏิบัติไม่ได้ ปฏิบัติไม่ได้ก็อย่ามาบวชหรือบวชแล้วปฏิบัติไม่ได้ก็ให้ลาสิกขาไป อย่าเป็นนักหลอกลวง นักหลอกลวง ๑๘ มงกุฏน่ะ
มงกุฏนี้หมายถึงสุดยอด สุดยอดแห่งความไม่ถูกต้องอย่างนี้แหละ สุดยอดแห่งความเป็นตัวเป็นตนเค้าเรียกว่ามงกุฏ
การเรียนการศึกษาของมนุษย์มี ๑๘ ศาสตร์ ให้มนุษย์มีปัญญา เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเลยปฏิบัติตรงกันข้ามเลยเป็น ๑๘ มงกุฏ หรือเป็นนักหลอกลวงนักต้มตุ๋น อยู่ในระดับ ๑๘ มงกุฏ เราไม่เอาพระธรรมพระวินัยเราบวชมามันไม่ใช่พระนั้นมันคือนักต้มตุ๋นอยู่ในระดับ ๑๘ มงกุฏนะ
อย่าไปมีความคิดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิที่เป็นตัวเป็นตนที่ว่าปฏิบัติเหมือนพระพุทธเจ้าจะมีใครในโลกนี้เค้าประพฤติปฏิบัติได้
ถ้าทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้อย่าพากันมาบวช ถ้าบวชอยู่ทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ก็ให้พากันสึกไป ไม่มีพระก็อย่าให้มันมีโจร ให้มันเจ๊ากันไป อย่าไปคิดว่าปฏิบัติเคร่งครัดเกินไปอย่างนี้แหะจะมีใครเค้าอยากจะมาบวช ให้เข้าใจที่เค้าไม่อยากบวชเพราะเค้าไม่อยากเป็นโจรเหมือนกับเรา ไม่อยากเป็นพวก ๑๘ มงกุฏ ให้รู้เข้าใจนะ ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่สามารถที่จะรู้เข้าใจได้
พากันปฏิบัติเป็นเพียงนักต้มตุ๋น เป็น ๑๘ มงกุฏนี้แหละ ใครเค้าถึงไม่อยากพากันมาบวช มาบวชแล้วก็ไม่ได้เป็นพระ เป็นได้แต่เพียงนักต้มตุ๋นเป็นได้แต่เพียง ๑๘ มงกุฏ ใครเค้าจะอยากพากันมาบวช ผู้ที่มาบวชคิดอย่างนี้แหละอย่าพากันมาบวชนะ มันไม่ใช่พระศาสนานี้มันตัวตน นี้คืออัตตาตัวตน นี้มันคือโจรคืออันตราย เจ้าเสือร้าย เจ้าทำลายความถูกต้อง เจ้าทำลายความมั่นคง ไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา นี้มันเป็นอัตตาตัวตนนี้คือทำลายความมั่นคงของตัวเองและส่วนรวม นี้คือเจ้าเสือร้ายเจ้าอันตราย มันเป็นการทำลายความมั่นคงของพระศาสนา กุลบุตรลูกหลาน เค้าจะมารับเอาดีเอ็นเอในความไม่ถูกต้องที่มันเป็นตัวเป็นตน เพราะการบวชนี้เป็นสิ่งที่ดี่ที่สุดในโลก เรามาหยุดความไม่ถูกต้อง มาทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ผู้ที่มาบวชพ่อค้าปู่ย่าตายายข้าราชการนักการเมืองเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ก็ให้ความเคารพกราบไหว้ เพราะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเป็นพระธรรมพระวินัย เพราะสิ่งนี้เป็นความสงบเป็นปัญญาเป็นพระศาสนา
ถ้าปฏิบัติไม่ได้ก็อย่าพากันมาบวช หรือบวชแล้วปฏิบัติไม่ได้ก็พากันลาสิกขาไปเสีย ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบคนรุ่นใหม่สมัยใหม่เค้ามีการเรียนการศึกษาจบปริญญาตรีโทเอก จบเปรียญธรรม ๑-๙ เค้ามีหลักการรู้อุดมการณ์ เค้าจะพากันมาบวชมาปฏิบัติ นี้เป็นสิ่งที่ดีมาก
ประเทศไทยเรายิ่งโชคดีมีพระมหากษัตริย์ไทยมีอุดมการณ์อุดมธรรม ให้ข้าราชการลาบวชได้ ๑๒๐ วัน ในพรรษา ๓ เดือน ให้ลาก่อนเข้าพรรษา ๑๕ วันหลังพรรษา ๑๕ วัน รวมเป็น ๑๒๐ วันให้เข้าใจอย่างนี้นะ
เรามีหลักการอุดมการณ์ทุกอย่างมันมีความหมายนะให้รู้เข้าใจ อย่าไปคิดว่าพระศาสนานี้ทุกคนเลื่อมใสทุกคนโอเคนะ ขณะนี้เวลานี้แหละ พระผู้ใหญ่ พระผู้ที่มีความหลงนำชีวิต เอาเงินเอาสตางค์เอานารีสีกานำชีวิต ไม่ได้เอาพระธรรมพระวินัยนำชีวิต เค้าจะตามเช็คบิลพวกนี้
สมัยเก่าสมัยโบราณ สมัยพระเจ้าอโศก ปี พ.ศ.๒๔๐-๓๑๒ ประชาชนได้พากัน มาบวชไปบวชหลายแสนพระ หลายแสนเณร เพื่อเอาพระศาสนาหาอยู่หาหลงหรือว่าหาอยู่หากิน ผู้ที่เห็นภัยในวัฏฏสงสารไม่ยอมร่วมสมัครสมานสามัคคีกับพระผู้ที่เอาความอยู่ความหลงนำชีวิต
พระเจ้าอโศกถึงกราบถวายพระอรหันต์ขีณาสพเจ้าว่าทำไมถึงไม่สมัครสมานสามัคคีกัน ทำไมแตกแยกกัน พระพุทธเจ้าสอนให้สมัครสมานสามัคคี พระอรหันต์ขีณาสพได้บอกกับพระเจ้าอโศกว่า ขณะนี้เวลานี้มีผู้มาเอาศาสนา หาอยู่หาฉันหาอยู่หาหลงกันมาก ถึงอาศัยพระธรรมพระวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ให้เกี่ยวข้องกับผู้ที่ไม่เอาธรรมนำชีวิต เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ด้วยเหตุนี้พระเจ้าอโศกจึงอาศัยพระอรหันต์นั่นแหละ พระอรหันต์มีญาณพิเศษรู้ว่าใครทำอะไรจึงได้อาราธาณาผู้ที่ไม่เอามรรคผลนิพพาน ให้ลาสิกขาไปใส่กางเกงใส่สูทผูกเนคไทร์เป็นฆราวาส
หลังจากนั้นพระอรหันต์ขีณาสพถึงนำผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติ จึงเกิดพระอรหันต์อีกหลายแสนรูปในช่วงนั้นนะ
ด้วยความรู้ความเข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัยเรื่องมรรคเรื่องอริยมรรค เราต้องเข้าสู่กระบวนการเพราะทุกอย่างคือเหตุคือปัจจัยเราต้องรู้เข้าใจ
เหมือนพระสารีบุตรรู้เข้าใจในการให้โอวาทธรรมของพระอัสสชิ ๑ ใน ๕ ของปัญจวัคคีย์ พระสารีบุตรขณะนั้นเวลานั้นยังไม่ได้มาบวชในพระศาสนา เห็นพระอัสสชิแล้วมีความเคารพเลื่อมใส ทำไมพระรูปนี้ถึงงามสง่างามทั้งกายวาจากิริยามารยาทสง่างามไปหมด มีความสงบมีความเคารพมีปัญญา สง่างามเหลือเกิน ถึงไปกราบเรียนถามท่านว่า ท่านเป็นใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน ศาสดาของท่านสอนอะไร พระอัสสชิก็ตอบว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นครูเป็นอาจารย์ของเรา ท่านสอนว่าธรรมเหล่าใดเกิดจากเหตุ ถ้าอันไหนไม่ดีเราก็หยุดเหตุนั้น อันนั้นดีก็ทำอันนั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเหตุกับปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะเข้าสู่ขบวนการแห่งการประพฤติการปฏิบัติ
ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายมีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะภายนอก ๖ ภายใน ๖ นี้เป็นสิ่งที่ดีมากเป็นโอกาสเป็นเวลา
เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติเข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญาเพื่อให้ศีลสมาธิปัญญาติดต่อต่อเนื่อง เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อมด้วยความรู้ความเข้าใจ ก้าวไปด้วยศีลสมาธิปัญญา
ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะ นี้เป็นโอกาสพิเศษของท่านทั้งหลาย
ให้พากันตั้งอกตั้งใจตั้งเจตนา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเกิดที่เราตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติให้เข้าใจ ไม่มีใครทำให้เราได้ปฏิบัติให้เราได้ เราระลึกถึงโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านท่านตรัสว่าทุกอย่างมันเกิดด้วยเหตุด้วยปัจจัย เราอย่าได้ประมาทอย่าได้เพลิดเพลิน เพราะเราต้องหยุดสิ่งที่ไม่ถูกต้องทำสิ่งที่ถูกต้อ งด้วยความรู้ความเข้าใจ เอาความสงบเอาปัญญา เอาสติเป็นพื้นฐาน เอาปัญญาเป็นพื้นฐาน
ตามความเมตตาของหลวงปู่มั่นที่ท่านตรัสว่า เราทั้งหลายอย่าได้พากันประมาทต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาปิติสุขเอกัคคตาเอาพระธรรมนำชีวิต ให้พวกเรารู้เข้าใจ
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ
------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ ณ วันที่ ๑๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา