๑๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันพฤหัสดบที่ ๑๗ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

เราเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐ เราออกจากบ้านจากเรือนพากันมาประพฤติปฏิบัติธรรม มาบรรพชาอุปสมบท ผู้ที่ไม่ได้มาบรรพชาอุปสมบทก็ได้พากันมาประพฤติมาปฏิบัติธรรม มีทั้งพระเก่าพระใหม่ โยมเก่าโยมใหม่ มาประพฤติมาปฏิบัติไปทางเดียวกัน อย่างเดียวกัน คือเอาพระธรรมเอาพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติเพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เพราะเราจะได้มีความสงบมีปัญญา

 

ปัจจุบันนี้ที่มันเป็นตัวเป็นตนเราต้องยกเลิกตัวตน เพราะตัวตนนี้คือการเวียนว่ายตายเกิด มันคือเหตุคือปัจจัยในการเวียนว่ายตายเกิด ไม่ใช่ความสงบไม่ได้แก้ปัญหามีแต่ไปสร้างปัญหามันเป็นความปรุงความแต่งไปเรื่อย ๆ มันเป็นอวิชชาเป็นความหลง

 

 เรามายกเลิกความปรุงความแต่งทั้งหลายให้มันเกิดความสงบเกิดปัญญา เพื่อให้เป็นปฏิปทา เป็นปัญญา เราต้องเอาพุทธะนำชีวิต เอาปัญญานำชีวิต ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เป็นการปฏิบัติที่ติดต่อต่อเนื่อง เพื่อเราทุกคนจะได้บรรลุนิติภาวะ เราจะได้ผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ผ่านธาตุทั้ง ๔ ผ่านขันธ์ ทั้ง ๕ ผ่านอายตนะ ๑๒ ด้วยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายอย่าไปตามสิ่งแวดล้อม อย่าได้ไปเอาธาตุเอาขันธ์อายตนะเป็นตัวเรา

 

เราทั้งหลายต้องพากันมีหลักการมีอุดมการณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ มีอุดมธรรมมีความสงบมีปัญญา ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ก้าวไปด้วยศีล ด้วยสมาธิด้วยปัญญา

 

เราพากันมาเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ เพื่อเป็นปฏิปทาที่ติดต่อต่อเนื่อง ไม่ขาดไม่ด่างไม่พร้อย ไม่ขาดตกบกพร่องด้วยความรู้ความเข้าใจ ไม่ตั้งอยู่ในความประมาทในความหลงในความเพลิดเพลิน ควบคุมคอนโทรลด้วยมีสติเป็นพื้นฐาน คือความสงบ ด้วยสัมปชัญญะด้วยปัญญาเป็นพื้นฐาน

 

เรามาเอาความบกพร่องที่ผ่านมาเมื่อวานนี้ มาทำวันนี้ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เพราะอดีตที่ผ่านมามันเป็นบทเรียน เราจะได้เอาความบกพร่องมาแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดความบกพร่อง ไม่ต้องไปทำความผิดซ้ำ ๆ ซาก ๆ มาแก้ไขไม่ต้องให้มันผิดอีก

 

มาเอาสิ่งที่ดี ๆ ที่เราได้ทำดีแล้วทำถูกต้องแล้วให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราอย่าเอาความผิดนำชีวิต ต้องเอาความถูกต้องนำชีวิต เอาพระธรรมพระวินัยเอาข้อวัตรกิจวัตรให้ถึงพร้อม ให้เข้าถึงความพอเพียง เข้าถึงความเพียงพอ เข้าถึงความพอดี

 

เรามีปัญญามากเราก็ต้องมีความสงบมาก เรามีความสงบมากก็ต้องมีปัญญามาก เราต้องรู้เข้าใจด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญาอย่างนี้ อย่าให้ความผิดมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

เราทั้งหลายต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท ให้รู้ให้เข้าใจว่าความผิดความไม่ถูกต้องมันคือหนี้คือสิน มันคือเวรคือภัยคืออันตราย คือเจ้าเสือร้าย เจ้าที่ทำให้ชีวิตของเราพังทลายอย่างเดียวกันเช่นเดียวกันเหมือนตึก สตง. ที่มันพังพินาศพังทลาย

 

พระพุทธเจ้าให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้หยุดวัฏฏสงสารของตัวเราเอง เราทั้งหลายต้องเมตตาตัวเอง ต้องสงสารตัวเอง ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้เอาพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร พากันมาประพฤติปฏิบัติให้ติดต่อต่อเนื่อง เอาความสงบและปัญญานำชีวิต ไม่ใช่มาเอาอัตตาตัวตนเอาความหลงนำชีวิต

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องเคารพคารวะในพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร

 

ความเคารพกับความสงบมันคืออันหนึ่งอันเดียวกัน ถ้าเรามีตัวมีตน เราก็ไม่มีความสงบ ความสงบกับความเคารพมันถึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

 

 เพราะว่าตัวตนนี้แหละมันคือความไม่สงบ ตัวตนนี้ถึงเป็นการเวียนว่ายตายเกิด มีความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นคนอื่น มันมีการเปรียบเทียบเขาเปรียบเทียบเรา มันเป็นความปรุงแต่งไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา ตัวตนนั้นไม่ใช่พระธรรมไม่ใช่พระวินัย มันตรงกันข้ามมันย้อนศร มันยกตนเหนือพระพุทธเจ้า เหนือพระธรรม เหนือพระอริยสงฆ์

 

 มันไม่ใช่พระธรรมพระวินัย มันย้อนศร มันตรงกันข้าม เพราะมันเป็นตัวเป็นตน มันเป็นอัตตาเป็นตัวตน มันยกตนข่มท่าน มันถือว่าเราดีกว่าเขาเก่งกว่าเขา อะไรก็เขาอะไรก็เรา มันเป็นอย่างนี้ ถ้ามันเป็นอย่างนี้ เราจะมีความสงบมีปัญญาได้อย่างไร

 

เราต้องรู้เข้าใจในความเป็นพระ พระนั้นคือพระธรรมคือพระวินัย ถ้าเราไม่มีพระธรรมไม่มีพระวินัย เราจะเป็นพระได้อย่างไร เราจะมีความสงบมีปัญญาได้อย่างไร เราก็ไม่มีความสงบไม่มีปัญญา เราจะเป็นพระได้อย่างไร เราต้องรู้เข้าใจสิ่งที่เป็นคุณเป็นอุปการคุณคือพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร

 

เราพากันมาบรรพชาอุปสมบทมาปฏิบัติธรรม เราต้องรู้เข้าใจเราจะได้ประพฤติ ได้ปฏิบัติธรรม รู้เข้าใจเพื่อเอาพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร เพื่ออยู่ในหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อเข้าถึงข้อเท็จจริงตามความเป็นจริง เหตุการณ์ที่ผ่านมาความเสียหายได้เกิดขึ้นจากความประมาทที่เอาตัวตนนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต เนื่องจากความประมาท คิดว่าเรื่องความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ไม่สำคัญ เลยปล่อยให้ตัวเองมีตัวมีตน พากันไปตรึกในกามตรึกในพยาบาท คิดว่าตัวเองเก่งตัวเองฉลาดจะแก้ปัญหาได้ ความประมาทความหลงความเพลิดเพลินในพระธรรมในพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร มันเป็นความเสียหาย มันเป็นจุดเริ่มต้นของการพังทลาย เช่นเดียวอย่างเดียวกับตึก สตง.

 

ความประมาทนี้ถือว่าตัวร้ายกาจเป็นความหลง ความประมาทนี้มันเป็นความหลงนะ พระพุทธเจ้าท่านถึงไม่ให้เราตรึกในกามตรึกในพยาบาท เราจะไปประมาทไม่ได้ เรามาบวชเรามาปฏิบัติธรรม เราต้องไม่ตรึกในกามไม่ตรึกในพยาบาท เราต้องไม่คิดผิดพูดผิดทำผิด กิริยามารยาทที่ไม่ดีที่มันผิด ความผิดนั้นไม่ใช่คุณสมบัติของความดีนะ เป็นคุณสมบัติของคนชั่วนะ

 

เรามาบวชมาปฏิบัติ เราต้องเข้าสู่กระบวนการทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ เราทั้งหลายต้องไม่ประมาท ความเสียหายได้เกิดขึ้นด้วยความประมาท เราอย่าไปตรึกในกามอย่าไปตรึกในพยาบาทนั้นคือความประมาท ความไม่ประมาทคือการยกเลิกความผิดพลาดซ้ำ ๆ ซาก ๆ ที่มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เพราะอันนี้มันเป็นเบรก รถก็ต้องมีเบรก เครื่องบินก็ต้องมีเบรก เรือก็ต้องมีเบรก เบรกของเราก็คือความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ผู้ที่บวชมาต้องมีเบรก พระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์มันเป็นเบรก เรามาบรรพอุปสมบท มาปฏิบัติธรรมเราต้องมีเบรก เบรกก็คือความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ไม่ตรึกในกาม ไม่ตรึกในพยาบาท เราทั้งหลายจะได้บวชทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาทบวชทั้งใจ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ต้องเอาความถูกต้องตามพระธรรมพระวินัยนำชีวิต ความไม่ถูกต้องเราต้องหยุดเราต้องยกเลิก ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท ต้องเข้าใจ เรื่องพระธรรมเรื่องพระวินัย เรื่องพระรัตนตรัย ผู้มาบวชมาปฏิบัติทุกคนต้องไม่ประมาท ต้องมีเบรก ต้องมีความสงบต้องมีปัญญา ตอนที่เราไม่ได้คิดไม่ได้พูดไม่ได้ทำมันยังไม่เป็นกรรม

 

เราต้องควบคุมคอนโทรลการประพฤติการปฏิบัติของเราให้ติดต่อต่อเนื่อง เราทั้งหลายต้องแม่นยำในศีลในสมาธิในปัญญาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสบอกกับพวกเราทั้งหลายว่า เธอทั้งหลายจงประพฤติพรหมจรรย์เถิดอย่าได้ประมาท อย่าได้เพลิดเพลิน เพราะวาจิต กายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจน่ะมันทำได้ปฏิบัติได้ทีละอย่าง

 

เราทั้งหลายต้องแม่นยำในพระธรรมพระวินัย ต้องเป็นผู้ละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป เราจะเดินทางไกลด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เราต้องอาศัยรถ อาศัยเครื่องบินอาศัยเรือ เรือขนาดใหญ่ในการเดินทาง ให้รู้เข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยข้อวัตรข้อปฏิบัตินี้มันเป็นขบวนการ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี      

               

เราทั้งหลายอย่าไปทิ้งพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร ทำอะไรก็ต้องมีความสงบ ทำอะไรก็ต้องมีปัญญา ไม่ใช่ทำอะไรได้ตามใจตามอัธยาศัย มันต้องมีเบรกมันต้องมีการรับประเคน ความคิดก็ต้องรับประเคน คำพูดกิริยามารยาทอาชีพนี้ต้องรับประเคน สิ่งของต่าง ๆ ที่เราบริโภคใช้สอยเราต้องรับประเคน ต้องมีความสงบมีปัญญา ว่าอันไหนถูกต้องอันไหนไม่ถูกต้อง เพราะเรายังไม่ทำอะไรก็ถือว่า เรายังเป็นเจ้าเป็นนายอยู่ ถ้าเราทำไปแล้ว การกระทำนั้นเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม กรรมนี้เป็นพื้นฐาน เขาถึงเรียกว่ากรรมฐาน มีกรรมเป็นพื้นฐาน

 

ความประมาทนี้คือความเสียหาย คือสิ่งที่เป็นอันตราย เราทั้งหลายอย่าพากันประมาท พระพุทธเจ้าคือผู้ที่ไม่ประมาท พระอรหันต์คือผู้ที่ไม่ประมาท ให้เราเอาตัวอย่างแบบอย่าง เป็นตัวอย่างเป็นโมเดล เราอย่าเอามาตรฐานของสามัญชนที่เป็นปุถุชนนำชีวิต ต้องเอาพระพุทธเจ้าเอาพระอรหันต์เป็นตัวอย่างแบบอย่าง ถึงโลกนี้จะพากันทำอะไรตามกันทั้งโลก ถ้ามันไม่ต้องถูกต้องเราก็อย่าไปทำตาม อย่าเอาไปเป็นตัวอย่างแบบอย่างของความไม่ถูกต้อง

 

เราต้องเป็นตัวของเราเองด้วยปัญญาบริสุทธิคุณ ด้วยกายวาจากิริยามารยาทอาชีพที่บริสุทธิคุณ คือความบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพบริสุทธิคุณ เป็นความสงบเป็นปัญญา ต้องเอาพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรนำการประพฤติการปฏิบัติ เป็นกัลยาณมิตรในการประพฤติการปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้คบกับบัณฑิต บัณฑิตคือผู้ที่รู้เข้าใจ เอาธรรมนำชีวิตไม่เอาความหลงนำชีวิตเค้าเรียกว่าบัณฑิตน่ะ ถ้าบัณฑิตจบปริญญาตรีจบอุดมศึกษานี้เอาตัวตนนำชีวิตนี้พระพุทธเจ้าไม่เรียกว่าบัณฑิต เป็นผู้คงแก่เรียนเฉย ๆ

 

บัณฑิตนั้นคือพระพุทธเจ้า นั้นคือพระอรหันต์ เพราะท่านยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา พระธรรมพระวินัยนั้นให้เรารู้เข้าใจ นั่นแหละคือความถูกต้อง นั้นแหละคือจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราเกิดความสงบเกิดปัญญา

 

เราทั้งหลายต้องเข้าสู่พื้นสู่ฐานสู่ความตั้งใจตั้งเจตนาเพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาบริสุทธิคุณนำชีวิตด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา เพื่อเราทั้งหลายจะไม่เอาความผิดนำชีวิต ไม่ได้เอาความประมาทนำชีวิตด้วยเข้าสู่หลักการอุดมการณ์

 

เราทั้งหลายได้รับการแต่งตั้งได้รับการบรรพชาอุปสมบทถูกต้องตามกฎหมาย เป็นผู้ทรงเกียรติทรงปัญญา หรือว่าเป็นผู้ทรงศีลทรงสมาธิทรงปัญญา

 

เราทั้งหลายพระเก่าพระใหม่ก็มีมีสิทธิพอ ๆ กันนั่นแหละ ไม่มีใครเหนือกันไม่มีคำว่าเก่าไม่มีคำว่าใหม่ มีแต่ศีลแต่สมาธิมีแต่ปัญญา ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ เรื่องพระธรรมเรื่องพระวินัย ให้พวกเราทั้งหลายมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ให้ความสงบกับปัญญามันไปพร้อมกันด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย ความเสียหายน่ะมันเกิดจากความประมาท วัดนั้นคือข้อวัตรข้อปฏิบัติให้เข้าใจอย่างนี้ ถ้าเราไม่มีข้อวัตรข้อปฏิบัติมันก็ไม่ใช่วัด

 

นายช่างที่จะปลูกบ้านปลูกเรือนสร้างบ้านสร้างเรือนเค้าก็มีเครื่องวัด เครื่องวัดระยะสั้นระยะกลางระยะสูงระยะต่ำ วัดน้ำหนักหนักเบาเค้ามีเครื่องวัดน่ะ มันต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดีน่ะ

 

มีปัญญามากก็มีความสงบมากให้มันพอ ๆ กันเสมอกัน มีความสงบก็ต้องมี  ปัญญามากให้มันเสมอกัน มันเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเสมอกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มันเป็นความสงบและปัญญา

 

ทุก ๆ ท่านทุกคนเน้นที่ตัวเรา เอาอย่างพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็เน้นที่พระพุทธเจ้าทำพุทธกิจของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ก็เน้นที่พระอรหันต์ เสขบุคคลก็เน้นที่เสขบุคคลเน้นที่ตัวเรา

 

เราอย่าไปมองคนอื่นอย่าไปจับผิดคนอื่น อย่าไปเทียบเขาเทียบเรา ถ้าเรามองคนอื่น เราก็มองเพื่อจะเป็นผู้ให้เป็นผู้ที่ช่วยเหลือ เพราะความเมตตานั้นเป็นธรรม  เป็นปัจจุบันธรรม มันเป็นธรรมคุ้มครองโลก เมตตาธรรมเป็นธรรมคุ้มครองโลก เราทั้งหลายต้องมีเมตตาตัวเองเมตตาคนอื่นด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราทั้งหลายก่อนที่จะไปเมตตาคนอื่นก็ต้องเมตตาตนเองก่อน ถ้าไม่เมตตาตนเองก่อนชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายอย่างเดียวกันเช่นเดียวกันกับตึก สตง.นี้แหละ

 

เราทุกคนให้รู้เข้าใจ สิ่งที่เรามีสุขมีทุกข์มันไม่ใช่เหตุอื่นไกล เพราะเราต้องมีตัวมีตนมันก็มีทุกข์น่ะ ตัวตนนั้นมันถึงแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไปนอกจากทุกข์ไม่มีเราทั้งหลายต้องมารู้ตามความเป็นจริง เพราะตัวตนนี้แหละมีแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไป เราทั้งหลายต้องเข้าใจง่าย ๆ อย่างนี้ เราไปอยากก็เป็นทุกข์ เราไม่อยากก็เป็นทุกข์ เพราะความทุกข์ทั้งหลายคือความปรุงแต่งคือความเห็นผิด ความเห็นผิดเป็นเรื่องความคิดเป็นเรื่องก่อภพก่อชาติก่อเวรก่อภัยก่ออันตราย มันเป็นความเสียหายมันเป็นการสร้างปัญญา ความปรุงแต่งทั้งหลายมันถึงเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง

 

เราทั้งหลายพากันมารู้อริยสัจสี่เราทั้งหลายจะไม่ได้เอาความปรุงแต่งนำชีวิตรู้มั๊ยว่าคนไม่ตาย มีธาตุทั้ง ๔ มีขันธ์ทั้ง ๕ มีอายตนะ ๑๒ มันก็ปรุงก็แต่ง ให้รู้เข้าใจ ว่าความปรุงแต่งนั้นมันเป็นปลายเหตุของชีวิตแล้วมันเป็นกรรมเก่าของเราทุกคน    

           

รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณนี้ให้เรารู้เข้าใจว่ามันเป็นกรรมเก่า ความแก่  ความเจ็บความตายความพลัดพรากมันเป็นกรรมเก่า มันเป็นปลายเหตุแล้ว เราต้องรู้จักกรรมเก่า แล้วเราก็มารู้กรรมใหม่ กรรมใหม่ที่มันเป็นรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ มันเป็นขั้วบวกขั้วลบระหว่างเก่ากับใหม่ ให้เรารู้เข้าใจ รู้เรื่องเก่าเรื่องใหม่ เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา เราจะได้หยุดกรรมเก่าไม่สร้างกรรมใหม่ด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจเราก็จะเพลิดเพลินกับกรรมเก่ากรรมใหม่ไปอย่างนี้แหละ มันจะเป็นวัฏฏสงสารเป็นสังสารวัฏมันจะหมุนรอบตัวเองอย่างนี้แหละเป็นวัฏจักร

 

เราต้องรู้จักเราต้องรู้แจ้งเราเข้าใจในเรื่องกรรมเก่ากรรมใหม่ เราต้องรู้ทั้งคนเก่าคนใหม่คนคือตัวความปรุงแต่งนี้แหละ เราต้องรู้เข้าใจ เพราะคนยังไม่ตายก็คิดไปเรื่อย

 

เรายังไม่ตายเพราะอายุขัยของเราตามปกติมันอยู่ได้ชั่วศตวรรษหนึ่งคือร้อยปีน่ะ เรามีกรรมเก่ามันก็เป็นอย่างนี้แหละ ถ้าเราไม่รู้กรรมใหม่มันก็ไปของมันเรื่อย ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็เป็นวัฏฏสงสาร มันจะเป็นครอบครัว มันจะมีลูกมีผัวมีเมีย  ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ

 

เราต้องรู้พระธรรมพระวินัยเป็นการหยุด เป็นการยกเลิกเป็นการแคนเซิล เราต้องเห็นคุณเห็นประโยชน์ในเรื่องพระธรรมพระวินัย ในเรื่องยานที่จะนำเราออกจากวัฏฏสงสาร เพราะความเสียหายเกิดจากความประมาท คิดว่าไม่เป็นไร          

    

เรื่องความเสียหายของพระใหม่พระเก่ามันอยู่ที่ความประมาท อยู่ที่ตรึกในกามตรึกในพยาบาท ตรึกยังไม่พอยังเข้าสู่กระบวนการแห่งความหลงน่ะ เมื่อมันเห็นดี เห็นงามเห็นชอบมันก็เข้าสู่กระบวนแห่งความหลง

 

เราทั้งหลายต้องหยุดความหลงตัวเองให้ได้ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในการหยุดความหลงของตัวเอง ให้หยุดความอร่อยความแซบความนัว ของตัวเองให้ได้ ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติมันก็ย่อมมีความผิดซ้ำซาก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

เราทั้งหลายต้องเข้าสู่ความสงบและปัญญา รับผิดชอบคอนโทรลตัวเองให้อยู่ในพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตร เพราะกรรมนั้นมันมีจริง กฎของกรรมมันมีจริง นรกมี สวรรค์มี นิพพานมี ความเสียหายคือความประมาทนะ ความเสียหายจะเข้ามาหาเรา เพราะเราตรึกในกามตรึกในพยาบาท ให้เข้าใจว่าความประมาทคือความเสียหาย

 

เรามาบวชกายนั้นดีแล้วถูกต้องแล้ว เราต้องบวชทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาทบวชทั้งกายนั้นคือความถูกต้อง มีความสุขมีปิติในการประพฤติการปฏิบัติไม่ประมาทเพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา อย่าให้ภัยอันตรายทั้งหลายมันเกิดขึ้นแก่เรา ภัยที่เกิดทางธาตุทางขันธ์ทางอายตนะ เกิดทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจ เราจะไม่รู้จักภัย ไม่รู้จักอันตราย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ ท่านเสด็จไปโปรดชฎิล ๓ พี่น้อง (ให้ผู้แสดงธรรมเล่าเรื่องชฎิล ๓ พี่น้อง)

 

 ให้ทุกคนรู้เข้าใจ ตาหูจมูกลิ้นกายใจมันจะเป็นอันตราย ถ้าเรารู้เข้าใจแล้วมันจะเป็นคุณ มันจะเป็นพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ ที่เค้าเรียกว่า “คุณ คุณ” คุณผู้หญิงคุณผู้ชาย คุณพ่อคุณแม่คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย คำว่าคุณคือไม่มีโทษ ความไม่ประมาท นั่นแหละคือคุณคือประโยชน์ นั่นแหละคือทำให้เรามีสติเป็นพื้นฐาน มีปัญญาเป็นพื้นฐานจะไม่ได้ทำอะไรไปตามสิ่งแวดล้อม

 

ความประมาทมันเริ่มต้นจาก ไม่เห็นความสำคัญในพระธรรมพระวินัย

อย่างพระผู้ใหญ่พากันทำความผิดที่พากันมีโทรศัพท์มือถือ มันเป็นการชักศึก เอาความผิดนำชีวิต เอาความประมาทนำชีวิต พระผู้น้อยทำความผิดนี้เนื่องมาจากเอาตัวเอาตนนำชีวิต เอาความประมาทนำชีวิต พากันไปมีโทรศัพท์มือถือเป็นการชักศึก เอาความผิดนำชีวิต เอาความประมาทนำชีวิต

 

รู้มั๊ยว่าทุกอย่างนั้นมันมีทั้งคุณมีทั้งโทษนะ เมื่อมีโทรศัพท์มือถือมันก็มีการติดต่อสิ่งภายนอกที่พระพุทธเจ้าตรัสกับชฎิล ๓ พี่น้องว่า อายตนะภายนอกภายใน คือตาหูจมูกลิ้นกายใจมันเป็นภัยเป็นอันตราย เราทั้งหลายจะใช้โทรศัพท์ ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อมาทำงานเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม เพราะสิ่งเหล่านี้มันมีทั้งคุณทั้งโทษ ให้เรารู้เข้าใจ เราทำอะไรต้องไม่ประมาท

 

ขณะนี้เวลานี้แหละ กรรมทั้งหลายกำลังจะเช็คบิลผู้ที่เอาความประมาทนำชีวิต เอาความหลงนำชีวิต เพราะการติดต่อต่อเนื่องมันมาจากตาหูจมูกลิ้นกายใจ ตลอดถึงสิ่งภายนอก คือโทรศัพท์มือถือนี้ผ่านทางเฟซบุ๊คเป็นจุดเริ่มต้น ให้เป็นการติดต่อระหว่างขั้วบวกขั้วลบของกรรมกฎแห่งกรรม วัดของเรานี้ถึงไม่ให้พระเก่าพระใหม่มีโทรศัพท์มือถือใช้โทรศัพท์มือถือ

 

ให้พวกเรารู้เข้าใจในพระธรรมในพระวินัยที่มีอุปการคุณ เพราะเรามาบรรพอุปสมบทมันเป็นสิ่งที่ดีที่ถูกต้องเพื่อจะได้เอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต เราทั้งหลายจะได้พากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็ย่อมพังทลาย

 

ให้รู้หลักการที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไปโปรดชฎิลสามพี่น้อง ท่านได้วางพระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ให้รู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็ย่อมพังทลายอย่างไม่ต้องสงสัย พังทลายเหมือนตึก สตง.

 

ทั้งพระเก่าพระใหม่ให้พากันเข้าใจนะ เราทั้งหลายได้มีโอกาสมีเวลามาประพฤติปฏิบัติให้เอาพระพุทธเจ้าเป็นหลักเอาพระอรหันต์เป็นหลักมีปิติมีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ

 

ให้ถือว่าเราโชคดีได้มาประพฤติปฏิบัติเพื่อผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ  เราทั้งหลายอย่าได้พากันประมาท เพราะความประมาทคือความเสียหาย

 

ชีวิตของเรานี้น้อยนักกาลเวลานี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เราต้องหยุดกรรมหยุดเวรหยุดภัยหยุดอันตรายด้วยความไม่ประมาท ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีเมตตาตรัสว่า เธอทั้งหลายจงอย่าได้ประมาท เหมือนหลวงปู่มั่นท่านตรัสว่า ชีวิตของเรานี้มันน้อย อย่าเอาความประมาท อย่าเอาความหลงนำชีวิต ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

 

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตเมตตาตรัสว่า

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ

 

---------------------------------------

 

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

Visitors: 98,215