๒๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันพุธที่ ๒๓ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

พระธรรมพระวินัยให้พวกเราเข้าใจ พระธรรมพระวินัยคือเหตุคือปัจจัย ให้เรารู้ให้เรามีปัญญา เราอาศัยหลักการด้วยความรู้ความเข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยนั้นคือความสงบและปัญญา

 

เราเอาหลักการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านบำเพ็ญพุทธบารมีหลายอสงไขย หลายล้านชาติ หลายล้านปี

 

ให้พวกเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติในการปฏิบัติ เพราะทุกอย่างนั้นคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม เราจะได้ประพฤติปฏิบัติให้ติดต่อต่อเนื่อง ไม่ให้ขาดตกบกพร่องไม่ให้ด่างไม่ให้พร้อยด้วยความตั้งใจด้วยเจตนาไม่ว่าต่อหน้าและลับหลัง

 

เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เพื่อจะชีวิตของเราจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้ผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้บรรลุนิติภาวะ คำว่าบรรลุนิติภาวะหมายถึงรู้เหตุรู้ปัจจัย

 

 จะไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต จะเอาปัญญาเอาความสงบนำชีวิต เพื่อไม่ให้กรรมเก่าที่เป็นอดีต มาเอากรรมใหม่มาทำงานติดต่อต่อเนื่อง อดีตที่เราเคยเวียนว่ายตายเกิดนั้นได้แก่กรรมเก่า ให้เรามีความรู้ความเข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจกรรมเก่าและกรรมใหม่จะเกิดติดต่อประสานกันเป็นกระบวนการให้ความเกิดติดต่อต่อเนื่อง

 

เรามีธาตุทั้ง ๔ มีขันธ์ทั้ง ๕ มีอายตนะ ๖ นี้คือกรรมเก่าของเรา ให้เรารู้ให้เข้าใจ ส่วนกรรมใหม่ที่เราจะต้องรู้เข้าใจ กรรมใหม่ก็ได้แก่รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ เราไม่ต้องให้กรรมเก่าและกรรมใหม่ทำงาน ประสานติดต่อกันเป็นวัฏฏสงสาร เราต้องรู้เข้าใจเรื่องของกรรมเก่าและรู้เรื่องของกรรมใหม่ พระธรรมพระวินัยที่จะหยุดทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่

 

เราต้องรู้เหตุรู้ปัจจัยรู้ขั้วบวกรู้ขั้วลบ ขั้วบวกขั้วลบนี้แหละที่จะทำให้เราตกอยู่ในสังสารวัฏ ไปในรอยเก่าก็เพราะเราไม่รู้เข้าใจเรื่องขั้วบวกขั้วลบ ขั้วบวกขั้วลบก็ได้แก่มีความสัมพันธ์ มีเพศสัมพันธ์ระหว่างกรรมเก่าและกรรมใหม่ จะทำให้เราตกไปในที่ต่ำ เหมือนเครื่องบินกำลังบินอยู่บนฟ้าในอากาศ เครื่องบินไปเจอหลุมอากาศ ไปเจอความแรงของลมในอากาศ เป็นสาเหตุให้เครื่องบินนั้นตกลงสู่พื้นดิน ตกลงที่ต่ำ ทำให้เครื่องบินเกิดอุบัติเหตุ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นทำให้เกิดอุบัติเหตุ การให้ขั้วบวกขั้วลบมาประจุกันทำงานก็เป็นเช่นเดียวกัน

 

เราต้องมีปัญญาให้เพียงพอ มีความสงบให้เพียงพอ เรามาบวชมาประพฤติมาปฏิบัติธรรม เราต้องพากันมาเจริญสติสัมปชัญญะ สติก็ได้แก่ความสงบ มาเจริญสัมปชัญญะคือตัวปัญญา เพื่อเราจะได้เอาสติสัมปชัญญะเอามาใช้มาทำงาน เพื่อจะได้ผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เรารู้ให้เราเข้าใจเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ถึงสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มันจะเอร็ดอร่อย มันจะแซบมันจะลำมันจะนัวมันจะหรอยก็ช่างหัวเผือกช่างหัวมัน เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลเดชมหาราชท่านตรัสไว้ เราต้องมีปัญญามีความสงบ เพื่อจะได้เอาความสงบและปัญญามาประพฤติปฏิบัติให้ติดต่อต่อเนื่อง เราต้องเป็นผู้ไม่ประมาท ไม่ยินดี ไม่หลง ไม่เพลิดเพลิน ให้เข้าใจ พระธรรมพระวินัยนี้เป็นสิ่งที่ขลังเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นกระบวนการที่จะนำเราออกจากวัฏฏสงสาร ออกจากสังสาระ

 

เรื่องผู้หญิงนี้แหละ เรื่องสตรีนี้แหละมันเป็นเรื่องใหญ่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสไว้เป็นตัวอย่างแบบอย่างไว้กับพระอานนท์ การเวียนว่ายตายเกิดมันเกิดจากขั้วบวกขั้วลบ มนุษย์ทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจเรื่องขั้วบวกขั้วลบ การเวียนว่ายตายเกิดสาเหตุมาจากขั้วบวกขั้วลบ ให้เราเข้าใจเรื่องดินน้ำลมไฟ น้ำก็ให้เป็นส่วนของน้ำ ไฟก็ให้เป็นส่วนของไฟ ลมก็ให้เป็นส่วนของลม สิ่งภายนอกก็ให้เป็นสิ่งภายนอก สิ่งภายในก็ให้เป็นสิ่งภายใน สิ่งภายนอกภายในก็จะมีแต่ความสงบ อย่าให้ภายนอกกับภายในมาประจุกันให้เป็นขั้วบวกขั้วลบ

 

ทุกอย่างนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่ ตาของเราก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ รูปภายนอกก็เป็นสิ่งที่มีอยู่  หูของเราก็เป็นสิ่งที่ภายในก็มีอยู่ เสียงสิ่งภายนอกมันก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ จมูกของเราเป็นสิ่งภายในก็มีอยู่ กลิ่นทั้งหลายภายนอกก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ ลิ้นของเราเป็นสิ่งภายในก็มีอยู่  รสทั้งหลายทั้งปวงเป็นสิ่งภายนอกก็มีอยู่ กายของเราเป็นสิ่งภายในมีอยู่ สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นภายนอกก็ย่อมสัมผัสกับกายของเรา ใจของเราก็มีอยู่เพราะเรายังมีลมปราณ เรายังมีอายุขัย อารมณ์ในการรับรู้ทั้งสิ่งภายนอกภายในก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ เราต้องรู้เข้าใจทุกสิ่งอย่างนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เรารู้เข้าใจสิ่งภายนอกก็ให้เป็นสิ่งภายนอก สิ่งภายในก็ให้เป็นสิ่งภายใน ไม่ให้สิ่งภายนอกภายในประจุกันเป็นขั้วบวกขั้วลบ สติต้องเป็นพื้นฐาน ปัญญาต้องเป็นพื้นฐาน สติกับปัญญาจะได้เป็นพื้นฐาน ความสงบกับปัญญาต้องเป็นพื้นเป็นฐาน การประพฤติการปฏิบัติธรรมต้องก้าวไปอย่างนี้นะ อย่าให้ใจของเราไปหยุดไปสะดุด เราต้องผ่านสิ่งเหล่านี้ไปให้ได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสิ่งภายนอกภายในมันก็จะมีอยู่เก้อ ๆ ของมันเอง ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ ด้วยความสงบและปัญญา เราต้องประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์ด้วยความรู้ความเข้าใจ ให้ใจของเราสงบ ให้ใจของเรามีสติมีปัญญา

 

การประพฤติการปฏิบัติต่อผู้หญิงต่อสุภาพสตรี ให้เราพากันประพฤติพากันปฏิบัติในพระธรรมคำสั่งสอนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้โอวาทแก่พระอานนท์น่ะ คนมาวัดคนไปวัดส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงเป็นสุภาพสตรีเป็นส่วนใหญ่เป็นส่วนมาก คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ร้อยละ ๙๐ เป็นผู้หญิง เป็นสุภาพสตรี พระพุทธเจ้าถึงให้มีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพราะสุภาพบุรุษกับสุภาพสตรีนั้นมันเป็นขั้วบวกและขั้วลบ จะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง

 

จะได้เป็นสัดเป็นส่วน อย่ามาใกล้ชิดพระมากเกินไปมันไม่ถูกต้อง มันไม่สวยงาม มันไม่เหมาะสม ต้องอยู่ห่าง ๆ อยู่ไกล ๆ โน่น เวลาจะประเคนของถวายพระ ต้องให้ผู้ชายประเคน อย่าให้ผู้หญิงเข้ามาประเคน ผู้หญิงนั่งมองอยู่ห่าง ๆ อย่างนี้แหละดีมาก ๆ ถูกต้องตามพระธรรมตามพระวินัย

 

ผู้ที่มาอยู่ใกล้พระ มาถวายของพระ ต้องเป็นโยมผู้ชาย ไม่ใช่เป็นโยมผู้หญิง               ถ้าไม่มีโยมผู้ชายมีแต่โยมผู้หญิงวัฒนธรรมประเพณีของประเทศไทยพระจะเอาผ้ารองรับเพื่อให้โยมผู้หญิงเอาของวางที่ผ้านั้น ไม่จับเอาสิ่งของต่อมือผู้หญิง ต้องเอาผ้ารองรับ นี้เป็นประเพณีวัฒนธรรมของประเทศไทย หลาย ๆ ประเทศ ผู้หญิงรับประเคน พระจะจับเอาส่วนด้านบน พวกผู้หญิงจับด้านล่างของสิ่งของหรือของภาชนะ อย่างนี้ไม่ผิดพระธรรมไม่ผิดพระวินัย เพียงแต่อย่าให้มือสัมผัสถูกต้องผู้หญิง

 

 เวลาพระออกภิกขาจารออกบิณฑบาตตอนเช้าเดินตามถนน ผ่านหน้าบ้านเรา เราเป็นผู้หญิงเราต้องระมัดระวัง ถ้าพระมาบิณฑบาตหลายรูปนั้นไม่เป็นไร ถ้าพระรูปเดียวเราเป็นผู้หญิงคนเดียวจะทำให้พระนั้นต้องอาบัติ ที่สองต่อสองกับผู้หญิง เราเป็นโยมผู้หญิงเราก็เป็นบาป เพราะทำให้พระนั้นต้องอาบัติ เราก็ต้องเคารพคารวะในพระธรรมในพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาไปวัดไปถวายของพระ เราเป็นผู้หญิงเราอย่าไปคนเดียว เราขับรถไปถึงวัดคนเดียวได้ แต่ไปถึงวัดแล้วต้องไปหาโยมที่วัดไปเป็นเพื่อนกันหลาย ๆ คน ไปเป็นหมู่เป็นคณะ อย่าเข้าไปหาพระเพียงคนเดียว จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พระนั้นต้องอาบัติ ถ้าเราไปหาพระคนเดียวน่ะ เข้าไปในห้องพระมีที่มุงที่บังมีประตูมีหน้าต่าง พระนั้นจะต้องอาบัติอนิยต อนิยตปรับอาบัติหลายอย่าง

 

อนิยต คือสิกขาบทที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทประเภทกึ่งกลางระหว่าง       ครุกาบัตินี้ได้แก่อาบัติหนัก กับละหุกาบัติ ซึ่งสิกขาบทนี้ขึ้นอยู่กับความเป็นจริงที่ได้ละเมิดที่ได้ทำความผิด เกิดเป็นเรื่องเป็นราวเป็นอธิกรณ์ จะมีพระวินัยธรมาสอบสวน แล้วจะปรับโทษตามการกระทำความผิด จะวินิจฉัยว่าควรจะให้ปรับอาบัติแบบไหนขึ้นอยู่กับความเป็นจริงในการทำความผิด ตามแต่จะได้โทษหนักหรือเบาอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งมีทั้งหมด ๒ ประเภทดังนี้

 

๑.  อยู่ในที่ลับตากับสุภาพสตรีสองต่อสอง

๒.  อยู่ในที่ลับหูกับสุภาพสตรีสองต่อสอง

 

คำว่า อนิยต แปลว่า สิกขาบทที่ไม่แน่นอนว่าจะให้ปรับอาบัติเป็นปาราชิก หรือปรับอาบัติ สังฆาทิเสส หรือปาจิตตีย์ กล่าวคือเมื่อมีผู้พบเห็นหรือได้ยินว่าพระภิกษุอยู่กับสุภาพสตรีด้วยกันสองต่อสองโดยที่ไม่มีบุคคลที่สามอยู่ด้วย มีผู้ที่รู้เดียงสาได้ไปรายงานต่อพระวินัยธรว่ามีสุภาพสตรีไปอยู่ที่ห้องสองต่อสองกับพระภิกษุ ไม่มีผู้ที่สามอยู่เป็นเพื่อน จากนั้นพระวินัยธรก็จะทำการไต่สวนกับพระภิกษุผู้ถูกกล่าวหา หากพระภิกษุนั้นยอมรับสารภาพว่าได้กระทำใด ๆ อย่างใดอย่างหนึ่งกับสุภาพสตรีที่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง ถ้าภิกษุไม่ยอมรับแต่หลักฐานนั้นเป็นประจักษ์พยาน เช่นสมัยปัจจุบันนี้ได้มีการติดกล้องวงจรปิด เพราะกล้องวงจรปิดนั้นให้ความเป็นธรรมความยุติธรรมเป็นอย่างดี

 

ตามที่โจทก์ได้กล่าวหาหรือตามพระภิกษุสามเณรภายในวัดรู้เห็นกล่าวหา ทางพระวินัยธรก็จะทำการวินิจฉัยว่าควรจะให้ปรับอาบัติแบบไหนตามแต่หนักหรือเบาตามทางของพระวินัยอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น

 

  • ถ้าพระภิกษุยอมรับยอมจำนวนว่าได้เสพเมถุนกับสุภาพสตรี จึงให้ปรับอาบัติเป็นปาราชิก
  • ถ้าพระภิกษุยอมรับว่าแตะต้องสุภาพสตรีด้วยความกำหนัดยินดีหรือพูดจากับสุภาพสตรีด้วยวาจาชั่วหยาบ วาจาที่ชั่วหยาบนี้หมายถึงเกี้ยวพาราสี เหมือนชายหนุ่มจีบสาว เหมือนหญิงสาวจีบชายหนุ่มอย่างนี้เรียกว่าคำหยาบชั่วหยาบ จึงให้ปรับอาบัติเป็นสังฆาทิเสส
  • ถ้าพระภิกษุไม่ได้กระทำใด ๆ กับสตรี แต่อยู่ด้วยกับสตรีสองต่อสอง จึงให้ปรับอาบัติเป็นปาจิตตีย์

 

อาบัติอนิตยตนี้ปรับอาบัติ ๓ อย่าง อย่างที่ ๑ ได้เสพเมถุกับสุภาพสตรีต้องอาบัติปาราชิกขาดจากความเป็นพระทันที ถึงจะไม่ลาสิกขาก็ขาดจากความเป็นพระ ถึงจะไม่มีใครมาสอบสวน ใครไม่รู้ไม่เห็น พระภิกษุผู้กระทำความผิดรู้ เพราะอาบัติมันอยู่ที่ตั้งใจตั้งเจตนา เมื่อตั้งใจตั้งเจตนาสำเร็จก็ต้องอาบัติปาราชิกขาดจากความเป็นพระ ข้อที่สองต้องอาบัติสังฆาทิเสสเพราะมีความกำหนัดยินดี จับต้องกายหญิงเคล้าคลึง กอดจูบลูบไล้ ถึงใครจะไม่รู้ไม่เห็นก็ต้องอาบัติสังฆาทิเสส พระภิกษุอยู่สองต่อสองกับสุภาพสตรี ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ เสพเมถุน ไม่ได้แตะต้องกายหญิงด้วยความกำหนัดยินดี แต่ทำความผิดด้วยการอยู่สองต่อสองกับผู้หญิงน่ะ เป็นอาบัติปาจิตตีย์

 

ถ้าพระเข้าไปในบ้านเพียงลำพังมีพระภิกษุเพียงรูปเดียวอย่างนี้แหละทำไม่ได้นะ ไปไม่ได้นะ เป็นสิ่งที่ไม่สมควร ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งมีผู้หญิงเพียงคนเดียวยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควร พระรูปเดียวผู้หญิงคนเดียว พระนั้นย่อมต้องอาบัติตั้งแต่ปาราชิก สังฆาทิเสส ปาจิตตีย์ พระภิกษุจะเกี่ยวข้องกับผู้หญิงสองต่อสองนั้นไม่ได้ ถ้าอยู่กันเป็นหมู่เป็นคณะทั้งผู้หญิงผู้ชายก็สมควรให้ผู้ชายเป็นผู้ที่ถวายเป็นผู้ที่ประเคน อย่างนี้สมควร  

 

เพื่อป้องกันในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามไม่ถูกต้อง ถ้ามีคนเยอะในวันธรรมสวณะ มีอยู่ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ผู้หญิงอยากจะประเคนเพราะเอาของมาก็อยากถวายด้วยมือของตนเอง ให้ใช้ประเพณีวัฒนธรรมไทย ประเทศไทยได้มีหลักการที่ดี พระภิกษุต้องใช้ผ้ามารองรับในการรับประเคน พระภิกษุจับผ้าไว้ สุภาพสตรีที่จะถวายก็ยกของขึ้น ยกขึ้นสูงสักหนึ่งคืบแล้ววางลงที่ผ้า แล้วพระก็ยกของนั้นออก ถ้ามีของอันอื่นก็ทำอย่างนี้ไปจนหมดของที่ถวาย

 

ประเทศไทยเรานี้ดีมาก ตั้งแต่บรรพบุรุษพยายามกันสุภาพสตรีเอาไว้ห่าง ๆ  หลายประเทศผู้หญิงประเคนไม่ได้เอาผ้ารองรับประเคน เค้าจะจับเอาส่วนบนของของที่เค้าถวาย เพียงแต่ระมัดระวัง ไม่ให้พระและผู้หญิงถูกเนื้อต้องตัวซึ่งกันและกัน เค้าใช้เค้าหลักการปฏิบัติกันอย่างนี้กันหลายประเทศ ถือว่าไม่ผิด ถูกต้องตามพระธรรมพระวินัย

 

ประเทศไทยศูนย์การเรียนการศึกษาได้อยู่ที่เมืองหลวง อยู่ที่กรุงเทพมหานคร ผู้ที่จะเรียนศึกษามัธยมอุดมศึกษาต้องไปเรียนศึกษาที่กรุงเทพมหานคร

 

การเรียนการศึกษาเมื่อสมัยร้อยกว่าปีมีการเรียนการศึกษาอยู่ที่วัด วัดเป็นที่เรียนที่ศึกษาพร้อมทั้งการประพฤติการปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน พระนี้เป็นผู้สอนหนังสือพร้อมทั้งสอนการประพฤติการปฏิบัติ การเรียนการศึกษาเมื่อหลัง ๒๕๐๐ ภาคบังคับอยู่ในระดับประถมศึกษา จบประถมปีที่ ๔ โรงเรียนก็เป็นโรงเรียนวัด จะมีแต่เด็กผู้ชายไปเรียนไปศึกษา ไปอยู่วัดเป็นเด็กวัด ต้องการเรียนให้สูงก็ต้องไปเรียนที่กรุงเทพมหานคร ไปเรียนที่เมืองหลวง

 วัดที่อยู่ในกรุงเทพมหานครอยู่ในเมืองหลวงถึงอยู่ติด ๆ กัน ไม่ห่างกัน ห่างกันอย่างมากก็ไม่เกินกิโลสองกิโล การเรียนการศึกษาสมัยก่อนนี้ มีพระเป็นครูสอน สอนทั้งความรู้สามัญสอนทั้งธรรมะไปพร้อม ๆ กัน

 

เพราะผู้ที่เรียนหนังสือ สมัยก่อนสมัยโบราณเค้าให้แต่ผู้ชายเรียนผู้ชายศึกษา เพราะว่าครูสอนคือพระ เค้าไม่ให้ผู้หญิงไปเรียนหนังสือ เพราะว่าพระกับผู้หญิงนั้นคลุกคลีกันไม่ได้

 

วัดทุกวัดถึงมีโรงเรียนอยู่ที่วัดทุก ๆ วัด พากันไปอยู่ที่แออัด พากันไปอยู่วัด พากันไปอยู่ในสถานที่แออัดด้วยความจำเป็น คนรุ่นเก่าสมัยเก่าไปจากต่างจังหวัด ไปจากชนบท ไปเรียนหนังสือต้องไปอาศัยวัดเป็นเด็กวัด เพราะไม่มีสถานที่พักต้องอาศัยวัดอยู่วัดเป็นที่พักเป็นที่เรียนหนังสือ ไม่มีความสะดวกสบายเหมือนทุกวันนี้ ไม่มีบ้านพักไม่มีหอพักไม่มีคอนโดให้เช่าเหมือนสมัยปัจจุบันนี้

 

ผู้ที่เป็นข้าราชการ เมื่อสมัยนั้นล้วนแต่เป็นเด็กวัดทั้งนั้น พระรูปหนึ่งต้องรับผิดชอบดูแลเด็ก ๆ ตั้งหลายคน ได้อาศัยอาหารบิณฑบาต มาอาศัยอยู่อาศัยนอนเพื่อเรียนเพื่อศึกษา อยู่กันอย่างอด ๆ อยาก ๆ ไม่ได้รับความสะดวกสบายเหมือนทุกวันนี้ เป็นเด็กวัดน่ะต้องตื่นแต่เช้า ต้องตื่นนอนตั้งแต่ตีสี่ของทุก ๆ วัน ทำวัตรสวดมนต์นั่งสมาธิทำเหมือนกับพระนี้แหละทุกอย่าง เพื่อความอยู่ได้อยู่รอด เวลาพระออกภิกขาจารบิณฑบาตก็เดินตามพระเพื่อไปช่วยถือของ พระเมื่อก่อนสมัยก่อนมีความขลังมีความศักดิ์สิทธิ์ ท่านมีความเคร่งครัดในพระธรรมในพระวินัยในข้อวัตรกิจวัตร ท่านปฏิบัติขลังศักดิ์สิทธิ์น่ะ

 

ถึงจะเป็นพระในกรุงเทพในเมืองหลวงท่านก็ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีปฏิปทาประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมพระวินัยอย่างเคร่งครัด ปฏิบัติเคร่งครัดเหมือนพระป่าพระกรรมฐานของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต การประพฤติการปฏิบัติที่ติดต่อต่อเนื่องเป็นปัญญาเป็นความสงบ เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ท่านถึงขลังถึงศักดิ์ถึงสิทธิ์ เราคิดดูน่ะสมเด็จโต ท่านขลังท่านศักดิ์ท่านสิทธิ์ ท่านเป็นพระอยู่ในกรุงอยู่ในเมืองหลวง ท่านขลังท่านศักดิ์ท่านสิทธิ์ เพราะความรู้ความเข้าใจในเรื่องพระธรรมพระวินัย มีความตั้งอกตั้งใจตั้งเจตนา ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ท่านถึงขลังท่านถึงศักดิ์ท่านถึงสิทธิ์

 

 รู้เข้าใจพระธรรมพระวินัยว่านี้เป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม พระโบราณน่ะถึงมีความขลังศักดิ์สิทธิ์ พระธรรมพระวินัยที่ติดต่อต่อเนื่องมันจะขลังมันจะศักดิ์สิทธิ์ เด็กที่ไปเรียนหนังสือ ที่ไปอยู่วัดถึงเป็นเด็กดีเป็นคนดีเป็นคนมีปัญญา เอาความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ความเคารพคารวะถึงเป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติ เป็นเครื่องวัด เค้าจะสร้างบ้านสร้างเรือนเค้าก็ต้องมีเครื่องวัด วัดระยะสั้นระยะยาวระยะสูงระยะต่ำ วัดน้ำหนัก

 

ต้องถือหลักการเอาพระรัตนตรัยนำชีวิต ได้แก่พุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ คำว่าคุณนี้ก็ไม่มีโทษมีแต่คุณฝ่ายเดียว

 

ความเคารพคารวะอ่อนน้อมถ่อมตนนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าเราไม่มีความเคารพเราก็ไม่สงบ ถ้าเราไม่เคารพ เราก็มีตัวมีตน คารวธรรมเป็นธรรมะที่สำคัญ การประพฤติการปฏิบัติถึงเน้นมาที่จิตที่ใจ เรื่องพระธรรมพระวินัยเป็นเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องเจตนา ที่ทุกวันนี้มีปัญหาก็เพราะไปจัดการตั้งแต่ภายนอกไม่ได้จัดการตัวเอง ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ความซื่อสัตย์สุจริต มีความเคารพยำเกรงในพระธรรมในพระวินัยต้องออกมาจากใจ เบื้องต้นเบื้องแรกต้องมาจากเรื่องจิตเรื่องใจ ท่านถึงไม่ให้ตรึกในกามตรึกในพยาบาท เราเป็นคนเก่งคนฉลาด เราเป็นพระเก่งพระฉลาดก็ต้องเป็นคนดีเป็นพระดี ต้องเอาพระธรรมพระวินัยนำชีวิต ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน พากันเน้นในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบันทุก ๆ คน เพื่อจะได้เป็นมรรคเป็นอริยมรรค ปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ การประพฤติการปฏิบัติใจของเรามันยังไม่เป็นพระ ก็ให้กายวาจากิริยามารยาทอาชีพของเราเป็นพระ พระคือพระธรรมคือพระวินัย

 

 เช่น เราจะเดินผ่านผู้หลักผู้ใหญ่ เดินผ่านพ่อแม่ปู่ย่าตายายหรือผู้น้อยกว่าเราก็ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนพอดีพองามตามฐานะ เพื่อคารวะในธรรม เราต้องเอาใจใส่ในเรื่องปัจจุบันอย่าไปมองข้ามปฏิปทาในปัจจุบันเพื่อจะได้ลงรายละเอียดในการเจริญสติปัฏฐาน เราต้องขับเคลื่อนตัวเองคือสติคือความสงบ ด้วยสัมปชัญญะตัวปัญญาเป็นปฏิปทาเป็นสติปัฏฐาน  ไม่ให้ความฟุ้งซ่านที่เป็นตัวเป็นตนครอบงำจิตใจเรา ไม่ต้องไปเปรียบเทียบเขาเปรียบเทียบเรา

 

ไม่ยกตนเสมอกับท่านหรือต่ำต้อยกว่าท่าน หรือกว่าเก่งกว่าท่าน อย่าให้ความปรุงแต่งมันครองใจของเรา เรามีลมปราณมีโอกาสมีเวลาอย่าพากันตั้งอยู่ในความประมาท ความหลง ความเพลิดเพลิน  

 

เราเป็นคนเก่งเป็นคนฉลาดเราก็ต้องเป็นคนดี เพื่อจะได้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เป็นความสงบเป็นปัญญา เราจะได้หยุดอัตตาตัวตน หยุดความปรุงแต่ง ด้วยความรู้ความเข้าใจ เพราะว่ามนุษย์เรามันมีความทุกข์มาจากเหตุปัจจัยคือความปรุงแต่ง ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะเราก็ต้องหยุดด้วยความรู้ความเข้าใจ หยุดด้วยพระธรรมพระวินัย เพื่อเอาพระธรรมพระวินัยนำชีวิต เห็นภัยในวัฏฏสงสารความปรุงความแต่ง สตินั่นแหละ เราต้องเอามาหยุดความปรุงแต่ง สัมปชัญญะตัวปัญญานั่นแหละเราต้องเอามาหยุดความปรุงแต่ง เราไม่ต้องไปโง่งมงาย เอาความหลงนำชีวิต เอาความปรุงแต่งนำชีวิต

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้หลักการให้อุดมการณ์อุดมธรรม เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ ต้องพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะยกเลิกการเวียนว่ายตายเกิดของเรา ความดับทุกข์ไม่ใช่อยู่ที่ทรัพย์สมบัติภายนอก ทรัพย์สมบัติภายนอกเป็นเพียงวัสดุที่อำนวยความสะดวกสบายในการดำรงชีวิต ดำรงธาตุ ดำรงขันธ์ เท่านั้นเอง ใจของเรานี้แหละเป็นตัวสำคัญ ใจของเราต้องมีสติมีปัญญา

 

 เราต้องยกเลิกความหลงของตัวเอง ยกเลิกความเป็นบ้าเป็นผีบ้าของตัวเอง ตัวตนนั่นแหละคือคนบ้าคนผีบ้า เราต้องรู้เข้าใจว่าขณะนี้เวลานี้เรากำลังหยุดเป็นคนผีบ้า ความสงบด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยพระธรรมพระวินัย เป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เป็นผู้อ่อนน้อมต่อพระธรรมพระวินัย มาปฏิบัติเป็นปฏิปทา ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา เราจะไม่ได้มีต่อหน้าและลับหลัง

 

ความสงบเป็นพื้นฐานของชีวิต สงบกายวาจากิริยามารยาทใจที่บริสุทธิคุณ ใจที่เป็นประภัสสรต้องเป็นพื้นเป็นฐานของชีวิต ความรู้คู่กับการประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เป็นฐานของกรรม กรรมดีที่ประกอบด้วยปัญญา

 ให้ออกมาจากใจ ออกจากบริสุทธิคุณ ออกจากพระนิพพาน ไม่มีการเสแสร้งสร้างภาพ หลอกลวง เพื่อความสงบเพื่อความพอดี ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป มีปัญญามากก็ต้องมีความสงบมาก มีความสงบมากก็ต้องมีปัญญามาก ผู้มีปัญญามากก็ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ผู้มีปัญญาน้อยต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เหิมไม่เกริม ตั้งอยู่ในความประมาท เน้นมาที่ตัวของเรา เพราะการประพฤติการปฏิบัตินั้นเน้นที่ตัวเรา ใครเค้าจะดีเค้าจะชั่วก็ช่างหัวเขา เราเน้นมาที่ตัวเรา เพราะเรื่องของเราก็เป็นเรื่องของเรา เรื่องของเขาก็เป็นเรื่องของเขา พระธรรมพระวินัยเป็นพื้นเป็นฐานเป็นแบบเป็นอย่าง

 

 

พ่อแม่ถึงเป็นแบบเป็นอย่าง พ่อแม่ทางกายเราก็ต้องรู้จัก พ่อแม่ทางจิตใจเราก็ต้องรู้จัก เพราะทางวิทยาศาสตร์ทางใจก็ต้องไปพร้อม ๆ กัน พระธรรมพระวินัยถึงเป็นฐานของชีวิต เป็นแบบเป็นอย่าง เป็นแบบเป็นพิมพ์ให้กับผู้รู้ผู้เห็นได้ปฏิบัติตาม การเรียนการศึกษานี้ทำให้มนุษย์มีปัญญาที่เป็นบริสุทธิคุณ การเรียนการศึกษาของมนุษย์นี้มีทั้งหมด ๑๘ ศาสตร์ ถึงได้มีภาคเรียนภาคบังคับ ผู้ที่เกิดมาต้องมีการเรียนการศึกษา ให้มีความรู้ความเข้าใจจะทำให้เรามีปัญญา เมื่อความเจริญรุ่งเรืองต้องให้มีความรู้ทั่วถึงทั้งหญิงทั้งชาย จึงได้แยกโรงเรียนออกจากวัด เพื่อจะได้ให้สุภาพสตรีเรียนหนังสือ เป็นคนดีเป็นคนฉลาด เช่นให้สร้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ความหมายของจุฬา หมายถึงสิ่งที่สูงสุดบนศรีษะเปรียบเสมือนมวยผมเปรียบเสมือนพระเศียรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปรียบเสมือนปัญญาบริสุทธิคุณไม่ใช่ปัญญาที่เป็นตัวเป็นตน มันเป็นความรู้ที่บริสุทธิที่ไม่เอาตัวตนนำชีวิต มันเป็นความสงบและปัญญานี้ความหมายของจุฬาที่เอามาตั้งชื่อเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์น่ะมีความหมายครอบคลุมถึงหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม รู้หลักอริยสัจสี่ตามความเป็นจริง เพื่อจะได้เรียนได้ศึกษา ให้เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ต้องเอาธรรมนำชีวิต เพื่อเข้าสู่บริสุทธิคุณ ทางสายกลาง เพื่อไม่ให้เราทำอะไรให้เป็นตัวเราของเรา หรือของผู้อื่น ที่ท่านพุทธทาสภิกขุ สวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ท่านจะพูดเสมอว่าไม่ให้มีตัวกูของกู ต้องพัฒนาใจกับวัตถุไม่ให้เกิดตัวเกิดตน ให้เกิดความสงบเกิดปัญญา

 

ชื่อของมหาวิทยาลัยอุดมศึกษาจุฬาลงกรณ์นี้เป็นนามแฝงด้วยธรรมะด้วยธรรมนูญ ชื่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นชื่อเป็นนามของธรรมะ มนุษย์เราต้องเอาธรรมนำชีวิต ต้องเอาธรรมนูญนำชีวิต เพื่อพัฒนาใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กันเป็นธรรมนูญเป็นรัฐธรรมนูญ การเรียนการศึกษานั้นถึงมีแต่คุณ ไม่มีโทษ เน้นเรื่องจิตเรื่องใจพร้อมกับทางวัตถุไปพร้อม ๆ กันด้วยสติคือความสงบด้วยสัมปชัญญะตัวปัญญา การเรียนการศึกษาจึงมีความหมายอย่างนี้แหละ ไม่ใช่เราเรียนเราศึกษาเพื่ออัตตาเพื่อตัวตน เพื่อให้การเรียนการศึกษาได้พัฒนาทั้งใจทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กัน วัตถุกับทางใจนี้มันแยกกันไม่ได้มันต้องไปพร้อม ๆ กัน เช่นระบบสมองของมนุษย์กับลมหายใจอย่างนี้มันต้องไปพร้อม ๆ กันมันแยกกันไม่ได้ ถ้าแยกกันแล้วมันจะเป็นความปรุงแต่งทันที มันไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา เพื่อให้ทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นฝ่ายวัตถุไปพร้อม ๆ กันกับจิตกับใจ ระหว่างระบบสมองกับลมหายใจให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างความสงบและปัญญาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันถึงจะหยุดความปรุงแต่งได้  

 

การปฏิบัติของเราน่ะ พรหมจรรย์ของเราน่ะ ว่าเราก็แล้วกัน เพราะเรายังเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติอยู่ เป็นเสขบุคคลอยู่ ถึงต้องเอาพระธรรมเอาพระวินัยนำชีวิต ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท ไม่ตั้งอยู่ในความฟุ้งซ่าน ปัจจุบันนี้มันจะเป็นความสงบเป็นความพอดี เราต้องรู้เข้าใจว่าความดับทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่เรามีความสงบมีปัญญา

 

ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจการประพฤติการปฏิบัติของเรามันก็ไปไม่ได้ มันก็พังทลายเหมือนตึก สตง.

 

 

ตึก สตง.อยู่ที่กรุงเทพมหานคร ตึก ๓๐ กว่าชั้น ตึก สตง.ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิตเอาทุจริตนำชีวิต ชีวิตมันเลยพังทลาย ชีวิตมันพังทลายนะ ตึกสตง.มันพังทลายด้วยนิติบุคคลตัวตนพังทลายด้วยทุจริตมันจะไปแก้ไขตั้งแต่ภายนอกมันจะไปพัฒนาตั้งแต่วิทยาศาสตร์จะไปเอาความสุขบนความหลง ชีวิตเลยพังทลายนะ

 

เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งน่ะ เราคิดดูดีๆ นะ ตึกใหญ่กว่าสูงกว่าตึก สตง.ตั้งหลายสิบตึกที่กรุงเทพมหานครที่ปริมณฑล เค้าไม่พังทลายเหมือนตึกสตง. เพราะพอที่จะรับน้ำหนักได้ ไม่ใช่ไม่โกงกินคอร์รัปชั่นนะ แต่เค้าโกงกินคอร์รัปชั่นน้อยพอที่จะรับแผ่นดินไหวจากมัณฑะเลย์ประเทศพม่า ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ประเทศพม่าห่างไกลกันตั้งนับพันกิโล

 

นี้ให้เรามองเห็นในแง่มุมความไม่ถูกต้องน่ะ ชีวิตที่เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ

 

เราทั้งหลายถึงต้องเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร รู้จักความคิดรู้จักอารมณ์เหมือนท่านพระอาจารย์ลี ธัมมธโร วัดอโศการาม สมุทรปราการ ท่านรู้จักความคิดการปรุงแต่งของตัวเอง ท่านรู้จักว่าความปรุงแต่งนี้มันคือวัฏฏสงสารนะ ท่านรู้จักความปรุงแต่ง เพราะความปรุงแต่งมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

 

เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ชีวิตนี้ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. เพราะมันไม่ถูกต้อง มันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. นี้แหละ

 

ตึก สตง.ที่อยู่กรุงเทพมหานครอยู่เมืองหลวงอยู่เมืองกรุง เป็นศูนย์รวมของประเทศ เหมือนสมองเป็นศูนย์รวมของร่างกาย เหมือนหัวใจเป็นศูนย์รวมของสรีระร่างกาย

 

สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่บริหารประเทศ บริหารแผ่นดินไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เอาแต่ความรู้เอาแต่วิทยาศาสตร์เอาแต่ตัวเอาแต่ตน ไปแก้แต่สิ่งภายนอก ไม่ได้แก้ตัวเองไปพร้อม ๆ กัน

 

การพัฒนาวิทยาศาสตร์มันต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันมันถึงถูกต้องนะ พัฒนาทั้งภายนอกภายในด้วยความรู้ความเข้าใจให้ครบวงจร อริยมรรคองค์แปดถึงเป็นความรู้ความเข้าใจ เพื่อการประพฤติการปฏิบัติมันจะได้สมบูรณ์ สมบูรณ์ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพด้วยความถูกต้อง

 

มันต้องรู้ธรรมรู้ปัจจุบันธรรม รู้ธรรมธรรมนูญน่ะ ถ้าเราไปจัดการแต่สิ่งภายนอก เราไม่ได้จัดการตัวเองมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้นะ

 

การบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่น มันต้องรู้เข้าใจแล้วมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์

 

ถ้าเรามีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติมันก็ไม่มีความทุกข์อยู่แล้ว ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติ ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพ เราต้องเน้นมาที่ตัวเราในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองให้มันสมบูรณ์ เราทั้งหลายจะไม่ได้พังทลายเหมือนตึก สตง.

 

ถ้าใครมีตัวมีตนบุคคลนั้นคือทุจริตนะ เราทั้งหลายจะได้รู้ว่าทุจริตนั้นคือตัวตนน่ะ ใครเอาตัวตนนำชีวิตบุคคลนั้นคือบุคคลที่ทุจริต เราต้องรู้จักธรรมรู้จักธรรมนูญ ปัญหาต่าง ๆ นั้นมันอยู่ที่ทุจริตนะ

 

การที่จะบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่นต้องยกเลิกทุจริต ถึงจะเป็นนักบริหารตัวเองนักบริหารคนอื่นด้วยการรู้เข้าใจในการบริหารในการปฏิบัติ

 

ตำแหน่งที่เค้าแต่งให้เราเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นตำแหน่งที่ให้เรามาเสียสละ  มารับผิดชอบโฟกัสในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ใช่ตำแหน่งที่ให้พวกเราทั้งหลายมาทุจริตนะ

 

ให้ถือว่ามันเป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติมีเกียรติมีศักดิ์ศรี เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันจะมีเกียรติมีศักดิ์ศรีได้อย่างไร ถึงพวกเราทั้งหลายจะพากันใส่สูทผูกเนคไทห้อยเหรียญตรา เป็นผู้ทรงเกียรติมันก็ไม่เป็นผู้ทรงเกียรตินะ มันเป็นผู้ทรงความหลงต่างหาก ทรงความโง่ความหลงงมงายต่างหากล่ะ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะเข้าถึงบริสุทธิคุณ เข้าถึงธรรมนูญเข้าถึงรัฐธรรมนูญไม่ได้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเป็นอบายมุขอบายภูมินะ มันตกอยู่ในภพภูมิของ ๓๑ ภพภูมิ

 

ในภพภูมิของวัฏฏสงสารนี้มีอยู่ ๓๑ ภพภูมิ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะอยู่ในระนาบของ ๓๑ ภพภูมินี้แหละ

 

เค้าถึงมีศัพท์ว่าคน คนนี้หมายถึงตัวถึงตน หมายถึง ๓๑ ภพภูมินี้แหละ ภพภูมิที่เวียนว่ายตายเกิดมีทั้งหมด ๓๑ ภพภูมิ

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ประพฤติปฏิบัติ เราจะไม่ได้ย่ำต๊อกกับความหลงที่มีศัพท์ว่า “คน” คนนี้ความหมายหมายถึงความไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้น มันจะวกวนอยู่ที่เก่า มันจะเป็นผู้ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา สัมผัสกับอะไรก็ไปกับสิ่งนั้น ๆ อยู่ในภพภูมินั้น ๆ

 

เรารู้เราเข้าใจเราจะได้หยุดภพภูมินั้น ๆ ด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ด้วยความเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเค้าเรียกว่ามันหลง มันวกวนในความหลงอย่างนั้น จิตใจวกวน   อย่างนั้นมันจะไปไหนไม่ได้ มันจะเป็นได้แต่เพียงคนเป็นได้แต่เพียงความหลง หัวใจของบุคคลนั้นมันจะอยู่ในระนาบแห่งความหลงหรือว่าหัวใจบ่อนคาสิโน เอาตัวตนเป็นที่ตั้งคือหัวใจบ่อนคาสิโน หัวใจบ่อนทำลายความถูกต้อง หัวใจบ่อนความหลง

 

ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้เห็นภัยในความไม่ถูกต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารด้วยปัญญาบริสุทธิคุณ ด้วยเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ พอใจยินดีมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิตหัวใจของเราทั้งหลายจะได้หยุดอบายมุขอบายภูมิ

 

เราทั้งหลายถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายจะพากันคิดว่า ความสุขทั้งหลายได้มาจากสิ่งที่อำนวยความสุขความสะดวกความสบายด้วยการพัฒนาวิทยาศาสตร์ อันนี้จริงอันนี้ถูกต้อง ความสุขทั้งหลายมันอยู่พัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์

 

เราทั้งหลายต้องมีสัมมาทิฐิเราต้องมีความรู้ความเข้าใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ก็ต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ถ้าเราพัฒนาวิทยาศาสตร์มันก็ยังเป็นนิติบุคคลตัวตนอยู่

 

เราต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันด้วยความรู้ความเข้าใจเราทั้งหลายน่ะ ถึงเป็นการพัฒนาครบวงจรด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็จะเอาความหลงนำชีวิตเอาวิทยาศาสตร์นำชีวิต

 

เราต้องเอาทั้งวิทยาศาสตร์เอาทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กันนะ

 

เราอย่าไปคิดว่าประเทศสิงคโปร์นั้นน่ะประเทศเล็ก ๆ เท่าอำเภอหนึ่งของเมืองไทยก็ไม่ได้ เค้าพัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์เป็นหนึ่งของเอเชียเพราะเค้าตั้งบ่อนคาสิโน มาเก๊าส่วนหนึ่งของประเทศจีนเค้าก็รวยเพราะเค้าพัฒนาตามหลักเหตุตามหลักวิทยาศาสตร์

 

พวกเราทั้งหลายเมื่อมีปัญญาแล้วต้องรอบคอบนะ มีปัญญาแล้วต้องรอบคอบ อย่าลืมว่าชีวิตของเรามันเป็นรายรับรายจ่ายนะ เราไปจับหางงูเดี๋ยวงูมันจะมากัดเรา  งูพิษมันจะมากัดเรานะ การที่เราเอาหลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องแล้ว เราต้องมีหลักการมีอุดมการณ์แล้วก็มีอุดมธรรมนะ หลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์น่ะ แต่ต้องไม่ทิ้งอุดมธรรมนะ

 

เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเอาความรู้สึกที่เอาตัวเป็นที่ตั้งมันเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์แล้วอุดมด้วยความหลงนะ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราเอาทั้งหลักการอุดมการณ์แล้วก็ยกเลิกอุดมหลงนะ

 

ให้เอาอุดมธรรมให้เอาธรรมเอาธรรมนูญมันถึงจะสมบูรณ์เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี เราอยากได้มากมันก็ไม่มาก เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อย เราต้องรู้จักความพอดีเข้าสู่ความสมดุลทั้งรายรับรายจ่าย

 

เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี การประสูติของพระพุทธเจ้าถึงเป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็เป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ

 

เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้รู้หลักการรู้อุดมการณ์แล้วก็อุดมธรรม เราอยู่ที่ไหนก็พากันปฏิบัติได้ เมื่อเรามีลมปราณ มีอายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ มีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้

 

ให้รู้เข้าใจมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

อย่าไปคิดด้วยอวิชชาความหลงเอาแต่หลักการอุดมการณ์เอาแต่วิทยาศาสตร์น่ะ ถ้าเรารวย รวยความหลงมันไม่ดีนะ รวยความโง่หลงงมงายเรียกว่ารวยไสยศาสตร์มันไม่ดีนะ ไม่ใช่ความดีมันไม่ใช่บารมีไม่ใช่ปัญญาบริสุทธิคุณนะ มันเป็นความหลงนะ

 

ให้เรารู้เข้าใจ อย่าไปคิดว่าทำไมเราโง่ไปตั้งหลายปี ประเทศสิงคโปร์ประเทศ เค้าเล็กนิดเดียวเค้าตั้งบ่อนคาสิโนเค้ารวยกัน ประเทศมาเก๊าก็เหมือนกันเค้ารวยกัน

 

ประเทศสิงคโปร์เค้ามีหลักเหตุผลมีหลักวิทยาศาสตร์น่ะ เค้าคิดว่าประเทศสิงคโปร์มันเล็กนิดเดียว จะทำเกษตรกรรมก็ไม่ได้ จะทำอุตสาหกรรมก็ไม่ได้ ถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโนด้วยหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์ก็รวยได้ เพราะคนในนี้โลกนี้มันคนมีความไม่ฉลาด เอาความหลงนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิตมันมีมากถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโน เราสามารถรวยได้ทางวัตถุ ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์เค้าถึงพากันตั้งบ่อนคาสิโน จะเรียกบ่อนคาสิโนก็ได้หรือเรียกบ่อนแห่งความหลงก็ได้ มันคืออันเดียวกัน

 

ให้เรารู้เข้าใจ ประเทศไทยเราแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลเราต้องรู้เข้าใจว่า เราทั้งหลายอย่ายินดีในการเอาความหลงนำชีวิต อย่าไปยินดีในการเอาบ่อนคาสิโน นำชีวิตนะ

 

พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ศาสดาทุกศาสนาเค้ามายกเลิกบ่อนคาสิโน มายกเลิกอบายมุขอบายภูมิ ให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเรารู้เข้าใจ ทุกอย่างน่ะไม่มีปัญหา ปัญหาอยู่ที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจนะ

 

 

เหมือนประเทศไทยของเรานี้แหละ โครงการยกเลิกเหล้ายกเลิกเบียร์ ยกเลิกสิ่งเสพติดยาเสพติดที่มันเป็นอบายมุขแห่งชีวิต ที่มันเป็นอบายภูมิแห่งชีวิต

 

เกือบร้อยปีของโครงการพากันประพฤติปฏิบัติด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ ตั้งอยู่ในความประมาท เอาความหลงนำชีวิตเอาความประมาทนำชีวิตมันก็ปฏิบัติไม่ได้ มันก็ยิ่งมากกว่าเก่า ไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิต ความหลงก็เลยยิ่งใหญ่ใหญ่ยิ่ง

 

มันก็แก้ปัญหาไม่ได้ มันยิ่งมากทวีคูณ มันก็ไปของมันเรื่อย มากยิ่งกว่าเก่าทวีคูณยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก

 

อย่างการสวมหมวกกันน็อคอย่างนี้แหละ มอเตอร์ไซด์เข้ามาในเมืองไทย ประเทศไทย ไม่ต่ำกว่า ๖๐ ปี ขณะนี้เวลานี้ก็ยังทำไม่ได้ เรื่องสวมหมวกกันน็อคนี้ที่ให้ประชาชนผู้ขับขี่จักรยานยนต์เพื่อสะดวกในการสัญจรไปมา ได้ออกกฎหมายบังคับตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๒๕ ขณะนี้เวลานี้มันก็เป็นเวลาจวนจะ ๕๐ ปีแล้วก็ยังพากันทำไม่ได้

 

ถ้าเรารู้เข้าใจว่า การทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยนี้ไม่ได้ มันเป็นความเสียหายทั้งตัวเราและส่วนรวม มันไปไม่ได้ ชีวิตของเรามันไปไม่ได้นะ ชีวิตนี้มันพังทลายเหมือนตึก สตง.ของเมืองไทยนี้แหละ

 

เราต้องเข้าใจ ทุกคนต้องเข้าใจ ไม่ใช่เข้าใจเฉย ๆ ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าไม่อย่างนั้น มันก็จะไปของมันด้วยความไม่ถูกต้องอย่างนี้แหละ

 

พูดอย่างนี้ไม่ใช่คนบ้าจี้นะ ไม่ใช่คนผีบ้าจี้นะ  นี้มันคนดีจี้ คนมีปัญญาจี้ นี้เป็นพระธรรมคำสั่งสอนที่เป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ อาชีพที่ถูกต้องเป็นมรรคเป็นอริยมรรค เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจในภัยทั้งทางกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ ภัยที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ เราไม่เห็นภัยก็ตั้งอยู่ในความประมาท เราจะเอาความประมาทนำชีวิตมันเป็นความไม่ถูกต้องนะ

 

 

 

นี้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เป็นพระศาสนา เป็นพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นธรรมเป็นธรรมนูญ เพื่อให้เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ให้เรารู้ให้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้พากันประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง ทำให้ถูกต้อง จะได้ไม่พากันทำความผิด เพื่อเข้าสู่ขบวนการแห่งความถูกต้องของรัฐธรรมนูญในการดำเนินชีวิต  การดำเนินชีวิตต้องไม่เอาความผิดดำเนินชีวิต 

 

ให้เราทั้งหลายมาระลึกถึงโอวาทสุดท้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนท่านจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

ให้ระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนของหลวงปู่มั่น

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรม ความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เรารู้พระธรรมพระวินัยเข้าถึงการประพฤติการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตาย ปัจจุบันเราไม่มีพระนิพพาน อนาคตเราจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้ทุกท่านทุกคนเข้าใจอย่าได้ตั้งอยู่ในความประมาท เพราะความประมาทนั้นคือความผิดพลาด ความผิดพลาดคือความประมาท

 

-----------------------------

 

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๒๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

 ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

รายการล่าสุดที่คุณดู
Visitors: 98,212