๒๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๒๖ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

 

วันนี้เป็นวันเสาร์ วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดการทำงานของข้าราชการและ รัฐวิสาหกิจ วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานเป็นหลักการของการทำงานของมนุษย์

 

มนุษย์เราปัจจุบันนี้มีอายุขัยอยู่ได้ ๑ ศตวรรษ ศตวรรษหนึ่งคือร้อยปี มนุษย์เราการดำเนินชีวิตต้องเอาธรรมนำชีวิต ประพฤติปฏิบัติทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจด้วยการเอาธรรมนำชีวิต เพื่อจะได้ทั้งส่วนของร่างกายและส่วนของทางจิตใจไปพร้อม ๆ กัน ด้วยการมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ

 

มนุษย์เราที่เกิดมามีการเรียนการศึกษาเพื่อให้เกิดปัญญาสัมมาทิฏฐิ จะได้เอาความรู้ได้จากการเรียนการศึกษาไปทำงาน มนุษย์เราทุกคนที่เกิดมาต้องทำงาน การทำงานกับการปฏิบัติธรรมต้องให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจะแยกกันไม่ได้ ระหว่างการทำงานกับการปฏิบัติธรรม ต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

 

ความรู้ความเข้าใจจะเป็นอริยมรรคในการประพฤติการปฏิบัติ

 

มนุษย์เราต้องรู้ต้องเข้าใจเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรม ผลของกรรม เป็นผู้รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ทุกอย่างเกิดจากกรรม จึงต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ มนุษย์เรามีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายนะทั้ง ๖ มีอดีตมีปัจจุบันมีอนาคตหมุนไปตามเหตุตามปัจจัย

 

มนุษย์เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ต้องรู้เหตุรู้ปัจจัย รู้กรรม รู้กฎแห่งกรรม รู้ผลของกรรม ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ นี้คือผลของกรรม เป็นปัจจุบันกรรม ได้แก่เป็นธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ทุกอย่างคือผลของกรรมจากอดีต รู้เข้าใจว่าทุกอย่างนั้นมันคือเหตุคือปัจจัย ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน มันเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม เป็นกรรมเก่าให้พวกเราเข้าใจ กรรมเก่าเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้เพราะมันเป็นอดีตไปแล้ว มันเกษียณไปแล้วมันผ่านไปแล้ว

 

เราทั้งหลายถึงต้องมารู้กรรมใหม่ เราจะหยุดกรรมใหม่ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายต้องรู้จักกรรมใหม่ด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อจะไม่ให้กรรมเก่ากรรมใหม่มันทำงานติดต่อต่อเนื่องอย่างที่ไม่จบไม่สิ้น เราจะมาหยุดกรรมใหม่ด้วยความรู้ความเข้าใจ เรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจนี้คือกรรมเก่า

 

ให้เรามีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เรามีตามันถึงมีรูป ถ้าเราไม่มีตารูปก็ไม่มี ตานั้นคือกรรมเก่า รูปนั้นคือกรรมใหม่ ให้เรารู้ให้เข้าใจอย่างนี้ หูน่ะคือกรรมเก่า เสียงที่มาสัมผัสหูคือกรรมใหม่ จมูกนั้นคือกรรมเก่า กลิ่นที่สัมผัสกับจมูกคือกรรมใหม่ ลิ้นคือกรรมเก่า รสที่มาสัมผัสกับลิ้นคือกรรมใหม่ กายนั้นคือกรรมเก่า สิ่งที่มาสัมผัสกับกายคือกรรมใหม่ ใจนั้นคือกรรมเก่า สิ่งที่มาสัมผัสกับใจเป็นอารมณ์เป็นเจตสิกมันเป็นกรรมใหม่ มนุษย์เราถึงต้องมารู้ทั้งกรรมเก่ากรรมใหม่

 

ให้เราพากันเข้าใจในวัฏฏสงสาร ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องกรรมเก่ากรรมใหม่มันจะเวียนว่ายตายเกิด การประพฤติการปฏิบัติให้เราเอาปัจจุบันเมื่อมีการผัสสะ เพื่อรู้เข้าใจ เราจะให้หยุดลงในเมื่อมีผัสสะของอายตนะภายนอกภายใน ให้พวกเรารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราจะไม่ได้ไปตามผัสสะไม่ได้ไปตามอายตนะ เราจะหยุดด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยการเห็นภัยในวัฏฏสงสาร

 

เราต้องรู้เข้าใจในวัฏฏสงสาร เราจะหยุดด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการมีสติมีสัมปชัญญะ สติคือความระลึกได้ สัมปชัญญะคือตัวปัญญา เอาสติเอาสัมปชัญญะมาใช้มาปฏิบัติในปัจจุบันด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยการเห็นภัยในการเวียนว่ายตายเกิด เราจะหยุดเวียนว่ายตายเกิดได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ รวมกันเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา เราจะหยุดความปรุงแต่งได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ วาระหนึ่งมันปรุงแต่งได้ทีละอย่าง ทีละวาระไป ถ้าเรารู้เข้าใจเราก็หยุดความปรุงแต่ง เพราะความปรุงแต่งนี้คือการเวียนว่ายตายเกิด เราจะหยุดเวียนว่ายตายเกิดเราก็ต้องมีสติสัมปชัญญะ

 

ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญ อดีตนั้นไม่สำคัญ อนาคตไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่วาระปัจจุบัน เรารู้เข้าใจเราจะได้ประพฤติปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องด้วยความรู้ความเข้าใจ การปฏิบัติต่อเนื่องด้วยความรู้ความเข้าใจนั้นมันจะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ศีลสมาธิปัญญานี้จะหยุดการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ปัจจุบันนี้สำคัญ ปัจจุบันนี้จะเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงบอกพวกเราทั้งหลายว่า เธอทั้งหลายอย่าพากันประมาท ต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติอย่าประมาท เพราะการประพฤติการปฏิบัติเป็นเรื่องของเราเอง ไม่มีปฏิบัติแทนกันหรือปฏิบัติให้กันได้

 

ให้เราพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ให้ปิติสุขเอกัคคตานั้นเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม อย่าให้ความปรุงแต่งนั้นเกิดได้

 

เราทั้งหลายต้องเห็นภัย เห็นอันตรายในการปรุงแต่ง ให้ความสงบกับปัญญารวมกันเป็นหนึ่ง เป็นเอกัคคตารมณ์ ถ้าเรามีความสงบและปัญญา เป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา ความปรุงแต่งนั้นก็จะปรุงแต่งเราอีกต่อไปไม่ได้ วัฏฏสงสารไม่มีโอกาสได้ทำงาน การเวียนว่ายตายเกิดของเรานั้นก็จะเกิดอีกต่อไปไม่ได้ เพราะเรารู้เราเข้าใจ เช่นเดียวกันกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านได้ตรัสไว้ว่า เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว เรารู้จักวัฏฏสงสารเสียแล้ว วัฏฏสงสารนั้นจะทำงานไม่ได้อีกต่อไปด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ในพระจันทร์วันเพ็ญวิสาขปุณณมี พระองค์ท่านได้ทรงบำเพ็ญพุทธบารมี ๔ อสงไขย แสนมหากัป ครบถ้วนบริบูรณ์ เข้าถึงความเต็ม ความพอเพียงเพียงพอ ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

(ให้ผู้แสดงธรรมเล่าเรื่องนางสุชาดาได้ถวายข้าวมธุปายาสจนถึงพระพุทธเจ้าเสวยวิมุติสุขและโปรดปัญจวัคคีย์)

มนุษย์เราต้องเป็นผู้ประเสริฐ ต้องรู้ต้องเข้าใจในเรื่องวัฏฏสงสาร ในเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม ให้รู้เรื่องกรรมเก่าและให้รู้เรื่องกรรมใหม่ ด้วยความรู้ความเข้าใจ เพราะทุกอย่างนั้นคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาเผยแผ่พระธรรม ๒๐ พรรษาแรกทรงแสดงธรรมให้รู้ให้เข้าใจในเรื่องอริยสัจสี่ ยังไม่ได้วางรากฐานพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ หลังจาก ๒๐ พรรษา จึงได้วางรากฐานพระธรรมพระวินัย เพื่อเป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เป็นกาลเวลายาวนานได้ ๔๕ พรรษา

 

ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับยับยั้งสำราญอิริยาบถอยู่ที่ปาวาลเจดียนคร เวลานั้นสมเด็จพระชินวรเห็นมารเข้ามาเฝ้า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสถามว่า

“ปาปิมะ ดูก่อน มารผู้มีบาป เธอเข้ามาปรารถนาอะไร..?"

มารได้กราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาว่า

“พระสมณโคดมผู้ประเสริฐ ในวันที่ท่านเสด็จออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ในวันนั้น เราได้ห้ามท่านว่าท่านจะบวชเพื่อประโยชน์อะไร เพราะว่าตำแหน่งจักรพรรดิจะมีแก่ท่านภายใน ๗ วัน แต่ท่านก็กล่าวกับเราว่า สำหรับตำแหน่งจักรพรรดินั้นเราไม่ต้องการ เพราะเป็นไปเพื่อความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ท่านต้องการพระโพธิญาณ

 

วันเมื่อบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว เราก็ได้เข้าไปหาได้บอกว่า เวลานี้ท่านเสร็จกิจแล้วควรที่จะปรินิพพานต่อไป ไม่ควรจะทรมานกายสอนบรรดาบริษัทให้มีความลำบาก​ แต่ทว่าท่านก็กล่าวกับเราว่า ถ้าบริษัท ๔ คือ ภิกษุภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ยังไม่พร้อมมูลเพียงใด เรายังจะไม่นิพพานเพียงนั้น แต่เวลานี้องค์สมเด็จพระภควันต์ได้ทรมานพระกายมาถึง ๔๕ ปี อายุตั้งแต่วันเกิดถึงวันนี้ก็ครบ ๘๐ ปีพอดี แล้วก็บริษัท ๔ คือภิกษุ ภิกษุณี​ อุบาสก อุบาสิกา ก็มีมากมายพร้อมมูลบริบูรณ์แล้ว ขออาราธนาให้องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจงปรินิพพานเพื่อหวังความสุขต่อไป”

 

องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงได้กล่าวกับมารว่า

“อัปเปหิ ดูก่อน มาร เจ้าจงหลีกไปก่อน”

เมื่อมารหลีกออกไปแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้ทรงเรียกพระอานนท์เข้ามาเฝ้า ทรงแสดงนิมิตว่า ควรจะอยู่หรือว่าควรจะปรินิพพาน ตามปฐมสมโพธิท่านกล่าวไว้ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า

 

ดูก่อนอานนท์ สมมุติว่าเรามีเกวียนเก่าอยู่เล่มหนึ่ง แต่ว่าเกวียนเก่าเล่มนั้นชราภาพมากแล้ว ทั้งดุม ทั้งกง ทั้งคาน ทั้งทุกสิ่งทุกอย่างมันจะผุมันจะพัง เรามีสตางค์ แต่ทว่าเราควรจะซ่อมเกวียนเก่าไว้ หรือว่าจะสร้างเกวียนใหม่ดี”ปรากฏว่าเมื่อองค์สมเด็จพระชินศรีถามอย่างนี้ถึง ๓ วาระ แต่อาศัยมารเข้าดลใจพระอานนท์ พระอานนท์ก็ทูลองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

 

“เกวียนเก่ามันผุ ก็ควรจะหาเกวียนใหม่มาใช้ดีกว่า” เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่ามีเงิน

 

บรรดาท่านทั้งหลายคงจะสงสัยว่าทำไมพระอริยเจ้าอย่างพระอานนท์ ซึ่งมีองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาเสด็จอยู่ด้วย ทำไมจึงไม่ช่วยให้พระอานนท์คิดได้ ปล่อยให้มารเข้าดลใจ เรื่องนี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายต้องถือว่า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎของกรรมเป็นเหตุ เพราะว่าองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์นี้ ต้องเสด็จเข้าสู่ดับขันธ์ปรินิพพานเมื่ออายุ ๘๐ ปีพอดี เรื่องราวทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเล่าทวนกันไปก็ยาว

 

เป็นอันว่าเมื่อพระองค์ทรงแสดงนิมิตให้แก่พระอานนท์ ๓ วาระ พระอานนท์ไม่ทูลอาราธนา องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้ทรงให้พระอานนท์ไปอยู่ปากถ้ำ ตรัสว่า

“ดูก่อน อานนท์ จงไป”

 

หลังจากนั้นองค์​สมเด็จ​พระจอมไตรบรมศาสดาจึงทรงปลงอายุสังขาร​ ว่านับตั้งแต่​บัดนี้ไปอีก ๓ เดือนข้างหน้า เราจะปรินิพพานในระหว่างนางรังทั้งคู่ ที่เมืองกุสินารามหานคร

 

เมื่อสมเด็จพระชินวรทรงปลงอายุสังขารอย่างนั้น ก็ปรากฏว่าแผ่นดินไหวพระอานนท์มีความแปลกใจ เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ถามว่าทำไมแผ่นดินจึงไหวแรงเป็นกรณีพิเศษ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์จึงได้ทรงแสดงเหตุที่แผ่นดินไหวไว้​ ๘​ ประการด้วยกัน แต่ประการสุดท้ายองค์​สมเด็จ​พระพิชิตมารกล่าวว่า​ เมื่อองค์​พระผู้มีพระภาคเจ้าองค์​ใดปลงอายุสังขารเวลานั้นแผ่นดินจะไหว

 

พระอานนท์จึงทูลถามว่า

“การที่แผ่นดินไหวคราวนี้เป็นเพราะเหตุใด พระพุทธเจ้าข้า”

สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้มีพุทธฎีกาตรัสว่า

 

" ดูก่อน อานนท์ แผ่นดินไหวคราวนี้เพราะเราปลงอายุสังขาร ตั้งจิตอธิษฐานว่านับตั้งแต่วันนี้ไปอีก ๓ ​เดือน คือกลางเดือน ๖ เราจะปรินิพพานในระหว่างนางรังทั้งคู่ แห่งเมืองกุสินารามหานคร

 

เมื่อพระอานนท์ได้สดับพุทธพจน์ขององค์สมเด็จพระชินวรก็เสียใจ ขอทูลอาราธนาองค์สมเด็จพระจอมไตรให้ทรงชีวิตอยู่ต่อไป องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสห้าม

 

พระอานนท์จึงได้ถามว่า

“การที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาเคยตรัสว่า บุคคลใดมีความคล่องในอิทธิบาททั้ง​ ๔ ประการ คือ ฉันทะ มีความพอใจในธรรม วิริยะ มีความพากเพียรในการประพฤติปฏิบัติธรรม จิตตะ มีใจจดจ่ออยู่ในธรรม วิมังสา ใช้ปัญญาใคร่ครวญในธรรมนั้น แสวงหาแต่ธรรมดี เมื่อบุคคลใดมีความคล่องตัวดีในอิทธิบาท ๔ อย่างนี้ องค์สมเด็จพระมหามุนีตรัสว่า ผู้นั้นจะทรงอายุร่างกายอยู่ได้ถึงกัปหนึ่ง อย่างนี้ใช่หรือไม่ พระพุทธเจ้าข้า”

 

สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า

“ดูก่อน อานนท์ เรื่องนั้นเป็นความจริง”

พระอานนท์จึงได้ทูลถามต่อไปว่า เวลานี้ข้าพระพุทธเจ้าขออาราธนาองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาให้อยู่ แต่ทว่าองค์สมเด็จพระบรมครูทรงปฏิเสธ

 

สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์จึงได้ตรัสว่า

“ดูก่อน อานนท์ เมื่อสักครู่นี้เราได้เรียกเธอเข้ามา เราได้แสดงนิมิตเครื่องหมายว่า​ เกวียนเก่าที่คร่ำคร่าแล้ว​ เราควรจะรักษา​ไว้หรือสร้างเกวียนใหม่ดี​ เรากล่าววาจาอย่างนี้ถึง ๓ วาระ เธอก็บอกว่าควรจะสร้างเกวียนใหม่ ฉะนั้น ขันธ์ ๕ ของตถาคตนี้มันเก่าคร่ำคร่าเต็มทีแล้ว​ ก็ควรปล่อยให้มันพังไปเสียที​ การอาราธนา​ของอานนท์​ในภายหลังอย่างนี้ไม่มีผล"

 

พระอานนท์ได้ฟังก็เสียใจร้องไห้ออกไปจากถ้ำ เป็นอันว่านับตั้งแต่วันปลงอายุสังขาร องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาก็เริ่มประชวร แต่ความจริงร่างกายของพระพุทธเจ้านี้ก็เหมือนร่างกายของคนธรรมดา มีธาตุ ๔ มีอาการ ๓๒ มีอาการเกิดขึ้นในเบื้องต้นเจริญไปตามลำดับ แล้วก็ทรุดโทรม แต่ทว่าในกาลก่อนนั้นองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาใช้กำลังอานาปานุสสติกรรมฐานคุมเป็นฌานเข้าไว้

 

ถึงแม้ว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจะประชวรก็ดี คนทั้งหลายที่ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระชินศรีบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงสังเกตไม่เห็น คิดว่าพระพุทธเจ้าไม่รู้จักเจ็บไม่​ รู้จักป่วยเหมือนกับชาวบ้านธรรมดา แต่ความจริงท่านป่วยอยู่แล้ว ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงปลงอายุสังขารสมเด็จพระพิชิตมารก็ทรงปล่อยสภาวสังขารเป็นไปตามปกติ ไม่ใช้กำลังอานาปานุสสติกรรมฐานเข้าควบคุมมากนักเป็นแต่เพียงว่าถ้าทุกขเวทนามันเกิดขึ้นมามาก องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงจิตในอานาปานุสสติกรรมฐานพอสมควร พอบรรเทาทุกขเวทนา ฉะนั้นร่างกายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้มองดูทรุดโทรมลงไปมาก

 

ก่อนพระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสอะไรอีกเลย

 

จากนั้น ก็ทรงประทับนอนนิ่งๆ พระอานนท์ได้ถามพระอนุรุทธะว่า "พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้วหรือ" ท่านพระอนุรุทธะตอบว่า "พระผู้มีพระภาคยังไม่เสด็จปรินิพพาน ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ" ความดังนี้
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเข้าปฐมฌานออกจากปฐมฌานแล้ว
ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว
ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว
ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว
ทรงเข้าอากาสนัญจายตนะ ออกจากอากาสนัญจายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ฯ


             ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้กล่าวถามท่านพระอนุรุทธะว่าพระผู้มีพระภาค
เสด็จปรินิพพานแล้วหรือ ท่านพระอนุรุทธะตอบว่าอานนท์ผู้มีอายุ พระผู้มีพระ
ภาคยังไม่เสด็จปรินิพพาน ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ฯ


             ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ ออกจากอากาสนัญจายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว
ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว
ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว
ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว
ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว
ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว
ทรงเข้าจตุตถฌาน พระผู้มีพระภาคออกจากจตุตถฌานแล้ว เสด็จปรินิพพานในลำดับ แห่งการพิจารณาองค์จตุตถฌานนั้น

 

เรามาประมวลด้วยความรู้ความเข้าใจในการบำเพ็ญพุทธบารมี ในการตรัสรู้ เผยแผ่ วางหลักพระธรรมคำสั่งสอน ให้พวกเราได้มองเห็นเรื่องของกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรม เราทั้งหลายพอที่จะสรุปข้อความได้ว่า ความสงบและปัญญาต้องจับคู่กันไป ตีคู่กันไป เพื่อจะได้หยุดกรรม หยุดกฎแห่งกรรม หยุดผลของกรรม ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ให้โอวาทครั้งสุดท้ายว่า ให้เราทั้งหลายไม่ให้ประมาท วาระการประพฤติการปฏิบัตินั้นอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญนะ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราต้องเอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ให้เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบันนี้ไม่ต้องรอชาติหน้าหรืออนาคต เมื่อปัจจุบันการดำเนินชีวิตของเรามันไม่มีพระนิพพาน มันมีแต่ตัวมีแต่ตน มันจะมีแต่ความปรุงแต่ง ความรู้ความเข้าใจนี้เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ การปฏิบัติของเราต้องปฏิบัติลงที่ความสงบและปัญญา ความสงบกับปัญญาเป็นพื้นเป็นฐาน เพื่อให้การประพฤติการปฏิบัติของเราติดต่อต่อเนื่องเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา

 

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายที่มีลมปราณ จงพากันรู้เข้าใจเพื่อจะได้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

 

ให้พากันจำโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของหลวงปู่มั่น ที่ท่านได้เมตตาตรัสไว้ว่า

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบัน ไม่มีพระนิพพาน ไม่ได้พระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน พระนิพพานเป็นเรื่องปัจจุบันเป็นเรื่องรีบด่วนมันเป็นไฟต์หยุดโลกหยุดวัฏฏสงสารด้วยพระธรรมด้วยพระวินัยในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า ความสงบและปัญญาต้องอยู่ที่ปัจจุบัน ไม่ใช่อยู่ที่อนาคต ให้รู้ให้เข้าใจนะ

----------------------------------

 

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๒๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

รายการล่าสุดที่คุณดู
Visitors: 98,212