๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๑ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

เราพากันมาบวช เราพากันมาประพฤติมาปฏิบัติธรรม การประพฤติการปฏิบัติธรรมเป็นทางสายกลาง เอาทั้งวัตถุเอาทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กัน ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความตั้งใจมีเจตนา ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เอาพระธรรมเอาพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรเป็นการดำเนินชีวิต ไม่เอาความชอบความไม่ชอบนำชีวิต

 

วันหนึ่งคืนหนึ่งเรามานอนมาพักผ่อน ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง ภายใน ๒๔ ชั่วโมงนี้เรานอนเราพักผ่อน ๕ ชั่วโมง วันไหนเวลาไม่พอเราก็นอน ๕ ชั่วโมง ถ้าวันไหนเวลาพอเราก็นอน ๖ ชั่วโมง เท่านี้ก็เพียงพอ สำหรับนักบวชเรานอน ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง

 

ในชีวิตประจำวันเราต้องเอาหลักการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราเอาอริยมรรคมีองค์แปดดำเนินชีวิต ไม่ใช่เอาสมาธิ ไม่ใช่เอานั่งสมาธิเดินจงกรมอย่างเดียว นั่งสมาธิเดินจงกรมนั้นมันใช้ได้เฉพาะผู้ที่ไปถือศีลอุโบสถ ผู้ที่เป็นนักบวช ธรรมะต้องใช้ได้กับทุก ๆ คน ทั้งที่เป็นฆราวาส ทั้งที่เป็นนักบวช เป็นอริยมรรคมีองค์แปด

 

เปรียบเสมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้นไม้ต้นนั้นเค้าต้องได้อาหารมาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้ ไม่ใช่เฉพาะได้มาจากรากอย่างเดียว ถ้าได้มาจากรากอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ ต้องได้มาจากทั้งทางกิ่งทางก้านสาขาทางใบทางยอดตลอดปริมณฑล สิ่งแวดล้อม อากาศ แสงแดด ออกซิเจน ต้นไม้นั้นถึงจะสมบูรณ์ สง่างาม

 

การประพฤติการปฏิบัติธรรม เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิเข้าใจอย่างนี้ ถ้าเราเอาความชอบความไม่ชอบนั้นไม่ได้ มันเป็นความด่างพร้อยความเศร้าหมอง มันเป็นการขาดเป็นการทะลุ มันจะไม่เป็นความสงบไม่เป็นปัญญา

 

เราทุกคนต้องมารู้ว่าความชอบไม่ชอบเป็นเพียงอารมณ์ที่เกิดจากผัสสะ ร่างกายของเราทุกคนต้องแข็งแรงให้เพียงพอพอเพียง เราต้องรู้จักเรื่องธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ว่าอันนี้มันเป็นสภาวธรรม ที่เป็นอุปกรณ์เนื่องมาจากการเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เค้าก็ทำหน้าที่ของเขา เราต้องรู้เรื่องธาตุเรื่องขันธ์เรื่องอายตนะ เพื่อธาตุเพื่อขันธ์เพื่ออายตนะจะไม่ได้ครอบงำจิตใจของเรา ใจเราทุกคนต้องมีปัญญา การเจริญสติสัมปชัญญะนั้นถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เราทุกคนต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตากับการมีสติมีสัมปชัญญะ

 

ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญของเราทุกคน ปัจจุบันน่ะอย่าให้ขาดตกบกพร่อง ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเมตตาบอกสั่งสอนเราว่า เราทั้งหลายอย่าได้ประมาท ให้พากันเจริญสติสัมปชัญญะ ให้รู้จักว่าสิ่งภายนอกก็เป็นสิ่งภายนอก สิ่งภายในก็เป็นสิ่งภายใน เป็นเพียงธรรมเป็นเพียงสภาวธรรม เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา เราจะได้พัฒนาความดี บำเพ็ญบารมีที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุด

 

เราทั้งหลายน่ะทุกคนพากันมาประพฤติมาปฏิบัติพรหมจรรย์กัน เพราะปัจจุบันนี้เป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ให้เรารู้เข้าใจ ในโลกนี้ไม่มีใครปฏิบัติให้เรา เราต้องประพฤติเราต้องปฏิบัติเอาเอง ให้มีความสงบมีปัญญา ให้เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ถ้าเรามีต่อหน้าและลับหลังน่ะ เป็นเครื่องหมมายของนิติบุคคลตัวตน มันเป็นไปเพื่อโลกธรรม เป็นไปเพื่อตัวตน เป็นไปเพื่อหลอกลวง มันไม่ใช่คามสงบไม่ใช่ปัญญา มันเป็นความมายา

 

เราออกกำลังกายให้เพียงพอ การเดินจงกรมของเรา เรามาบวชมาปฏิบัติต้องให้ร่างกายของเราแข็งแรงด้วยการเดินจงกรม เดินกลับไปกลับมา เดินธรรมดา ไม่ช้าเกินไปไม่เร็วเกินไป เหมือนคนเดินทางชั่วโมงหนึ่งก็ให้มันได้สัก ๔ ชั่วโมงถึง ๕ ชั่วโมงอย่างนี้ ถ้า ๖ กิโลต่อชั่วโมงค่อนข้างเร็วไปหน่อย ถ้าเราจะฟิตร่างกายให้ร่างกายแข็งแรงก็เดินให้ประมาณ ๖ กิโลต่อชั่วโมง

 

ที่ประเทศพม่าน่ะ มหาสีสะยาดอ ท่านให้เจริญสติปัฏฐาน ๔ อยู่ในที่จำกัดอยู่ในที่แคบ เจริญสติสัมปชัญญะ ทำอะไรก็ช้า ๆ เพื่อให้มีสติมีสัมปชัญญะ นั่นก็เป็นเครื่องฝึกอย่างหนึ่งเพื่อชะลอความปรุงแต่งที่มันปรุงแต่งให้มันช้าลง ให้มีสติอยู่ที่กายที่เวทนาที่จิตเพราะฝึกทำอะไรช้า ๆ ใจไม่สงบก็ให้กายมันสงบ นั่นเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม จุดมุ่งหมายปลายทางก็คืออันเดียวกันนั่นแหละ ไปลงที่สติเป็นพื้นฐาน ปัญญาเป็นพื้นฐาน ความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน

 

เราทั้งหลายให้เข้าใจอย่าได้ไปเถียงกัน อันนี้ดีอันดีไม่ดี อันนี้ผิดอันนี้ถูก ถ้ามีความปรุงแต่งนั้นคือเราไม่มีสติ เราไม่มีปัญญา ธรรมกถึกกับวินัยไม่รู้ไม่เข้าในจึงได้พากันเถียงกันทะเลาะกัน เรื่องดีเรื่องชัวเรื่องผิดเรื่องถูกน่ะ

 

เรามาบวชมาปฏิบัติธรรม เราต้องยกเลิกความฟุ้งซ่าน พระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรทำให้สงบหยุดความฟุ้งซ่าน จะเป็นเบรกเหมือนรถยนต์เครื่องบินเรือ ก็ต้อมีเบรก กายาวาจากิริยามารยาทอาชีพใจของเราก็ต้งมีเบรก อย่างเดียวกัน เช่นเดียวกัน

 

เรามาปฏิบัติธรรม ให้เรารู้ให้เข้าใจไม่ใช่เรามาเอาอะไรนะ ปฏิบัติธรรมเราจะได้อะไร เราก็ได้ปฏิบัติธรรมนั่นแหละ ถ้าเราจะเอาเมื่อไหร่มันก็คือความปรุงแต่ง ถ้าเราจะไม่เอาเมื่อไหร่นั่นคือความปรุงแต่ง เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติธรรม ถ้าเราไม่เข้าใจ ความอยากความไม่อยากนั้นจะทำให้เราทุกคจไม่สงบ ยังไม่ตายก็ตกนรกแล้ว ความไม่สงบมันทำให้เราทุกคนเป็นทุกข์ ดีใจเสียใจ

 

เรามาประพฤติมาปฏิบัติไม่ใช่มาเอาหน้าเอาตาเอาชื่อเอาเสียง เรามาประพฤติมาปฏิบัติเพื่อปัญญา เราจะเอาหน้าเอาชื่อเอาเสียงมันมันไม่ใช่ปฏิธรรม อันนั้นมันเป็นตัวเป็นตนเป็นโลกธรรม การประพฤติการปฏิบัติธรรมเรต้องยกเลิกชื่อเสียงเกียรติยศ ตำแหน่งที่เค้าแต่งตั้งให้เราเป็นผู้หญิงผู้ชาย เป็นข้าราชการนักการเมืองนั้นเป็นแต่งให้เราได้พากันเสียสละ ไม่ใช่ตำแหน่งให้เรามามีมาเป็น การประพฤติการปฏิบัติธรรมถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ถ้ามีต่อหน้าและลับหลังมันคือความไม่ซื่อสัตย์

 

ความสงบกับความเคารพมันถึงเป็นสิ่งเดียวกัน ถ้าเราเอาความสงบแสดงถึงเราจะเอาจะมีจะเป็น เราไม่เอาไม่มีไม่เป็น เราทั้งหลายจะได้เน้นความสงบเน้นปัญญาเพื่อเข้าถึงทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ หรือระหว่างจิตใจกับทางวิทยาศาสตร์ ถ้าเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาเราทั้งหลายก็จะไม่เป็นโรคจิตโรคประสาทโรคซึมเศร้า เราพยายามแก้ที่ต้นเหตุอย่างนี้ เราพยายามเบรกตัวเอง อย่าไปแก้ที่ปลายเหตุ

 

เราทั้งหลายถึงต้องพากันมาเสียสละ เสียสละธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เสียสละด้วยความรู้ความเข้าใจไม่เข้าไปปรุงแต่งในธาตุในขันธ์ในอายตนะนั้น ๆ ถ้าเราไม่เสียสละเราก็ปฏิบัติพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรไม่ได้ พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ข้อวัตรกิจวัตร สิ่งไหนเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เราต้องตั้งใจตั้งเจตนาประพฤติปฏิบัติทั้งต่อหน้าและลับหลัง มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติทั้งต่อหน้าและลับหลัง เราทำอย่างนี้แหละใจของเราก็จะดี ใจของเราก็สบายเพราะมันเป็นการเอาตัวรอดในทางที่รอด

 

พระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่ดีจริง เป็นสิ่งที่ไม่มีโทษมีแต่ประโยชน์เรียกว่ามีคุณ เป็นพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ เราเป็นโรคจิตโรคประสาทเป็นโรคซึมเศร้ามันจะค่อย ๆ ดีขึ้นด้วยการประพฤติการปฏิบัติของเราเองเพราะเราแก้ที่ต้นเหตุ เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเราก็ต้องเป็นโรคซึมเศร้า เพราะเราทำไม่ถูกต้อง

 

การปล่อยวางต้องปล่อยวางความไม่ถูกต้อง เอาพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรนำชีวิต เราอย่าไปปล่อยวางความถูกต้องข้อวัตรกิจวัตร เราต้องเอาความถูกต้องเอาพระธรรมเอาพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรเป็นเครื่องอยู่ มีกัลยาณมิตรคือพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรเป็นเครื่องอยู่ ทำอะไรให้มีสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ ใจกับกายก็ต้องอยู่ด้วยกัน ระบบสมองกับลมหายใจต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความสงบกับปัญญาต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมันจะแยกกันไม่ได้

 

เหตุการณ์ที่ผ่านมาเราอยู่กับอวิชชาความหลง อยู่กับความฟุ้งซ่าน เรามาอาศัยหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะเราทุกคนได้รับสิทธิพิเศษถูกต้องตามกฎหมายเป็นทางการ มีลายลักษณ์อักษรเป็นลายเซ็นต์ ได้รับความสนับสนุนจากงบประมาณแผ่นดิน ได้รับความสงบสนับสนุนจากศรัทธาประชาชน เราทั้งหลายต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ ปัจจุบันสติสัมปชัญญะของเราต้องสมบูรณ์ ทุกอย่างนั้นสำคัญหมด กายวาจากิริยามารยาทอาชีพ ใจของเราต้องสงบ

 

ให้เราพากันเน้นที่ปัจจุบัน

เราพากันมาทำเป็นหมู่เป็นคณะเป็นกลุ่มเป็นก้อน เพื่อไปทางแนวเดียวกันเป็นทีมเวิร์ค เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง มีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ ถ้าเรายกเลิกตัวตนแล้ว ทุกหนทุกแห่งก็จะมีแต่ความสงบมีแต่ความวิเวก เพราะเรารู้อริยสัจสี่ เรารู้เข้าใจสิ่งภายนอกภายใน

 

เราทั้งหลายต้องเข้าใจ เราต้องวิเวกจากสิ่งที่มีอยู่ เราจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ เราจะไม่ได้ว่างจากสิ่งที่ไม่มี ว่างจากสิ่งไม่มีมันจะมีประโยชน์อะไร คนตายไปมันจะมีประโยชน์อะไร คนไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายมันจะมีประโยชน์อะไร เราต้องรู้เข้าใจเราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ เมื่อเรารู้เข้าใจทั้งสิ่งภายนอกภายในก็จะไม่มีการก้าวก่ายลิดรอนสิทธิของกันและกัน ระบบสมองกับลมหายใจมันจะลงสู่ความพอดีความพอเพียงเพียงพอ มันจะหยุดความปรุงแต่งด้วยความสงบด้วยปัญญาความรู้ความเข้าใจ สมาธิ กับปัญญามันจะรวมตัวกัน

 

เหมือนพระอานนท์เป็นผู้คงแก่เรียนมาก เป็นผู้ที่มีปัญญามากแต่ความสงบกับปัญญาไม่สมดุลกัน เมื่อสังคายตนะครั้งแรกต้องมีพระอานนท์อยู่ในที่ประชุมในการสังคายนา ผู้ที่เข้าองค์ประชุมนั้นต้องเอาแต่พระอรหันต์ขีณาสพเท่านั้น ด้วยความอยากได้อยากมีอยากเป็น ปฏิบัติอย่างไรทำอย่างไรมันก็ไม่สงบน่ะ มันมีแต่ความปรุงแต่ง ทำไม่ถูกต้องทำอย่างไรมันก็ไม่ได้ ทำจนตายก็ไม่ได้ หรือว่าตายแล้วมาเกิดอีกหลายชาติมันก็ยังไม่ได้ พระอานนท์น่ะท้อใจ ได้หมดหวัง ปล่อยวาง ช่างหัวมัน ไม่ได้บรรลุก็ไม่เป็นไร นอนพักผ่อนดีกว่า เพียงแต่จะเอนกายว่าจะนอนพระอานนท์ก็ได้เป็นพระอรหันต์ระหว่างที่กำลังจะล้มตัวลงนอน

 

ให้เราพากันเข้าใจการมาประพฤติการมาปฏิบัติ เราจะมาเอาอะไร มีอะไร เป็นอะไร ต้องเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติเราทั้งหลายน่ะถึงจะไม่มีความเครียด เพราะตัวตนมันคือความเครียด ถ้าเราจะเอาจะเป็นหรือไม่เอาไม่มีไม่เป็นเมื่อไหร่ความเครียดมันก็ต้องมีเพราะมันมีความปรุงแต่ง ความปรุงแต่งความอยากได้อยากมีอยากเป็นหรือความไม่อยากได้ไม่อยากมีไม่อยากเป็นถึงมีปัญหาสำหรับเรา เพราะธรรมะที่บริสุทธินั้นมันอยู่นอกเหตุเหนือผล อยู่นอกเหนือความปรุงแต่ง

 

พระธรรมพระวินัยเราต้องลงใจให้พระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร เราจะได้เข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา เราจะไม่มีอัตตา ไม่มีตัวมีตน เราต้องลงในให้พระธรรมพระวินัยให้ข้อวัตรปฏิบัติ อย่าไปมีเหตุมีผล

 

 มีเหตุมีผลเหมือนนักศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกรุงเทพมหานคร ปิดเทอมหน้าร้อนพากันไปประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดหนองป่าพง กับท่านพระอาจารย์ชา สุภัทโทแห่งวัดหนองป่าพง นักศึกษาได้มีคำถามว่าทำไมถึงบวช ถามว่าทำไมนักบวชไม่มีเหตุไม่มีผลเลย ว่าตอนเช้า แปดโมงเช้าน่ะฉันภัตตาหาร ทำไมสิบเอ็ดโมงเช้าไปฉันอาหารอีก มันติดกันเกินมันใกล้กันเกิน ทำไมไม่ไปฉันเวลาบ่ายสามโมงหรือบ่ายสี่โมงมันถึงจะพอดี ท่านพระอาจารย์ชาก็บอกว่า นี้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เป็นข้อวัตรกิจวัตร เป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นการลดอัตตาตัวตน เป็นความสงบและปัญญา มันเป็นสิ่งที่ยกเลิกความปรุงแต่งของเรา เราไม่ต้องเอาเหตุผลไปเทียบเคียงเปรียบเทียบ มันจะมีความปรุงแต่ง ประเพณีฉันอาหารเพลนี้เป็นประเพณีเนื้องอกทางพระพุทธศาสนา

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเสวยอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว ตั้งแต่ออกบรรพชาอุปสมบทองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเสวยภัตตาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว ฉันในบาตร ไม่ได้ฉันในถ้วยโถโอจานโต๊ะไทยโต๊ะจีนโต๊ะฝรั่งเกาหลีเวียดนาม โต๊ะแขกอะไรต่าง ๆ ท่านฉันในบาตร การฉันเพลเป็นประเพณีที่พระป่วยพระอาพาธ ปกติพระป่วยพระอาพาธก็ต้องฉันทีละครึ่งคำฉันทีละคำอย่างนี้เป็นต้น บางทีก็ฉันไม่ได้เสียเลย พระอุปัฏฐากเสียดายของ เสียดายภัตตาหารก็พากันไปฉันอาหารของภิกษุป่วย จึงเป็นประเพณีเนื้องอก พากันฉันอาหารเพลกันทั้งในประเทศต่างประเทศ

 

ธรรมวินัยข้อวัตรกิจวัตรนี้ เป็นสาเหตุให้เรายกเลิกตัวเรายกเลิกคนอื่น เพราะเราจะได้มีความสงบมีปัญญา เราต้องมีพระธรรมพระวินัยมีข้อวัตรกิจวัตรเป็นเครื่องอยู่ เราไม่ต้องมีตัวมีตนเป็นเครื่องอยู่ เราถึงเน้นความสงบและปัญญาเพื่อจะได้หยุดอัตตาตัวตนให้ถือพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ให้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญเป็นข้อวัตรกิจวัตร พระเก่าพระใหม่ผู้ปฏิบัติธรรมเก่าใหม่ก็เน้นที่ปัจจุบัน ถึงจะไม่มีเก่าไม่มีใหม่ ไม่มีอดีตไม่มีอนาคต ปัจจุบันมีแต่พระธรรมมีแต่พระวินัย มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา

 

ความประมาทจะทำให้เราเศร้าหมองนะ เราต้องข้ามธาตุข้ามขันธ์ข้ามอายตนะไปให้ได้ อย่าตั้งอยู่ในความประมาท ต้องถือเอาพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวตรเป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เพื่อให้ปฏิปทาด้วยความตั้งใจตั้งเจตนามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องมันจะเป็นความสงบเป็นปัญญาเป็นสติปัฏฐาน เราทั้งหลายต้องเอามาตรฐานของพระพุทธเจ้า เอามาตรฐานของพระอรหันต์ เราจะไปเอามาตรฐานของคณะสงฆ์ไทย สงฆ์ลาว สงฆ์เขมร สงฆ์จีน สงฆ์ฝรั่ง สงฆ์อินเดียในปัจจุบันนี้ไม่ได้ ต้องเอาพระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์อยู่ในพระไตรปิฎกนี้สำคัญ ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งนี้ไม่ได้ มันจะบวชแต่กายใจไม่ได้บวช บวชแต่กายใจไม่ได้บวชเรียกว่าหัวใจมันยังมีผัวมีเมีย หัวใจมันยังเป็นสมีอยู่เป็นครอบครัวอยู่ ยังไม่ได้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ยังไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา มันยังเป็นอัตตาตัวตน ให้เรารู้เข้าใจ

 

ให้เอามาตรฐานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอามาตรฐานของพระธรรมพระวินัยใจของเราจะได้เย็นใจของเราจะได้สงบ ใจของเรามันจะเย็นเมื่อไหร่จะสงบเมื่อไหร่ให้รู้เข้าใน เรามาบวชเราต้องมาถือนิสัยของพระพุทธเจ้า ยกเลิกนิสัยของตัวเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีเมตตาตรัสว่าต้องถือนิสัยเพื่อให้พระธรรมพระวินัยมันติดต่อต่อเนื่องกัน ท่านใช้หลักการไว้ว่าถือนิสัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือถือพระวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งต่อหน้าและลับหลัง ยกเลิกตัวตน

 

ท่านให้หลักการกว้าง ๆ ไว้ว่า ๕ ปี ๕ พรรษา ถ้ามันยังไม่เข้าสู่ความเป็นมาตรฐานมันยังมีตัวมีตน เราก็ปฏิบัตไปเรื่อย ๆ ถือว่า ๑๐ พรรษาก็ยังต้องถือนิสัย เพราะนิสัยก็คือพระธรรมพระวินัย คนเราจะทำอะไรติดต่อต่อเนื่องกันมันจะเป็นนิสัย ตามหลักการอุดมการณ์แล้วทำอะไรติดต่อต่อเนื่องกัน ๓ อาทิตย์มันก็จะได้ผล เหมือนตอนกิ่งไม้ทาบกิ่งไม้ใช้เวลา ๓ อาทิตย์ขึ้นไป ไก่ฟักไข่ก็ใช้เวลา ๓ อาทิตย์ขึ้นไป จะฟักด้วยแม่ของไข่ หรือฟักด้วยไฟฟ้าก็ใช้เวลา ๓ อาทิตย์เช่นเดียวกัน

 

การที่เราทำอะไรติดต่อต่อเนื่องด้วยความตั้งใจตั้งเจตนาไม่มีต่อหน้าและลับหลังมันเป็นการก้าวไปไม่ถอยกลับ ตัวตนน่ะมันคือก้าวไปก้าวหนึ่งแล้วถอยกลับมาก้าวหนึ่งมันอยู่ที่เก่ามันย่ำต๊อกอยุ่ที่เก่า การประพฤติการปฏิบัติต้องเข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา เข้าถึงความตั้งใจตั้งเจตนาเพื่อไม่ให้ศีลขาดด่างพร้อยเศร้าหมอง การที่ปฏิบัติศีลด้วยความตั้งใจตั้งเจตนาไม่มีต่อหน้าและลับหลังเป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารถึงจะเป็นสัมมาสมาธิคือความตั้งใจมั่น ศีลสมาธิกับปัญญาถึงจะรวมกันเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตาให้เรารู้ให้เราเข้าใจ

 

พระเณรผู้มาปฏิบัติธรรมทั้งหลายต้องพากันเข้าใจในการปฏิบัติในเรื่องการประพฤติการปฏิบัติ พากันมาเจริญสติสัมปชัญญะกัน เน้นมาที่ตัวเรานี้แหละ ทำเหมือนพระพุทธเจ้าเลย ทำเหมือนพระอรหันต์เลย เน้นที่ปัจจุบัน เราไม่ใช่มาปฏิบัติเพียงรูปแบบต้องเข้าถึงเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องเจตนา เป็นเพียงรูปแบบก็เหมือนเค้าแสดง มันเป็นเพียงการแสดงเป็นนักแสดง มันไม่ใช่ของจริง มันเป็นการจัดฉาก

 

ปฏิปทาของเราต้องสม่ำเสมอไม่ใช่ดีเป็นบางครั้งบางคราว ดีเป็นบางครั้งบางคราวก็เหมือนจัดการอะไรต่าง ๆ จัดงานอะไรต่าง ๆ น่ะประดับประดาสว่างไสวแวววาว หลังจากนั้นก็ไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ อย่างนี้มันเป็นต่อหน้าและลับหลัง ปฏิปทาต้องติดต่อต่อเนื่อง การไปเรียนหนังสือก็ต้องติดต่อต่อเนื่อง การปฏิบัติก็ต้องติดต่อต่อเนื่อง ความสงบกับปัญญาก็ต้องติดต่อต่อเนื่อง

 

กายวาจากิริยามารยาทเป็นสิ่งที่ดีเป็นสมบัติผู้ดี พระธรรมพระวินัยข้อวัตรปฏิบัติเป็นกิจวัตรเป็นข้อปฏิบัติของผู้ดีที่ประกอบด้วยปัญญา ไม่ใช่ต่อหน้าก็อย่างหนึ่งลับหลังก็อย่างหนึ่ง ศาลาสะอาดดี ห้องน้ำห้องสุขาส่วนรวมดี ห้องน้ำห้องสุขาที่กุฏิเราก็ต้องดี ที่พักที่อาศัยของเราก็ต้องดีต้องสะอาด อย่างนี้แหละ ไม่ต้องไปคิดว่านี้มันส่วนตัวของเรา อย่าไปคิดอย่างนั้น อันนั้นปฏิบัติเพื่อตัวเพื่อตนเป็นโลกธรรม มันไม่ใช่ไม่ถูกต้อง เราอยู่กับการเดินจงกรม อยู่กับการกวาดวัด อยู่กับการทำความสะอาด ทางอุบาสิกาก็ต้องทำอาหาร จัดการอาหาร ห้องน้ำห้องสุขาทางฝ่ายอุบาสิกาที่พักที่อาศัยทางฝ่ายอุบาสิกา ทางผู้หญิงก็พากันรับผิดชอบตัวเองที่อยู่ที่อาศัยของตัวเองที่เป็นส่วนรวม เพราะเรามาบวชมาปฏิบัติธรรม เราพากันมาเสียสละ ไม่ใช่เรามาเอาความหลง เราไม่ใช่คนมาอาศัยวัด เพราะเราเป็นคนจน เรามาอาศัยวัดเพราะไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน ลูกหลานเค้าไปทำงานหมด เราต้องมาอาศัยวัดเพราะสุขภาพไม่ได้ เรามาอยู่วัดมาเพื่อประพฤติปฏิบัติธรรมมาเสียสละทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน ให้เข้าใจอย่างนี้

 

พากันเน้นที่ปัจจุบันให้ดี ๆ ฝ่ายสตรีฝ่ายผู้หญิงก็ต้องรับผิดชอบอยู่ในโซนสตรีโซนผู้ญิง ทางฝ่ายบุรุษฝ่ายผู้ชายก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่าก้าวก่ายกัน อย่าระคนกันให้ปฏิบัติเป็นสัดเป็นส่วน ถ้าเรามีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ พวกที่เป็นโรคจิตโรคประสาททั้งหลายมันจะค่อยดีขึ้น เอาตัวตนนำชีวิตมันจะเป็นโรคประสาทโรคจิต เพราะตัวตนนั้นคือโรคจิตโรคประสาท ตัวตนมันจะไปแก้ภายนอก ตัวตนมันก็จะไปแก้ปลายเหตุ ตัวตนมันก็จะไปแต่โรงพยาบาลไปหาหมอ ไม่จำเป็นจริง ๆ เราไม่ต้องไปโรงพยาบาลไปหาหมอ เพราะเราเจ็บไข้ไม่สบายอันนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา

 

ที่เราสวดมนต์ว่าเรามีความแก่เป็นธรรมดามีความเจ็บไข้ไม่สบายเป็นธรรมดามีความพลัดพรากจากไปเป็นธรรมดาเราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจเราก็จะไปเอาแต่เวทนาที่เป็นความสุขน่ะ เพราะเกิดมาต้องมีเวทนาทั้งความสุขความทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์เราต้องรู้เข้าใจเราจะได้หยุดไว้เพียงเวทนา อย่าให้ธาตุให้ขันธ์มันปรุงแต่งเราให้มันจบลงที่เวทนา เรามีธาตุมีขันธ์มีอายตะนมันก็ต้องเป็นอย่างนี้ เราต้องรู้เข้าใจไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บไม่อยากตายไม่อยากลดลัพดรากมันเป็นความไม่ถูกต้อง มันเป็นการลิดรอนสิทธิของความถูกต้องมันเป็นความปรุงแต่งเป็นความไม่สงบ

 

เราต้องรู้จักให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องรักษาด้วยธรรมะโอสถนี้แหละ ธรรมะคือความสงบคือปัญญานี้แหละ เราจะเซฟตี้ตัวเองด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญาด้วยข้อวัตรปฏิบัติ เราทั้งหลายต้องเข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติของตัวเองอย่าพากันอยู่กับความฟุ้งซ่าย

 

พวกผู้หญิงทั้งหลายพวกสตรีทั้งหลายอย่าพากันอยู่กับความฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านกับลูกกับหลานกับครอบครัว เอาความฟุ้งซ่านนำชีวิต เอาตัตนนำชีวิต ใจไม่อยู่กับความสงบไม่อยู่กับปัญญา ไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ อยู่กับการเล่นโทรศัพท์ไลน์โทรศัพท์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเมตตาบอกว่า ไฟนำอย่าให้ออกไฟนอกอย่าให้เข้า มันต้องมีความสงบมีปัญญา เรามีธาตุมีขันธ์มีอายตนะมันก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ เราอย่าไปโทษธาตุโทษขันธ์โทษอายตนะ

 

เหมือนโยมคนหนึ่งน่ะ ว่าคนหนึ่งก็แล้วกัน หรือโยมทุก ๆ คน พากันโทษลูกโทษหลานโทษรัฐบาลโทษดินฟ้าอากาศโทษสารพัดอย่าง ไม่มีความสงบไม่มีปัญญาว่า มันเป็นเพราะเราไปคิดไปปรุงแต่งเอาน่ะ เพราะสิ่งเหล่านั้นมันเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม เราต้องคิดดูดี ๆ ถ้าเราไม่ปรุงไม่แต่งเราก็มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา เราอย่าไปโทษอย่าไปเปรียบเทียบ เราต้องคิดว่าถ้าเราไม่เกิดมามันก็ไม่มีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ให้เข้าใจอย่างนี้ เราเกิดมาเราก็ยังจะไปโทษ สาเหตุก็เพราะตัวตนนี้แหละ เอาตัวตนนำชีวิตมีความปรุงแต่ง เมื่อมีความปรุงแต่งมันก็มีความไม่สงบอย่างนี้แหละ

 

เราทั้งหลายพากันให้สะอาดทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งใจ ให้สะอาดทั้งภายนอกภายใน เราจะได้มีความสงบมีปัญญา เราทั้งหลายจะได้ไม่เอาความผิดนำชีวิต จะไม่ได้เอาธาตุเอาขันธ์จองจำคุกตารางนะ เอาไว้ขังร่างกายจิตใจ มันต้องขังด้วยรู้เข้าใจ ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มันจะไม่ได้ขังเรา

 

พระธรรมพระวินัยมันเป็นสิ่งที่ขลังศักดิ์สิทธิ์ไม่ให้เราคิดนึกปรุงแต่ง ให้รู้เข้าใจ ให้เราทั้งหลายได้มีความสงบมีปัญญา เราทั้งหลายน่ะ เรามีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม พากันประพฤติพากันปฏิบัติ เราต้องเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เราไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป หัวใจของเรามันจะว่างจากมรรคผลว่างจากพระนิพพานนะ

 

ใครขาดทำวัตรเช้าขาดทำวัตรเย็นขาดข้อวัตรกิจวัตรทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยถือว่าคนนี้เป็นบุคคลอันตรายนะ ตั้งอยู่ในความประมาท ถือว่าเป็นผู้มาเอาพระศาสนาหาอยู่หากินหาหลงนะ พวกนี้แหละไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป อย่าไปขาดทำวัตรเช้าทำวัตรเย็นทำข้อวัตรกิจวัตร ให้ถือว่าพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรเป็นสิ่งที่สำคัญ

 

การมาบวชมาปฏิบัติในพระพุทธศาสนาก็ต้องทำอย่างนี้ หรือศาสนาก็ต้องเอาพระธรรมเอาพระวินัยเอาความสงบเอาปัญญาไปเช่นเดียวกัน เพราะว่าพระศาสนานั้นต่างกันตั้งแต่ชื่อ แต่ผลลัพธ์ก็คืออันเดียวกัน คือการทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ไม่มีทุกข์ เป็นการเอาตัวรอดในทางที่รอด ไม่ใช่เอาตัวรอดในทางที่ไม่รอด

 

ทุกคนต้องใจเข้มแข็ง เอาชีวิตเป็นเดิมพัน อย่าไปมีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น ทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ก็ไม่สมควรที่จะมาอยู่วัด เพราะวัดนี้ใช้งบประมาณแผ่นดินใช้งบประมาณศรัทธามหาชนอย่าพากันมาบวชหรือบวชแล้วทำไม่ได้ก็อาราธนานิมนต์ให้พากันลาสิกขาไปเสีย ทุกคนต้องทำได้ คนสมองดีสมองไม่เสียต้องทำได้ให้เข้าใจอย่างนี้ถ้าเราตัวเอาเอาตนเอาธาตทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ นั้นย่อมทำไม่ได้เพราะตัวตนนั้นทำไม่ได้

 

เราต้องรู้เข้าใจเรื่องตัวเรื่องตนเรื่องความปรุงแต่ง เราทุกคนต้องใจเข้มแข็ง ในพระธรรมพระวินัย เพื่อให้พระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่ขลังศักดิ์สิทธิ์ พระธรรมพระวินัยนั้นขลังศักดิ์สิทธิอยู่แล้ว เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่ขลังศักดิ์สิทธิ์

 

เราคิดดูดี ๆ ใครเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมีใครขลังศักดิ์สิทธิ์ไหม ตัวตนนั้นไม่ใช่ขลังศักดิ์สิทธิ์ตัวตนนั่นแหละคือเจ้าปัญหามันหาเรื่องหาราวให้กับตัวเองหาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น ตัวตนเป็นทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำเป็นไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ ให้เรารู้เข้าใจ

 

เราอย่าไปพากันคิดว่า ปฏิบัติเหมือนพระพุทธเจ้าเหมือนพระอรหันต์ใครจะทำได้ปฏิบัติได้เราอย่าไปคิดอย่างนั้น ถ้าคิดอย่างนั้นก็อย่าพากันมาบวช ถ้าบวชแล้วก็พากันลาสิกขาไปเสีย ไม่มีพระก็อย่าให้มันมีโจรให้มันเจ๊ากันไป อย่าไปคิดว่าปฏิบัติเคร่งครัดอย่างนั้นพระศาสนามันจะอยู่ได้อย่างไร เมื่อครั้งพระเจ้าอโศกมหาราช

 

ครั้งหนึ่งในอดีต “พระเจ้าอโศกมหาราช” ทรงร่วมปฏิรูปพระศาสนา จับสึกพระอลัชชีผู้ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลส สั่งสมของมัวเมาในลาภสักการะ เหลวไหลในเกียรติ เห่อเหิมและเพลิดเพลินในโลกียวัตถุ จากนั้นทรงเป็นศาสนูปถัมภกในการสังคยานา และส่งสมณฑูตประกาศพระพุทธศาสนา

 

เมื่อเกิดเหตุการณ์นักบวชนอกศาสนามาปลอมบวช เพื่อหวังลาภสักการะและบิดเบือนคำสอนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระเจ้าอโศกมหาราช (AShoka the great) แห่งราชวงศ์ โมริยะ กษัตริย์ผู้ปกครองดินแดนอินเดีย (พ.ศ.276 – พ.ศ.312) พระองค์ ทรงมีพระทัยเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ได้ทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนา เช่นทรงสร้างวัด วิหาร พระสถูป พระเจดีย์ และหลักศิลาจารึกเป็นต้น ได้บำรุง พระภิกษุสงฆ์ด้วยปัจจัย 4 คือ อาหาร ที่อยู่ อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค การที่พระองค์ทรงบำรุงพระภิกษุสงฆ์เช่นนี้ ก็เพื่อจะได้พระภิกษุในพุทธศาสนาได้รับความสะดวก มีโอกาสบำเพ็ญสมณธรรมได้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลในการแสวงหาปัจจัย 4 แทนที่จะเป็นเช่นนั้น

 

แต่กลับปรากฏว่ามีพวกนักบวชนอกศาสนาเป็นจำนวนมาก ปลอมบวชในพุทธศาสนา เพราะเห็นแก่ลาภสักการะ เมื่อบวชแล้วก็คงสั่งสอนลัทธิศาสนาเก่าของตน โดยอ้างว่าเป็นคำสอนของพุทธศาสนา แสดงลัทธิธรรมให้ผิดคลองพระพุทธบัญญัติกระทำให้สังฆมณฑลยุ่งเหยิง แตกสามัคคีด้วยสัทธรรมปฏิรูป

 

ข้อนี้ทำให้พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ (คนละรูปกับพระมหาโมคคัลลานะเถระในพุทธกาล) ซึ่งเป็นผู้ที่มีความแตกฉานในพระไตรปิฎก เกิดความระอาใจต่อการประพฤติปฏิบัติของเหล่าพระภิกษุอลัชชีที่ปลอมบวชทั้งหลาย จึงได้ปลีกตัวไปอยู่ที่ ถ้ำอุโธตังคบรรพต เจริญวิเวกสมาบัติอยู่ที่นั้นอย่างเงียบๆ เป็นเวลา 7 ปี และมอบภารกิจคณะสงฆ์ให้พระมหินทเถระดูแลแทน

 

เมื่อจำนวนพระอลัชชีมีมากกว่าพระภิกษุแท้ ๆ จนพระภิกษุผู้บริสุทธิ์ งดทำอุโบสถสังฆกรรมร่วม ถึง 7 ปี

ในสมัยนั้นจำนวนของพระอลัชชี มีมากกว่าพระภิกษุแท้ ๆ จึงทำให้ต้องหยุดการทำอุโบสถสังฆกรรมถึง 7 ปี เพราะเหตุที่พระสงฆ์ ผู้มีศีลบริสุทธิ์ไม่ยอมร่วมกับพระอลัชชีเหล่านั้น

 

จึงทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชไม่สบายพระหฤทัยในการแตกแยกของพระสงฆ์ ทรงปวารณาจะให้พระสงฆ์เหล่านั้นสามัคคีกัน จึงได้ตรัสสั่งให้อำมาตย์หาทางสามัคคี ฝ่ายอำมาตย์ฟังพระดำรัสไม่แจ้งชัด สำคัญผิดในหน้าที่ จึงได้ทำความผิดอันร้ายแรง คือ ได้บังคับให้พระภิกษุบริสุทธิ์ทำอุโบสถร่วมกับพระอลัชชี พระภิกษุผู้บริสุทธิ์ต่างปฏิเสธที่จะร่วมอุโบสถสังฆกรรม อำมาตย์จึงตัดศีรษะเสียหลายองค์


เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทราบข่าวนี้ ทรงตกพระทัยยิ่งจึงเสด็จไปขอขมาโทษต่อพระภิกษุที่อาราม และได้ตรัสถามสงฆ์ว่า การที่อำมาตย์ได้ทำความผิดเช่นนี้ ความผิดจะตกมาถึงพระองค์หรือไม่ พระสงฆ์ถวายคำตอบไม่ตรงกัน บ้างก็ว่า ความผิดจะตกมาถึงพระองค์ด้วยเพราะอำมาตย์ทำตามคำสั่ง แต่บางองค์ก็ตอบว่าไม่ถึงเพราะไม่มีเจตนา

 

คำวิสัชนาที่ขัดแย้งกันเช่นนี้ทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชกระวนกระวายพระทัยยิ่งนัก ทรงปรารถนาที่จะให้พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ผู้มีความสามารถและแตกฉานในพระธรรมวินัยถวายคำวิสัชนาอย่างแจ่มแจ้ง จึงได้ตรัสถามถึง พระภิกษุเหล่านั้นก็ได้ตรัสตอบว่า มีแต่พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระรูปเดียวเท่านั้นที่อาจแก้ความสงสัยได้

 

พระเจ้าอโศกมหาราช จึงได้ส่งสาส์นไปอาราธนาพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ให้ท่านเดินทางมายังเมืองปาฏลีบุตร แต่ไม่สำเร็จ เพราะพระเถระไม่ยอมเดินทางมาตามคำอาราธนา พระเจ้าอโศกมหาราชก็ทรงไม่หมดความพยายาม จึงได้รับสั่งให้พนักงานออกเดินทางโดยทางเรือรบท่านตามคำแนะนำของพระติสสะเถระ ผู้เป็นพระอาจารย์ของโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ

ในที่สุดพระเถระก็ยอมมาและในวันที่ท่านเดินทางมาถึงนั้น พระเจ้าอโศกมหาราชได้เสด็จไปรับพระเถระด้วยพระองค์เอง ได้เสด็จลุยน้ำไปถึงพระชานุ แล้วยื่นพระกรให้พระเถระจับและตรัสว่า

"ขอพระคุณท่านจงสงเคราะห์ข้าพเจ้าเถิด"

 

แล้วได้นำท่านไปสู่อุทยาน ได้ทรงแสดงความเคารพพระเถระอย่างสูง และได้ตรัสถามพระเถระว่า การที่อำมาตย์ได้ตัดศีรษะพระภิกษุนั้นจะเป็นบาปกรรมตกถึงตนหรือไม่ พระเถระได้ตอบว่า

“มหาบพิตร จะเป็นเป็นบาปได้ก็ต่อเมื่อพระองค์มีเจตนาที่จะฆ่าเท่านั้น”

คำวิสัชนาของพระเถระนั้น ทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยมาก

 

พระอลัชชีมัวเมาในลาภสักการะ แม้แต่พระภิกษุก็ยังตกภายใต้อำนาจ

ฝ่ายพระอลัชชีผู้ปลอมบวชในพุทธศาสนานั้นก็ยังพยายามที่จะประกอบมิจฉาชีพอยู่ต่อไป พระเหล่านั้นได้มัวเมาหลงใหลในลาภสักการะไม่พอใจในการปฏิบัติธรรม อาศัยผ้าเหลืองเลี้ยงชีพ ประพฤติผิดธรรมวินัยไม่สำรวมระวังในสีลาจารวัตร เที่ยวอวดอ้างคุณสมบัติโดยอาการต่าง ๆ เพื่อหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ เพื่อหาลาภสักการะเข้าตัว เพราะเหตุนี้จึงทำให้พระสัทธรรมอันบริสุทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องพลอยด่างพร้อยไปด้วย ความอลเวงได้เกิดขึ้นในวงการของพุทธศาสนาทั่วไปลาภสักการะมีอำนาจเหนือ อุดมคติของผู้เห็นแก่ได้

 

แม้กระทั่งผู้ทรงเพศเป็นพระภิกษุห่มเหลืองก็ยังตกอยู่ภายใต้อำนาจของมัน ที่จริงผู้มีลาภคือผู้มีบุญ แต่มัวเมาในลาภคือสั่งสมบาป การที่พระได้ของมามาก ๆ จากประชาชนที่เขาบริจาคด้วยศรัทธานั้น นับว่าเป็นการดีไม่มีผิด แต่การที่พระสั่งสมของมัวเมาในลาภ เหลวไหลในเกียรติ เห่อเหิมและเพลิดเพลินในโลกียวัตถุ จนลืมหน้าที่ของตนนั้นนับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง

 

เริ่มกระบวนการกวาดล้างพระอลัชชี เพื่อทำพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์

พ.ศ.287 พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ได้ถวายเทศนาแก่พระเจ้าอโศกมหาราช จนพระองค์ทรงมีความเลื่อมใส และซาบซึ้งในหลักธรรมอันบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์ ได้ประทับอยู่ที่อุทยานนับเป็นเวลา 7 วัน เพื่อชำระพระศาสนาให้บริสุทธิ์จากเดียรถีย์ที่เข้ามาปลอมบวช ในวันที่ 7 พระองค์ได้ประกาศบอกนัดให้พระภิกษุที่อยู่ในชมพูทวีปทั้งสิ้นให้มาประชุมที่อโศการามเพื่อชำระความบริสุทธิ์ของตน ภายใน 7 วัน พระองค์ประทับนั่งภายในม่านกับท่านโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ได้สั่งให้ภิกษุผู้สังกัดอยู่ในนิกายนั้น ๆ นั่งรวมกันเป็นนิกาย ๆ แล้วตรัสถามให้พระภิกษุเหล่านั้นอธิบายคำสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งพระสงฆ์เหล่านั้นได้อธิบายผิดไปตามลัทธิของตน ๆ พระเจ้าอโศกมหาราชจึงได้ตรัสให้สึกพระอลัชชีเหล่านั้นทั้งหมด ซึ่งเป็นจำนวน 60,000 รูป

 

ครั้นกำจัดพระภิกษุพวกอลัชชีให้หมดไปจากพุทธศาสนาแล้ว พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ จึงได้จัดให้มีการทำสังคายนาครั้งที่ 3 ขึ้น ณ อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร โดยได้รับราชูปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราชอย่างเต็มที่

 

การสังคายนาพระไตรปิฏก ครั้งที่ 3 และเผยแผ่พระพุทธศาสนา ผ่านคณะสมณทูต

หลังจากที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานไปได้ประมาณ 236 ปีเศษ คณะสงฆ์ได้ทําการสังคายนาครั้งที่ 3

 

ประเทศไทยของเราหรือว่าทุก ๆ ประเทศของโลกหรือเดี๋ยวนี้น่ะมันหนักกว่าสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชอีก

 

ถึงกาลถึงเวลาแล้วนะเราทั้งหลายต้องพากันมาสังคายนาตัวเอง มาชำระสะสางตัวเอง มาแก้ไขตัวเองเพื่อเราจะได้เข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา

 

ภาพรวมของโลกภาพรวมของประเทศ ส่วนราชการก็เสียหาย ฝ่ายการเมืองก็เสียหาย ฝ่ายนักบวชก็เสียหายมันเป็นขาลงขาตกต่ำ มันเป็นการเอาทุจริตนำชีวิตเอาความหลงนำชีวิตมันไปไม่ได้ หลังจากพระเจ้าอโศกมาเข้มงวด ทุกคนก็ลงใจ แล้วก็พากันประพฤติพากันปฏิบัติถึงได้มีพระอรหันต์เกิดขึ้นมากมายหลายแสนหลายล้านทั่วโลกเลย ความถูกต้องต้องอยู่ชั่วฟ้าดินสลาย

 

เอาตัวตนเป็นที่ตั้งชีวิตของเรามันจะพังทลายเหมือนตึก สตง. ให้ถือโอกาสว่าสักขีพยานแห่งความไม่ถูกต้องมันพังทลายเหมือนตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ทำไมตึกทั้งหลายในประเทศไทยมันไม่พังทลาย มันพังทลายเฉพาะตึก สตง.

 

เราทั้งหลายต้องเห็นคุณเห็นประโยชน์ถึงจะได้เป็นพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ ตามโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้บำเพ็ญพุทธบารมีหลายล้านชาติ หลายกัปหลายอสงไขย เราพากันมามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เอาปัจจุบันนี้แหละเป็นการประพฤติการปฏิบัติของเราถือว่าปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะ ท่านทั้งหลายเป็นทั้งคนดีเป็นคนมีปัญญา เป็นคนมีปัญญาเป็นคนดี ให้เอาคติธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้เมตตาตรัสว่า

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ

 

------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

 

Visitors: 98,212