๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๑๒ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม
วันนี้เป็นวันที่ ๑๒ เป็นวันแม่แห่งชาติของประเทศไทย เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
ท่านเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๗๕ ที่บ้านพลเอกเจ้าพระยาวงศานุประพันธ์ (หม่อมราชวงศ์สท้าน สนิทวงศ์) ผู้เป็นบิดาของหม่อมหลวงบัว ณ บ้านเลขที่ 1808 ถนนพระรามหก ตำบลวังใหม่ อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร โดย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับพระราชทานนามว่า “สิริกิติ์” มีความหมายว่า “ผู้เป็นศรีแห่งกิติยากร”
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
พระนามเดิม หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ทรงเป็นพระธิดาองค์ที่ ๓ ของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร (ภายหลังได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็น พลเอกพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ) กับ หม่อมหลวงบัว กิติยากร (สกุลเดิม สนิทวงศ์)
มีพระเชษฐาและพระกนิษฐา ดังนี้
๑. หม่อมราชวงศ์กัลยาณกิติ์ กิติยากร
๒. หม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ กิติยากร
๓. หม่อมราชวงศ์บุษบา กิติยากร
เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๙ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร เริ่มศึกษาชั้นอนุบาลที่โรงเรียนราชินี เมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๓ ย้ายไปศึกษาชั้นประถมและมัธยมที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ นอกจากการศึกษาตามหลักสูตรปกติแล้ว พระองค์ได้ศึกษาเพิ่มเติมด้านภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และวิชาการดนตรี คือ เปียโน
พุทธศักราช ๒๔๘๙ หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร ทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชทูตประจำราชสำนักเซนต์เจมส์ ประเทศอังกฤษ ทรงพาโอรสธิดาทุกคนไปด้วย ระหว่างพำนักอยู่ในประเทศอังกฤษ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ได้ศึกษาภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสควบคู่ไปกับการเรียนเปียโนกับครูพิเศษ แต่อยู่ที่ประเทศอังกฤษไม่นานนัก หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร ทรงต้องย้ายไปเป็นทูตที่ประเทศเดนมาร์กและประเทศฝรั่งเศส ณ ประเทศฝรั่งเศสนั้น หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ยังคงเรียนเปียโนและฝึกซ้อมอย่างขะมักเขม้น ด้วยประสงค์จะเข้าศึกษาในวิทยาลัยดนตรีอันมีชื่อเสียงของกรุงปารีส คือ คองแซวาตัวร์ นาซิยองนาล เดอ มิวสิก (Conservatoire National de Musique)
พุทธศักราช ๒๔๙๑ หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร และครอบครัว ได้รับเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งโปรดเสด็จฯ โดยรถยนต์จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์มากรุงปารีส เพื่อทอดพระเนตรโรงงานผลิตรถยนต์เสมอ เป็นเหตุให้ทรงคุ้นเคยและต้องพระราชอัธยาศัยกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ครั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร เข้าเยี่ยมพระอาการเป็นประจำ สมเด็จพระชนนีศรีสังวาลย์จึงได้ทรงขอให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร พำนัก ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ได้ศึกษาต่อที่โรงเรียนปองสิยองนา รีนาเต รีฟเว (Pensionnat Rinate Rive) เป็นโรงเรียนประจำที่มีชื่อเสียงในการสอนวิชาชีพพิเศษของกุลสตรีแห่งเมืองโลซาน และอีก ๑ ปีต่อมา สมเด็จพระชนนีศรีสังวาลย์ได้ทรงสู่ขอหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร และมีพิธีหมั้นระหว่างสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร เป็นการส่วนพระองค์เมื่อวันอังคารที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๙๒ ณ โรงแรมวินเซอร์ เมืองโลซาน
ทรงใช้พระธำมรงค์ที่สมเด็จพระราชบิดาทรงหมั้นสมเด็จพระราชชนนีเป็นพระธำมรงค์หมั้น แล้วโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ศึกษาต่อไปจนถึงกำหนดตามเสด็จกลับมาถวายพระราชทานเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ในเดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓
วันที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๓ มีพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ วังสระปทุม สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเป็นประธานพระราชทานน้ำพระพุทธมนต์และ เทพมนตร์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ได้ทรงจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย และในวันนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์
วันที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ เป็นวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับเฉลิมพระบรมนามาภิไธยว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และทรงเฉลิมพระยศ สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ เป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี
มนุษย์เราต้องเอาหลักการทางสายกลาง พัฒนาใจ พัฒนาทางวิทยาศาสตร์ เป็นการพัฒนาใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กันเพื่อให้เป็นทางสายกลาง
พัฒนาใจ พัฒนาวัตถุเพื่อเป็นอริยมรรคเป็นหนทางสายกลางระหว่างใจกับวัตถุ เพื่อเป็นโครงสร้างที่เป็นชาติ เป็นศาสน์ เป็นกษัตริย์
ชาติก็หมายถึงความเกิด เราจะเกิดเป็นอะไรขึ้นอยู่ที่กรรม ขึ้นอยู่ที่กฎแห่งกรรม ขึ้นอยู่ที่ผลของกรรม เราเดินทางสายกลางเราถึงพัฒนาทั้งใจทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กัน
ศาสน์ ศาสนาก็หมายถึงปัญญาสัมมาทิฏฐิ รู้เข้าใจว่าทุกอย่างคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม ถึงต้องเดินทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องวัตถุ เพื่อเป็นมรรคเป็นอริยมรรค เป็นความรู้ความเข้าใจที่ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องไปทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ เพราะทุกอย่างนั้นคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม เน้นที่ปัจจุบัน เพราะอดีตก็รวมกันที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นวาระแห่งชาติทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจ ต้องอยู่ที่ปัจจุบัน เป็นการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เพื่อเป็นทางสายกลางเป็นอริยมรรคไม่ขาดตกบกพร่อง เป็นความดีเป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความสงบและปัญญา เป็นปัญญาและความสงบ
กษัตริย์ก็หมายถึงนามธรรม หมายถึงปัญญา
มนุษย์เราต้องเอาปัญญาสัมมาทิฏฐินำชีวิตการเรียนการศึกษาก็เน้นเรื่องปัญญาให้รู้เข้าใจ การพัฒนาค้นคว้าตามหลักเหตุหลักผลให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ก็ต้องอาศัยปัญญา การฟังการบรรยายก็เพื่อความรู้ความเข้าใจ ปัญญานี้เป็นนามธรรม
พระมหากษัตริย์หมายถึงปัญญาบริสุทธิคุณ ไม่ใช่ปัญญาเพื่อตัวเพื่อตน เป็นความสงบและปัญญาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นความไม่มากเกินไม่หย่อนเกิน เปรียบเสมือนสายพิณนี้แหละ ถ้าตึงเกินไปสายพิณสายกีต้าร์นั้นก็จะขาด ถ้าหย่อนเกินไป สายพิณสายกีต้าร์นั้นก็ไม่ไพเราะ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์มีความหมายอย่างนี้
การปกครองเราหรือว่าปกครองคนอื่น ก็ต้องเอาโครงสร้างอย่างนี้ทุก ๆ ชาติ ทุก ๆ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ระบบข้าราชการนักการเมืองนักบวชก็ตั้งอยู่ในหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมอย่างนี้ เพราะทุกอย่างนั้นคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม กรรมนี้เป็นอุปกรณ์เค้าถึงเรียกว่ากรรมกร กรรมกรก็ต้องมีปัญญา ผู้มีปัญญาก็ต้องมีการประพฤติการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม
เราทุกคนต้องมีวันแม่แห่งชาติ มีวันพ่อแห่งชาติ เราอาศัยหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เป็นแบบเป็นพิมพ์ ความสงบและปัญญาถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ให้พวกเราทั้งหลายรู้เข้าใจ เพราะทุกอย่างนั้นมันคือเหตุคือปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี ให้พวกเราทั้งหลายรู้เข้าใจให้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ
ท่านพระอานนท์ได้กราบเรียนทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธ์สู่มหาปรินิพพานไปแล้ว จะให้ใครเป็นตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า อานนท์ อานนท์เอย เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์สู่มหาปรินิพพานแล้ว ให้เอาพระธรรมพระวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่เป็นแบบเป็นพิมพ์ เป็นหลักการอุดมการณ์เพื่อเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าคือผู้ที่รู้ผู้เข้าใจในเรื่องจิตเรื่องใจ ในเรื่องธรรมเรื่องปัจจุบันธรรม มนุษย์เราต้องเอาธรรมนำชีวิต เอานิติบุคคลตัวตนนำชีวิตนั้นไม่ได้ ให้เอาอริยมรรคมีองค์แปดประพฤติปฏิบัติ มันจะเป็นความพอเพียงเพียงพอ มันจะเป็นความพอดี ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป ผู้มีปัญญามากก็ต้องมีความสงบ ผู้มีความสงบก็ต้องมีปัญญา ๒ อย่างนี้ต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พระธรรมพระวินัยเป็นแบบเป็นพิมพ์ จะเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม จะทั้งประโยชน์ของตัวเองประโยชน์ของมหาชน มันจะเป็นการส่งดีเอ็นเอทางกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพทั้งใจให้กับหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลาย มนุษย์เราทั้งหลายถึงไม่มีใครได้รับสิทธิพิเศษทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรนูญนำชีวิต
มนุษย์เรานี้จะมีทุกข์ไปไม่ได้ถ้าเรารู้เข้าใจ เพราะเป็นการเอาตัวรอดในทางที่รอดเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ชีวิตของเราก็จะเป็นศิลปะที่ดีเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นอนันตตาไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน
วันนี้เป็นวันที่ ๑๒ สิงหาคม เราพากันระลึกถึงวันแม่แห่งชาติ เพื่อเราทั้งหลายจะได้เอาธรรมนำชีวิต ไม่เอาตัวเอาตนนำชีวิต
เราทั้งหลายจะอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรมเหนือผลของกรรมนั้นไม่ได้ ให้เรารู้เข้าใจ เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติเราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้มีความทั้งปัญญา มีปัญญาทั้งความสงบ
อริยมรรคมีองค์แปดเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ทุกชาติทุกศาสนาต้องใช้หลักการใช้อุปกรณ์นี้ เพื่อไม่ให้เกิดเป็นนิติบุคคลตัวตน เป็นความสงบเป็นปัญญา
การปกครองเราทุกคนปกครองด้วยอธิปไตย ด้วยความร็ความเข้าใจเราต้องคืนอธิปไตยให้กับควรมเป็นประภัสสร เราต้องคืน คำว่าประภัสสรหมายถึงปัญญาและความสงบ ถ้าเราเอาตัวตนคือความไม่สงบนั่นแหละคือความวุ่นวาย เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธท่านถึงให้เรารู้จักใจรู้จักอารมณ์ เพื่อชีวิตของเราจะได้ก้าวไปด้วยความสงบและปัญญา
ให้พวกเรารู้เข้าใจ เมื่อเรามีภายนอกมีภายในย่อมมีผัสสะ เมื่อเรารู้เข้า ใจก็จะนำความคิดนำผัสสะเพื่ออไม่ให้เวทนามันทำงาน ชีวิตของเราต้องรู้เข้าใจเรื่องขั้วบวกขั้วลบเรื่องความสงบและปัญญา สิ่งที่เก่าและใหม่ถ้าเราไม่เข้าใจมันก็จะเป็นวัฏฏสงสาร เราทั้งหลายต้องมารู้เข้าใจเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด มารู้เรื่องหยุดการเวียนว่ายตายเกิด เราเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐเป้นผู้โชคดี อาศัยของมนุษย์เราปัจจุบันนี้อยู่ได้ร่วม ๆร้อยปี ถ้าเราเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิตมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เอาทั้งวิทยาศาสตร์เอาทั้งใจมาใช้พร้อม ๆ กันย่อมได้บำเพ็ญความดีบารมีติดต่อต่อเนื่อง อายุขัยนั้นย่อมอยู่ได้มากกว่าร้อยปี
เราทั้งหลายเป็นผู้ที่ประเสริฐนะ ที่มีลมปราณ ให้พวกเรารู้เข้าใจในสิ่งที่เป็นสาระและไม่มีสาระ เข้าใจในสิ่งที่ประเสริฐ เพื่อจะได้มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ เข้าถึงความเต็มความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดีว่าเรารู้จักเหตุรู้จักปัจจัย ได้วางหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อเป็นหลักการเป็นแนวทางในการประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายให้ถือเอาปัจจุบันเป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้เข้าถึงความเต็มเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะมีทั้งสติมีทั้งสัมปชัญญะ เพื่อไม่ไปตามผัสสะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ทวนกระแส ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เรารู้เข้าใจอย่างนี้ให้เราจับหลักให้ได้จับประเด็นให้ได้ สิ่งภายนอกก็เป็นสิ่งภายนอก สิ่งภายในก็เป็นสิ่งภายใน ไม่เอาสองอย่างนี้มาติดต่อเพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เพราะความสงบและปัญญานั้นมันอยู่นอกเหตุเหนือผล ไม่มีตัวไม่มีตนไม่มีความปรุงแต่ง เป็นความสงบที่เกิดจากปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดจากความสงบ
เราต้องรู้เข้าใจอย่างนี้ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจเป็นคนรวยเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็มีความทุกข์เพราะไม่รู้จักพอ เป็นคนจนเพราะมีตัวมีตนทุกคนก็มีทุกข์อยู่แล้วเพราะมันมีตัวมีตน ถ้าเรารู้อย่างนี้แหละ
เราทุกคนก็จะเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ได้ เพราะธรรมะนั้นอยู่นอกเหตุเหนือผล อยู่เหนือความปรุงแต่ง เพราะความสงบและปัญญานั้นจะเป็นเบรก จะเป็นเซฟตี้ รถก็ต้องมีเบรก เครื่องบินก็มีเบรก เรือก็เบรก กายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจของเราถึงต้องมีเบรก เราต้องมีสติสัมปชัญญะ เราจะไปตามสิ่งแวดล้อมไปตามความปรุงแต่งไม่ได้ เราต้องรู้จักข้อสอบเราตอบด้วยความเข้าใจไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามอารมณ์ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้รู้จักข้อสอบ เราจะได้ตอบข้อสอบนั้น เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ สิ่งภายนอกก็มีสิ่งภายในก็มีเรารู้เข้าใจ ของสองอย่างนี้เรารู้เข้าใจ เราไม่เอามาติดต่อต่อกันไม่เอามาปรุงแต่งต้องรู้เข้าใจ เราต้องว่างจากสิ่งที่มีอยู่ เราไปว่างจากสิ่งไม่มีอยู่มันจะมีประโยชน์อะไร คนตายจะมีประโยชน์อะไร คนไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายใจมันจะมีประโยชน์อะไร
ธรรมะนี้เป็นความสงบและปัญญาเป็นสิ่งที่ไม่ไปตามกระแสไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม ศีลสมาธิปัญญาให้เรารู้เข้าใจ เรารู้เข้าใจแล้วเราถึงจะมีศีลสมาธิปัญญา ไม่ไปตามผัสสะไม่ไปตามอารมณ์ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม ชีวิตของเราจะจบอยู่ที่นอกเหตุเหนือผล จบอยู่ที่การไม่ปรุงแต่งเพราะการปรุงแต่งนี้เป็นทุกข์ที่สุดในโลก การสงบระงับสังขารด้วยความไม่ปรุงแต่งจึงเป็นความสุขอย่างยิ่ง
การบำเพ็ญบารมีที่ประกอบด้วยปัญญาให้ถือเอาปฏิปทาที่ติดต่อต่อเนื่องกัน การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องเป็นกระบวนการนั้นเป็นกระแสที่ติดต่อต่อเนื่องไม่ขาดตกบกพร่องไม่ด่างไม่พร้อยไม่ทะลุ
ให้พวกเราทั้งหลายรู้เข้าใจ เราจะได้รู้ความหมายว่าเราเกิดมาทำไม เราเรียนหนังสือทำไม เราทำงานทำไม เป็นข้าราชการเป็นนักบวชทำไม เราจะได้รู้เข้าใจ จะไม่ได้เอาความหลงนำชีวิต จะได้เอาปัญญาเอาความสงบนำชีวิต เราต้องรู้จักความเป็นประภัสสร ความเป็นจริงแล้วธรรมชาติเดิมแท้นั้นเป็นของว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมานั้นเป็นเรื่องกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรมที่ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มันเป็นเพียงสัญจรไปมา
เราจะไปเอาสุขเอาทุกข์เอาดีใจเสียใจกับสิ่งที่ไม่ใช่สังสาระนั้นไม่ได้ เราทั้งหลายต้องบริโภคทุกอย่างด้วยปัญญา เราจะได้ยกสิ่งเหล่านั้นมาภาวนา ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเป็นเพียงอาคันตุกะสัญจรไปมา
เราต้องรู้เข้าใจเราจะได้ผ่านด่านนี้ไปให้ได้ เราต้องผ่านด่านธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้าอายตนะทั้งหกไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายต้องขอบอกขอบใจรูปเวทนาสัญญสังขารวิญญาณ ต้องขอบใจสิ่งต่าง ๆ ให้เราเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้แหละพวกเราต้องรู้เข้าใจด้วยปัญญา เราจะได้เข้าถึงอนัตตาที่ว่างจากสิ่งทั้งภายนอกภายในด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราจะได้รู้จักนิมิต ธาตุขันธ์อายตนะมันเป็นเพียงนิมิต เราจะได้รู้เข้าใจ เราจะได้ยกทุกอย่างนั้นเข้าสู่พระไตรลักษณ์ว่านี้ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน เราต้องรู้ว่าอันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องรู้และเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เรามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เรื่องของกายก็ให้เป็นเรื่องของกาย เรื่องของใจก็เป็นเรื่องของใจ ถ้าเรามีการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องอินทรีย์บารมีของเรามันจะก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ มันจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี
เรามาระลึกถึงแม่แบบแม่พิมพ์ พ่อแบบพ่อพิมพ์ มาระลึกถึงพระรัตนตรัย คือพระธรรมคือพระวินัยคือความสงบคือปัญญา เราทั้งหลายจะได้พัฒนาที่ต้นเหตุ ไม่พัฒนาปลายเหตุ เอาทางวิทยาศาสตร์เอาทางจิตใจไปพร้อม ๆ กันด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราทั้งหลายต้องเข้าถึงความเป็นประภัสสรหรือว่าเข้าถึงพระนิพพานเข้าถึงสันติภาพคือบ้านของเราตั้งแต่ยังไม่ตาย ตัวตนนี้ให้เรารู้เข้าใจ มันจะเป็นความไม่อิ่มไม่เต็มไม่พอเพียงเพียงพอ เราทั้งหลายต้องเอาปัญญาสัมมาทิฏฐินำชีวิต เข้าใจเรื่องชาติเรื่องศาสน์เรื่องกษัตริย์ มนุษย์เราต้องเอาธรรมนำชีวิตถ้าไม่เอาธรรมนำชีวิตมันเป็นมนุษย์ไม่ได้มันเป็นได้แต่เพียงคนมันไปไหนไม่ได้มันอยู่ที่เก่า มันเดินไปก้าวหนึ่งแล้วก็ถอยกลับมันไปไหนไม่ได้มันอยู่ที่เก่า
เราต้องรู้เข้าใจ เราไปอาศัยใครไม่ได้ ต้องพึ่งพาอาศัยตัวเราเองนี้แหละ ระบบความคิดคำพูดกิริยามารยาทอาชีพใจนั้นอยู่ที่เรามีความสุขมีปิติมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติเราทั้งหลายจะได้เป็นมนุษยืถ้าไม่อย่างนั้นจะเป็นได้แต่เพียงคน เราทั้งหลายจะได้เป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นพ่อค้าประชาชนเป็นนักบวชน่ะ
ให้เราทั้งหลายพากันรู้เข้าใจ การบริหารตัวเองบริหารคนอื่นต้องเอาความสงบและปัญญา เอาธรรมนูญนำชีวิต ถึงจะเกิดพระนิพพาน ถึงจะเกิดสันติภาพ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราจะได้คืนความหลงให้กับธรรมชาติ ให้กับความเป็นประภัสสร ไม่ลิดรอนสิทธิของใคร เราต้องรู้เข้าใจเรื่องลิดรอน เราไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บไม่อยากตายไม่อยากพลัดพราก อยากจะได้อย่างโน้นอย่างนี้ ไม่อยากให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ เราต้องรู้เข้าใจนี้แหละคือการลิดรอน
ผู้ปฏิบัติทั้งหลายถึงเน้นที่ตัวเรา เราคิดดูดี ๆ พระพุทธเจ้าก็เน้นที่ตัวของท่าน พระอรหันต์ทั้งหลายได้ฟังพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็เน้นที่พระอรหันต์ เราเป็นใครมาจากไหนก็เน้นที่ตัวเราให้เข้าใจอย่างนี้
มนุษย์เราคือผู้ที่ประเสริฐ พัฒนาใจกับพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน ปัญญาต่าง ๆ นั้นแก้ได้หมด แก้ทั้งภายนอก แก้ทั้งเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน แห้งแล้งก็แก้ได้ น้ำท่วมก็แก้ได้ ทุกอย่างนั้นแก้ได้หมด ให้เอาสองอย่างนี้มาแก้ แก้เรื่องจิตเรื่องใจ แก้เรื่องการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เน้นมาที่ตัวของเราเอง ไม่ต้องไปพึ่งพาอาศัยใครมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบไม่ไปตามผัสสะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อมต้องทวนกระแส ถึงจะเป็นผู้มีศีลมีสมาธิมีปัญญา ต้องยกเลิกอัตตาตัวตน ยกเลิกยกหูชูงวง อย่าไปหลง อย่าไปเพลิดเพลินอย่าไปประมาท
อานาปานสตินี้ดีน่ะ อานาปานสติฝึกหายใจเข้าให้สบายหายใจออกให้สบาย หายใจเข้าก็ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจออกให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม อานาปานสติเราต้องเอามาใช้เอามาประพฤติปฏิบัติทุก ๆ อิริยาบถ เพราะสิ่งแวดล้อมนี้มากมาย การเจริญอานาปานสติไม่ใช่การนั่งสมาธินะ ต้องใช้ทุกอิริยาบถเพื่อเราจะไม่ได้ไปตามผัสสะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เราจะได้ยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ว่าทุกอย่างเพียงสัญจรไปมา เราจะได้ยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ว่าทุกอย่างได้เกิดขึ้นแก่เราทางธาตุขันธ์อายตนะเกิดขึ้นแก่เรา อย่าให้ความปรุงแต่งมาปรุงแต่งเรา
เราต้องรู้เข้าใจว่าทุกอย่างนั้นคือผัสสะภายนอกภายใน กายวาจากิริยามารยาทใจนี้เราต้องเอามาทำงานเอามาประพฤติมาปฏิบัติ ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความขี้เกียจขี้คร้านไม่ใช่ธรรมะไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน ปัญญากับความสงบต้องไปคู่กัน ถ้าเอาตัวตนเราก็จะหลงอยู่ในความสงบ ถ้าเราเอาตัวตนมันก็จะหลงในความปรุงแต่ง มีปัญญามากก็ยิ่งทุกข์มาก เพราะความสงบและปัญญาต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน
หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เราภาวนาวิปัสสนา ร่างกายของมนุษย์นี้มันมีอยู่ ๓๒ ชิ้นส่วน ให้แยกออกมาเป็นชิ้นเป็นส่วน ให้เรารู้เข้าใจว่าร่างกายของมนุษย์นั้นประกอบกันด้วย ๓๒ ชิ้นส่วน ให้แยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วน แยกแล้วประกอบ สำหรับนักบวชแล้ววันหนึ่งก็ต้องภาวนาพิจารณาวันละหลายครั้ง เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์
ถ้าเราเอาแต่ความสงบมันจะไม่อยากพิจารณา พื้นฐานของการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเราต้องไม่มีนิวรณ์ทั้ง ๕ ไม่มีอคติทั้ง ๔ เราต้องมีความสงบมีปัญญาอย่างนี้ จิตใจของมนุษย์ถ้ามีปัญญษสัมมาทิฏฐิแล้วมันจะตั้งอยู่ในขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิเป็นบาทเป็นฐาน เป็นพื้นเป็นฐาน เป็นศีลสมาธิปัญญาไปพร้อม ๆ กัน
ถ้าเราเอาศีลสมาธิปัญญาชีวิตของเราจะก้าวไปด้วยขณิกสมาธิกับอุปจารสมาธิเพื่อให้เกิดความสงบและปัญญา เกิดสมถะและวิปัสสนา
ให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเราก็ย่อมไปตามผัสสะตามอารมณ์ตามสิ่งแวดล้อม เราก็เป็นผู้ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา มนุษย์เราเกิดมาถึงไม่มีความสงบไม่มีปัญญา เพราะไม่รู้เข้าใจในเรื่องอริยสัจทั้งสี่ไปตามผัสสะตามอารมณ์ตามสิ่งแวดล้อมนั้นคือบุคคลที่ไม่รู้อริยสัจสี่
พระอรหันต์ทุกรูปรู้เข้าใจเรื่องอริยสัจสี่ ไม่ไปตามผัสสะไม่ตามอารมณ์ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ที่มีสติสมบูรณ์ด้วยความรู้ความเข้าใจ ไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามอารมณ์ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม
เราใช้ทรัพยากรความเป็นมนุษย์เราต้องรู้เข้าใจ มนุษย์เรามันก็ต้องมีเหตุมีปัจจัยที่เป็นมนุษย์ มนุษย์เราก็มีวีซ่าของความเป็นมนุษย์ เอาตัวเอาตนคือไม่มีความเป็นมนุษย์ ไม่มีวีซ่าแห่งความเป็นมนุษย์ คนที่มาประเทศไทยเราก็ต้องขอวีซ่า แล้วก็มาต่อวีซ่า วีซ่าของมนุษย์มันอยู่ที่ธรรมนูญรัฐธรรมนูญ ถ้าเรามีตัวมีตนเค้าเรียกว่าคนไม่มีวีซ่าแห่งความเป็นมนุษย์นะ ศีลธรรมไม่กลับมาวีซ่าของเราหมดนะ
ความสงบและปัญญา คืออธิปไตยของปวงชนนะ เราจะไม่ถูกรัฐประหาร ด้วยเอาตัวเอาตนนำชีวิต ตัวตนนั้นแหละคือรัฐประหาร ไม่มีใครมาประหารเรา เรานั้นแหละเป็นผู้ประหารเราเอง
เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องรู้วีซ่ารู้ความดีที่ประกอบด้วยปัญญา พ่อแม่คือดีเอ็นเอทางกายวาจากิริยามารยาทใจมารวมที่เรานี้แหละ ให้รู้เข้าใจ เราเอาความหลงนำชีวิตก็คือเอาความผิดนำชีวิต ชื่อว่าเป็นคนไม่เกิดความกตัญญูกตเวที มันหมดวีซ่า มันเป็นความไม่ยั่งยืน เพราะมันมีตัวมีตน มันไปตามผัสสะไปตามอารมณ์เรียกว่าเป็นความไม่ยั่งยืนไม่มีความสงบไม่มีปัญญาเป็นคนพลัดถิ่นเป็นคนไม่มีบ้าน ไม่มีหลักการ เป็นคนโฮมเลส เป็นคนไม่มีบ้าน ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ
เราต้องรู้จักบ้านทั้งภายนอกบ้านทั้งภายในนะ บ้านทางกิริยามารยาทบ้านทั้งใจ เราต้องรู้เข้าเราจะไม่ได้ตั้งอยู่ในความประมาท ให้ถือว่าความสงบความเคารพความมีปัญญาความซื่อสัตย์มันคืออันหนึ่งอันเดียวกันมันมารวมที่ใจที่เจตนาไม่มีต่อหน้าและลับหลัง
ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ เพื่อการประพฤติการปฏิบัติของเราจะได้ติดต่อต่อเนื่อง วันหนึ่งคืนหนึ่งเราต้องมีความสงบและปัญญา วันหนึ่งคืนหนึ่งเราต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ วันหนึ่งคืนหนึ่งเราก็ต้องทำงานเพื่อเป็นทางสายกลาง
การนอนการพักผ่อนแต่ละแห่งสถานที่ก็ไม่เหมือนกัน เช่นอยู่ในเมืองหลวงเมืองกรุงต้องนอนพักผ่อน ๗,๘ ชั่วโมงเพราะค่าพีเอ็มไม่ดี ถ้าอยู่ในจังหวัดอยู่ในเมือง ก็นอน ๖,๗ ชั่วโมงอย่างนี้ สำหรับผู้ที่อยู่ในชนบทอยู่ในป่าในเขานอน ๕,๖ ชั่วโมงก็เพียงพอ เพราะค่าพีเอ็มดีอากาศดี จะอยู่แต่ละแห่งแต่ละสถานที่เราต้องรู้เข้าใจ
มนุษย์เราต้องมีความสงบมีปัญญา อาหารทุกอย่างนั้นเป็นเพียงยารักษาโรค เราต้องบริโภคทุกอย่างด้วยความสงบด้วยปัญญา ให้เรารู้เข้าใจ การออกกำลังกายของเราให้เพียงพอ
มนุษย์เราต้องออกกำลังกายทุก ๆ คนนะ อย่างน้อยวันละ ๑ ชั่วโมงต้องออกกำลังกาย ออกกำลังกายอยู่ที่บ้านของเราเพราะเดี๋ยวนี้ปัจจุบันเวลานี้แหละมีรถมีเรือมีเครื่องบินผู้คนประชาชนมีมาก ถ้าจะให้ดีออกกำลังกายที่บ้าน ถ้าผู้ที่อยู่ที่วัดก็ออกกำลังกายที่วัด ไม่ต้องไปวิ่งตามถนนหนทางเหมือนแต่ก่อน
มนุษย์เราอย่าพากันให้ท้องผูก อาหารที่เราทานเข้าสู่ร่างกายให้อยู่ในร่างกายได้สัก ๒๔ ชั่วโมงก็เพียงพอ ต้องถ่ายเทของเสียออก ถ้าเราไม่ถ่ายเทของเสียออก อาหารเก่าก็จะกลับมาหล่อเลี้ยงร่างกายก็จะมีโรคมีภัย ที่เป็นโรคเป็นภัยอะไรต่าง ๆ ก็เนื่องมาจากท้องผูก สมัยใหม่ของแพทย์นี้เค้าถ่ายเทของเสียออกด้วยการดีท๊อกซ์ ดีท๊อกซ์ทางทวาร ตอนเช้าน่ะ ผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองได้ก็ช่วยเหลือตัวเอง ผู้ที่ช่วยเหลือตัวไม่ได้ก็ให้คนอื่นช่วย เรื่องดีท๊อกซ์ก็ให้ไปศึกษาเอาเองเพราะความรู้เดี๋ยวนี้ก็อยู่ในโทรศัพท์มือถืออยู่ในคอมพิวเตอร์สะดวกสบายอยู่แล้ว
หลักการของมนุษย์ต้องเอาธรรมนำชีวิต วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานพร้อมกับการปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กันเพื่อให้ใจตั้งอยู่ในขณิกสมาธิอุปาจารสมาธิเพื่อยกเลิกนิวรณ์ทั้งห้ายกเลิกอคติทั้งสี่เพื่อเป็นความสงบเป็นปัญญา วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงาน เพื่อมาเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ
เพราะมนุษย์เรานี้ให้รู้เข้าใจนะ ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว ธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้าอายตนะทั้งหกมันเป็นบ่าวน่ะ สิ่งที่สำคัญอยู่ที่ใจ ผู้ที่เวียนว่ายตายเกิดหรือว่าหยุดเวียนว่ายตายเกิดอยู่ที่จิตที่ใจนะ การปฏิบัติของเราถึงเป็นสิ่งที่ทวนกระแสให้ใจของเราเกิดปัญญา
วันเสาร์วันอาทิตย์มนุษย์เราทุกคนถึงมาเน้นการฝึกตนปฏิบัติตนเจริญสติสัมปชัญญะเอาความสงบกับปัญญามาพิจารณาเรื่องพระไตรลักษณ์ยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ จะพิจารณาร่างกายเข้าสู่พระไตรลักษณ์ พิจารณารูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เพื่อให้เกิดสติเกิดปัญญามนุษย์
เราต้องมีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรม ถ้าไม่ทำอย่างนี้ไม่ปฏิบัติอย่างนี้ชีวิตของเราก็ย่อมไม่ถูกต้อง ทำทั้งผิดทั้งถูทกั้งดีทั้งชั่วมันไปไหนไม่ได้มันระคนกันอยู่มันก็ไม่ใช่มนุษย์ เป็นได้แต่เพียงคน มันไปไหนไม่ได้ย่ำต๊อกอยู่ที่เก่า มันไม่มีความสงบไม่มีปัญญามัน
ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะ ท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่มีลมปราณเป็นผู้ที่ประเสริฐมากให้เรารู้เข้าใจในสาระ ในสิ่งที่ไม่ใช่สาระจะได้เป็นผู้ปฏิบัตดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์เป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารตั้งอยู่ในความไม่ประมาทรู้เข้าใจ จะได้ส่งดีเอ็นเอความดี เป็นวิทยาศาสตร์ทางด้านวัตถุทางด้านจิตใจไปพร้อม ๆ กัน
ให้ทุกท่านทุกคนระลึกถึงโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนอขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานท่านได้ตรัสบอกพวกเราทั้งหลายว่าปัจจุบันเป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ ท่านได้ตรัสโอวาทไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้ตรัสโอวาทไว้ว่า
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบัน ไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ
เราทั้งหลายต้องไม่ประมาท ถ้าเราประมาทนั้นก็ย่อมพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ในการบริหารประเทศ ก็ย่อมพังทลายเช่นเดียวกันกับตึก สตง. เพราะเอาความประมาทนำชีวิต โอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นถึงเป็นโอวาทที่สำคัญ โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตที่ตรัสไว้ถึงเป็นโอวาที่สำคัญ
------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอังคารที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา