๒๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๒๖ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม
เราทั้งหลายที่เป็นนักบวช เป็นข้าราชการนักการเมือง เป็นพ่อค้าประชาชน เกษตรกรรมอุตสาหกรรม
เราทั้งหลายต้องเข้าสู่ปัญญาและความสงบเพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อเป็นปัจจุบันธรรม เราทุกคนต้องรู้เข้าใจเพราะทุกอย่างนั้นคือกรรม คือกฎแห่งกรรม คือผลของกรรม
เราทั้งหลายต้องพากันมาประพฤติมาปฏิบัติที่ตัวของเราเอง พากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติในการปฏิบัติ เมื่อมันผ่านไปแล้วก็ให้เราทั้งหลายพากันปล่อยพากันวาง เพราะว่ามันเกษียณไปแล้ว เราจะไม่ได้มีความยึดมั่นถือมั่น เพื่อจะได้ก้าวไปด้วยปัญญาและความสงบ จะได้เข้าถึงธรรมถึงสภาวธรรม เป็นทั้งความสงบและปัญญา
เราทั้งหลายมาเน้นที่ตัวของเราเพื่อให้การประพฤติการปฏิบัติของเราสมบูรณ์ทุกแง่ทุกมุมในการประพฤติการปฏิบัติ ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ ไม่ขาดตกบกพร่องทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ เป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท ความหลงความเพลิดเพลิน ให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี
เราทั้งหลายพากันเข้าใจในเรื่องการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้เป็นมนุษย์ในปัจจุบัน ผู้เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต จะได้เป็นมนุษย์ได้ตั้งแต่ในปัจจุบัน มนุษย์แปลว่าผู้เอาธรรมนำชีวิต ไม่เอาสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน สัญชาตญาณก็ได้แก่ความไม่รู้ไม่เข้าใจ
เราทั้งหลายต้องเอาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ รวมลงที่ความรู้สึก ที่หมกมุ่นอยู่ในกาม หมกมุ่นอยู่ในพยาบาท เป็นอวิชชาเป็นความหลง เป็นสัญชาตญาณ หลงในความสุข หลงในความทุกข์ ระแวงภัย ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องอริยสัจสี่ เราทั้งหลายถึงไม่ได้เป็นมนุษย์ เป็นได้แต่เพียงคนเป็นได้แต่เพียงความหลง คำว่าคนก็หมายถึงวกวนอยู่ในที่เก่า ไปไหนไม่ได้ วกไปวนมา เดินไปข้างหน้าก็ถอยกลับมาที่เก่า ย่ำต๊อกอยู่ในที่เก่า ย่ำต๊อกอยู่ในความหลง
เราทั้งหลายพากันพัฒนาสติพัฒนาปัญญาทางวัตถุเพื่อความสะดวกความสบาย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันคือเหตุคือปัจจัยจากการเรียนการศึกษา จากการประพฤติการปฏิบัติ เมื่อเราเพรียบพร้อมด้วยความสุขที่เกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย เราทั้งหลายจะไม่ได้หลงไหลในรูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญ เราทั้งหลายจะไม่ได้จมอยู่ในความหลง
เราต้องรู้เข้าใจ เพื่อเราจะได้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเป็นเพียงเหตุเพียงปัจจัย เราจะได้เป็นเทวดา เป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป รู้เข้าใจเรื่องเหตุเรื่องผลเรื่องอริยสัจสี่ มีเทวธรรมเป็นผู้มีหิริมีโอตตัปปะ ละอายต่อบาป ไม่เอาความผิดนำชีวิต เอาความสงบและปัญญานำชีวิต เข้าถึงธรรมเข้าถึงปัจจุบันธรรม เป็นเทวดาผู้มีสติมีปัญญา ผู้มีความสงบมีปัญญา
เป็นพระพรหม เป็นผู้มีพรหมวิหาร เป็นผู้รู้เข้าใจในอริยสัจสี่ เป็นผู้รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เป็นผู้เมตตาตนเองอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ เมตตาสัตว์อื่นอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ เป็นผู้มีมุทิตาทั้งตัวเองและผู้อื่นอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ เมื่อมันผ่านไปแล้วก็เป็นผู้ปล่อยผู้วาง เพราะว่ามันเกษียณไปแล้ว เป็นผู้มีอุเบกขาวางเฉยในอดีตที่ผ่านมา เป็นผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่น เป็นผู้ไม่เอาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มาเป็นเรา รู้เข้าใจ เพื่อเราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ความเข้าใจ จะได้รู้หลักการอุดมการณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ เอาอริยมรรคมีองค์แปดนำชีวิตปฏิบัติให้สมบูรณ์ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจเป็นปัญญกับความสงบ เป็นความสงบและปัญญา เป็นบุคคลที่อยู่นอกเหตุเหนือผล เหนือความปรุงแต่งด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยพระธรรมพระวินัย
เป็นพระอริยเจ้าผู้เดินทางสายกลางระหว่างวัตถุพร้อมกับทางจิตทางใจ เราจะได้ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ทั้งกายวาจากิริยามายาททั้งอาชีพให้สมบูรณ์ ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมีความสำคัญอยู่ที่ปัจจุบัน เพราะอดีตทั้งหลายก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มาอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว ปัจจุบันเรารู้เราเข้าใจ เป็นวาระสำคัญแห่งชาติแห่งการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้รู้เข้าใจในเรื่องชาติ คือความเกิด เรารู้เข้าใจเอาความสงบและปัญญา ถึงจะเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา
เราจะได้เข้าใจเรื่องพระศาสนา ศาสนาเปรียบเสมือนจิ๊กซอร์ เป็นกระบวนการของกระแสปฏิจจสมุปปบาทที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นความสงบและปัญญา ไม่ให้เป็นอัตตาตัวตน นิติบุคคลตัวตน ให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจมันจะเป็นนิติบุคคลตัวตน มันจะเป็นสัญชาตญาณมันจะเป็นวัฏฏสงสารในการเวียนว่ายตายเกิดมันจะเป็นจิ๊กซอร์ที่ติดต่อต่อเนื่อง
เราต้องเข้าใจเรื่องพระศาสนา พระศาสนานี้เป็นสัมมาทิฏฐิ ปัญญากับการประพฤติการปฏิบัติถึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราทุกคนต้องพากันเข้าใจนะ เราต้องมีพระศาสนา ทุกคนต้องมีพระศาสนา ศาสนาในโลกนี้มีชื่อหลายชื่อไม่เป็นไรให้เราเข้าใจ ศาสนาคือธรรมะ ธรรมคือศาสนา
ให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจเรื่องพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์หมายถึงนามธรรมในเรื่องจิตเรื่องใจ กษัตริย์นี้หมายถึงปัญญา ปัญญาบริสุทธิคุณ ปัญญาที่รู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ด้วยความรู้ความเข้าใจ ไม่เอาธาตทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มาเป็นเรา ถ้าเอาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ นี้มาเป็นเราชื่อว่าไม่มีปัญญา ไม่มีศัตรา ศัตรานี้ก็หมายถึงศีล สมาธิ ปัญญา เพราะศีลสมาธิที่ประกอบด้วยปัญญามันจะเป็นสันตติ ที่ตัดอวิชชาตัดความหลงด้วยความสงบด้วยปัญญา ไม่ให้อวิชชาได้ทำงาน ความหมายของกษัตริย์หมายถึงปัญญา ผู้ที่เป็นพระมหากษัตริย์ถึงทรงทศพิธราชธรรมเอาธรรมนำชีวิต ระบบข้าราชการนักการเมือง ต้องรู้เข้าใจ เพื่อจะได้พัฒนาทั้งใจทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กัน ถึงจะได้เอาปัญญานำชีวิต ถึงจะได้เอาตัวรอดในทางที่รอด เน้นการเรียนการศึกษาเพื่อให้เกิดปัญญา การทำงานเพื่อให้เกิดปัญญา รู้เข้าใจถึงเป็นอริยมรรคทั้งกายวาจากิริยามารยาทมารวมที่ใจที่เจตนาให้พวก
เราทั้งหลายรู้เข้าใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงบอกพระโมฆราชว่า โมฆราชเอย เธอต้องรู้ต้องเข้าใจในเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เรื่องธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖
เราทั้งหลายจะเอาธาตุเอาขันธ์เอาอายตนะนี้มาเป็นเราไม่ได้ เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี เธอทั้งหลายจะได้มองทุกอย่างเป็นของว่างเปล่า
มนุษย์เราทั้งหลายให้รู้เข้าใจนะ เราเอาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ นี้คือบุคคลที่มีความคิดเห็นผิด เข้าใจผิดปฏิบัติผิดนะ ท่านถึงได้บอกพระโมฆราชว่าเธอจงมองทุกอย่างเป็นสิ่งที่ว่างเปล่าทั้งภายนอกภายในให้ว่างเปล่า ความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงก็จะไม่มีแก่เรา เพราะเราไม่มีรู้เข้าใจเอาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มาเป็นเรา เราทั้งหลายถึงมีความทุกข์น่ะ
เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจการเรียนการศึกษาการทำงานการเป็นข้าราชการนักการเมืองก็จะเป็นตัวเป็นตนเป็นความทุกข์ จะมีแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไปนอกจากทุกข์นั้นไม่มีเลยนะ
เราทั้งหลายต้องมารู้มาเข้าใจเรื่องพระโปธิละ พระโปธิละนั้นเป็นผู้ทรงแก่เรียน ได้บำเพ็ญบารมีมาหลายภพหลายชาติ เป็นผู้ทรงแก่เรียน เป็นครูเป็นอาจารย์ได้บอกสอนคนอื่นเป็นพระอริยเจ้าเป็นพระอรหันต์หลายร้อยหลายพันรูป หลายร้อยหลายพันองค์หลายหมื่นองค์อย่างนี้เป็นต้น แต่ตัวเองนั้นยังเอาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มาเป็นเราถึงรู้เข้าใจก็แก้ปัญหาไม่ได้ ดับทุกข์ไม่ได้ เพราะไม่ได้เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจนะเราจะได้ไม่เสียกาลเสียเวลาในการประพฤติการปฏิบัติ ด้วยความเมตตามหากรุณาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระโปฐิลเถระ ซึ่งเรารู้จักกันในนามของพระใบลานเปล่า ท่านเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกในศาสนาของพระพุทธเจ้ามาถึง ๗ พระองค์ ครั้นออกบวชก็ตั้งใจศึกษาพระไตรปิฎกจนแตกฉาน และยังสอนธรรมะให้กับพระภิกษุ ๕๐๐ รูป นอกจากนี้ ท่านยังเป็นเจ้าคณะใหญ่ถึง ๑๘ คณะ ทำให้เป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่รู้จักของภิกษุสามเณรเป็นอย่างดี
พระบรมศาสดาปรารถนาจะให้พระโปฐิละเป็นผู้มีความรู้ทั้งทางด้านปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ และเทศนา คือได้ทั้งคันถะธุระและวิปัสสนาธุระ สมกับที่เป็นสาวกของพระพุทธองค์ แต่เนื่องจากพระโปฐิละมัวแต่สอนคนอื่นจนไม่มีเวลาสอนตนเอง ไม่ยอมปลีกวิเวกไปบำเพ็ญสมณธรรมตามลำพังบ้าง วันๆ ได้แต่เตรียมสอนธรรมะ และตอบปัญหาข้อสงสัยให้กับลูกศิษย์ลูกหามากมาย ท่านจึงไม่มีความคิดที่จะสลัดออกจากกองทุกข์เพื่อมุ่งสู่พระนิพพาน
เพราะฉะนั้น เวลาท่านไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา จึงถูกพระพุทธองค์ทักทายว่า “ท่านใบลานเปล่ามาแล้วเหรอ เชิญนั่งเถิดท่านใบลานเปล่า” ครั้นท่านกราบนมัสการลา ก็ถูกทักอีกว่า “ท่านใบลานเปล่าไปแล้วหรือ” ทำให้ท่านกลับไปคิดตริตรองว่า “เราเป็นผู้ทรงไว้ทั้งพระไตรปิฎก แต่พระบรมศาสดาก็ยังตรัสเรียกเราว่าใบลานเปล่า อาจเป็นเพราะเราเป็นผู้ไม่มีคุณวิเศษภายใน”
เนื่องจากท่านมีปัญญามาก จึงรู้ถึงนัยของพุทธองค์ กล่าวคือ ผู้รู้ เขาแค่เตือนแบบสะกิดกันนิดเดียว ก็สามารถเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง พระเถระรู้ตัวเช่นนี้เกิดความสลดสังเวชใจว่า ที่ผ่านมาตนเองเปรียบเหมือนคนเลี้ยงโค แต่ไม่เคยดื่มกินปัญจโครสเลย คือรู้ธรรมะด้วยสุตมยปัญญา เพราะอ่านมามาก ได้ยินได้ฟังมามาก แต่ไม่เคยลงมือปฏิบัติให้เข้าถึงเลย
ท่านตัดสินใจเพื่อเข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ เน้นที่ตัวของท่าน ออกปลีกวิเวกตามลำพังในป่า แต่เมื่อจะลงมือปฏิบัติ ก็กลับไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย คือ มีความรู้มากก็ยิ่งยากนาน ครั้นจะไปถามพระถามเณรในวัดก็เขินอาย เพราะพระเณรเกือบทุกรูปที่เป็นพระอรหันต์ขีณาสพนั้นล้วนเคยเป็นลูกศิษย์ของท่านเอง
ท่านจึงออกเดินทางไปไกลถึงสองพันโยชน์ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้จำท่านได้ ตั้งแต่พระสังฆเถระ ไล่เรื่อยลงมาจนถึงพระนวกะ ต่างก็ปฏิเสธที่จะแนะนำธรรมะให้ท่าน เพราะรู้ว่าท่านเป็นผู้รู้มาก มีปัญญามาก เป็นพระธรรมกถึกผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมากในเวลานั้นขณะนั้น ผู้ที่ท่านเคยบอกเคยสอนส่วนใหญ่ก็เป็นพระอรหันต์ขีณาสพกัน
และที่ท่านเหล่านั้นได้บรรลุธรรมาภิสมัย ก็เพราะอาศัยพระเถระเป็นผู้บอกผู้สอนเป็นครูบาอาจารย์ ดังนั้น ต่างเกรงว่าสิ่งที่แนะนำไปจะเป็นการเอามะพร้าวห้าวไปขายสวน
เมื่อไม่มีใครแนะนำ สุดท้ายท่านต้องยอมตนไปขอความรู้ภาคปฏิบัติกับสามเณรน้อยซึ่งอายุเพียง ๗ ขวบ แต่เป็นสามเณรอรหันต์ พระเถระเป็นผู้ทรงภูมิรู้ภูมิธรรมมาก แต่ท่านยอมทำตัวเหมือนเด็กอนุบาล เป็นนักศึกษาที่ดีมาก แม้สามเณรจะทดสอบให้ท่านเดินลงไปในสระน้ำ ท่านก็ไม่ได้ลังเลใจ ยอมทำตามที่สามเณรบอกทันที
สามเณรเห็นว่า พระโปฐิละได้ลดมานะละทิฏฐิ เพื่อแก้ไขตนเอง เพราะมีมานทิฏฐินั้นมันแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะมานะทิฏฐิมันเป็นนิติบุคคลตัวตน มันเป็นความปรุงแต่งที่สำคัญมั่นหมายที่เป็นนิติบุคคลตัวตน สำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นคนอื่น ผู้ที่ยกเลิกเรายกเลิกคนอื่นถึงจะมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ
เมื่อละเราละเขาถึงเป็นความสงบเป็นผู้มีปัญญาถึงเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย ไม่เป็นผู้ว่ายากสอนยาก เพราะตัวตนนั้นคือผู้ว่ายากสอนยาก
ยอมอยู่ในโอวาทของสามเณร แม้สามเณรจะให้ทำอะไรก็ทำ ไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น ยกเลิกตัวยกเลิกตนยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพื่อจะได้อบรมบ่มอินทรีย์ เพื่อจะได้เอาความดีเอาความถูกต้องให้เกิดความสงบเกิดปัญญา แม้จะให้ไปกระโจนลงเหว หรือกระโดดเข้ากองเพลิง ท่านก็ยอมทำตามทุกสิ่งทุกอย่าง สามเณรจึงให้ท่านกลับขึ้นมายืนที่ริมฝั่ง แล้วกล่าวให้นัยว่า “ในจอมปลวกแห่งหนึ่ง มีช่องอยู่ ๖ ช่อง เหี้ยได้เข้าไปในจอมปลวกช่องหนึ่ง ผู้หวังจะจับเหี้ย จึงอุดช่องทั้ง ๕ ไว้ คอยจับเหี้ยออกทางช่องที่ ๖ บรรดาทวารทั้งหก แม้ท่านจงปิดทวารทั้ง ๕ แล้วเปิดมโนทวาร กำหนดใจให้หยุดให้นิ่งอยู่ที่ตรงนั้น”
เนื่องจากพระเถระเป็นพหูสูต ทรงพระไตรปิฎกมาหลายภพหลายชาติ นัยที่สามเณรให้จึงเป็นประดุจการลุกโพลงขึ้นของดวงประทีป ท่านเริ่มประคองใจให้หยุดนิ่งอยู่ภายใน มีสติตั้งมั่นเป็นสมาธิ แม้พระบรมศาสดาประทับนั่งในที่ไกลถึง ๑๒๐ โยชน์ ทรงเห็นความแก่รอบแห่งญาณของพระโปฐิละ จึงเปล่งรัศมีออกไปดุจปรากฏต่อหน้าพระเถระ แล้วตรัสว่า “ปัญญาย่อมเกิดเพราะการประกอบความเพียร ท่านพึงตั้งตนไว้โดยประการที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้เถิด” พระเถระตั้งใจทำภาวนาจนเกิดภาวนามยปัญญา และในที่สุดก็แทงตลอดในคำสอนของพระบรมศาสดา บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในท่ายืนนั่นเอง
เราต้องมาทำความเข้าใจว่าเราทั้งหลายเอาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ นี้มาเป็นเราไม่ได้ อย่างผู้คงแก่เรียนทั้งหลายเช่นพระโปฐิละมันแก้ปัญหาไม่ได้เพราะเอาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มาเป็นเรา ให้เรารู้เข้าใจ จะได้เอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสแก่พระโมฆราช แล้วก็เอาธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแก่พระโปฐิละ เราทั้งหลายจะได้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราทั้งหลายจะได้รู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจก็จะเป็นเหมือนพระวินัยธรกับพระธรรมกถึก พระธรรมกถึกกับพระวินัยมีเหตุผลมาก รู้มั๊ยเหตุผลเป็นนิติบุคคลตัวตนนะ ธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่นอกเหตุเหนือผลมันเป็นความสงบและปัญญา ด้วยเหตุนี้ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ จะเป็นเราไปไม่ได้ ต้องเป็นธรรมด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เป็นผู้มีศีลมีสมาธิมีปัญญา เราไม่รู้ไม่เข้าใจมันจะดับทุกข์ได้อย่างไร แก้ปัญหาได้อย่างไร
ให้เราทั้งหลายเข้าใจนะ คนเก่งคนฉลาดก็ต้องยกเลิกสัญชาตญาณที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน จะได้เข้าถึงธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสั่งสอนพระโมฆราช เราจะได้เข้าถึงธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านสั่งสอนพระโปฐิละ ตัวตนนั้นเราจะไม่ฟังใครนะ ตัวตนมันจะเป็นจิ๊กซอร์เรื่องกรรมเก่าให้ติดต่อสิ่งที่ใหม่ ๆ สิ่งที่ใหม่ ๆ ได้แก่อายตนะภายนอก อายตนะภายนอกก็ได้แก่รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ลาภยศสรรเสริญ มีลาภเสื่อมลาภ มีสุขมีทุกข์ มีนินทา มีสรรเสริญ
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้รู้ทั้งสิ่งภายนอกภายใน รู้ทั้งสิ่งที่เก่ารู้ทั้งสิ่งที่ใหม่ด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะปฏิบัติไม่ได้นะ เราทั้งหลายต้องพากันมามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เอาปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ สิ่งไหนมันผิดเราก็ต้องหยุด สิ่งไหนมันดีเราก็ต้องก้าวไป มีทั้งเบรก มีทั้งคันเร่ง รถเค้าก็ยังมีเบรก รถเค้ายังมีคันเร่ง เครื่องบินก็มีเบรกมีคันเร่ง เรือก็มีเบรกมีคันเร่ง ความสงบและปัญญาถึงเป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ไม่มีใครปฏิบัติให้เรานะ เราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะไม่ได้เอาความหลงนำชีวิต เราจะได้เอาแต่ความสงบเอาปัญญานำชีวิต
ให้เราพากันคิดดูดี ๆ นะ เราอย่าเอาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มาเป็นเราอย่างเด็ดขาด เราต้องหยุดต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้รู้จักความดีรู้จักปัญญา เอาความดีเอาปัญญามาประพฤติมาปฏิบัติ ให้เรารู้จักข้อสอบตอบด้วยการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันนี้ หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายไม่รู้ไม่เข้าใจ หมู่เทวดาทั้งหลายไม่รู้ไม่เข้าใจ หมู่พระพรหมทั้งหลายไม่รู้ไม่เข้าใจ ชีวิตนี้ถึงต้องพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง.ของเมืองไทย เราทั้งหลายให้รู้เข้าใจ ทุกอย่างนั้นมันแก้ได้แก้ปัญหาได้ แต่ต้องรู้ต้องเข้าใจ เราทั้งหลายไม่รู้ไม่เข้าใจ จะไปเอาแต่ทางวัตถุเอาแต่ทางวิทยาศาสตร์ มันไม่ใช่ความดี มันเป็นตัวเป็นตน ข้าราชการนักการเมืองนักบวชต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้เข้าใจทำอย่างไรก็แก้ปัญหาไม่ได้ ดับทุกข์ไม่ได้ เพราะเราจะไปเอาตั้งแต่วิทยาศาสตร์ เอาแต่ตัวแต่ตนมันจะแก้ปัญหาได้อย่างไร คิดให้สมองระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ ก็แก้ปัญหาไม่ได้ ตายแล้วเกิดอีกก็แก้ปัญหาไม่ได้ ชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายเช่นเดียวกันอย่างเดียวกันกับตึก สตง.นี้แหละ ไม่มีผิดเลย
ปัญหาต่าง ๆ นั้นเราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจแล้วมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราไม่ต้องไปแก้ที่ไข ต้องแก้ที่ตัวเรา เราอย่าลืมว่าเราต้องไม่ไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ของธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทัง ๖ เราทั้งหลายต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราทั้งหลายไม่ต้องไปลิดรอนสิทธิ เราต้องรู้ธรรม รู้สภาวธรรม เราทั้งหลายเมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องแก่เจ็บตายพลัดพราก เราอยากไม่ให้แก่ไม่ให้เจ็บไม่ให้ตายไม่ให้พลัดพรากมันจะเป็นได้อย่างไร เราจะเอาแต่ความรวย ความจนจะเอาไปไว้ไหน เพราะความรวยความจนนั้นล้วนแต่เป็นอัตตาและตัวตน มีแต่ความปรุงแต่งทั้งนั้นเลย ต้องรู้เข้าใจเรื่องอริยสัจสี่ มันเป็นไปไม่ได้แน่นอนเอาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มาเป็นเรา มันทุกข์เปล่า ๆ ทุกข์ฟรี ๆ เราจะเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงเพื่อปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ได้อย่างไรมันเป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ รู้มั๊ยว่ามันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไป มันเป็นอัตตาตัวตนเป็นนิติบุคคลตัวตน เราพากันเข้าใจทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ให้พากันเข้าใจนะ สามเณรน้อยอรหันต์ถึงบออกพระโปฐิละให้เข้าใจ ให้ปิดรูทั้ง ๕ ไว้เสีย รูทั้ง ๕ ก็ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กายมันก็ไม่ยากอะไรเราก็มาลงที่ใจที่เจตนา เพราะทุกอย่างมันอยู่ที่ใจที่เจตนา การประพฤติการปฏิบัตินั้นต้องรู้เข้าใจถึงเป็นความสงบและปัญญา ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง มันเป็นความสงบเป็นความเคารพเป็นความกตัญญูกตเวที เป็นความพอดีเป็นความพอเพียงเพียงพอ เราทั้งหลายจะได้พากันมีความสงบมีปัญญา เพราะเราจะเอาใจเอาตัวผู้รู้นี้เป็นตัวเป็นเป็นตนได้อย่างไร ตัวผู้รู้ต้องเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่เป็นตัวเป็นตน
เราต้องพากันรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้เข้าใจ มันก็เป็นวัฏฏสงสารเพราะเอาสัญชาตญาณเอาความรู้สึกเป็นเรา เราต้องรู้เข้าใจ เราจะเอาความรู้สึกเอาสัญชาตญาณนี้เป็นเราไปไม่ได้ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจ ผู้มีปัญญามากก็ย่อมฟุ้งซ่านมาก ผู้มีอำนาจวาสนาก็ย่อมมีอัตตาตัวตนมาก เพราะเอาวิญญาณตัวผู้รู้นี้มาเป็นเรา เราปิดรูทั้ง ๕ ยังไม่พอนะ ปิดรูปปิดเวทนาปิดรูสัญญาปิดรูสังขาร ใจตัวผู้รู้ตัววิญญาณ
เราก็ต้องเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากความรู้ความเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมีอยู่ เราทั้งหลายจะได้ว่างทั้งภายนอกภายใน เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสบอกพระโมฆราชให้รู้เข้าใจ เราจะได้รู้เข้าใจเรื่องสามเณรน้อย ๗ ขวบอรหันต์บอกหลักการในการประพฤติการปฏิบัติของพระโปฐิละ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายพากันรู้เข้าใจ ปัญหาต่าง ๆ นั้นแก้ได้ ให้รู้เข้าใจ ไม่ต้องแก้ไขที่ใคร แก้ไขที่เรา เราต้องยกเลิก ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าไม่รู้เข้าใจ ก็จะเป็นเหมือนข้าราชการนักการเมือง เหมือนนักบวชปัจจุบันนี้แหละ พากันเอาความหลงนำชีวิตในการเป็นวัฏฏสงสาร พากันเป็นสมีกันไปทั้งบ้านทั้งเมืองหรือทั้งโลกก็ได้ คำว่าสมีหมายถึงสามี สามีภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียน
ผู้ที่เอาธาตุทั้ง ๔ เอาขันธ์ทั้ง ๕ เอาอายตนะทั้ง ๖ มาเป็นตัวตนถือว่าเป็นอวิชชาเป็นความหลง ถือว่าเป็นสมีทั้งนั้น ให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องพากันรู้ปัญหาแก้ปัญหา เราทั้งหลายจะได้รู้อริยสัจสี่รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
เราทั้งหลายในชีวิตประจำวัน เรามาเจริญเอาความสงบและปัญญายกเลิกธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เพื่อเราจะได้เอาความสงบและปัญญา
การประพฤติการปฏิบัติของเราต้องติดต่อต่อเนื่องเพื่อความดีและปัญญาจะได้ก้าวไป เพราะทุกอย่างนั้นเราต้องรู้เข้าใจ เพราะทุกอย่างนั้นคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรมเรียกว่ากรรมฐาน มีกรรมเป็นพื้นฐาน
เราทั้งหลายต้องพากันรู้อริยสัจสี่อย่างนี้ ในชีวิตประจำวันของเราเราทั้งหลายต้องพากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เอาหลักการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ
เราเป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน เป็นข้าราชการเป็นนักการเมือง เป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ เราทุกคนต้องเอาธรรมนูญนำชีวิตเอาความสงบและปัญญานำชีวิต เอาความสงบและปัญญาจะได้ก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา วันหนึ่งคืนหนึ่งเรานอนพักผ่อน สำหรับพระเจ้าอยู่หัวเค้าเรียกบรรทม อันเดียวกัน วันละ ๖-๘ ชั่วโมง ผู้ที่อยู่ในเมืองกรุงเมืองหลวงให้รู้เข้าใจ เพราะเมืองกรุงเมืองหลวงปริมณฑล ค่าพีเอ็มนั้นไม่ดี อากาศไม่ดี ออกซิเจนไม่ดี พากันนอนพากันพักผ่อนอย่างน้อย ๖ ชั่วโมง อย่างมากก็ ๘,๙ ชั่วโมง ออกกำลังกายให้เพียงพอ อย่างนี้เรารู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราอย่าไปคอร์รัปชั่นเวลานอน เราอยู่ต่างจังหวัดเรานอนน้อยกว่านั้นเพราะอากาศดีกว่า สำหรับนักบวชอยู่ในเมืองหลวงเมืองกรุงปริมณฑลก็ทำอย่างเดียวกัน ให้พากันเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต มีการเรียนการศึกษาก็ต้องมีความสงบ มีความสงบก็ต้องเสียสละเพื่อเอาความสงบและปัญญา เราจะเอาแต่บอกไปสอนคนอื่นไปแก้คนอื่นได้อย่างไร เราทั้งหลายต้องเอาความสงบและปัญญา เอาปัญญาและความสงบ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะเป็นข้าราชการเป็นนักการเมือง
เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้เข้าใจเราก็ไม่รู้การประพฤติการปฏิบัตินะ ถ้าไม่รู้เข้าใจมันก็จะพังทลายเช่นเดียวกับตึกสตง.นี้แหละ ถ้าไม่รู้เข้าใจมันจะเป็นอบายมุขอบายภูมิ ภูมิแห่งความตกต่ำ ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่พระพรหม ไม่ใช่พระอริยเจ้า เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องเอาความเป็นมนุษย์ของเรามาประพฤติมาปฏิบัต เอาธรรมนูญไม่ใช่เอาตัวเอาตน ผู้ที่เป็นข้าราชการนักการเมืองต้องรู้เข้าใจ รัฐศาสตร์ต้องเป็นธรรมศาสตร์ นิติศาสตร์ก็ต้องเป็นธรรมศาสตร์ ให้รู้เข้าใจว่าทำไมประเทศไทยถึงมีโรงเรียนที่ชื่อว่าธรรมศาสตร์ ต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต มีความสงบและปัญญาเราทั้งหลายจะได้เป็นข้าราชการนักการเมืองถึงมีชื่อโรงเรียนธรรมศาสตร์
ทำไมเค้าถึงเรียกว่าจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์หมายถึงเอาพระรัตนตรัย คือเอาความรู้กับการปฏิบัติที่ประกอบด้วยปัญญา ที่เป็นจุฬาฯ ที่เข้าสู่อุปกรณ์ทั้งกายวาจากิริยามายาทรวมที่ใจที่เจตนา ที่มีคำว่าจุฬามณีคือรัตนตรัย คือพุทธะ ธัมมะ สังฆะ เป็นพระรัตนตรัย เป็นธรรมนูญ รัฐธรรมนูญ ให้ทุกคนรู้เข้าใจ
เราทั้งหลายต้องไม่เอาตัวตนนำชีวิต ต้องเอาธรรมนูญนำชีวิต เพราะเอาตัวตนมันคือความผิด ให้รู้เข้าใจ ความผิดคือความไม่ถูกต้อง ตัวตนนั้นคือความไม่ถูกต้อง ตัวตนคือไม่ใช่ทาง ตัวตนนั้นคือทางตัน คือตัณหา หาเรื่องหาราวให้กับตัวเองให้คนอื่น หาเรื่องหาราวให้ประเทศชาติบ้านเมือง ให้เราทั้งหลายกลับมามองดูตนเอง อย่าไปมองคนอื่น มีสติมีปัญญามองตนเอง รู้กายรู้วาจารู้กิริยามารยาทรู้ใจของเรา ว่าเราเอาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ มาเป็นเรามั๊ย
เราพากันประพฤติปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องเหมือนไก่ฟักไข่ ไก่ฟักไข่ใช้เวลา ๓ อาทิตย์ จะใช้ด้วยแม่ของไก่หรือใช้ไฟฟ้าก็ใช้เวลา ๓ อาทิตย์เช่นเดียวกัน การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องกันอาทิตย์หนึ่งก็ยังไม่เพียงพอ สองอาทิตย์ก็ยังไม่เพียงพอ อย่างน้อยก็ต้อง ๓ อาทิตย์ ให้รู้เข้าใจทำอะไรต้องติดต่อต่อเนื่องเพื่อไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ไม่ให้ด่างให้พร้อยให้ความสงบและปัญญาก้าวไปอย่างนี้ด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราทั้งหลายต้องรู้ตัวเองรู้การกระทำของเราเอง เพราะก่อนที่เราจะทำมันยังว่างเปล่าจากกรรม ว่างเปล่าจากกฎแห่งกรรม ถ้าเราไม่รู้เข้าใจ เราก็ย่อมเป็นธาตุแห่งอวิชชาแห่งความหลง เรามาระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่าธรรมะต้องเป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุต้องเป็นทางสายกลาง จะเอาแต่จิตใจก็ไม่ได้ เพราะเราต้องบริโภคปัจจัย ๔ เอาแต่วัตถุก็ไม่ได้เพราะเรามีใจ เราต้องเดินทางสายกลางเป็นมรรคเป็นอริยมรรค ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงตรัสรู้ท่านเข้าถึงความเต็ม ๆ ๆ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
เราดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ แสดงธัมมกจักกัปตวัตนสูตรก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำบอกกล่าวว่าอีกสามเดือนข้างหน้าจะปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ มันเป็นความสงบเป็นความพอเพียงเพียงพอในธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖
เราต้องรู้เข้าใจไม่ไปตามธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ถึงเข้าสู่ความเต็ม ให้เรารู้เข้าใจนะ
เราทั้งหลายมาระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงรู้เข้าใจเรื่องอริยสัจสี่เข้าสู่ความเต็ม เข้าสู่ความพอเพียงเพียงพอ มาลงที่ความรู้กับการประพฤติการปฏิบัติ ที่ท่านตรัสโอวาทครั้งสุดท้ายก่อนที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน ท่านได้ตรัสโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบัน ไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ
เราทั้งหลายเป็นผู้ที่ประเสริฐเราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้เสียเวลาไม่ได้เสียกาลเวลา เราจะได้มีแต่ปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติให้เรารู้เข้าใจทุกอย่างนั้นแก้ได้แก้ปัญหาได้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราจะได้เข้าถึงพระนิพพานคือบ้านของเรา ให้รู้เข้าใจ สิ่งที่สัญจรไปมาของธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เป็นเพียงอาคันตุกะสัญจรไปมาให้เราได้สร้างความดีสร้างบารมีเป็นความสงบและปัญญา
การบรรยายพระธรรมเทศนาของเช้าวันที่ ๒๖ วันนี้ก็พอเห็นสมควรแก่เวลา
--------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๒๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา