๒๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันพุธที่ ๒๗ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ 

 

เราพากันมาบวชพากันมาประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัด เพื่อเดินตามรอยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

ให้เรารู้ความหมายในการบวช ในการประพฤติในการปฏิบัติธรรม ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องเหตุเรื่องผล เรื่องอริยสัจสี่ เพื่อเราจะได้รู้เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราทุกคนจะได้เอาธรรมนำชีวิต เพื่อทางสายกลาง เอาทั้งวัตถุเอาทั้งใจไปพร้อม ๆ กันให้เป็นทางสายกลาง ให้พากันตั้งใจตั้งเจตนา เพราะความตั้งใจตั้งเจตนานี้สำคัญมาก กายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นเพียงอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติมารวมลงที่ความตั้งใจตั้งเจตนา เพื่อให้เกิดมีสติมีสัมปชัญญะ            มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

การประพฤติการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อความรู้กับการปฏิบัติจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นธรรมปัจจุบันธรรม อดีตก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่ยังไปไม่ถึงก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง ปัจจุบันเป็นเช่นไรอนาคตก็เป็นผลของปัจจุบัน ปัจจุบันนี้จึงเป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ

 

พระเก่าพระใหม่ ผู้ประพฤติปฏิบัติต้องรู้เข้าใจ ไม่มีคำว่าเก่าหรือใหม่ ต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นพระธรรมพระวินัยเป็นข้อวัตรกิจวัตร ธุดงควัตร ปฏิบัติตามพระธรรมพระวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเป็นคำสั่งคำสอน

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสกับพระโมฆราชว่า

 

 “ดูก่อนโมฆราช ท่านจงมีสติพิจารณาดูโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า ถอนความเห็นว่าตัวของเราเสียทุกเมื่อเถิด ท่านจะข้ามล่วงมัจจุราชเสียได้ ด้วยอุบายนี้ท่านพิจารณาเห็นโลกอย่างนี้แล้ว มัจจุราชคือความตายจักแลไม่เห็น”

 

เรามองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ ให้เป็นของว่างเปล่า ปัจจุบันจะไม่สามารถทำอะไรเราได้

 

เราต้องรู้เข้าใจในเรื่องพระโปฐิละ

พระโปฐิลเถระ ซึ่งเรารู้จักกันในนามของพระใบลานเปล่า ท่านเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกในศาสนาของพระพุทธเจ้ามาถึง ๗ พระองค์ ครั้นออกบวชก็ตั้งใจศึกษาพระไตรปิฎกจนแตกฉาน และยังสอนธรรมะให้กับพระภิกษุ ๕๐๐ รูป นอกจากนี้ ท่านยังเป็นเจ้าคณะใหญ่ถึง ๑๘ คณะ ทำให้เป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่รู้จักของภิกษุสามเณรเป็นอย่างดี  


     พระบรมศาสดาปรารถนาจะให้พระโปฐิละเป็นผู้มีความรู้ทั้งทางด้านปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ และเทศนา คือได้ทั้งคันถะธุระและวิปัสสนาธุระ สมกับที่เป็นสาวกของพระพุทธองค์ แต่เนื่องจากพระโปฐิละมัวแต่สอนคนอื่นจนไม่มีเวลาสอนตนเอง ไม่ยอมปลีกวิเวกไปบำเพ็ญสมณธรรมตามลำพังบ้าง วันๆ ได้แต่เตรียมสอนธรรมะ และตอบปัญหาข้อสงสัยให้กับลูกศิษย์ลูกหามากมาย ท่านจึงไม่มีความคิดที่จะสลัดออกจากกองทุกข์เพื่อมุ่งสู่พระนิพพาน


     เพราะฉะนั้น เวลาท่านไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา จึงถูกพระพุทธองค์ทักทายว่า “ท่านใบลานเปล่ามาแล้วเหรอ เชิญนั่งเถิดท่านใบลานเปล่า” ครั้นท่านกราบนมัสการลา ก็ถูกทักอีกว่า “ท่านใบลานเปล่าไปแล้วหรือ” ทำให้ท่านกลับไปคิดตริตรองว่า “เราเป็นผู้ทรงไว้ทั้งพระไตรปิฎก แต่พระบรมศาสดาก็ยังตรัสเรียกเราว่าใบลานเปล่า อาจเป็นเพราะเราเป็นผู้ไม่มีคุณวิเศษภายใน”


     เนื่องจากท่านมีปัญญามาก จึงรู้ถึงนัยของพุทธองค์ กล่าวคือ ผู้รู้ เขาแค่เตือนแบบสะกิดกันนิดเดียว ก็สามารถเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง พระเถระรู้ตัวเช่นนี้เกิดความสลดสังเวชใจว่า ที่ผ่านมาตนเองเปรียบเหมือนคนเลี้ยงโค แต่ไม่เคยดื่มกินปัญจโครสเลย คือรู้ธรรมะด้วยสุตมยปัญญา เพราะอ่านมามาก ได้ยินได้ฟังมามาก แต่ไม่เคยลงมือปฏิบัติให้เข้าถึงเลย


     ท่านตัดสินใจเพื่อเข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ เน้นที่ตัวของท่าน ออกปลีกวิเวกตามลำพังในป่า แต่เมื่อจะลงมือปฏิบัติ ก็กลับไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย คือ มีความรู้มากก็ยิ่งยากนาน ครั้นจะไปถามพระถามเณรในวัดก็เขินอาย เพราะพระเณรเกือบทุกรูปที่เป็นพระอรหันต์ขีณาสพนั้นล้วนเคยเป็นลูกศิษย์ของท่านเอง

 

ท่านจึงออกเดินทางไปไกลถึงสองพันโยชน์ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้จำท่านได้ ตั้งแต่พระสังฆเถระ ไล่เรื่อยลงมาจนถึงพระนวกะ ต่างก็ปฏิเสธที่จะแนะนำธรรมะให้ท่าน เพราะรู้ว่าท่านเป็นผู้รู้มาก มีปัญญามาก เป็นพระธรรมกถึกผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมากในเวลานั้นขณะนั้น ผู้ที่ท่านเคยบอกเคยสอนส่วนใหญ่ก็เป็นพระอรหันต์ขีณาสพกัน

 

และที่ท่านเหล่านั้นได้บรรลุธรรมาภิสมัย ก็เพราะอาศัยพระเถระเป็นผู้บอกผู้สอนเป็นครูบาอาจารย์  ดังนั้น ต่างเกรงว่าสิ่งที่แนะนำไปจะเป็นการเอามะพร้าวห้าวไปขายสวน


     เมื่อไม่มีใครแนะนำ สุดท้ายท่านต้องยอมตนไปขอความรู้ภาคปฏิบัติกับสามเณรน้อยซึ่งอายุเพียง ๗ ขวบ แต่เป็นสามเณรอรหันต์ พระเถระเป็นผู้ทรงภูมิรู้ภูมิธรรมมาก แต่ท่านยอมทำตัวเหมือนเด็กอนุบาล เป็นนักศึกษาที่ดีมาก แม้สามเณรจะทดสอบให้ท่านเดินลงไปในสระน้ำ ท่านก็ไม่ได้ลังเลใจ ยอมทำตามที่สามเณรบอกทันที


    สามเณรเห็นว่า พระโปฐิละได้ลดมานะละทิฏฐิ เพื่อแก้ไขตนเอง เพราะมีมานทิฏฐินั้นมันแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะมานะทิฏฐิมันเป็นนิติบุคคลตัวตน มันเป็นความปรุงแต่งที่สำคัญมั่นหมายที่เป็นนิติบุคคลตัวตน สำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นคนอื่น ผู้ที่ยกเลิกเรายกเลิกคนอื่นถึงจะมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ

 

เมื่อละเราละเขาถึงเป็นความสงบเป็นผู้มีปัญญาถึงเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย ไม่เป็นผู้ว่ายากสอนยาก เพราะตัวตนนั้นคือผู้ว่ายากสอนยาก

 

ยอมอยู่ในโอวาทของสามเณร แม้สามเณรจะให้ทำอะไรก็ทำ ไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น ยกเลิกตัวยกเลิกตนยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพื่อจะได้อบรมบ่มอินทรีย์ เพื่อจะได้เอาความดีเอาความถูกต้องให้เกิดความสงบเกิดปัญญา แม้จะให้ไปกระโจนลงเหว หรือกระโดดเข้ากองเพลิง ท่านก็ยอมทำตามทุกสิ่งทุกอย่าง สามเณรจึงให้ท่านกลับขึ้นมายืนที่ริมฝั่ง แล้วกล่าวให้นัยว่า “ในจอมปลวกแห่งหนึ่ง มีช่องอยู่ ๖ ช่อง เหี้ยได้เข้าไปในจอมปลวกช่องหนึ่ง ผู้หวังจะจับเหี้ย จึงอุดช่องทั้ง ๕ ไว้ คอยจับเหี้ยออกทางช่องที่ ๖  บรรดาทวารทั้งหก แม้ท่านจงปิดทวารทั้ง ๕ แล้วเปิดมโนทวาร กำหนดใจให้หยุดให้นิ่งอยู่ที่ตรงนั้น”


     เนื่องจากพระเถระเป็นพหูสูต ทรงพระไตรปิฎกมาหลายภพหลายชาติ นัยที่สามเณรให้จึงเป็นประดุจการลุกโพลงขึ้นของดวงประทีป ท่านเริ่มประคองใจให้หยุดนิ่งอยู่ภายใน มีสติตั้งมั่นเป็นสมาธิ แม้พระบรมศาสดาประทับนั่งในที่ไกลถึง ๑๒๐ โยชน์ ทรงเห็นความแก่รอบแห่งญาณของพระโปฐิละ จึงเปล่งรัศมีออกไปดุจปรากฏต่อหน้าพระเถระ แล้วตรัสว่า “ปัญญาย่อมเกิดเพราะการประกอบความเพียร ท่านพึงตั้งตนไว้โดยประการที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้เถิด” พระเถระตั้งใจทำภาวนาจนเกิดภาวนามยปัญญา และในที่สุดก็แทงตลอดในคำสอนของพระบรมศาสดา บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในท่ายืนนั่นเอง

 

พระภิกษุสามเณรผู้มีการเรียนการศึกษา เป็นผู้สอนบุคคลอื่นบอกคนอื่นแต่ไม่ได้บอกไม่ได้สอนตัวเอง ไม่ได้ประพฤติไม่ได้ปฏิบัติตัวเอง เป็นผู้มีความรู้ไม่คู่การประพฤติการปฏิบัติ ถ้าไม่เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติก็จะแก้ปัญหาไม่ได้ มีแต่จะสร้างปัญหา เพราะความสงบและปัญญาไม่สมดุล ไม่เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ไม่เข้าถึงความพอดี  

 

นักบวชผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายต้องพากันรู้พากันเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจก็ต้องพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึกอาคาร สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน อาคารอยู่ในเมืองไทยทั้งเมืองกรุง ปริมณฑล ต่างจังหวัดมีอยู่หลายร้อยตึก

 

วันหนึ่งคืนหนึ่งนั้นมี ๒๔ ชั่วโมง ทั้งความรู้กับการประพฤติการปฏิบัติต้องควบคู่กันไปพร้อม ๆ กัน จะได้เป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจ จะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เข้าถึงความสงบถึงปัญญารวมกันเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา ปฏิปทาของเราจะได้เป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ

 

การนอนการพักผ่อนของเราทั้งหลายต้องให้เพียงพอพอเพียง ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างกายกับใจ เพื่อจะเอาร่างกายไปทำงาน เพื่อจะเอาใจไปทำงาน ภายใน ๒๔ ชั่วโมงเราต้องพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนการพักผ่อน วันหนึ่งเราต้องนอนพักผ่อนวันละ ๕-๖ ชั่วโมง การหลับลึก ๆ ให้ได้ ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง

 

ทั้งนักบวช ผู้มาปฏิบัติธรรมก็ทำอย่างเดียวกันเช่นเดียวกัน ปัจจุบันที่เรานอนตื่นขึ้นต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เป็นธรรมะที่พอดี ที่พอเพียงเพียงพอ ไม่ตัดไม่เพิ่ม

 

 เวลาเราตื่นอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา ให้พวกเราทั้งหลายเข้าใจว่า สิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์มากที่สุดได้แก่สติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะนี้ถึงเป็นธรรมะที่มีคุณมีอุปการมาก ความสงบและปัญญาถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณเป็นอุปการคุณมาก ๆ สติปัฏฐานทั้ง ๔ เป็นความรู้ความเข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติ

 

ความรู้ความเข้าใจในเรื่องของธาตุทั้ง ๔  ได้แก่ ดินน้ำลมไฟ ความรู้ความเข้าใจในเรื่องขันธ์ทั้ง ๕ ได้แก่ รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ความรู้ความเข้าใจในอายตนะทั้ง ๖ ได้แก่ ตาหูจมูกลิ้นกายใจนี้ ผู้ปฏิบัติธรรมต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เราก็ไม่รู้ไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ  ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ก็จะครอบงำใจของเรา ครอบงำสติปัญญาของเรา ผู้ที่มาบวชผู้ที่มาประพฤติปฏิบัติธรรมก็จะถูกครอบงำจากอวิชชาความหลง จากความไม่รู้ไม่เข้าใจ จะตกอยู่ในสัญชาตญาณที่มันเป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน เป็นวัฏฏสงสารในการเวียนว่ายตายเกิด

 

ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมะในการประพฤติการปฏิบัติที่อยู่นอกเหตุเหนือผล อยู่เหนือความปรุงแต่ง ไม่มีความปรุงแต่งด้วยความรู้ความเข้าใจ ความสงบและปัญญารู้เรื่องอนัตตา รู้เรื่องอริยสัจสี่ถึงเป็นสิ่งที่มีคุณมีอุปการมาก เป็นธรรมะอยู่นอกเหตุเหนือผล

 

ถ้าเราไปเอาเหตุถ้าเราไปเอาผลเราทั้งหลายก็ตกอยู่ในสัญชาตญาณที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน ความรู้ความเข้าใจในธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เราจะได้รู้หลักวิชาการตั้งมั่นอุดมการณ์เพื่อให้การประพฤติการปฏิบัติของเราติดต่อต่อเนื่องด้วยความสงบและปัญญา เพื่อเข้าสู่อุดมธรรมสมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ มีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายต้องมีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ สิ่งที่ผ่านไปแล้วผ่านมาแล้วก็ถือว่าสิ่งเหล่านั้นได้เกษียณแล้ว เราทุกคนต้องจะได้พากันปล่อยกันวาง เพื่อเข้าถึงปัจจุบันที่เป็นพระธรรมเป็นพระวินัยเป็นธุดงควัตรกิจวัตร ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องพระธรรมพระวินัยในธุดงควัตรในกิจวัตร ให้เข้าใจว่าเราไม่รู้เรื่องอริยสัจนี่ ไม่รู้เรื่องของความทุกข์ ไม่รู้เหตุให้ตัวเองมีทุกข์ ให้ผู้อื่นมีทุกข์ การดำเนินชีวิตของเราก็จะเป็นไปเพื่อประกอบความทุกข์ เราก็จะไม่รู้กิจที่ควรทำ ไม่รู้สิ่งที่ไม่ควรทำ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ไม่รู้การกระทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ ไม่รู้ไม่เข้าใจ สิ่งที่เป็นคุณก็จะกลายเป็นโทษ จะมีตั้งแต่โทษ ไม่มีคุณ ความสงลและปัญญาของเราก็เกิดขึ้นไม่ได้

 

เรามาบวชมาประพฤติมาปฏิบัติ ถ้าเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาสุขภาพร่างกายของเราก็ย่อมแข็งแรง เพราะว่าปิติสุขเอกัคคตาที่เอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิตสุขภาพร่างกายของเราถึงแข็งแรง จิตใจของเราถึงจะแข็งแรง ความสงบและปัญญาจะได้ก้าวไปพร้อม ๆ กัน

 

เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจ อย่าไปเอาอวิชชานำชีวิต อย่าไปเอาความหลงนำชีวิต ไปเอาความอยากนำชีวิตไม่ได้นะ เอาความไม่อยากนำชีวิตไม่ได้นะ ให้รู้เข้าใจ ความอยากไม่อยากนั้นไม่ใช่ทางสายกลาง มันจะเป็นวัฏฏสงสารให้เราเวียนว่ายตายเกิด เป็นภพเป็นชาติ เราทุกคนต้องพากันเอาธาตุทั้ง ๔ เอาขันธ์ทั้ง ๕ เอาอายตนะทั้ง ๖ นี้มาประพฤติมาปฏิบัติ พระธรรมพระวินัยสิกขาขทน้อยใหญ่ ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เป็นธุดงควัตร กิจวัตร เป็นกรณียกิจ กิจที่ควรทำ เป็นอกรณียกิจ กิจที่ไม่ควรทำ เราต้องรู้เข้าใจเรื่องเบรก เบรกด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมพระวินัย ธุดงควัตร ข้อวัตรกิจวัตร จะเป็นความสงบจะเป็นเบรก เพื่อเป็นสมถะเป็นความสงบให้รู้จักคันเร่ง ความสงบเป็นเบรก ปัญญาเป็นคันเร่ง เราทุกคนพากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา เราทั้งหลายจะได้มีทั้งเบรกมีทั้งคันเร่ง

 

เราเข้าใจเรื่องธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เน้นที่ตัวของเราทุกคน เราไม่ต้องไปมีความลังเลสงสัยอะไร ให้เรารู้เข้าใจ ควมลังเลสงสัยนี้มันคือตัวคือตน ถ้ามีตัวตนมีตนอยู่เมื่อไหร่ก็ย่อมเป็นคู่กับความลังเลสงสัย

 

พระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บำเพ็ญพุทธบารมีมา ๒๐ อสงไขยแสนมหากัป ใช้เวลายาวนานหลายภพหลายชาติ นับเวลายาวนานไม่น้อยล้านชาติล้านปี ด้วยความดีและปัญญา

 

เราทั้งหลายต้องลงใจให้กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทั้งพลายพากันมาโอเคในพระธรรมพระวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทั้งหลายจะได้มีความสงบและมีปัญญา คำว่าโอเคก็ได้แก่ความสงบและปัญญา เป็นความพอดีความพอเพียงเพียงพอ ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไปด้วยพระธรรมพระวินัย เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม พระธรรมพระวินัยเปรียบเสมือนอาหารสำเร็จรูป วัสดุสำเร็จรูป เช่นเดียวกันของที่เขาจำหน่ายอยู่ในร้านโชว์ห่วย เซเว่น ในห้างสรรพสินค้า แมคโคร โลตัส บิ๊กซี เดอะมอล เซ็นทรัล โรบินสัน เทอมินอล ไทวัสดุ โกลบอลเฮ้า ทั้งในประเทศต่างประเทศ

 

ธรรมวินัยมีอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ไม่มีซื้อไม่มีขายไม่มีจำหน่าย พระธรรมพระวินัยเปรียบเสมือนอาหารสำเร็จรูป อุปกรณ์ต่าง ๆ สำเร็จรูป ให้เราได้บริโภค ได้ประพฤติได้ปฏิบัติ เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจ ในเรื่องความจริงความเป็นจริง เราจะให้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่านั่นแหละ  เราจะให้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่านั่นแหละ เราทั้งหลายจะได้รู้ความทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์

 

เราทั้งหลายจะพากันมีความทุกข์ไปทำไม อย่างมากก็ให้มันทุกข์ทางกายก็เพียงพอ อย่าให้มีความทุกข์ทางใจ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐที่เอาธรรมนำชีวิต สรีระร่างกายของเราเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน ไม่อมตะ เป็นของชั่วคราว การประพฤติการปฏิบัติของเราถือว่าเป็นงานรีบด่วน สิ่งที่รีบด่วนที่สุดคืองานประพฤติงานปฏิบัติธรรม

 

เราทั้งหลายอย่าพากันลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย ครั้งพุทธกาลมีผู้ไปทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วสูญ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตอบว่าขึ้นอยู่ที่เหตุที่ปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี ถ้าในปัจจุบันไม่มีอนาคตจะมีได้อย่างไร เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่ที่เหตุที่ปัจจัย

 

มีผู้ทูลถามปัญหาเรื่องตายเรื่องเกิดว่าตายแล้วเกิดอีกไหม หรือว่าตายแล้วก็สูญไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ทรงตอบว่าตายแล้วเกิดหรือว่าตายแล้วสูญ ท่านตอบว่าแล้วแต่เหตุแล้วแต่ปัจจัย ถ้าสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปก็ต้องมี ถ้าสิ่งนี้ไม่มีสิ่งต่อไปก็ไม่มี เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่ที่เหตุที่ปัจจัย

 

ปัญหาที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบ ให้เรารู้เข้าใจด้วยปัญญา

 

มีปัญหาบางประเภทที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบ ปัญหาดังกล่าวนั้นมีอะไรบ้าง และเพราะเหตุอะไร พระพุทธองค์ถึงไม่ทรงตอบ

 

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “... ดูก่อนมาลุงกยบุตร... เธอทั้งหลายจงจำปัญหาที่เราไม่พยากรณ์ และจงจำปัญหาที่เราพยากรณ์... อะไรเล่าที่เราไม่พยากรณ์

 

ดูก่อนมาลุงกยบุตร ทิฐิที่ว่า โลกนี้เป็นของเที่ยง โลกนี้เป็นของไม่เที่ยง โลกนี้มีที่สุด โลกนี้ไม่มีที่สุด ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไป มีอยู่ก็มีไม่มีอยู่ก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไป มีอยู่ก็หามิได้ ไม่มีอยู่ก็หามิได้ ดังนี้เราไม่พยากรณ์ปัญหานั้น

 

ก็เพราะเหตุไร ข้อนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ เพราะข้อนั้นไม่ประกอบด้วยคุณไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งการประพฤติการปฏิบัติพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย คลายความยึดมันถือมั่น เพื่อความเบื่อหน่ายคลายความกำหนัดคลายความยินดี เพื่อความดับทุกข์ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อพระนิพพาน ดูก่อน มาลุงกยบุตร ด้วยเหตุนั้น เราจึงไม่พยากรณ์ในเรื่องนั้น ๆ ในข้อนั้น ๆ

 

     “... ดูก่อนมาลุงกยบุตร... อะไรเล่าที่เราพยากรณ์ ดูก่อนมาลุงกยบุตร ความเห็นว่านี้คือความทุกข์ นี้เหตุให้เกิดความทุกข์ นี้เหตุให้เกิดความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ดังนี้เราพยากรณ์ ก็เพราะเหตุไรเราจึงพยากรณ์ข้อนั้น เพราะข้อนั้นประกอบด้วยคุณและประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งการประพฤติการปฏิบัติพรหมจรรย์ เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับทุกข์ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน เหตุนั้น เราจึงพยากรณ์ตรัสให้เข้าใจในปัญหานั้น ๆ ให้แจ่มแจ้งให้เข้าใจ

 

“... ดูก่อนมาลุงกยบุตร... บุคคลใดแลจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคจักไม่ทรงพยากรณ์แก่เรา ในเรื่องทิฐิ ๑๐ ประการนั้น เพียงใด เราจักไม่ประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพียงนั้น พระตถาคตจะไม่พึงพยากรณ์ในข้อนั้น ๆ ในสิ่งเหล่านั้น เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ปัญหารีบด่วน ไม่ใช่เรื่องธรรมไม่ใช่เรื่องปัจจุบันธรรม เราตรัสให้มีปัญญา ให้รู้เข้าใจ ให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เพราะปัจจุบันเป็นวาระสำคัญของการประพฤติการปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัตินั้นไม่ใช่เรื่องอดีตไม่ใช่เรื่องอนาคต มันเป็นเรื่องปัจจุบัน ปัจจุบันนั้นเป็นเรื่องกรรมเรื่องกฎของกรรม แล้วจะเป็นผลของกรรม

 

ดูก่อนมาลุงกยบุตร เปรียบเหมือนบุรุษผู้หนึ่ง ถูกยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษที่ฉาบทาไว้หนา มิตรอำมาตญาติสายโลหิตของบุรุษนั้น พึงไปหาแพทย์ผู้ชำนาญในการผ่าตัดอย่างรีบด่วน แต่บุรุษผู้ถูกยิงด้วยลูกศรนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า เรายังไม่รู้จักบุรุษผู้ยิงเรานั้นว่าเป็นใคร เป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นแพศย์ เป็นหรือศูทร มีชื่อว่าอย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ มีชาติมีตระกูลตระกูลต่ำหรือปานกลาง ผิวดำหรือผิวขาวหรือผิวสองสี อยู่บ้านไหนอยู่นิคมไหน หรือในนครไหนนครโน้นนครนี่ ถ้าเราไม่รู้จักคนยิงลูกศร เราจะไม่นำลูกศรนี้ออกจากร่างกาย

 

 บุรุษผู้ที่ถูกยิงด้วยลูกศรนั้นด้วยคำกล่าวอย่างนี้ว่า เรายังไม่รู้จักธนูที่ใช้ยิงเรานั้นเป็นชนิดมีที่แร่หรือเกาทัณฑ์ สายที่ธนูที่ยิงเรานั้นเป็นสายทำด้วยปอ หรือไม้ไผ่ หรือเอ็น ป่าน หรือเยื่อไม้ ลูกธนูที่ยิงเรานั้น ทำด้วยไม้ที่เกิดเองหรือไม้ที่ปลูก เกาทัณฑ์ที่ยิงเรานั้นเขาเสียบด้วยขนปีกนกแร้ง นกตะกรุม เหยี่ยว นกยูง หรือนกชื่อว่าสิถิลหนุ (คางหย่อน) เกาทัณฑ์นั้นเขาพันด้วยเอ็นวัว ควาย ค่าง หรือลิง ลูกธนูชนิดที่ยิงเรานั้นเป็นชนิดอะไร ดังนี้ เราจักไม่นำลูกศรนี้ออก

 

 ดูก่อนมาลุงกยบุตร บุรุษนั้นพึงรู้ข้อนั้นไม่ได้เลย โดยที่แท้บุรุษนั้นพึงทำกาละไปฉันใด

 

  ดูก่อนมาลุงกยบุตร บุคคลใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ทรงพยากรณ์ทิฐิ ๑๐ นั้น แก่เราให้เราเข้าใจ เราจะไม่ประพฤติเราจะไม่ปฏิบัติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค ข้อนี้พระตถาคตเจ้าไม่พยากรณ์เลย โดยที่แท้บุคคลนั้นพึงทำกาละไปเปล่าๆ เพราะจะไปแก้ปัญหาปลายเหตุ มันปัญหาต่าง ๆ มันอยู่ที่เหตุ ปัญหารีบด่วนคือเรื่องปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นวาระสำคัญ ปัจจุบันเป็นสิ่งที่รีบด่วน ด่วนยิ่ง

 

เราทั้งหลายถึงเอาเรื่องปัจจุบันเป็นเรื่องสำคัญ ปัจจุบันถึงเป็นวาระแห่งชาติ เพราะอดีตมันก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้ามันก็อยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันให้เรารู้เข้าใจ ปัจจุบันถ้าเราไม่รู้เข้าใจเอาความหลงนำชีวิต เราเอาทิฏฐิมานะอัตตาตัวตนนำชีวิต พระโมคคัลลาสารีบุตร ไปบรรพชาอุปสมบทกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโมคคัลลานั้นได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ขีณาสพก่อน ผู้ที่มีทิฏฐิมานะมากอัตตาตัวตนมาก มีตัวมีตนมากก็ย่อมได้บรรลุธรรมช้า เพราะทิฏฐิมาก ปัญญามาก ความสงบกับปัญญาไม่เสมอกัน เช่น ระบบสมองของมนุษย์กับลมหายใจนี้ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความสงบกับปัญญานั้นไม่ได้เป็นคู่กันไป

 

มนุษย์คือผู้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เอาธรรมนำชีวิต ระหว่างวัตถุกับใจไปพร้อม ๆ กัน ไม่เอาสัญชาตญาณนำชีวิตที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน เราต้องรู้เข้าใจ มามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ นี่คือที่สุดแห่งความดับทุกข์ของเราทุกคน  เราทำอะไรต้องรู้เข้าใจอย่าไปหวังผลอะไรตอบแทน ถ้าหวังผลอะไรตอบแทนยังไม่เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงมันจะเป็นอัตตาตัวตน เราทุกคนต้องรู้ต้องเข้าใจ เราจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ในสิ่งที่เป็นคุณเป็นอุปการคุณ

 

ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายต้องออกกำลังกายให้เพียงพอ การภิกขาจารบิณฑบาตในหมู่บ้านระยะทางมันใกล้เกินไปไม่เพียงพอที่จะทำให้ร่างกายแข็งแรง เราทุกคนต้องพากันออกกำลังกายด้วยการเดินจงกรมกลับไปกลับมา เดินไม่ช้าไม่เร็วคิดในใจว่าหนึ่งชั่วโมงให้ได้ ๔ กิโลเมตร เราทุกคนต้องพากันออกกำลังกายวัน ๑ ชั่วโมง ให้รู้เข้าใจ ถ้าเราไม่ออกกำลังกายร่างกายของเราจะแข็งแรงได้อย่างไร พระกรรมฐานลูกศิษย์หลวงปู่มั่นรุ่นเก่าท่านอยู่ป่าอยู่เขาห่างไกลากหมู่บ้านหลายกิโลเมตร ท่านบิณฑบาตเสร็จกลับมาท่านก็เดินจงกรมเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเรื่องสติคือความสงบเรื่องสัมปชัญญะที่เป็นปัญญา นี้เป็นธรรมที่มีคุณมีอุประมาก เน้นที่ใจที่เจตนา ให้รู้ว่ากายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้เป็นเพียงอุปกรณ์ในการประพฤติปฏิบัติเท่านั้น เราจะได้ประพฤติปฏิบัติทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ

 

การปฏิบัติธรรมถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลังเป็นความพอดีเป็นความพอเพียงเพียงพอเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม

 

การประพฤติการปฏิบัติต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐฺเพื่อการประพฤติการปฏิบัติจะไม่ขาดตกบกพร่องรวมที่กายวาจากิริยามารยาทจะไม่ได้ขาดตกบกพร่องตั้งอยู๋ในความไม่ประมาท เราได้มีโอกาสพิเศษจากงบประมาณของแผ่นดิน จากภาษีอากรของประชาชนของมหาชน เราได้รับงบประมาณจากศรัทธามหาชน เราได้รับโอกาสพิเศษถูกต้องตามกฎหมายมีลายลักษณ์อักษรเป็นลายเซ็นต์ เมื่อเราทุกคนได้รับโอกาสพิเศษจากรัฐบาล จากศรัทธามหาชน

 

เราทุกคนต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าการปฏิบัติของเรามันติดต่อต่อเนื่องแก้ไขความที่บกพร่อง ปฏิบัติสิ่งที่ดี ๆ ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป การประพฤติการปฏิบัติของเรามันก็จะก้าวไปข้างหน้าไม่ถอยกลับไปกลับมา เขานิยมกันในเลข ๙ คำว่าก้าวนี้ก็หมายถึงความรู้ความเข้าใจ รู้เรื่องพระธรรมพระวินัย รู้เรื่องอริยสัจสี่ เราจะก้าวไปด้วยพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตรธุดงควัตร ด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตา  

 

ความรู้ความเข้าใจนี้จะทำให้เป็นความรู้ต้องคู่กับการปฏิบัติ ถึงจะเป็นความก้าวไปก้าวหน้า ไม่ถอยกลับไปกลับมาย่ำต๊อกอยู่ในที่เก่า จะเป็นความก้าวไปด้วยความสมบูรณ์แบบ ด้วยความรู้ความเข้าใจ ก้าวไปทั้งภายนอกทั้งภายใน ก้าวไปด้วยพระธรรมพระวินัยธุดงควัตรกิจวัตร เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ จะได้ก้าวไปด้วยปฏิปทาตามรอยบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราถือนิสัยถือพระวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

ที่พระอานนท์ได้ตรัสทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้วจะให้ข้าพเจ้าทั้งหลายเอาใครแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า อานนท์เอย ให้อานนท์รู้เข้าใจ พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ธุดงควัตร กิจวัตร นั่นแหละเป็นตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะธรรมะ พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่นี้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เพราะเหตุว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน พระพุทธเจ้านั้นคือพระธรรมพระวินัย ธุดงควัตร ข้อวัตรกิจวัตร ให้อานนท์เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็ให้ถามผู้รู้ผู้เข้าใจ เมื่อรู้เมื่อเข้าใจแล้วยังไม่เพียงพอนะ ต้องเอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ความรู้กับการปฏิบัติต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันพากันเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพื่อให้เป็นปัจจุบันธรรมเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เป็นธุดงควัตรเป็นข้อวัตรกิจวัตร ถึงจะสมบูรณ์ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ เรามีเวลาเพื่อเอาความดีกับปัญญา เพื่อบำเพ็ญความดี บำเพ็ญบารมีเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุด

 

อายุขัยของมนุษย์นี้ถือว่าอยู่ได้ชั่วคราวนะ จะอยู่ได้ ๑ ศตวรรษคือร้อยปี ถ้าเรามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติอยู่ได้มากกว่าร้อยปี พระธรรมพระวินัยนี้แหละคือตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้เข้าใจเราก็จะไม่ฟังใครเลยนะ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ที่บำเพ็ญพุทธบารมีหลายล้านชาติ เราจะไม่ยอมฟัง

 

เราจะเอาแต่ตัวเอาแต่ตน เอาตั้งแต่ทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน เราจะเป็นคนยกหูชูงวง เราเอาอวิชชานำชีวิตเอาความหลงนำชีวิต ยกตนเสมอเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทะเจ้า ยกตัวยกตนเหนือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้นไม่ใช่ความสงบนะ นั้นมันเป็นความฟุ้งซ่านนะ ไม่ใช่ความดี ไม่ใช่ความพอเพียงเพียงพอ ไม่ใช่ศีลไม่ใช่สมาธิไม่ใช่ปัญญา เป็นอัตตาตัวตน ไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมสัมพุทธเจ้า

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสกับโมคคัลลานะ ผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์มากว่า สงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

ต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้เอาความรู้สึกนำชีวิต ความรู้สึกมันเป็นสัญชาตญาณ มันเป็นนิติบุคคลตัวตนนะ เราจะไม่ได้เอาสัญชาตญาณที่มันเป็นตัวเป็นตนเป็นวัฏฏสงสารนำชีวิต ท่านได้ตรัสแก่พระโมคคัลลานะว่า เราทั้งหลายอย่าไปหลงตัวหลงตนว่าเราดีกว่าเค้าเก่งกว่าเค้า เป็นผู้ที่มีเพาเวอร์สูง มียศมีตำแหน่ง เราต้องหยุดด้วยความรู้ความเข้าใจ เราไม่ต้องไปยกหูชูงวง การยกหูชูงวงนั้นไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา ยกเลิกการยกหูชูงวง ถึงจะเกิดความสงบเกิดปัญญา การยกหูชูงวงนั้นเราจะไม่ได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ไม่ได้เข้าสู่ทางสายกลาง มันเป็นการเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา มันเป็นไบโพล่าเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา เป็นหนทางที่บรรพชิตที่ไม่ควรไป ไม่ควรประพฤติ ไม่ควรปฏิบัติ

 

เราเกิดมาเราต้องรู้เข้าใจในเรื่องอริยสัจสี่ เราจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ความพอดี เราดูตัวอย่างอย่างพระอานนท์ เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้วต้องการที่จะทำสังคายนาเพื่อปรับปรุงปฏิปทาของผู้ที่ย่อหย่อนเกินไป ไม่ทำตามสัญชาตญาณ อย่าให้ตึงเกินไป ที่เกิดเป็นตัวเป็นตน ให้เรารู้เข้าใจในเรื่องยานเรื่องสัญชาตญาณ ยกตัวอย่างอย่างพระอานนท์

 

พระอานนท์ประพฤติปฏิบัติอย่างไรก็ไม่ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ บรรดาผู้ที่จะทำสังคายนาครั้งแรก ต้องเป็นพระอรหันต์ขีณาสพเท่านั้น

 

พระอานนท์บรรลุอรหัตผลขณะเอนกายลงบนเตียงในช่วงก่อนทำปฐมสังคายนา เมื่อท่านเร่งเพียรภาวนาอย่างหนักจนอ่อนเพลีย และปล่อยวางความยึดมั่นว่าต้องบรรลุธรรมในขณะนั้น จึงเกิดการหลุดพ้นจากกิเลสและได้บรรลุอรหัตผล ก่อนจะไปร่วมประชุมสังคายนาครั้งแรกในฐานะผู้มีหน้าที่วิสัชนาพระธรรม

 

หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระอานนท์ยังเป็นเสขบุคคลอยู่ และต้องทำความเพียรให้บรรลุเป็นพระอรหันต์ให้ทันก่อนการปฐมสังคายนาที่จะเกิดขึ้นในอีก ๓ เดือนข้างหน้า

 

พระอานนท์ได้เพียรภาวนาอย่างหนัก แต่ดูเหมือนจะห่างไกลความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อรู้สึกอ่อนเพลีย จึงได้เอนกายลงบนเตียงเพื่อพักผ่อน โดยตั้งใจว่าศีรษะยังไม่ทันถึงหมอนและเท้ายังไม่ทันพ้นพื้น

 

ในขณะนั้นเอง จิตของท่านได้หลุดพ้นจากกิเลสและบรรลุอรหัตผล การบรรลุธรรมในลักษณะนี้ ซึ่งไม่ได้อยู่ในอิริยาบถยืน เดิน นั่ง หรือนอน แต่เป็นการเอนกาย ถือว่าแปลกกว่าพระอรหันต์องค์อื่น ๆ

 

พระอานนท์ได้เอาสัญชาตญาณนำการประพฤติการปฏิบัติ ไม่สามารถที่จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ขีณาสพได้ เพราะความถูกต้องความพอเพียงเพียงพอเป็นความสงบและปัญญา ไม่สมดุล เพราะการประพฤติการปฏิบัติธรรมเพื่อจะเอาเพื่อจะมีเพื่อจะเป็น

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ว่าทำอะไรเพื่อจะมีเพื่อจะเป็นคือความไม่ถูกต้อง เรามองดูแง่มุมของพระอานนท์ พระอานนท์ได้ท้อใจในการประพฤติในการปฏิบัติ ปล่อยวางความสงบและปัญญาถึงก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ พระอานนท์เอนกายเพื่อจะพักผ่อน พระอานนท์ถึงได้บรรลุธรรมระหว่างอิริยาบถที่จะเอนกายพักผ่อน ความสงบและปัญญานี้เป็นสิ่งที่พอดี พอเพียงเพียงพอ

 

ธรรมะต้องอาศัยความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กันสลับกันไป อันหนึ่งเป็นสมถะอันหนึ่งเป็นวิปัสสนา อันหนึ่งเป็นความสงบอันหนึ่งเป็นปัญญา ชีวิตที่เรารู้เข้าใจ จะยกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ ยกเลิกอคติทั้ง ๔ ในชีวิตประจำวันถึงต้องมีสติเป็นพื้นฐานมีปัญญาเป็นพื้นฐาน เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เป็นพระ คำว่าพระคือพระธรรมพระวินัยเป็นพระกรรมฐาน เราให้รู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ ตัวไม่รู้ไม่เข้าใจนี้แหละจะเป็นรัฐประหาร มันจะประหารตัวของมันเอง ความคิดที่เอานิติบุคคลตัวตนเป็นที่ตั้ง

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงไม่ให้เราตรึกในกามตรึกในพยาบาท กามกับพยาบาทนั้นคือความปรุงแต่ง นั้นคือตัวคือตน เราทั้งหลายต้องมารู้จักความปรุงแต่ง ตั้งใจตั้งเจตนาให้การประพฤติการปฏิบัติมันเป็นเพียงผัสสะ ความรู้ความเข้าใจนี้จะทำให้เกิดเวทนาทั้งทางใจ ให้มันเกิดเวทนาทางกายก็เพียงพอ ทุกคนนั่นแหละถ้าเรารู้เข้าใจ ทุกคนนั้นปฏิบัติได้หมด เรารู้เข้าใจพระธรรมพระวินัยธุดงควัตรกิจวัตรนี้เป็นสิ่งที่มีคุณต่อเราต่อคนอื่น

 

ให้เราทั้งหลายระลึกถึงโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสโอวาทสำคัญครั้งสุดท้ายไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ

 

------------------------------------

 

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันพุธที่ ๒๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

Visitors: 100,724