๑๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ ๑๘ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม
ให้พวกเราทุกคนพากันเข้าใจนะ เราพากันมาบวชมาประพฤติมาปฏิบัติธรรม การมาบวชมาประพฤติมาปฏิบัติธรรมต้องเข้าสู่หลักการของการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเข้าสู่หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม มาถือนิสัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้านั้นคือพระธรรมคือพระวินัย ธุดงควัตร กิจวัตรต่าง ๆ เรื่องปฏิปทาการปฏิบัติติดต่อเนื่องกันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ
การมาบวชมาปฏิบัติเราใช้ทรัพยากรของแผ่นดิน เราใช้ทรัพยากรของศรัทธาประชาชนศรัทธาของมหาชน กาลเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
เราทั้งหลายอย่าพากันตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินตั้งอยู่ในความประมาท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าไม่ให้พวกเราทั้งหลายตั้งอยู่ในความประมาท เพราะไม่มีใครเก่งกว่ากรรม เก่งกว่ากฎแห่งกรรมเก่งกว่าผลของกรรม
เราทุกคนมามีปิติมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เป็นสิ่งที่สำคัญหมด ความประมาททั้งหลายทั้งปวงถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ไม่ประกอบด้วยความดีและปัญญา เพื่อที่จะให้ปฏิปทาของเราติดต่อต่อเนื่องไม่ขาดตกบกพร่องไม่ด่างไม่พร้อยไม่ทะลุ
เราพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ เรามาบวชมาปฏิบัติธรรม เรานอนเราพักผ่อนวันละ ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง อย่างน้อยก็ ๕ ชั่วโมง อย่างมากก็ ๖ ชั่วโมง
เราทั้งหลายมีพระธรรมมีพระวินัยมีธุดงควัตร มีกิจวัตรเป็นเครื่องอยู่ ปรับเข้าหาพระธรรมพระวินัย ธุดงควัตรกิจวัตร ไม่ต้องมีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น เพื่อจะไม่ให้สัญชาตญาณที่มันเป็นตัวเป็นตนครอบงำสติครอบงำปัญญาของเรา
ธรรมะเป็นทางสายกลาง เป็นความสงบและปัญญา เป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราทั้งหลายถึงไม่มีสิทธิที่จะตรึกในกามตรึกในพยาบาท ให้เรารู้จักการตรึกในกามตรึกในพยาบาทนี้มันเป็นนิติบุคคลตัวตน ทั้งพระเก่าพระใหม่ก็ต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ โยมเก่าโยมใหม่ก็ทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เพราะธรรมะมันเป็นเรื่องปัจจุบันไม่มีคำว่าเก่าว่าใหม่เป็นปัจจุบัน ปัจจุบันเป็นพระธรรมเป็นพระวินัยเป็นธุดงควัตรข้อวัตรกิจวัตร
การประพฤติการปฏิบัติของเราต้องเป็นฟอร์มสด ต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม
เราทั้งหลายต้องไม่ประมาทในความคิดคำพูดการกระทำกิริยามารยาทอาชีพ ไม่ประมาทในเรื่องจิตเรื่องใจ ออกภิกขาจารบิณฑบาตทุกวัน ทำวัตรเช้าทำวัตรเย็นทำกิจวัตรต่าง ๆ อย่าให้ขาดตกบกพร่อง อย่าให้ด่างให้ขาดให้เศร้าหมอง สิ่งภายนอกที่มันมองเห็นที่ได้ยินเราก็ต้องทำให้ได้ เรื่องภายนอกเราทำไม่ได้น่ะเรื่องจิตเรื่องใจเราไม่ต้องไปพูดกัน ใจมันไม่สงบก็ให้กายวาจากิริยามารยาทอาชีพมันสงบ ให้มันถูกต้อง เพราะการฝึกใจก็ต้องฝึกที่กาย เพราะกายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้ ให้เรารู้เข้าใจ มันเป็นอุปกรณ์ของใจเท่านั้นเอง ให้เข้าใจนะ ถ้าไม่เข้าใจจะทำให้เราเสียหาย ทำให้ส่วนรวมเสียหาย
สิ่งภายนอกเราต้องพากันทำให้ได้ สิ่งภายนอกต้องให้ได้มาตรฐานต้องให้ได้ มอก. ทั้งกายวาจากิริยามารยาทต้องให้ได้มาตรฐาน เพื่อเราทั้งหลายจะได้ฝึกใจของตัวเอง ศีลนี้จะทำให้เราเข้าสู่ความวิเวก สมาธิจะทำให้เราเข้าสู่ความวิเวก ข้อวัตรข้อปฏิบัติจะทำให้เราเข้าสู่ความวิเวก วิเวกหมายถึงเรามาหยุดตัวเองด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยข้อวัตรกิจวัตร ต้องเป็นเบรกเป็นเซฟตี้
เราทั้งหลายน่ะ ใจของเราไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ใจนั้นชื่อว่าไม่รู้จักอริยสัจสี่ พระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรให้เรารู้เข้าใจ มันเป็นเบรกเป็นเซฟตี้เพื่อให้เกิดความสงบความวิเวก เราจะได้พัฒนาใจของเราให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เพื่อจะมีปฏิปทาติดต่อต่อเนื่องเป็นขบวนการของเหตุของปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่ที่เหตุขึ้นอยู่ที่ปัจจัย
เราเน้นมาที่ตัวเรานี้แหละ ใครไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติก็ช่างหัวเขา เราไม่ไปมองดูคนอื่น ถ้าเรามองดูคนอื่นเราก็มองดูเพื่อจะช่วยเหลือคนอื่น ไม่ใช่มองเพื่อจะคิดว่าคนนั้นดีคนนั้นชั่วคนนั้นผิดคนนั้นถูก จะทำให้เราเป็นทุกข์เปล่า ๆ ทุกคนก็อยากจะทำความดี อยากเป็นคนดี แต่ก็เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจเขาถึงเป็นอย่างนั้น
เราทั้งหลายต้องมาเน้นที่ตัวเอง มามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ อานาปานสติคือฝึกหายใจเข้าให้เราหายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย อานาปานสตินี้เราจะเอาไปใช้อยู่ทุกหนทุกแห่งทุกอิริยาบถ เพราะเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ไม่ใช่เอาไปใช้เฉพาะการนั่งสมาธิ เราต้องเอาไปใช้งานใช้การทุกอิริยาบถ
ให้พวกเราทั้งรู้เข้าใจ เพราะเรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจเป็นสิ่งภายใน สิ่งภายนอกก็ย่อมสัมผัสกับสิ่งภายนอกคือรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ เราทั้งหลายจะได้รู้เข้าใจว่าอานาปานสติคือฝึกอยู่กับลมหายใจเข้าหายใจออก ที่จะได้หยุดสิ่งภายนอกสิ่งภายใน เพื่อจะได้เกิดความสงบเกิดปัญญา อานาปานสติถึงเราต้องเอามาใช้ทุก ๆ อิริยาบถ
เวลาเราปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมมันเป็นอริยมรรค เวลาเราเกี่ยวข้องกับอะไร เราก็ต้องเอาทั้งใจเอาทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นทางสายกลาง เราจะได้แก้ทั้งภายนอกแก้ทั้งภายใน เราต้องรู้ว่าทุกอย่างนั้นไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน ทุกอย่างนั้นมันเป็นเพียงเหตุเป็นเพียงปัจจัย เราพยายามตัดเรื่องอดีตเรื่องอนาคต พยายามอยู่กับปัจจุบัน เพราะอดีตก็มารวมที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องมีพระธรรมมีพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรเป็นเครื่องอยู่ต้องมีปิติมีความสุขในปัจจุบัน
ให้เรารู้เข้าใจเมื่อมันผ่านไปแล้วมันเกษียณไปแล้วเราก็ต้องปล่อยต้องวางเพื่อเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ชีวิตของเราจะได้มีศิลปะ มีศีลมีสมาธิมีปัญญา มันจะเป็นความสง่างามทั้งกายวาจากิริยามารยาทสง่างามทั้งใจ
เราทำอย่างนี้เราก็จะหยุดสัญชาตญาณเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยความดีที่เป็นปฏิปทาด้วยพระธรรมพระวินัยธุดงควัตรข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ ทุกคนต้องเน้นที่ปัจจุบันนะ
ทั้งพระเก่าพระใหม่โยมเก่าโยมใหม่พากันเน้นที่ปัจจุบัน ธรรมวินัย สติสัมปชัญญะ เป็นเครื่องอยู่ของเราทุก ๆ คน
อานาปานสติเราเอาไปใช้ในเรื่องความสงบก็ได้ เราเจริญปัญญาวิปัสสนาก็ได้ด้วยการระลึกอยู่ในใจว่า หายใจเข้ามันก็ไม่แน่ไม่เที่ยง หายใจเข้าแล้วก็หายใจออก มีแต่ความไม่แน่ไม่เที่ยง มีแต่สิ่งที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนมันเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป มันเป็นเพียงอาคันตุกะของลมที่จรไปจรมา เป็นอาคันตุกะของธาตุของขันธ์ของอายตนะ อานาปานสติถึงใช้ได้ทั้งความสงบและปัญญา เป็นทั้งสมถะเป็นทั้งวิปัสสนา เราเจริญสติสัมปชัญญะควบคู่กันไป เอาความสงบกับปัญญาควบคู่กันไป เป็นความดีเป็นปัญญา เป็นปฏิปทาของเราทุก ๆ คน
เราอย่ามาบวชเพราะฐานะของเรายากจน เพราะความยากจนจึงต้องอาศัยพระศาสนาหาอยู่หาเลี้ยงชีพ เราไปคิดอย่างนั้นไม่ได้ เราอย่ามาบวชเพราะสุขภาพไม่ดี เจ็บไข้ไม่สบาย มาบวชเพื่อไปได้โรงพยาบาลไปหาหมอที่โรงพยาบาลเพราะทางบ้านฐานะยากจน เพื่อจะไม่ได้เสียเงินไม่ได้เสียสตางค์
เราอย่าคิดว่าเรามาบวชเพราะพระศาสนาบ้านไม่ได้เช่าข้าวไม่ได้ซื้อ สิ่งของทุกอย่างนั้นประชาชนนำมาถวาย เอามามอบให้เอามาประเคน เราอย่ามาบวชเพราะเราเป็นคนติดเหล้าติดเบียร์ติดเล่นติดเที่ยวติดการพนันต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะควบคุมตัวเองได้ เราอย่ามาอยู่วัดเพราะอยู่ทางบ้านไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนเพราะสมัยปัจจุบันนี้ลูกหลานเขาไปทำงาน ไปทำธุรกิจหน้าที่การงานกัน เราอยู่ที่บ้านไม่รู้จะอยู่กับใครอยู่เป็นเพื่อน ไม่มีใครดูแลอุปถัมภ์อุปัฏฐาก เลยพากันมาบวชหรือผู้ที่ไม่ได้บวชมาอยู่วัด เพราะมาอาศัยวัดเป็นที่อยู่
เราอย่าพากันมาบวชเพื่อทำธุรกิจทำหน้าที่การงาน เพื่อเอาพระศาสนาแอบแฝงในเพศของนักบวช ด้วยการประกอบเดรัจฉานวิชา เป็นพระหมอดู หมอทำเวทย์มนต์ต่าง ๆ ปลุกเสกเลขยันต์อะไรต่าง ๆ ขายรูปเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จำหน่ายเหรียญครูบาอาจารย์ต่าง ๆ มาบวชเพื่อขายดอกไม้ธูปเทียน มาบวชเพื่อมาตั้งตู้บริจาคที่โบสถ์วิหารศาลาการเปรียญหรือหน้าพระประธาน หรือหน้ากุฏิที่พักของตัวเอง เรามาบวชเพื่อรับกิจนิมนต์ไปในงานต่าง ๆ
การมาบวชมาปฏิบัติของเราให้พวกเราพากันมาประพฤติมาปฏิบัติตัวเอง เพื่อตัวเองจะได้อบรมบ่มอินทรีย์ที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา มาเอาพระศาสนาเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม
เราจะเป็นคนจนก็ไม่เป็นไร เราจะเป็นคนรวยก็ไม่เป็นไร เป็นคนติดยาเสพติดเป็นติดเล่นติดเที่ยวติดเล่นการพนันก็ไม่เป็นไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ได้ว่าอะไร เพราะพระธรรมพระวินัยเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เรามาบวชมาปฏิบัติ เราก็ต้องอาศัยหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ยกเลิกนิสัยของตัวเอง ไม่ถือนิสัยของตัวเอง เอาพระธรรมเอาพระวินัย เอาธุดงควัตรกิจวัตรต่าง ๆ
ให้เรารู้เข้าใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย ถ้าเรามีการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เราก็จะเข้าถึงความสงบและปัญญา ด้วยปฏิปทาของเราเองทุก ๆ คนนะ เราทั้งหลายถึงต้องมาเน้นที่ตัวเรา
เรานอนเราจำวัดให้เพียงพอ อย่างน้อย ๕ ชั่วโมง อย่างมาก ๖ ชั่วโมง อย่างนี้เป็นต้น เราออกกำลังกายให้เพียงพอด้วยการเดินจงกรม เดินจงกรมคือเดินออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง เดินกลับไปกลับมา สำหรับนักบวชผู้ปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัด ต้องเดินจงกรมวันละ ๒ ชั่วโมง ร่างกายถึงจะแข็งแรง เดินจงกรมก็คือการเจริญสติสัมปชัญญะ มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เดินกลับไปกลับมา ไม่ปรุงแต่งอะไร อยู่กับสติอยู่กับสัมปชัญญะ เดินกลับไปกลับมาเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง การเดินจงกรมให้ใช้ความเร็วตามปกติธรรมดา ปกติคนเดิมธรรมดาชั่วโมงหนึ่งเดินได้ประมาณ ๔ กิโลเมตร ถ้าเดินเร็วกว่านั้นหน่อยก็จะได้ชั่วโมงละ ๕ กิโล ถ้าเดินเร็วขึ้นอีกก็จะได้ชั่วโมงละ ๖ กิโล
เราต้องพากันออกกำลังกายนะ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะแข็งแรงนั้นถ้าไม่ออกกำลังกาย พระเสขบุคคลก็ต้องออกกำลังกาย เพราะอเสขบุคคลก็ต้องออกกำลังกาย มันเป็นสิ่งที่ดีมันจะได้เจริญสติจะได้เจริญสัมปชัญญะ มนุษย์เราถ้ามีสติมีสัมปชัญญะมันก็จะเข้าถึงความพอดีเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
ชีวิตของเราก็ต้องอยู่กับความสงบกับปัญญา การจะทำอะไรเราก็ต้องอยู่กับความสงบอยู่กับปัญญา เพื่อเอากายวาจากิริยามารยาทอาชีพมาทำมาเจริญสมถะ มาเจริญวิปัสสนา เพื่อใจจะได้สงบ ใจของเราจะมีปัญญาจะไม่ได้เกิดความฟุ้งซ่าน
เราทั้งหลายน่ะต้องหาการหางานให้มันเกิดความสงบเกิดปัญญา แต่งานนั้นต้องไม่เกิดกามไม่เกิดพยาบาท ให้เป็นงานเกิดความสงบเกิดปัญญา ให้เรามีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายต้องอยู่กับความสงบอยู่กับปัญญา ไม่ใช่อยู่กับความฟุ้งซ่าน ไม่ใช่อยู่กับความปรุงแต่ง เราทั้งหลายต้องอยู่กับความสงบอยู่กับปัญญา อยู่กับปฏิปทาที่เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เป็นข้อวัตรเป็นธุดงควัตร
ถ้าเราเจริญสติสัมปชัญญะจะเป็นสาเหตุให้เราเกิดความสงบเกิดความวิเวก ถ้าใจของเราอยู่กับสติสัมปชัญญะเราทุกคนก็จะเกิดความสงบเกิดความวิเวก ถ้าเราไม่เจริญสติสัมปชัญญะเราก็จะไม่เกิดความสงบเกิดความวิเวก ถ้าเราทิ้งพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจต่าง ๆ เราก็จะไม่เกิดความสงบความวิเวก ความไม่วิเวกนั้นเพราะเราทิ้งความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เราทิ้งปฏิปทา เราถือหลักการประพฤติการปฏิบัตินี้
พระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ เป็นหลักการที่สำคัญ กุฏิวิหารห้องน้ำห้องสุขาของเราทุกคนต้องสะอาด เพื่อเป็นสิ่งที่ฝึกใจ เพราะใจของเราน่ะมันเป็นนิติบุคคลตัวตน มันจะถือวิสาสะ มันจะทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย กุฏิที่พักห้องน้ำห้องสุขา ถนนหนทางที่เราสัญจรไปมาต้องสะอาด อย่าเอาความประมาทนำชีวิต ต้องเอาความไม่ประมาท เอาความสะอาด ทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา
กุฏิเราที่พักเราถึงใครไม่ไปรู้ไปเห็น แต่ตัวเรานี้เป็นคนรู้เป็นคนเห็นนะ ความคิดของเราที่เราตรึกในกามตรึกในพยาบาทคนอื่นเค้าไม่รู้ไม่เห็นไม่เข้าใจนั้นแต่เรารู้เราเห็นเราเข้าใจนะ
เราต้องตั้งใจตั้งเจตนา การปฏิบัติธรรมนั้นไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อหลอกลวงนะ การปฏิบัติธรรมถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ทำไมหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายไม่เกิดความสงบเกิดปัญญา เพราะการประพฤติการปฏิบัตินั้นมันไม่สม่ำเสมอ มันมีต่อหน้าและลับหลังนะ
การปฏิบัติธรรมเราต้องรู้เข้าใจ เพื่อการปฏิบัติธรรมของเราจะไม่ได้มีต่อหน้าและลับหลัง เน้นการเจริญสติสัมปชัญญะ เน้นความสงบเน้นปัญญา เน้นอนัตตาไม่ใช่หมกเม็ดด้วยตัวด้วยตน ดีแต่ภายนอก ข้างในเน่าในเปียกแฉะ ท่านหลวงตามหาบัว ท่านมีเมตตาสอนไว้ว่า การประพฤติการปฏิบัตินั้นต้องไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ถ้ามีต่อหน้าและลับหลังนั้นท่านบอกว่าไม่ใช่ การปฏิบัติจะไม่ได้ผล ถ้ามีต่อหน้าและลับหลัง
ด้วยเหตุนี้ความเข้าใจนี้ กุฏิของใครของมันต้องให้สะอาด ห้องน้ำห้องสุขาต้องทำอะไรให้สมบูรณ์ การปฏิบัติธรรมอย่าให้มีต่อหน้าและลับหลัง ทุกคนอย่ามองข้ามปัจจุบัน ตัวนี้มันมองข้ามในปัจจุบัน ความสงบและปัญญาก็ต้องไปพร้อมกัน ไม่ใช่ปัญญาฟุ้งซ่าน ไม่ใช่ปัญญาเป็นตัวเป็นตน
เรามีปัญญามากก็ต้องมีความสงบมาก เรามีความสงบมากเราก็ต้องเสียสละ ถ้าไม่เสียสละมันยังมีการปฏิบัติต่อหน้าและลับหลังนะ ให้เราเน้นที่จิตที่ใจที่เจตนา
เรามาบวชมาปฏิบัติธรรมให้เรารู้เข้าใจนะ เราจะได้รู้ว่าเราบวชมาทำไม มาอยู่ที่วัดนี้ทำไม เรามาบวชก็เพื่อมาประพฤติมาปฏิบัติธรรม ไม่ใช่มามีตัวมีตน ไม่ใช่บวชเพื่อตัวเพื่อตน มาบวชเพื่อมาเจริญสติสัมปชัญญะ เพื่อเข้าถึงความสงบและปัญญา ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง สะอาดทั้งภายนอกภายใน มีความสงบด้วยความรู้ความเข้าใจที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นปฏิปทา
เราทั้งหลายน่ะต้องพากันมาระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อจะเข้าถึงหลักการในการประพฤติการปฏิบัติเราจะเข้าถึงหลักการในการบวช ไม่ใช่เราบวชมาเพราะฐานะเรายากจน เราไม่ได้บวชมาเพราะเราติดเหล้าติดเบียร์ติดการพนัน เราไม่ได้บวชมาเพื่อมาทำธุรกิจในศาสนาอย่างที่กล่าวมา เรามาบวชเพื่อมาประพฤติมาปฏิบัติธรรม เพื่อความสงบและปัญญา เพื่อเอาพระศาสนาเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพราะพระศาสนานี้เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เราได้มีสิทธิพิเศษจากงบประมาณของแผ่นดิน จากงบประมาณของศรัทธาประชาชน
อดีตที่มันผ่านไปแล้วก็แล้วไป ถ้าเราจะบวชต่อเราก็ต้องเข้าสู่หลักการของพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ ผู้ที่บวชมาชั่วคราวก็ปฏิบัติอย่างเดียวกัน อย่าไปคิดว่าเรามาบวชชั่วคราวเดี๋ยวจะลาสิกขาไป เรามาบวชชั่วคราวเราก็ต้องมีสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์อย่างเดียวกันเช่นเดียวกัน อย่าไปคิดว่าบวชชั่วคราว เพราะเรามีโอกาสมีเวลาพิเศษ
เราต้องตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ช่างหัวมัน มันจะเหน็ดเหนื่อยก็ช่างมัน มันจะลำบากก็ช่างมัน เราคิดว่าอย่างมากมันก็แค่ตายนั่นแหละ มันคงไม่มากไปกว่าตายหรอก
ปัจจุบันเราต้องทำให้ได้ปฏิบัติให้ได้ ถึงเราจะบวชไม่กี่วันกี่เดือนกี่ปี มันก็ยังดีกว่าพวกที่มาปลอมตัวบวช พวกที่ปลอมตัวมาบวชคือผู้ที่ไม่ได้บวชเพื่อมรรคผลพระนิพพานถึงจะบวชถึงต้องตามกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษรนั้น ถ้าไม่ได้มุ่งมรรคผลนิพพานก็ถือว่า บุคคลนั้นเป็นผู้ปลอมตัวมาบวชนะ อาศัยรูปแบบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าเป็นบางอย่าง เช่นปลงผมนุ่งห่มจีวรเหมือนพระพุทธเจ้าแต่นอกจากนั้นไม่เหมือน เพราะจุดมุ่งหมายไม่ได้มุ่งมรรคผลพระนิพพาน เราบวชอย่างนั้นน่ะมันไม่ได้เป็นพระไม่ได้เป็นสมณะ มันพากันเป็นสมีกันไปหมด
คำว่าสมีนี้ก็หมายถึงเป็นสามี เป็นผัวของเขาน่ะ ตัวตนนั้นมันเป็นอวิชชาเป็นความหลง ตัวตนนั้นมันเป็นสมี คำว่าสามีนั้นหมายถึงจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย คำว่าสมีนั้นไม่ได้จดทะเบียนเป็นผัวเป็นเมียกัน นี้เค้าเรียกว่าเป็นสมีนะ
เรามาบวชมาปลงผมนุ่งห่มจีวร มีแฝงอยู่ด้วยตัวด้วยตนนี้ก็เรียกว่าไม่ได้เป็นพระ เป็นเพียงสมีนะ เพราะพระนั้นคือพระธรรมพระวินัยเป็นความสงบเป็นปัญญาเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ตัวตนนั้นคือสมี
ทุกวันนี้มีแต่เรื่องมีแต่ราว ข้าราชการนักการเมืองนักบวชเพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเลยพากันเป็นสมีกันทั้งบ้านทั้งเมืองเลย คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่ ๙๙.๙ เปอร์เซ็นต์เลยนะ
เราทั้งหลายต้องมาล้างบางตัวของเราเองนะ เราต้องรู้เข้าใจนิติบุคคลตัวตนนี้แหละมันเป็นรัฐประหารของตัวเอง เหมือนระเบิดน่ะ ระเบิดนั้นคือทำลายทั้งตัวเองทำลายทั้งคนอื่น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้เรามายกเลิกวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เราต้องรู้เข้าใจถ้าเราไม่เอาธรรมนำชีวิต เราจะไม่ได้พัฒนาทั้งใจทั้งวัตถุไปพร้อมกัน ใจกับวัตถุต้องมีมาพร้อมกันเพื่อเป็นทางสายกลางเพื่อความสงบและปัญญาจะได้ไปพร้อมกัน
เราทั้งหลายการฉันอาหารการทานอาหารเราต้องรู้จักโภชนีมัตตัญญุตา เพราะเราต้องเป็นทั้งแพทย์เป็นทั้งคนไข้ไปในตัว อาหารความคิด อาหารคำพูดการกระทำกิริยามารยาท อาหารทางใจ เราต้องรู้จักอาหารนะ อริยมรรคมีองค์แปดคืออาหารนะ เป็นความดีและปัญญา เป็นความสงบและปัญญา เราต้องรู้จักอาหารนะ สิ่งที่จะผ่านไปทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจนี้คืออาหารนะ
เราทั้งหลายถึงไม่ตรึกในกามไม่ตรึกในพยาบาท เราจะเอาความสงบเอาปัญญามาใช้มาทำงานนะ ความซื่อสัตย์ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ใครไม่รู้ไม่เห็นไม่เข้าใจแต่เรารู้เราเห็นเราเข้าใจนะ
เราจะบริโภคอะไรเข้าไป เราต้องรู้เข้าใจนะ มันมีทั้งคุณและโทษนะ เราจะได้รู้จักคำว่าอาหาร อาหารกาย อาหารวาจาอาหารมารยาทอาหารอาชีพ อาหารคือความสงบคือปัญญา อาหารคืออนัตตาไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เพราะทุกอย่างมันมาจากอาหาร เราต้องรู้จักอาหาร เราต้องรู้จักโภชนีมัตตัญญุตา รู้จักการบริโภคเราทั้งหลายจะได้ไปตามผัสสะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อมไม่ไปตามความหลงเราต้องหยุดด้วยความรู้ความเข้าใจ ไม่บริโภคสิ่งต่าง ๆ ด้วยอวิชชาด้วยความหลง วันหนึ่งคืนหนึ่งเค้าให้หมู่มวลมนุษย์ ให้มีความสมดุลระหว่างใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เพื่อความพอดีความพอเพียง
การดื่มน้ำของหมู่มวลมนุษย์เราทั้งหลายก็ให้เพียงพอ ดื่มน้ำวันละ ๒ ลิตรอย่างนี้เป็นต้น เพราะเราทั้งหลายน่ะมันบริโภคหวานเกินไป เค็มเกินไป เปรี้ยวเกินไป เพื่อน้ำบริสุทธิจะได้เจือจาง ความสงบกับปัญญานี้ถึงก้าวไปด้วยการบริโภคทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราทั้งหลายต้องให้เข้าใจอย่างนี้ เพื่อเราจะได้มีเบรกมีเซฟตี้ หยุดด้วยความรู้ความเข้าใจ เมื่อมันผ่านไปแล้วก็ต้องปล่อยต้องวาง เพื่อไม่ให้อดีตมาปรุงแต่งเราได้ เพื่อไม่ให้อนาคตมาทำให้ใจของเราปรุงแต่ง เพราะธรรมะ ธรรมวินัย ความรู้ความเข้าใจมันเป็นความสงบเป็นปัญญา มันเป็นความโอเค เป็นความพอดี เป็นความพอเพียงเพียงพอ มันมีความลงตัว ไม่ต้องปรุงแต่งอะไร
เราทำข้อวัตรกิจวัตรด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตา เราทั้งหลายไม่ต้องคุยกัน ไม่จำเป็นเราจะไม่คุยกันให้เสียเวลา ปกติเราก็จะอยู่กับสิ่งภายนอก เราปฏิบัติธรรมเราต้องอยู่กับความสงบอยู่กับสติสัมปชัญญะ เพื่อจิตใจของเราจะได้มีความสงบมีปัญญาจะได้มีพลัง จิตใจของเรานี้พื้นฐานต้องมีความสงบและปัญญา
ขณิกสมาธิคือสมาธิทุก ๆ ขณะ อุปจารสมาธิ สมาธิที่พิจารณาพระไตรลักษณ์ รู้เรื่องผิดเรื่องถูก รู้เรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา มันจะหยุดนิวรณ์ทั้ง ๕ หยุดอคติทั้ง ๔ ให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเราไปพูดคุยกันมากคลุกคลีกันมากก็เสียเวลาในการประพฤติการปฏิบัติในการเจริญสติสัมปชัญญะ
ในตอนกลางวันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เราพิจารณาร่างกายของเรา ร่างกายของเรามีชิ้นส่วนอยู่ ๓๒ ชิ้นส่วน เราพิจารณาสาธยายเอาออกเป็นชิ้นเป็นชิ้น ครบ ๓๒ ชิ้น เอาออกแล้วประกอบอย่างนี้เป็นต้น ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เรามีหลักการมีอุดมการณ์อย่างนี้ สิ่งดี ๆ ที่พิจารณาร่างกายแยกออกมาเป็นชิ้นส่วนแล้วประกอบนี้ เราทุกคนจะไม่อยากทำงานไม่อยากปฏิบัติงานนะ จะเอาแต่ความสงบน่ะ ความสงบคือความสงบนะ ความสงบคือสมาธิคือสมาบัตินะ ความสงบมันเป็นพื้นเป็นฐานให้เราเกิดปัญญา
เราทั้งหลายต้องพิจารณาร่างกายวันละหลาย ๆ ครั้งนะ เราพิจารณาร่างกายใจจะมีความสงบมีปัญญา เราจะได้ทำทั้งสมถะคือความสงบเราจะได้เจริญปัญญา เพราะสักกายทิฏฐินี้เป็นธรรมที่เราจะต้องละด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายถ้าแยกร่างกายออกมาเป็นชิ้นส่วนแล้วจะไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงผู้ชาย เป็นคนหนุ่มคนสาวคนแก่คนเฒ่าคนชรา
เราคิดดูดี ๆ นะ อย่างอุจจาระปัสสาวะนี้มันมาจากที่เราเอาอาหารลงสู่ร่างกาย ย่อยสู่ร่างกาย เหมือนปุ๋ยหมักปุ๋ยอินทรีย์ ต้นไม้ก็ต้องการปุ๋ยหมัก ต้องการปุ๋ยอินทรีย์ ร่างกายของเราก็เช่นเดียวกัน อย่างเราถ้าเห็นส่วนใดส่วนหนึ่งไม่เอามาประกอบกันนี้แหละ
หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายจะไม่มีราคะจะไม่มีอวิชชาความหลง
อย่างน้ำลายของเรานี้ ถ้าเราถ่มน้ำลายออกจากปากแล้วก็ไม่สามารถเอาน้ำลายนั้นมากลืนกินอีกได้ ทุกอย่างในร่างกายของเรานี้ก็มีแต่ส่วนที่สกปรกมีแต่ส่วนที่ปฏิกูลถ้าเราแยกชิ้นส่วนน่ะ เราทั้งหลายถ้ารู้เข้าใจด้วยการภาวนาอย่างนี้ใจของเราก็จะเบื่อหน่ายในการเอาความหลงนำชีวิต จะไม่ได้เอาความหลงนำชีวิต ใจของเราก็จะสงบเย็นมีปัญญา ใจของเราก็จะเป็นอนัตตา ใจของเราจะไม่มีตัวไม่มีตนนะ
อย่างเรารังเกียจมูตรคูถ อุจจาระต่าง ๆ เพราะสิ่งเหล่านั้นมันเป็นผลของนิติบุคคลตัวที่เป็นอุจจาระปัสสาวะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้เราพิจารณาร่างกายแยกออกมาเป็นชิ้นเป็นส่วน เราจะเอาแต่เรื่องจิตเรื่องใจเรื่องสงบเรื่องปัญญานั้นไม่ได้ เบื้องแรกเราต้องพิจารณาสาธยายร่างกายเพื่อเราจะได้เอาความสงบเกิดปัญญา
อย่างเรามานั่งสมาธิอย่างนี้แหละ ความสงบเราก็ไม่เอา ความวุ่นวายเราก็ไม่เอา ถ้าเราไม่เอาความสงบอย่างนี้เราก็สงบ ถ้าเราจะเอาความไม่สงบมันก็ไม่สงบเพราะมันเป็นความปรุงแต่ง ใจของเราความสงบหรือไม่สงบนี้มันเป็นโลกีย์ คือมันเป็นโลกเป็นตัวตน ความสงบนั้นเป็นความสงบของฌานโลกีย์มันไม่ใช่โลกุตรธรรม
เราต้องรู้เข้าใจ การมาบวชไม่ใช่เรามาเอาหรือไม่เอา เป็นความรู้ความเข้าใจ เป็นปฏิปทาเป็นการอบรมบ่มอินทรีย์ที่ประกอบด้วยปัญญา
เรานั่งสมาธิเราพิจารณาร่างกายสาธยายร่างกายอันนี้ดีกว่าเราไปนั่งโงกง่วงนั่งหลับนะ ถ้าเราเห็นภาพรวมเอามารวมกันมันก็เป็นตัวเป็นตน ถ้าเราแยกออกมันก็ไม่มีตัวไม่มีตนเราจะได้รู้ว่าทุกอย่างเป็นอาคันตุกะสัญจรไปมาของธาตุขันธ์อายตนะ สิ่งที่ว่างเปล่านั้นคือไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนนะ
เราต้องรู้เข้าใจ ในกลางวันของเรา เราอยู่ที่กุฏิที่พักเราก็ท่องหนังสืออ่านหนังสือพระธรรมพระวินัย อ่านหนังสือนวโกวาท ธรรมวิภาค พุทธประวัติ หรืออ่านหนังสือพระไตรปิฎก เพราะเราจะได้มีเครื่องอยู่ที่เป็นความสงบเป็นปัญญา เราจะไม่ได้ปล่อยให้ตัวเองฟุ้งซ่านที่ไม่มีประโยชน์อะไร
ทุกคนนั้นต้องทวนกระแสอย่าไปตามกระแสนะ อย่าไปตามสัญชาตญาณนะ เราต้องมีความสงบมีปัญญา เราไปตามกระแสไปตามสิ่งแวดล้อมนะ เราเป็นประสาทอยู่แล้วก็ยิ่งทวีคูณนะ มันจะรักษาโรคจิตโรคประสาทโรคซึมเศร้าไม่ได้ เพราะพระศาสนาคือความรู้ความเข้าใจเป็นความสงบเป็นปัญญาเป็นการรักษาโรคประสาทโรคซึมเศร้า
ให้รู้เข้าใจ เราพากันเน้นที่ปัจจุบัน ให้ปัจจุบันมันเป็นฟอร์มสด นักกีฬาต้องขยันซ้อม เพื่อฟอร์มนั้นจะได้สด เวลาเจอของจริงน่ะเราจะได้ผ่านไปได้ ปัจจุบันนั้นคือของจริงนะ ปัจจุบันนั้นเราต้องมีศีลมีสมาธิมีปัญญา ปัจจุบันเราต้องเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนนะ เราต้องเข้าใจนะ ถ้าไม่เข้าใจเราทั้งหลายก็จะพังทลายเช่นเดียวกันกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจเอาความหลงนำชีวิต ชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายเช่นเดียวกันกับตึกสตง.นะ
เราทั้งหลายต้องพากันแก้ตัวเองในปัจจุบันนะ ความเป็นมนุษย์ของเราต้องอยู่ที่ปัจจุบัน ความเป็นเทวดาของเราต้องอยู่ที่ปัจจุบัน ความเป็นพรหม พรหมจรรย์ความสงบและปัญญาต้องอยู่ที่ปัจจุบัน ความเป็นพระ ความเป็นพระอริยเจ้าก็ต้องอยู่ที่ปัจจุบัน เมื่อปัจจุบันทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้อนาคตจะเป็นได้อย่างไร มันเป็นความหลงนะ ความหลงเปรียบเสมือนทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำ เปรียบเสมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อของเพลิง มันเป็นความบกพร่องอยู่เป็นนิจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่ามันจะมีความบกพร่องอยู่เป็นนิจ มันจะไม่เข้าถึงทางสายกลางไม่เข้าถึงความสงบถึงปัญญา เป็นอัตตาตัวตนเป็นวัฏฏสงสารนะ
ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายที่เป็นผู้ประเสริฐที่เกิดมาเพื่อทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ เพื่อประพฤติปฏิบัติให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เพื่อจะได้เข้าถึงมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ นิพพานสมบัติในปัจจุบันเมื่อยังไม่ตาย
เรามาระลึกถึงพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เพื่อเป็นปฏิปทาพัฒนาทั้งใจทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กันด้วยความสงบด้วยปัญญาด้วยปฏิปทาที่ติดต่อต่อเนื่องที่ตั้งอยู่ในองค์ธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านในครั้งสุดท้ายก่อนที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ
---------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๑๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา