๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ ๑ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘  ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

การประพฤติการปฏิบัติ ทุกคนต้องรู้เข้าใจ ต้องรู้ต้องเข้าใจนะ การปฏิบัติให้เรารู้จักการประพฤติการปฏิบัติ เพราะเหตุผลว่าอดีตก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่อยู่ข้างหน้าที่ยังไปไม่ถึงก็อยู่ที่ปัจจุบันแล้ว ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญแห่งชาติ ปัจจุบันนี้ใช้ได้ทั้งปัจจุบันใช้ได้ทั้งอนาคต ใช้ได้ทั้งชาตินี้เดี๋ยวนี้แล้วก็ชาติหน้า

 

ปัจจุบันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้พวกเราทั้งหลายตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ทุกคนถึงรู้เข้าใจ รู้ในสิ่งที่ถูกต้องสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะไม่ได้มีความลังเลสงสัย เพราะการปฏิบัติมันใช้ได้ทั้งปัจจุบันและใช้ได้ทั้งอนาคต

 

เราให้รู้ให้เข้าใจ เพราะทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี เพราะทุกสิ่งนั้นย่อมเกิดจากเหตุ เหมือนกับเห็ดป่า เห็ดป่าทุกชนิดที่ไหนมันมีเชื้อของเห็ดป่า เห็ดชนิดนั้นถึงเกิด มันจะเกิดจากเห็ดที่มีเชื้อ เหมือนกับเมล็ดผลของต้นไม้ มีเมล็ดอยู่ที่ไหนต้นไม้นั้นถึงจะเกิดมีได้

 

อริยมรรคมีองค์แปดถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ความรู้ความเข้าใจเป็นปริยัติ ปริยัติต้องมีการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้ปริยัติปฏิบัติเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา ความรู้คู่กับความเข้าใจ ทั้งการประพฤติการปฏิบัติ ต้องเป็นหนึ่งเป็นทางสายกลาง ไม่ไปตามธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ ความรู้ความเข้าใจพร้อมทั้งการปฏิบัติเป็นสมบัติของผู้ดี ถ้าเรารู้เราไม่เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติเป็นสมบัติของผู้ชั่ว เราต้องมีคุณธรรมคือสมบัติของผู้ดีของคนดี

 

การประพฤติการปฏิบัติถึงเป็นวาระสำคัญ เพื่อเราจะได้ประพฤติปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย เพราะการปฏิบัติธรรมนี้มันใช้ได้ทั้งปัจจุบันและอนาคต เราทั้งหลายถึงพากันมารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์

 

การประพฤติการปฏิบัติธรรมนี้ไม่มีใครประพฤติปฏิบัติให้เราได้ ต้องเอาความดับทุกข์ในปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องมีความสงบ ปัจจุบันเราต้องมีปัญญา เพื่อเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา การประพฤติการปฏิบัตินั้นถึงมีอยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพรวมลงที่ใจ รวมลงที่เจตนา

 

การประพฤติการปฏิบัติธรรมเราต้องรู้ต้องเข้าใจ ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ถ้าทำอะไรมีต่อหน้าและลับหลังไม่ถูกต้อง ถ้ายังมีต่อหน้าและลับหลังยังเป็นนิติบุคคลตัวตนอยู่ ยังไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา ปัญหาข้างหน้าต้องเกิดขึ้นแก่เราแน่ เพราะกรรมเป็นสิ่งที่มีจริง นรก สวรรค์ พรหม พระอริยเจ้าเป็นสิ่งที่มีจริง

 

ให้ทุกคนรู้เข้าใจนะ เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เดี๋ยวกรรมมันจะสุกงอม การปฏิบัติที่มีต่อหน้าและลับหลังให้ระวังนะ เดี๋ยวกรรมมันจะสุกงอม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้เรารู้ว่าธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ นี้คือกรรมเก่า ให้รู้เรื่องรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ กรรมเก่ากับกรรมใหม่เค้าจะทำงานของเค้า เป็นจิ๊กซอว์เป็นวัฏฏสงสารหมุนรอบตัวเอง เหมือนดวงอาทิตย์หมุนรอบโลก โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ เราต้องรู้ต้องเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เอาอดีตที่ผ่านมาที่มีความบกพร่องมาปรับปรุงแก้ไข ไม่มีใครปฏิบัติไม่ได้ ปฏิบัติได้ทุกคน ปฏิบัติได้อยู่ทุกหนทุกแห่ง ผู้ที่ปฏิบัติไม่ได้ก็มีแต่คนบ้า คนเสียสติเพราะสมองเสีย คนที่ทำไม่ได้มีแต่บุคคลไม่รู้อริยสัจสี่ ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ผู้ไม่รู้ไม่เข้าใจก็ปฏิบัติไม่ได้ ผู้ที่สมองเสีย สมองถูกทำลายนั้นก็ปฏิบัติไม่ได้

 

เราทุกคนถึงอาศัยหลักการ อุดมการณ์อุดมธรรม การประพฤติการปฏิบัตินั้นเราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงเพื่อจะไม่มีความทุกข์ เพราะจะไม่เป็นโรคซึมเศร้า ปัจจุบันเราต้องมีปิติมีความสุข ให้พวกเราเข้าใจ เราทั้งหลายสิ่งที่เป็นอดีตผ่านมาแล้ว เราต้องปล่อยต้องวาง ต้องไม่มีความยึดมั่นถือมั่น เพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ถ้าไม่ทำอย่างนี้เราจะตกอยู่ในสัญชาตญาณ ที่เป็นวัฏฏสงสาร เป็นวงกลม เป็น cycle of life ไปไหนไม่ได้ เดินไปข้างหน้าก็ไม่ได้ ถอยกลับมาก็ไม่ได้ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านรู้เข้าใจในอริยสัจสี่

 

พระบรมโพธิสัตว์มหาบุรุษทอดพระเนตรเห็นถาดทองลอยทวนกระแสชล เป็นนิมิตเหมือนดังอธิษฐานจึงทรงโสมนัส เสด็จสู่ร่มสาลพฤกษ์ ต้นสาละหรือต้นรัง อันร่มรื่น

 

ครานั้นพราหมณ์ชื่อ โสตถิยะ เป็นคนหาบหญ้า ถือหญ้า ๘ กำ เดินสวนทางมา เมื่อพบพระองค์ผู้มีพระสิริงามสง่าดุจพญาไกรสรสีหราชก็เกิดศรัทธาเลื่อมใส จึงนำหญ้าคาทั้ง ๘ กำนั้น น้อมเข้าไปถวาย
เมื่อพระบรมโพธิสัตว์ทรงรับหญ้าคาจากโสตถิตพราหมณ์แล้ว ครั้นถึงเวลาบ่ายจึงเสด็จบทจร ออกจากสาลพฤกษ์เพื่อดำเนินไปสู่ร่มไม้ อสัตถโพธิฤกษ์มณฑล ใต้ ร่มโพธิ์ สู่ร่มโพธิพฤกษ ทางด้านทิศบรูพา(ทิศตะวันออก)

พระองค์ทรงปูลาดหญ้าคาต่างบัลลังก์ ณ ควงไม้อสัตถโพธิพฤกษ์ แล้วประทับนั่งขัดสมาธิ อธิษฐานในพระหฤทัยว่า
     
     “ตราบใดที่ยังมิได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ จะไม่ลุกขึ้น
     แม้เลือดเนื้อจะแห้งเหือดไปเหลือแต่กระดูกและเส้นเอ็นก็ตาม”


ในหนังสือพระปฐมสมโพธิกถา กล่าวว่าเมื่อทรงปูลาดหญ้าคาทั้ง ๘ กำ ณ ควงไม้มหาโพธิ์ พระบรมโพธิสัตว์มหาบุรุษได้ทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า
     
    “ถ้าจะตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ
     ขอจงบังเกิดเป็นรัตนบัลลังก์ปรากฏในที่นี้”

พลันวชิรอาสน์รัตนบัลลังก์ คือบัลลังก์แก้ว อันวิจิตรงามตระการสูง ๑๔ ศอก โดยประมาณ ก็พลันอุบัติขึ้นแทนบัลลังก์หญ้าคาด้วยบุญญานุภาพแห่งพระบรมโพธิสัตว์ นั่นจึงเป็นปฐมเหตุในการนำหญ้าคามาทำเป็นอุปกรณ์การแผ่พระพุทธศาสนา

 

ให้เราพากันเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราจะไม่รู้จักสิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ โลกธรรม ๘

 

โลกธรรม ๘ อย่างนี้ให้เราเข้าใจ ถ้าเราไม่เข้าใจ โลกมันจะทำลายธรรม เค้าถึงมีศัพท์โลกธรรม โลกทำร้ายธรรม โลกนี้มันเป็นสัญชาตญาณ เป็นนิติบุคคลตัวตน ธรรมะที่ตรงกันข้ามถึงเป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ เรารู้เข้าใจ จะไม่ได้เอาการเวียนว่ายตายเกิดที่ทำให้เกิดวัฏฏสงสารนำชีวิต

 

ให้เรารู้ให้เข้าใจนะ โรคภัยไข้เจ็บ หมายถึงโลกทำร้ายทั้งกายทำร้ายทั้งใจ เค้าถึงศัพท์เรียกว่าโลกนี้ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ มันเป็นการทำร้ายธรรม ตัวมันเอง ตัวความไม่รู้นี้มันจะทำร้ายทำลายธรรม เพราะความสงบและปัญญานั้นย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะเอาสัญชาตญาณนำชีวิต เอาความรู้สึกนำชีวิต มันเป็นโลกทำร้ายธรรมนะ ความไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่รู้หลักการไม่รู้อุดมการณ์ ไม่รู้อุดมธรรม ทำให้เราเสียหายทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ เพราะโลกทำร้ายธรรม เราทั้งหลายถึงมีแต่ความทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์นั้นไม่มีเลย อริยมรรคมีองค์ ๘ ในการประพฤติการปฏิบัติของเราในปัจจุบัน เราต้องรู้เข้าใจ ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ในโอวาทสุดท้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธจ้า ท่านได้ตรัสไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

เพราะความประมาทคือความเสียหาย เราเอาโลกธรรมนำชีวิตนี้มันเสียหาย มันจะพังทลายเหมือนตึก สตง.ของเมืองไทย สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ชีวิตของเรามันจะเป็นอบายมุขอบายภูมิ ภูมิแห่งความตกต่ำที่เป็นโลกธรรม ที่เป็นเปรต เป็นผี เป็นยักษ์ เป็นมาร เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ยังไม่ตายก็ตกนรกทั้งเป็น มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป เป็นปัจจุบันทุกข์ ปัจจุบันนี้เราต้องรู้เข้าใจเพื่อการกระทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ของเราทุก ๆ คน ความไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องโลกธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้รู้โลกธรรม

 

เราทั้งหลายตั้งอยู่ในความประมาท เราต้องรู้เข้าใจ เพราะสิ่งทั้งหลายเป็นสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ไม่มี ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ มีอยู่ เราต้องรู้เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้มันเกิดจากความไม่รู้ไม่เข้าใจในวัฏฏสงสาร ในการเวียนว่ายตายเกิด เราต้องมารู้มาเข้าใจในเรื่องมรรคเรื่องอริยมรรค มรรคมีองค์ ๘ เพื่อหยุดสัญชาตญาณ ยานที่เป็นวัฏฏสงสาร ยานที่เวียนว่ายตายเกิด ใจของเรามันคิดได้ทีละอย่าง กายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นเพียงอุปกรณ์ของใจเท่านั้น ถ้าใจของเรารู้เรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เราก็จะแก้ปัญหาได้ด้วยการเอาอริยมรรคมีองค์ ๘ นำชีวิต เพื่อจะหยุดโลกธรรม ปัญญากับสติถึงเป็นคู่กัน เป็นความสงบและปัญญา เป็นทั้งสมถะและวิปัสสนา รู้กรณียกิจ ๔ กิจที่ควรทำ กิจที่ควรประพฤติการปฏิบัติ ยกเลิกนิติบุคคลตัวตน เพราะตัวตนนั้นคือทุกข์ในปัจจุบัน ทุกข์ในอนาคต เพราะเหตุผลวา โลกนี้กำลังทำลายธรรม เราจะได้รู้เรื่องโลกธรรมชัดเจน เราจะได้รู้เรื่องอริยมรรคมีองค์ ๘ ชัดเจน

 

การเดินทางในการประพฤติการปฏิบัติต้องรู้เรื่องโลกทำร้ายธรรม รู้จักอริยมรรคมีองค์ ๘ เพื่อจะได้เกิดความสงบเกิดปัญญา รู้เรื่องพระไตรลักษณ์ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเป็นอาคันตุกะที่สัญจรไปมา ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน เป็นอาคันตุกะที่สัญจรไปมา เป็นของชั่วคราว เป็นสิ่งที่ไม่แน่ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นอนัตตา เราต้องมาหยุดด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ มีอยู่ที่รู้เข้าใจ เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ทุกคนให้รู้เข้าใจนะ ปฏิบัติได้ทุก ๆ คน เป็นสามัญลักษณะ ปฏิบัติได้เสมอกัน ทุกชาติทุกศาสนา พระราชามหากษัตริย์ ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ข้าราชการนักการเมือง พ่อค้าประชาชน เกษตรกร เกษตรกรรม อุตสาหกรรม นักบวช พากันประพฤติพากันปฏิบัติได้ไม่มีใครยกเว้น เพราะพระนิพพานดับกรรม ดับกฎแห่งกรรม ดับผลของกรรม เป็นสาธารณะ เป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ ให้รู้เข้าใจ

 

เราทั้งหลายจะไปตามความรู้สึก ตามสัญชาตญาณนั้นไม่ได้ ต้องเอาธรรมนำชีวิต เราจะเอาธรรมนำชีวิตได้ต้องรู้เรื่องโลกธรรม เอาอริยมรรคมีองค์ ๘ นำชีวิต อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ ปฏิบัติสมควร ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป มันจะเป็นความสงบเป็นความพอเพียงเพียงพอ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเปรียบให้ฟังว่า ความรู้กับการประพฤติการปฏิบัติเปรียบเสมือนมนุษย์ขับรถขับเครื่องบินขับเรือ เพื่อให้ไปถึงจุดหมายปลายทางด้วยความปลอดภัย ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ เราทั้งหลายให้รู้เข้าใจนะ อย่าให้กายวากิริยามารยาทอาชีพของเราทำร้ายตัวของเราเอง อริยมรรคมีองค์ ๘ ทุกข้ออย่าให้ขาดตกบกพร่อง

 

เราทั้งหลายต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ให้ทั้งทางวิทยาศาสตร์กับทางใจสว่างไสวเหมือนรถนำทางพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไป รถก็ต้องมีไฟไซเรน พร้อมทั้งเปิดหวอเสียงดัง ว้าว ว้าว ว้าว ไป

 

ความรู้ความเข้าใจเราต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้อริยมรรคของเราสมบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ด่างไม่พร้อยไม่ทะล การประพฤติการปฏิบัติถึงต้องรู้เรื่องอริยสัจสี่รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราถึงจะเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ด้วยความรู้ความเข้าใจ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราต้องรู้เข้าใจ เห็ยภัยในวัฏฏสงสาร วัฏฏสงสารมีภาระมาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านนั่งอยู่ ณ แท่นศิลาอาสน์ในการตรัสรู้ การตรัสรู้นี้ต้องรู้เรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม เพื่อจะไม่เอาโลกธรรมนำชีวิต เอาอริยมรรคมีองค์แปดนำชีวิต พัฒนาทั้งใจทั้งวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงตรัสปฐมสุภาษิตว่า

 

เมื่อเรายังไม่พบญาณ, ได้แล่นท่องเที่ยวไปในสงสารเป็นอเนกชาติ แสวงหาอยู่ซึ่งนายช่างปลูกเรือน, คือตัณหาผู้สร้างภพ, การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป นี่แน่ะนายช่างปลูกเรือน, เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว, เจ้าจะทำเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป โครงเรือนทั้งหมดของเจ้าเราหักเสียแล้ว, ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว จิตของเราถึงแล้วซึ่งสภาพที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป, มันได้ถึงแล้วซึ่งความสิ้นไปแห่งตัณหา, คือถึงนิพพาน

 

เรารู้เหตุรู้ปัจจัยในเรื่องทุกข์เรื่องเหตุเกิดทุกข์ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ อริยมรรคมีองค์ ๘ นั้นจะหยุดโลกธรรม ให้เรารู้เรื่องกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรมนะ การประพฤติการปฏิบัตินี้ถึงเป็นเรื่องปัจจุบัน อดีตก็มารวมที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตก็ไปจากปัจจุบัน

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้พิจารณาเรื่องปฏิจจสมุปบาท

 

ปฏิจจสมุปบาท แปลว่า อาศัยกันและกันเกิดขึ้นร่วมกัน หมายถึง ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นโดยปราศจากสิ่งอื่น ทุกสิ่งต่างอิงอาศัยกันและกันเกิดขึ้นหรือปรากฎลักษณะขึ้น เช่น ฝน ย่อมเกิดขึ้นหรือแสดงลักษณะ จากเหตุปัจจัยหลายอย่างรวมกัน ทั้งการระเหยของน้ำ การแปรสภาพเมฆ การกระทบความเย็น จนควบแน่นจนตกลงมาเป็นฝน เป็นต้น จะเห็นได้ว่าฝนไม่ได้เกิดขึ้นเองลอย ๆ ปฏิจจสมุปบาทเป็นชื่อพระธรรมหัวข้อหนึ่งในศาสนาพุทธ เรียกอีกอย่างว่า อิทัปปัจจยตา หรือ ปัจจยาการ เป็นหลักธรรมที่อธิบายถึงการเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น เช่น ทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย ๑๒ เรื่องเกิดขึ้นสืบ ๆ เนื่องกันมาตามลำดับดังนี้ คือ

 

 

การบรรยายพระธรรมเทศนาเรื่องปฏิจจสมุปบาท ดังแสดงไปแล้วข้างต้น เรียกว่า การบรรยายเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี ให้มองเห็นกระบวนการของวัฏฏสงสารในการเวียนว่ายตายเกิด ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายมีความจำเป็นที่จะต้องประพฤติปฏิบัติ มีความตั้งใจตั้งเจตนา เพราะเรื่องของการประพฤติการปฏิบัติมันเรื่องธรรมเรื่องปัจจุบันธรรม

 

อนุโลมเทศนา ได้แก่เราพิจารณาให้รู้เข้าใจ เราจะได้เข้าสู่กระบวนการในการประพฤติการปฏิบัติ พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์จึงเป็นหลักเหตุหลักผล เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราก้าวไปด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ เราต้องรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทรู้กระบวนการของปฏิจจสมุปบาท แสดงถึงเหตุแสดงถึงปัจจัยที่เป็นภาษาบาลีเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท

 

ซึ่งจะแสดงถึงกระบวนการเกิดทุกข์ หากแสดงเริ่มมาจากยอดปลายมากิ่งสาขาลงมาหาต้นมาถึงรากถึงโคน เพื่อเราจะได้รู้เข้าใจในกระบวนการของเหตุของปัจจัยที่กระบวนการของปฏิจจสมุปบาท อย่างเราจะละสักกายทิฏฐิ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ให้หลักการเพื่อละสักกายทิฏฐิด้วยการรู้กระบวนการของปฏิจจุสมุปบาทเพื่อเอาธรรมนำชีวิต เป็นกระบวนการของปฏิจจสมุปบาท เป็นคุณธรรมของผู้ดี ศีลสมาธิปัญญา กายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้ที่เป็นทางสายกลาง เป็นความสงบและปัญญานี้ ที่เป็นธรรมที่มีอุปการะมาก เราทุกคนก็ต้องมีความสงบเป็นพื้นฐาน มีปัญญาเป็นพื้นฐาน เพราะความสงบมันจะมาลงที่ความพอเพียงเพียงพอ มันจะพอดี ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป รู้เรื่องหลักการในกระบวนการของปฏิจจสมุปบาท ปริยัติกับปฏิบัติถึงไปพร้อม ๆ กัน

 

ให้เราทุกคนเข้าใจอย่างนี้นะ ถ้าเราไม่เข้าใจ เรามีปัญญาไม่มีการประพฤติการปฏิบัติมันดับทุกข์ไม่ได้นะ ความรู้กับการประพฤติการปฏิบัตินั้นถึงจะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นอนัตตาไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน เราต้องรู้กระบวนการของปฏิจจสมุปบาท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าใจในหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมนะ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ ถ้ามีความลังเลสงสัยก็ให้เอาธรรมตัดสิน ๘ ประการ

 

ลักษณะตัดสินธรรมวินัยที่เราเอามาพิจารณาเรื่องปฏิจจสมุปบาทที่เป็นธรรมตัดสิน ๘ ประการ

 

ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อ
      ๑. วิราคะ คือ ความคลายกำหนัดยินดี เราต้องรู้จักความกำหนัดยินดี มันเป็นความติดพัน การตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงใช้หญ้าคามาเป็นบัลลังก์ในการตรัสรู้ เราต้องรู้กระบวนการของปฏิจจสมุปบาท เราถึงจะได้ยกเลิกความกำหนัดยินดี ถ้าเรามีความกำหนัดยินดีเราก็ย่อมมีปฏิฆะ มีพยาบาท เราคิดดูดี  ๆ นะ กามและพยาบาทมันคือนิติบุคคลตัวตน มันยึดมั่นถือมั่น มันติดพันเพราะความยึดมั่นถือมั่นมันเป็นสัญชาตญาณ เป็นนิติบุคคลตัวตน ความติดพัน ไม่เป็นอิสระ เราต้องรู้เข้าใจเรื่องกระบวนการของปฏิจจสมุปบาทเราทั้งหลายจะได้คลายความกำหนัด ความยินดี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงไม่ให้เราเอาสัญชาตญาณนำชีวิตที่มันเป็นกระบวนการของปฏิจจสมุปบาทไม่เอาความยินดียินร้ายนำชีวิต เพราะความยินดียินร้ายนี้เป็นนิติบุคคลตัวตน เป็นวัฏฏสงสาร


       ๒. วิสังโยค คือ ความหมดเครื่องผูกรัด ความไม่ประกอบ มิใช่เพื่อผูกรัด หรือประกอบทุกข์ เราจะมาทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ไม่มีทุกข์ เราจะได้เอาตัวรอดในทางที่รอดปลอดภัยด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘


       ๓. อปจยะ คือ ความไม่พอกพูนไม่เพิ่มพูนกิเลส มิใช่เพื่อความพอกพูนกิเลสอวิชชาความหลง เราต้องรู้เข้าใจในเรื่องเหตุปัจจัยในเรื่องปฏิจจสมุปบาท


       ๔. อัปปิจฉตา คือ ความอยากอันน้อย ความมักน้อย มิใช่เพื่อความอยากอันใหญ่ ความมักใหญ่ เป็นผู้มักมากอยากใหญ่ เราต้องรู้เข้าใจ เพราะทุกอย่างนั้นเป็นธรรมชาติเป็นประภัสสร เช่น ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก นี้เป็นประภัสสรทุกอย่างเป็นธรรมชาติเป็นตัวของธรรมชาติหาใช่นิติบุคคลตัวตนไม่ เราทั้งหลายต้องรู้จักเรื่องปฏิจจสมุปบาท เราจะได้เอาความสงบและปัญญาที่เป็นพื้นฐานเป็นกรรมฐาน เพื่อเข้าถึงความพอดีความพอเพียงเพียงพอ เราต้องรู้เข้าใจเรื่องสิทธิเสรีภาพ เรื่องที่ไม่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ เราคิดดูดี ๆ นะ เราอยากให้มันมากมันก็ไม่มากอยากให้มันน้อยมันก็ไม่น้อย อยากให้มันแก่มันก็แก่อยากให้ไม่เจ็บมันก็เจ็บ อยากให้ไม่ตายมันก็ตาย เพราะธรรมชาติมันเป็นประภัสสร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้เรารู้ทุกข์ รู้มาจากปลายจากกิ่งจากลำต้นไปถึงโคนถึงราก รากนั้นคือความไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนี้แหละทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด อริยสัจสี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงพูดเรื่องทุกข์ก่อน ว่าทุกข์มันมาจากไหน ให้มาจากยอดกิ่งก้านสาขามาถึงโคนต้นไม้มาถึงรากใหญ่รากเล็กรากฝอยของต้นไม้ที่เป็นอาหารของต้นไม้


       ๕. สันตุฏฐี คือ ความสันโดษ มิใช่เพื่อความไม่สันโดษ ความสันโดษนี้จะเป็นความพอเพียงเพียงพอ จะเป็นพื้นฐาน มันจะเป็นกรรมเป็นกฎของกรรมด้วยความรู้เรื่องอริยสัจสี่ เราทั้งหลายต้องเข้าถึงความพอดีความพอเพียงเพียงพอ เพื่อเอาอริยมรรคมีองค์ ๘ มาใช้มาปฏิบัติเพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม
       ๖. ปวิเวก คือ ความสงัด มิใช่เพื่อความคลุกคลีอยู่ในหมู่ เราต้องรู้เรื่องความวิเวก ความสงัด ความไม่คลุกคลี เราจะเข้าถึงความวิเวกได้เราก็อาศัยเหตุปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ให้เราปฏิบัติให้สมบูรณ์ ทั้งกายวาจากิริยามารยาท สมบูรณ์ทั้งใจในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อจะเป็นมรรคเป็นอริยมรรต้องสมบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่อง เพราะว่าพระธรรมพระวินัยเป็นทั้งคำสั่ง เป็นทั้งคำสอน เป็นทั้งสมถะ เป็นทั้งวิปัสสนา ปัจจุบันนี้เราต้องตั้งใจตั้งเจตนา เอาความคารวธรรมนำชีวิต คารวธรรมก็ได้แก่

 

 คารวะ หรือ คารวตา ๖ ความเคารพ การถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะพึงใส่ใจและปฏิบัติด้วยความเอื้อเฟื้อด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา หรือโดยความตั้งมั่นหนักแน่นเอาจจริง ๆ จัง ๆ การมองเห็นด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ เห็นคุณค่า เห็นความสำคัญแล้วปฏิบัติต่อบุคคลอื่นหรือต่อวัตถุนั้น ๆ โดยถูกต้อง ด้วยความจริงใจ เป็นเหตุให้เกิดสติเกิดปัญญา เป็นโอกาสเป็นเวลาที่เราจะได้ละอัตตาตัวตน เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา

 

หนึ่ง สัตถุคารวตา ความเคารพในพระรัตนตรัย ในพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ  เพื่อยกเลิกสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน ถ้ามีตัวตนมีตนแล้วมันก็ตกอยู่ในสัญชาตญาณมันเป็นการเอาตัวตนครองธาตุครองขันธ์ครองอายตนะ เป็นการที่เราไม่ได้เอาความถูกต้อง ไม่ได้เอาพระรัตนตรัยนำชีวิต ด้วยการเอาตัวเอาตนนำชีวิต เอาอีโก้นำชีวิต ข้อนี้บางแห่งเขียนไว้ในหนังสือ ว่าเราทุกคนต้องเคารพคารวะต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั้นคือพระธรรมคือพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตร ในการดำเนินชีวิต เราทั้งหลายต้องเคารพในพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ เพราะพระธรรมพระวินัยเป็นพระรัตนตรัยเป็นพระพุทธพระธรรมพระอริยสงฆ์ พระอานนท์ได้ตรัสทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้วจะให้ตั้งใครแทนองค์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่นตรัสว่า อานนท์เอย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เอาพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ ให้เราพากันจับหลักจับประเด็นให้ได้ พระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ที่อยู่ในพระไตรปิฎก แบ่งเป็น พระวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระสูตร ๒๑,๐๐๐ พระอภิธรรม ๔๒,๐๐๐ รวมกันเป็น ๘๔,๐๐๐ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้เอาพระธรรมเอาพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทั้งหลายต้องมาเคารพคารวะในพระรัตนตรัยคือพระธรรมพระวินัยคือข้อวัตรข้อปฏิบัติเป็นธรรมที่จะทำให้เราเจริญไม่มีความเสื่อม

 
       สอง ธัมมคารวตา เคารพในพระธรรม ตั้งอยู่ในความไม่เพลิดเพลิน ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพราะการประพฤติการปฏิบัติเน้นที่ปัจจุบัน กงเกวียนกงกรรม ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ ปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติ เราอย่าได้ไปประมาท ประมาทเล็กน้อยก็ผิดพลาดเล็กน้อย ประมาทปานกลางก็ผิดพลาดปานกลาง ประมาทอย่างใหญ่ก็ผิดพลาดอย่างใหญ่ ให้รู้เข้าใจเรื่องความประมาท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสแก่พระภิกษุทั้งหลายว่า การประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ เป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติเธอทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด อย่าคิด่าเรามีปัญญา เราจะแก้ปัญหาได้ เมื่อเรามีปัญญาเราก็ต้องมีพระธรรมพระวินัย เพราะพระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ เมื่อเรามีปัญญาเราก็ต้องมีความสงบ เมื่อเรามีความสงบเราก็ต้องมีปัญญา เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ เราต้องเคารพคารวะในธรรมในสภาวธรรม เพราะทุกอย่างคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม ที่เรามีธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้าอายตนะหกมันเป็นผลของกรรมในการเวียนว่ายตายเกิดที่เราทุกคนไม่รู้ไม่เข้าใจ


       สาม สังฆคารวตา ความเคารพในสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้แก่ ผู้ที่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์เป็นผู้ปฏิบัติสมควรปฏิบัติเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป มีความสงบมีปัญญาไปพร้อม ๆ กันมีศีลมีสมาธิมีปัญญาไปพร้อม ๆ กันเป้นผู้ที่สมควรแก่พวกเราทั้งหลายต้องเคารพกราบไหว้บำรุงกับท่านผู้นั้น เพราะท่านผู้นั้นก็ได้แก่ความสงบและปัญญา ยกเลิกอัตตายกเลิกตัวตนไม่มีอีโก้อะไร มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา


สี่ สิกขาคารวตา หมายถึงเคารพในการเรียนการศึกษา มนุษย์เราต้องมีการเรียนการศึกษา การเรียนการศึกษาของมนุษย์มีอยู่ทั้งหมด ๑๘ อย่าง ๑๘ อย่างมีอะไรบ้าง ๑๘ อย่างก็ได้แก่

  1. ยุทธศาสตร์ วิชานักรบ
  2. รัฐศาสตร์ วิชาการปกครอง
  3. นิติศาสตร์ วิชากฎหมายและจารีตประเพณีต่างๆ
  4. วาณิชยศาสตร์ วิชาการค้า
  5. อักษรศาสตร์ วิชาหนังสือ
  6. นิรุกติศาสตร์ วิชารู้ภาษาของตนแตกฉานดี และรู้ภาษาของชนชาติที่ติดต่อกัน
  7. คณิตศาสตร์ วิชาคำนวณ
  8. โชติยศาสตร์ วิชาดูดวงดาวต่างๆ คือรู้จักว่าดวงดาวนั้นๆ ตั้งอยู่ทางทิศนั้นๆ และประจำเมืองนั้นๆ และรู้จักสีแสงของดวงดาวต่างๆ อันบอกลางดีและลางร้ายในกาลบางครั้ง
  9. ภูมิศาสตร์ วิชารู้พื้นที่ต่างๆ หรือรู้จักแผนที่ของประเทศต่างๆ
  10. โหราศาสตร์ วิชาโหร คือรู้พยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ ได้ และรู้ทายดวงชะตาราศีของคนได้ด้วย
  11. เวชศาสตร์ วิชาหมอยา
  12. สัตวศาสตร์ วิชารู้ลักษณะของสัตว์และเสียงสัตว์ว่าร้ายหรือดี
  13. เหตุศาสตร์ วิชารู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งผลว่าร้ายหรือดี
  14. โยคศาสตร์ ยันตรศึกษา คือรู้จักความเป็นช่างกล
  15. ศาสนศาสตร์ วิชารู้เรื่องศาสนา คือรู้จักประวัติความเป็นมาแห่งศาสนาทุกๆ ศาสนาที่มหาชนนิยม เพื่อปฏิบัติไม่ขัดแก่สังคมใดๆ และรู้คำสอนในศาสนานั้นๆ ด้วย
  16. มายาศาสตร์ วิชารู้กลอุบาย หรือรู้ตำรับพิชัยสงคราม
  17. คันธรรพศาสตร์ วิชาคนธรรพ์คือวิชาร้องรำ(ละคอน) ที่เรียกชื่อว่า "นาฏยศาสตร์" และวิชาดนตรีปี่พาทย์ ที่เรียกชื่อว่า "ดุริยางคศาสตร์"
  18. ฉันทศาสตร์ วิชาประพันธ์ คือแต่งหนังสือได้ ทั้งที่เป็นร้อยกรอง(บทกลอน) และร้อยแก้ว(ความเรียง)

 

เราทุกคนเกิดมา ต้องรู้ต้องเข้าใจ เราต้องมีทั้งตาเนื้อตาหนังตาปัญญาเพื่อความรู้ความเข้าใจ มนุษย์เราต่างจากสรรพสัตว์ทั้งหลายก็เพราะมาจากการเรียนการศึกษา การเรียนการศึกษานี้เป็นความรู้ความเข้าใจมันไม่ใช่ความจำ การที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจความหมาย เราไปเรียนหนังสือ ไปศึกษาค้นคว้า ไปฟังการบรรยายความหมายเพื่อความรู้ความเข้าใจ เพื่อจะเอาความรู้ความเข้าใจไปประพฤติปฏิบัติให้เกิดความสงบเกิดปัญญา ให้เกิดปัญญาเกิดความสงบ ไม่ใช่ไปเรียนไปศึกษาเพื่ออัตตาตัวตนให้รู้เข้าใจ เราทั้งหลายอย่าไปคิดว่าการเรียนการศึกษานั้นเพื่อตัวเพื่อตน ไม่ใช่นะ การเรียนการศึกษาเพื่อเสียสละเพื่อละตัวละตน พระนักปฏิบัติทั้งหลายอยู่ป่าอยู่เขา ที่มุ่งมรรคผลพระนิพพานอย่าไปว่าให้ในบ้านในเมืองในกรุง เค้าเรียนเค้าศึกษา ไปว่าให้เค้าเรียนศึกษาเพื่อตัวเพื่อตนเพื่อยศเพื่อตำแหน่ง การเรียนการศึกษาความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติให้เข้าใจอย่างนี้ เรามีความคิดเห็นผิดเข้าใจผิด เราไม่เรียนไม่ศึกษาเรายังไปว่าให้เค้าอีกเรายังไปตำหนิเค้าอีกนั้นไม่ได้ ผู้ที่เป็นพระธรรมกถึกก็ต้องรู้เข้าใจ ผู้ที่เป็นวินัยธรก็ต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ทะเลาะกัน จะได้ไม่ยกหูชูงวงในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะรู้การประพฤติการปฏิบัติ เพราะการประพฤติการปฏิบัตินั้นรู้เข้าใจอยู่ที่ไหนก็พากันปฏิบัติที่นั่น อยู่ที่ไหนเรามีธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้าอายตนะทั้งหกเราก็ปฏิบัติที่นั่น

 

ธรรมะคือความสงบคือปัญญา ธรรมะนั้นลดทิฏฐิมานะอัตตาตัวตนธรรมะจะมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา เราเป็นนักปฏิบัติอยู่ในป่าในเขา เป็นผู้เรียนผู้ศึกษาอยู่ในเมืองกรุงทั้งหลายอย่าไปทะเลาะกัน

 

เราทั้งหลายต้องมีความสงบมีความเคารพ เพราะตัวตนมันปรุงมันแต่งมันไม่สงบไม่เคารพมีแต่อัตตาตัวตน ผู้ที่อยู่ในเมืองกรุง อยู่ชนบทอยู่ป่าอยู่เขา เราทั้งหลายก็ต้องมีความสงบมีปัญญามีพระธรรมพระวินัยเป็นเครื่องอยู่ก้าวไปด้วยความสงบด้วยปัญญา ไม่ใช่ก้าวไปด้วยอัตตาตัวตนไม่ใช่ก้าวไปด้วยอีโก้ยกหูชูงวงให้รู้เข้าใจ


       ห้า อัปปมาทคารวตา ความเคารพในความไม่ประมาท ความประมาทคือความผิดพลาดแน่นอนนอนแน่ ให้เราเข้าใจ ถ้าใครมีความประมาทคนนั้นย่อมผิดพลาดแน่นอน พากันไปเผยแผ่ถ้าไปประมาทก็ต้องนอนแผ่ด้วยความประมาทผิดพลาดนะ ให้เข้าใจอย่างนี้ ให้เราละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป หวาดสะดุ้งเกรงกลัวต่อบาปอย่าไปคิดว่าตัวเองมีปัญญามากจะเอาตัวรอด เดี๋ยวจะเป็นการเก็บเล็กผสมน้อยของความประมาทจะเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตมันจะพังทลายเหมือนตึก สตง.ของเมืองไทย สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ก็เพราะเอาความประมาทนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิต เอาอีโก้นำชีวิต เราต้องเข้าใจในเรื่องของความประมาทนะ เข้าใจในเรื่องความไม่ประมาทนะ ความไม่ประมาทมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้มีเมตตาบอกมหาชนทั้งหลาย ในกาลเวลาที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานว่า ความประมาทนี้เป็นอันตรายที่ยิ่งใหญ่ใหญ่ยิ่ง

 

 ๗. วิริยารัมภะ คือ การประกอบความเพียร มิใช่เพื่อความเกียจคร้าน ความสงบและปัญญาเราต้องรู้เข้าใจ เมื่อเรามีความสงบเราต้องเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละเราก็ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา ศีลสมาธิปัญญานั้นถึงเป็นพื้นเป็นฐาน เป็นอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะพากันเกียจคร้านไม่ได้ เพราะความเกียจคร้านนั้นเป็นนิติบุคคลตัวตน เราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราต้องขอบใจความขี้เกียจขี้คร้านเพื่อให้เราได้ทำความเพียร ศีลสมาธิปัญญาถึงต้องไปพร้อมกัน ผู้มีปัญญามากต้องมีความสงบมาก ผู้มีความสงบมากต้องเสียสละ ถึงมีศีลมีสมาธิมีปัญญา


      ๘. สุภรตา คือ ความเลี้ยงง่าย มิใช่เพื่อความเลี้ยงยาก นิติบุคคลตัวตนมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไปนอกจากทุกข์ไม่มีเลย เป็นบุคคลที่ไม่มีความสงบไม่มีปัญญา ไม่รู้เรื่องพระไตรลักษณ์ ไม่รู้เรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา ธรรมะที่เป็นไปเพื่อเป็นความเลี้ยงยาก เป็นความไม่อิ่มไม่เต็มไม่พอไม่เพียงพอ เราต้องรู้เข้าใจ เราเอาความหลงนำชีวิตนั้นไม่ได้ เอาความอยากความต้องการนำชีวิตนั้นไม่ได้ ต้องเอาพระธรรมเอาพระวินัย เอาความสงบและปัญญา เอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญา


      ธรรมตัดสิน ๘ ประการ เมื่อให้เรามีความสงสัยให้เอาธรรม ๘ ประการมาเป็นหลักการ ให้เป็นอุดมการณ์อุดมธรรม ถึงจะเป็นพระธรรมพระวินัย เป็นสัตถุสาสน์ เป็นคำสั่งสอนขององค์พระศาสดาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายที่ท่านได้มีโอกาสได้มีเวลาอายุขัยของเรานี้เป็นของชั่วคราวนะ เราต้องเอาความดีที่ประกอบด้วยปัญญาเป็นคุณสมบัติของผู้ดี เราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งไม่มีคุณสมบัติของผู้ดีนะ เราระลึกถึงคำสอนปัจฉิมโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสโอวาทสำคัญครั้งสุดท้ายไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบัน ไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาทจะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความสงบและปัญญา ธรรมะนั้นถึงหยุดความปรุงแต่งได้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ

 

ถ้าเรารู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทมันจะดับลงได้เพียงผัสสะ ถ้าเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาทจะทำให้ไม่เกิดเวทนาทางใจ มันจะมีเพียงเวทนาทางกาย ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันจะเป็นทุกข์ทั้งใจทั้งกายเพราะโลกธรรมทำร้ายความถูกต้อง เพราะผู้ปฏิบัติธรรมตกกระแสพระนิพพานเค้าจะเข้าใจในเรื่องนี้ ให้มีแต่เวทนาทางกายเพราะว่ามันเป็นวิบากกรรม ถ้าอย่างนั้นเราจะไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพ

 

-----------------------------

 

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันจันทร์ที่ ๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

Visitors: 99,436