๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๙ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘  ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

เราอยู่ในโลกนี้ โลกที่เป็นวงกลม หมุนรอบตัวเอง หมุนรอบดวงอาทิตย์ เป็นกลางวัน ๑๒ ชั่วโมง เป็นกลางคืน ๑๒ ชั่วโมง

 

ทุก ๆ ประเทศต้องเอาทางสายกลางนำชีวิตระหว่างจิตใจและวัตถุ

 

โลกนี้มีอยู่หลายพระศาสนา พระศาสนาทุก ๆ ศาสนาหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน ก็เอาหลักการอย่างเดียวกัน ไม่ให้ใครบุคคลใดบุคคลหนึ่งทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย หรือว่าตามความรู้สึก ความรู้สึกที่เราชอบ ความรู้สึกที่เราไม่ชอบ ไม่ตามความรู้สึก ให้เอาหลักการทางสายกลาง ไม่เอาความชอบหรือความไม่ชอบ

 

อุดมการณ์อุดมธรรมที่มีความตั้งมั่นให้เป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ ศาสนาทุกศาสนาถึงปฏิบัติไปในทางเดียวกัน เป็นมรรคเป็นอริยมรรค ได้แก่ อริยมรรคมีองค์แปด เกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัยเกิดจากมรรคเกิดจากอริยมรรคที่เป็นทางสายกลาง อยู่ตรงกลาง ไม่ซ้ายไม่ขวา อยู่ตรงกลาง ด้วยเหตุด้วยปัจจัยนี้

 

 สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นั้นมีอยู่ในอริยมรรคมีองค์แปด อริยมรรคมีองค์แปดเป็นทางสายกลางในการประพฤติการปฏิบัติของหมู่มวลมนุษย์ เดินไปตรงกลาง ไม่ไปในทางซ้ายจัดขวาจัด เดินไปตรงกลาง ยกเลิกทั้งซ้ายจัดขวาจัด

 

มนุษย์เราทั้งหลายต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง เพื่อปฏิบัติให้ถูกต้องเพื่อเป็นทางสายกลาง

 

มนุษย์เราต้องรู้เรื่องของกรรม เรื่องกฎแห่งกรรมและผลของกรรม ศาสนานี้มีชื่อหลายศาสนาก็ไม่เป็นไร ให้เราเข้าใจ ให้เข้าใจเรื่องสมมติ แล้วเข้าใจในเรื่องวิมุตติ สมมติในโลกนี้มีหลายร้อยหลายพันหลายหมื่นหลายแสนหลายล้านสมมุติ ถ้าไม่มีสมมุติเราก็ไม่ได้แยกผิดถูกดีชั่ว ไม่ดีไม่ชั่ว

 

ภาษาในโลกนี้มีหลายภาษาร่วม ๆ หมื่นภาษา พวกสัตว์ทั้งหลายเขาก็มีภาษาของเขา เราต้องเอาสมมุติมาใช้เป็นหลักการ เพื่อเอามาใช้ทำงานสื่อสารกับคนอื่นสัตว์อื่น แต่ละประเทศสมมุติก็มีชื่อไม่เหมือนกัน แต่ละประเทศส่วนใหญ่ก็ใช้ภาษาไม่เหมือนกัน แต่ละเผ่าพันธุ์ก็ใช้ภาษาไม่เหมือนกัน เช่น เราอยู่ประเทศไทยก็ต้องใช้ภาษาไทย เราอยู่ประเทศลาวก็ใช้ภาษาลาว อยู่ประเทศเขมรกัมพูชาก็ใช้ภาษาเขมรภาษากัมพูชา เราอยู่ประเทศเกาหลีก็ใช้ภาษาเกาหลี เราอยู่ประเทศญี่ปุ่นก็ใช้ภาษาญี่ปุ่น เราอยู่ประเทศฝรั่งเศสก็ใช้ภาษาฝรั่งเศส เราอยู่ประเทศเยอรมันเราก็ใช้ภาษาเยอรมัน เราอยู่ประเทศอังกฤษก็ใช้ภาษาอังกฤษ เราอยู่ประเทศฝรั่งเศสก็ใช้ภาษาฝรั่งเศส เราอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกาก็ต้องใช้ภาษาสหรัฐอเมริกา ทุก ๆ ประเทศใช้ภาษาของประเทศของตัวเอง

 

ประเทศหนึ่ง ๆ ก็มีอยู่หลายเผ่าพันธุ์ แต่ละเผ่าพันธุ์ก็ใช้ภาษาของตัวเอง ทุก ๆ ประเทศต้องใช้ภาษากลางของประเทศ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในเรื่องสมมุติ เราจะได้ปฏิบัติต่อสมมุติให้ถูกต้องเพื่อให้เกิดความสงบเกิดปัญญา ผู้มีปัญญาก็ต้องให้มีความสงบ ผู้มีความสงบก็ต้องเสียสละเพื่อเป็นทางสายกลาง เป็นความพอดี เพราะอดีตก็มาอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตจะไปข้างหน้ามันก็อยู่ที่ปัจจุบัน สมมุตินี้เป็นสิ่งที่ดีมีคุณมีประโยชน์ จะทำให้เราเกิดความสงบเกิดปัญญา

 

มนุษย์เราทั้งหลายถึงไม่เอาชอบใจไม่ชอบใจ เราต้องหยุดชอบใจไม่ชอบใจด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะนี้คือความถูกต้อง นี้คือทางสายกลาง เราต้องรู้เข้าใจ สิ่งเหล่านี้มันเป็นเพียงเหตุเพียงปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี

 

มนุษย์เราถึงมีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรมอย่างนี้เพื่อเป็นทางสายกลาง เราต้องทำหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ อย่าให้ขาดตกบกพร่อง มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เมื่อมันผ่านไปแล้วเราก็ปล่อยก็วาง เพราะสิ่งที่ผ่านมาแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้

 

เราต้องรู้เข้าใจ อย่าให้อดีตครอบงำสติปัญญาเรา อย่าให้อนาคตที่ยังมาไม่ถึงครอบงำสติปัญญาเรา เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความสุขความดับทุกข์ในปัจจุบันในชาติปัจจุบัน ปัจจุบันนี้เป็นพื้นเป็นฐานของชาติหน้า เราจะได้รับผลประโยชน์ทั้งชาตินี้และชาติหน้า การประพฤติการปฏิบัติถึงเน้นที่ปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ ที่จะเป็นสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็ได้แก่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อรหัตผล นี้เรียกว่า สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นี้คือเหตุคือปัจจัย เหตุปัจจัยนี้คือมรรค เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไมปันถึงมี

 

มีคำถามว่าความเป็นพระมีทุก ๆ พระศาสนาไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตอบว่า ที่ไหนมีอริยมรรคที่นั่นก็จะมีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ อย่างเดียวกัน เพราะธรรมะนั้นเป็นสากล อย่างความแก่ก็เป็นความสากล ความเจ็บก็เป็นสากล ความตายความพลัดพรากก็เป็นสากล เป็นสาธารณะเหมือนกันหมด มีสามัญลักษณะ ลักษณะเสมอกันที่เป็นสากล ความเป็นพระเป็นสมณะถึงมีอยู่ทุก ๆ พระศาสนา เราทั้งหลายต้องมารู้พระศาสนา พระศาสนานี้ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หากเป็นแต่เพียงเหตุเพียงปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี

 

เราทั้งหลายต้องเข้าใจธรรม เข้าใจสภาวธรรม สภาวะของธรรม เราทั้งหลายจะไม่ได้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ปัญญาสัมมาทิฏฐิกับการประพฤติการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความสงบที่เป็นสมถะ สัมมาทิฏฐิที่เป็นวิปัสสนา ที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ จะเป็นความสงบจะเป็นปัญญา จะหยุดความปรุงแต่ง เพราะธรรมะที่ปัญญาสัมมาทิฏฐิ ความรู้กับการปฏิบัติจะหยุดความปรุงแต่ง ความปรุงแต่งทั้งหลายนี้เป็นวัฏฏสงสาร เป็น cycle of life ที่หมุนรอบตัวเอง หมุนรอบสิ่งภายนอก เช่น ดวงอาทิตย์ก็หมุนรอบตัวเองหมุนรอบโลกอย่างนี้เป็นต้น ธรรมะจึงเป็นหน้าที่ หน้าที่ที่เป็นความรู้ความเข้าใจคู่กับการประพฤติการปฏิบัติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นความสงบและปัญญา เป็นปฏิปทาที่เราจะได้ประพฤติปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง ความรู้ความเข้าใจนี้เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ

 

ให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายอย่าไปตามผัสสะ ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้หยุดลงได้เพียงผัสสะ อย่าให้เกิดความชอบใจไม่ชอบใจ ความรู้ความเข้าใจนี้จะดับลงได้เพียงผัสสะ ให้การประพฤติการปฏิบัติของเราติดต่อต่อเนื่อง ธรรมะนี้เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน เป็นสิ่งที่หยุดโลก หยุดวัฏฏสงสาร เป็นสิ่งที่ทวนกระแส ไม่ไปตามกระแส ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมารู้มาเข้าใจในธรรมในสภาวธรรม ท่านถึงมาตรัสรู้

 

คำว่าตรัสรู้นี้ก็ตัดสัญชาตญาณที่เรามีความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเราว่าของเรา ว่าธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะภายใน ๖ ภายนอกก็ ๖ เป็น ๑๒ ท่านรู้ท่านมาตรัสรู้เพื่อให้ดับลงเพียงผัสสะ ไม่เอาสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน ท่านมารู้ขบวนการของการเวียนว่ายตายเกิด รู้แล้วต้องปฏิบัติ นี้เรียกว่าตรัสรู้ มีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรมในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะทุกอย่างคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้อย่างนี้ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเดินทางสายกลาวระหว่างจิตใจกับทางวัตถุ ถ้าเราเอาแต่เรื่องจิตเรื่องใจอย่างนี้ก็ไม่ได้ มันสุดโต่งเกินไป ไม่ใช่เป็นทางสายกลาง ถ้าเราจะเอาแต่ทางวัตถุเอาแต่วิทยาศาสตร์ก็มันไม่ได้ มันสุดโต่งเกินไป ไม่ใช่ทางสายกลาง การปฏิบัติธรรมถึงไม่ไปตามกระแส เราต้องทวนกระแสเพื่อให้กรรม ให้กฎของกรรมดับลงได้เพียงผัสสะก็เพียงพอ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงรู้เข้าใจทั้งสิ่งภายนอกภายใน ถึงได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความเต็ม เต็ม เต็ม เต็ม

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาจุติในพระครรภ์ของมารดาก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ประสูติก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ แสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตรครั้งแรกเพื่อให้ประชาชนมหาชนรู้เรื่องเหตุเรื่องปัจจัยในการเวียนว่ายตายเกิด เรื่องหยุดเวียนว่ายตายเกิดก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ บอกกล่าวพุทธบริษัททั้งหลายอีก ๓ เดือนข้างหน้า พระตถาคตเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ คำว่าเต็มนี้ก็หมายถึงความสงบควบคู่กับปัญญา เข้าถึงความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เป็นมรรค เป็นอริยมรรค เป็นทางสายกลางระห่างจิตใจกับวัตถุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง

 

นางสุชาดาอุบาสิกาคนแรกในพระพุทธศาสนา

นางสุชาดา สตรีผู้ถวายข้าวมธุปายาส อาหารมื้อแรกแด่พระพุทธเจ้า โดยที่นางเองก็ไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้คือพระพุทธเจ้า นางเป็นอุบาสิกาที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องให้เป็นเอตทัคคะ ผู้เป็นเลิศในการเข้าถึงสรณะเป็นคนแรกก่อนอุบาสิกาคนอื่น

 

นางสุชาดา ภรรยาของคฤหบดีในเมืองราชคฤห์ ปรารถนาอยากได้บุตรชาย เมื่อนางไปอาบน้ำในแม่น้ำเนรัญชราได้เดินผ่านต้นศรีมหาโพธิพฤกษ์ นางจึงเข้าไปกราบที่โคนต้นไม้ แล้วพูดว่า “ข้าแด่เทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์มีมหิทธิฤทธิ์ ผู้สิงสถิตอยู่ ณ ต้นไม้นี้ ดิฉันขอความกรุณาจากท่านช่วยดลบันดาลให้มีบุตรสักคนเถิด เพื่อจะให้เขาสืบสกุลต่อไป ข้าแต่เทวะหากท่านให้ดิฉันสมปรารถนาแล้ว ดิฉันจะนำเอาข้าวมธุปายาสมาแก้บนสังเวยท่านเป็นสัจกิริยา” เมื่อนางอธิษฐานเสร็จ กลับไปอยู่กับสามีไม่นานก็ตั้งครรภ์

 

ขณะนั้นพระพุทธเจ้ามีดำริว่าจะบำเพ็ญเพื่อการตรัสรู้ ณ ต้นโพธิพฤกษ์และประทับนั่งโคนต้นไม้หันพระพักตร์สู่ทิศตะวันออก นางสุชาดามาถึงได้พบพระพุทธเจ้าครั้งแรกเข้าใจว่าเป็นรุกขเทพเจ้าจำแลงเพศ เกิดความเลื่อมใสจึงน้อมถาดข้าวมธุปายาสเข้าไปถวายแก้สัจกิริยาท่านได้บนบานไว้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสขอบคุณต่อนาง และบอกแก่นางว่าพระองค์ท่านมิได้เป็นเทพยดา แต่เป็นมนุษย์เป็นกษัตริย์แห่งเมืองกบิลพัสดุ์ออกผนวช เพื่อแสวงหาสัจธรรม

 

หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าทรงนำเอาข้าวจากถาดมาทรงทำเป็นก้อนๆ นับจำนวนได้ ๔๙ ก้อน ให้เป็นเครื่องรำลึกถึงวันที่ทรงบำเพ็ญทุกกิริยา เสวยข้าวมธุปายาส ๔๙ ก้อนนั้นหมดแล้ว ทรงนำถาดไปทรงอธิฐานในแม่น้ำเนรัญชรา และทรงอธิฐานว่าถ้าหากพระองค์จะได้ตรัสรู้ก็ขอให้ถาดทองนั้นลอยทวนน้ำขึ้นไป

 

เมื่อพระองค์ทรงวางถาดลงในน้ำ ก็ปรากฏว่า ถาดทองลอยทวนน้ำขึ้นเหนือน้ำดังคำอธิฐาน ซึ่งพระองค์ทรงถือว่าภัตตาหารมื้อนั้นได้มีส่วนทำให้พระองค์ตรัสรู้อริยสัจ ๔ บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

 

เมื่อพระผู้มีพระภาคแรกตรัสรู้ ทรงเสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ตลอด ๗ วัน  และทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาทเป็นอนุโลม และปฏิโลม ตลอดปฐมยาม มัชฌิมยาม และปัจฉิมยามแห่งราตรี

 

วิมุตติสุข : สุขเกิดแต่ความหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะและปวงทุกข์; พระพุทธเจ้าภายหลังตรัสรู้แล้วใหม่ๆ ได้เสวยวิมุตติสุข ๗ สัปดาห์ตามลำดับคือ

สัปดาห์ที่ ๑ ประทับภายใต้ร่มไม้มหาโพธิ์ ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท

 

สัปดาห์ที่ ๒ เสด็จไปประทับยืนด้านอีสาน ทรงจ้องดูต้นมหาโพธิ์ไม่กระพริบพระเนตร ที่นั้นเรียกว่า อนิมิสเจดีย์

 

สัปดาห์ที่ ๓ ทรงนิรมิตที่จงกรมขึ้นระหว่างกลางแห่งพระมหาโพธิ์และอนิมิสเจดีย์ เสด็จจงกรมตลอด ๗ วัน ที่นั้นเรียก รัตนจงกรมเจดีย์

 

สัปดาห์ที่ ๔ ประทับนั่งขัดบัลลังก์พิจารณาพระอภิธรรมปิฎก ณ เรือนแก้วที่เทวดานิรมิตในทิศพายัพแห่งต้นมหาโพธิ์ ที่นั้นเรียก รัตนฆรเจดีย์

 

สัปดาห์ที่ ๕ ประทับใต้ร่มไม้ไทร ชื่ออชปาลนิโครธ ทรงตอบปัญหาของพราหมณ์หุหุกชาติ แสดงสมณะและพราหมณ์ที่แท้ พร้อมทั้งธรรมที่ทำให้เป็นสมณะและเป็นพราหมณ์ พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่าธิดามาร ๓ คนได้มาประโลมพระองค์ ณ ที่นี้

 

สัปดาห์ที่ ๖ ประทับใต้ต้นไม้จิก ชื่อมุจจลินท์ มีฝนตก มุจจลินทนาคราชมาวงขนดแผ่พังพานปกป้องพระองค์ ทรงเปล่งอุทานแสดงความสุขที่แท้ อันเกิดจากการไม่เบียดเบียนกัน เป็นต้น

 

 

สัปดาห์ที่ ๗ ประทับใต้ต้นไม้เกดชื่อ ราชายตนะ พาณิช ๒ คน คือ ตปุสสะและภัลลิกะ เข้ามาถวายสัตตุผง สัตตุก้อน และได้แสดงตนเป็นปฐมอุบาสกถึง ๒ สรณะ เมื่อสิ้นสัปดาห์ที่เจ็ดที่นี้แล้ว เสด็จกลับไปประทับใต้ต้นอชปาลนิโครธอีก ทรงดำริถึงความลึกซึ้งแห่งธรรมที่ตรัสรู้ คือปฏิจจสมุปบาทและนิพพาน แล้วน้อมพระทัยที่จะไม่แสดงธรรม

 

มีพระปริวิตกแห่งจิตว่าธรรมที่ได้บรรลุแล้ว เป็นคุณอันลึก เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก ทรงเห็นว่ายังไม่ควรจะประกาศธรรม พระทัยก็น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อทรงแสดงธรรม

 

ท้าวสหัมบดีพรหม ได้มาทูลขอให้พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม พระผู้มีพระภาคทรงอาศัยความกรุณาในหมู่สัตว์  จึงทรงตรวจดูด้วยพุทธจักษุ ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยและมาก ทั้งที่มีอินทรีย์แก่กล้าและอ่อน ทั้งที่มีอาการดีและทราม ทั้งที่จะสอนให้รู้ได้ง่ายและยาก ทั้งที่มีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย เปรียบเหมือนดอกบัว ที่เกิด เจริญ งอกงามแล้วในน้ำ บางเหล่ายังจมในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้ บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่าตั้งอยู่พ้นน้ำ อันน้ำไม่ติดแล้ว ดังนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงประทานโอกาสเพื่อจะแสดงธรรม

 

 หลังจากพระพุทธเจ้าทรงประทับเสวยวิมุติสุขที่ต้นมุจลินท์เป็นเวลา 7 วันแล้ว ทรงออกจากสมาธิและเสด็จดำเนินไปยัง ณ ใต้ต้นเกดหรือต้นราชายตนะ ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงประทับเสวยวิมุติสุขที่ต้นราชายตนะ ๗ วัน จากนั้นหลังจากพระพุทธองค์เสวยวิมุติสุขตามที่ต่าง ๆ ตลอด ๗ สัปดาห์ เพราะการเสวยวิมุติสุขนั้นจึงมิต้องเสวยพระกระยาหารเลย ท้าวสักกะทรงเห็นว่าพระพุทธองค์ทรงอดพระกระยาหารมาเป็น ๔๗ วันแล้ว จึงนำผลสมออันเป็นโอสถทิพย์จากเทวโลกลงมาถวาย พระพุทธองค์ก็ได้เสวยผลสมอพระโอสถ พอเสวยเสร็จ ท้าวสักกะได้ถวายน้ำบ้วนพระโอษฐ์ ครั้นบ้วนพระโอษฐ์แล้วประทับนั่งที่โคนต้นราชายตนะ

 

ในขณะนั้นได้มีขบวนรถเกวียนพ่อค้าประมาณ ๕๐๐ เล่มได้เดินทางผ่านมาใกล้ ๆ ต้นราชายตนะที่พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ ผู้นำขบวนเกวียนพ่อค้ามีสองคน คือ ตปุสสะและภัลลิกะ ได้เดินทางจากอุกกลชนบท มายังมัชฌิมประเทศเพื่อค้าขาย มีเทวดาตนหนึ่งผู้ที่เคยเป็นมารดาของพ่อค้าสองพี่น้องมาแต่อดีตชาติ ได้เห็นบุตรทั้งสองได้อยู่สังสารวัฏมาช้านานจึงปรารถนาจะสงเคราะห์พวกเขา จึงได้อธิษฐานให้ขบวนรถเล่มเกวียนให้หยุดเคลื่อนที่ไม่ให้ไปไหน รถเล่มเกวียนจึงได้หยุดตามคำอธิษฐาน คนขับเล่มเกวียนก็ได้ตีวัวเพื่อให้ฉุดเล่มเกวียนให้เคลื่อนที่แต่ไม่เป็นผล ตปุสสะและภัลลิกะจึงพากันแปลกใจว่าทำไมเล่มเกวียนไม่ยอมเคลื่อนที่ไม่ไปไหนเหมือนถูกตรึงอยู่กับพื้น และแล้วเทวดาก็ได้มาปรากฏต่อหน้าพ่อค้าสองพี่น้องและบอกว่า บัดนี้ได้มีพระมหาบุรุษได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว และประทับที่ต้นราชายตนะใกล้ ๆ ถนนที่ขบวนเล่มเกวียนอยู่ และแนะนำพ่อค้าสองพี่น้องให้ไปเข้าเฝ้าเคารพและนำข้าวสัตตุก้อนและข้าวสัตตุผงที่อยู่ในเสบียงมาถวายแก่พระพุทธองค์ แล้วจักเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่ทั้งสองตลอดไป

 

ตปุสสะและภัลลิกะก็ได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ที่ต้นราชายตนะ และทูลถวายสัตตุก้อนและข้าวสัตตุผงตามคำบอกของเทวดา พระพุทธองค์ก็ทรงพระปริวิตกว่า บาตรที่ทรงใช้ซึ่งได้มาเมื่อตอนออกผนวชได้อันตรธานหายไปหลังตรัสรู้ และพระองค์ก็ทรงคิดว่า เมื่อไม่มีบาตร พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่เคยรับด้วยพระหัตถ์ แล้วจะรับด้วยอะไรดี ครั้งนั้นท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ได้ทราบว่าพระพุทธองค์กำลังทรงพระปริวิตกเรื่องบาตร จึงได้นำบาตรศิลาที่สีคล้ายถั่วเขียวทั้งสี่ใบลงมาถวาย พระพุทธองค์ทรงปรารภว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ใช้บาตรหลายใบ จึงอธิษฐานให้บาตรทั้ง ๔ รวมกันเป็นใบเดียว และรับภัตตาหารนั้น เมื่อเสวยเสร็จแล้วทรงแสดงธรรมแก่เขาทั้ง ๒ จนเกิดความเลื่อมใสศรัทธาประกาศตนเป็นอุบาสกยึดเอาพระพุทธและพระธรรมเป็นที่พึ่ง นับเป็นปฐมอุบาสกผู้ถึงสรณะ ๒ ที่เรียกว่า เทฺววาจิก แล้วสองพี่น้องได้ทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระพุทธองค์เพื่อนำไปบูชา พระพุทธองค์ทรงเอาพระหัตถ์ลูบพระเกศา พระเกศาก็ได้ตกลงมา ๘ เส้น แล้วประทานให้ ตปุสสะและภัลลิกะได้นำพระเกศาทั้ง ๘ เส้นกลับไปยังอุกกลชนบท แล้วบรรจุไว้ในสถูปเจดีย์ที่อสิตัญชนนคร ทำพิธีฉลองสมโภชเป็นหลายวันหลายคืน มีตำนานเล่าขานว่าในวันอุโบสถ สถูปเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาทั้ง ๘ เส้นได้เปล่งรัศมีสีนิล

พระองค์ได้เสด็จพระดำเนินไปที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันที่พำนักอาศัยของเหล่าปัญจวัคคีย์ และทรงแสดงธรรมะเป็นครั้งแรกนับแต่วันที่พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เรียกว่า ปฐมเทศนา หลักธรรมที่พระองค์ทรงแสดงในครั้งแรกนี้ชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตนสูตร
เมื่อจบการแสดงปฐมเทศนา โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม กล่าวคือ เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมมีการดับสลายไปเป็นธรรมดา” และได้ทูลขอบวช พระพุทธเจ้าทรงประทานการบวชให้ด้วยการอุปสมบทที่เรียกว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่านอัญญาโกณฑัญญะจึงเป็นพระสาวกและเป็นพระสงฆ์รูปแรกในพระพุทธศาสนา

 

ต่อมา พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมอื่น ๆ เพื่อโปรดพระปัญจวัคคีย์ที่เหลืออีก ๔ องค์ จนบรรลุเป็นพระโสดาบันทั้งหมด หลังจากพระปัญจวัคคีย์บรรลุเป็นพระโสดาบันหมดแล้ว พระองค์ทรงแสดงธรรมอนัตตลักขณสูตร ซึ่งทำให้พระปัญจวัคคีย์บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น

 

ต่อจากนั้น พระองค์ได้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดพระยสะและพวกอีก ๕๔ ท่าน จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด พระยสะนั้นเป็นผู้ที่พัฒนาทางวิทยาศาสตร์ พัฒนาวัตถุ การพัฒนาตั้งแต่วัตถุวิทยาศาสตร์มันไปไม่ได้เพราะเป็นซ้ายจัดขวาจัด ไม่ใช่ทางสายกลาง ด้วยเหตุผลนี้การประพฤติการปฏิบัติของเราต้องทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ เพราะคนที่ร่ำรวยมหาศาล ถ้าเป็นนิติบุคคลตัวตนมันก็ดับทุกข์ไม่ได้ แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะความไม่อิ่มไม่เต็มไม่พอไม่เพียงพอนี้มันเป็นนิติบุคคลตัวตน มันไม่ใช่ทางสายกลาง ไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา มันไปทางซ้ายไปทางขวาไม่ใช่ไปตรงเกิด มีแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไป เปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ เปรียบเสมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อเพลิง มันมีความขาดตกบกพร่องอยู่เป็นนิจ เพราะมนุษย์เราต้องรู้ทางสายกลาง เพื่อให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ

 

ในครั้งนั้นจึงมีพระอรหันต์รวมทั้งพระองค์ด้วยทั้งสิ้น ๖๑ พระองค์ พระพุทธเจ้าจึงพระดำริให้พระสาวกออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา จนกระทั่งย่างเข้าพรรษาที่ ๔๕ ในการตรัสรู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเผยแผ่พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอายุขัย ๘๐ พรรษา มาร พญามาร ได้อาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน อาราธนาอยู่ ๓ ครั้ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า บุคคลที่เจริญอิทธิบาททั้ง ๔ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติจะมีอายุขัยได้มากยิ่งกว่าร้อยปีนั้นก็เป็นไปได้

 

พระอานนท์ไม่รู้ไม่เข้าใจที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตรัสให้พระอานนท์เพื่ออาราธนาให้เผยแผ่พระศาสนาอยู่ไปนาน ๆ ท่านตรัสกับพระอานนท์ให้อาราธนาให้ท่านอยู่นาน ๆ ถึง ๑๖ ครั้ง พระอานนท์มีปัญญาน้อยไม่รู้ไม่เข้าใจในธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสบอกให้พระอานนท์อาราธนาให้อยู่นาน ๆ ในการเผยแผ่ธรรมะ เมื่อพญามารอาราธนาถึง ๓ ครั้งแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงรับคำอาราธนาของพญามาร เรามาคิดดูดี ๆ ด้วยปัญญา เราเอาสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตนไม่ได้

 

เราต้องเอาทางสายกลาง เพื่อให้หยุดกรรม หยุดกฎแห่งกรรม หยุดผลของกรรม ธรรมะถึงเป็นทางสายกลางที่เป็นสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ด้วยความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายถึงจะได้พากันเป็นสมณะ พากันเป็นพระธรรมพระวินัย เข้าถึงนิพพานในปัจจุบัน เราทั้งหลายต้องรู้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ให้มนุษย์เราทั้งหลายพากันตั้งอยู่ในปัญญาสัมมาทิฏฐิ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เราระลึกถึงปัจฉิมโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่มหาปรินิพพาน

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

เราทั้งหลายน่ะต้องจับหลักจับประเด็นให้ได้ว่า เราทั้งหลายต้องเข้าสู่ทางสายกลาง ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติเพื่อเอาความรู้ความเข้าใจ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เราต้องรู้เข้าใจในหลักการอุดมการณ์อย่างนี้ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา เราทุกคนจะพากันเป็นพระได้ ตัวตนนี้มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มี ตัวตนนั้นเป็นอวิชชาเป็นความหลงไม่ใช่ประภัสสร เราต้องรู้เข้าใจธรรมชาติที่บริสุทธิเป็นประภัสสร สิ่งที่สัญจรไปมาของธาตุขันธ์อายตนะนี้เป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมา เพื่อเราจะได้คืนความถูกต้องด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา

 

เราทั้งหลายมาระลึกถึงธรรมโอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

 

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน

 

ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาทจะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความสงบและปัญญา ธรรมะนั้นถึงหยุดความปรุงแต่งได้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ

 

ถ้าเราไม่รู้เข้าใจชีวิตในการเกิดมาเป็นมนุษย์ก็ย่อมเสียหาย ก็ย่อมพังทลายเช่นเดียวอย่างเดียวกันกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย เราต้องรู้ว่าเราเกิดมาเพื่อมาสร้างความดีเพื่อมาสร้างบารมีไม่ใช่มาสร้างความหลง เราทั้งหลายจะพากันเป็นมนุษย์จะไม่ได้เป็นแต่แต่เพียงคน เป็นมนุษย์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นเทวดาผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นพระพรหมผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นพระอริยเจ้าผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราคิดดูดี ๆ นะ เพราะชีวิตนี้น้อยนักเป็นของชั่วครู่ชั่วคราว เราจะได้เป็นข้าราชการ เกิดมาเพื่อเป็นผู้ให้ผู้เสียสละ ข้าราชการเกิดมาเป็นผู้ให้ผู้เสียสละ เราจะได้เป็นนักการเมืองผู้ที่เป็นผู้ให้ผู้ที่เสียสละ เราจะได้เป็นพระ ผู้ที่เป็นผู้ให้ผู้เสียสละ เราจะได้เข้าถึงชาติศาสน์กษัตริย์ ที่รวมกันเป็นหนึ่ง ความมาสงบระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยหลักการอุดมการณ์เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน ตั้งแต่ปัจจุบันนี้ ปัจจุบันเรามีศีลเป็นพื้นฐานมีสมาธิเป็นพื้นฐานมีปัญญาเป็นพื้นฐาน นี้แหละคือเหตุปัจจัยคือทางสายกลาง

 

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายที่ท่านได้รับโอกาสพิเศษ ทุกท่านต้องประพฤติปฏิบัติเอาเอง ทำเหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็ประพฤติปฏิบัติของท่านเอง พระอรหันต์ผู้ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ประพฤติปฏิบัติของท่านเอง ปิติสุขเอกัคคตานี้เป็นการปฏิบัติดำเนินสู่ทางสายกลาง นี้คือเหตุคือปัจจัย นี้คือความดีบารมีเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุด เป็นการทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ในชาตินี้และชาติต่อไป ให้เรารู้เข้าใจ เราจะเอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ที่เป็นความสงบและปัญญา เป็นธรรมเป็นสภาวธรรม

 

-----------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอังคารที่ ๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

Visitors: 99,439