๑๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ 

 

การประพฤติการปฏิบัติของเรา เพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ของผู้อื่น ปัจจุบันนำสู่อนาคต ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญของกายวาจากิริยามารยาทรวมลงที่ใจ ใช้ได้ในปัจจุบัน ใช้ได้ในอนาคต อดีตที่ผ่านมาเป็นกาลเวลาที่เกษียณไป เอากลับคืนมาไม่ได้

 

การประพฤติการปฏิบัติให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจ เพราะปัจจุบันเป็นความจริง ความดับทุกข์ต้องอยู่ที่ปัจจุบัน เราจะได้เอาตัวรอดในทางที่รอด ปัจจุบันเราต้องเอาทั้งความฉลาด เอาทั้งความดีไปพร้อม ๆ กัน ความฉลาดกับความดีต้องไปพร้อม ๆ กันถึงเป็นความสงบเป็นปัญญา แต่ละคนพากันเน้นที่ตัวเองปฏิบัติที่ตัวเอง เพื่อเป็นความดีและปัญญา เป็นปัญญาและความดี เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีปัญญาก็ต้องมีความพอดี มีความพอเพียงเพียงพอ มีความสงบก็ต้องมีความพอเพียงเพียงพอ ต้องเสียสละ

 

เราต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ให้เราพากันรู้เข้าใจ เพราะทุกอย่างนั้นมันคือกรรมคือกฎแห่งกรรม กรรมนั้นถึงเป็นเรื่องปัจจุบันนะ เราถึงต้องเป็นคนที่ฉลาดมาก ๆ เป็นคนดีมาก ๆ

 

เราทั้งหลายนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราพากันประมาท เพราะความประมาทคือความผิดพลาดคือความเสียหาย มันจะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง.ของเมืองไทย สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน แผ่นดินไหวอยู่ประเทศพม่า เมืองมัณฑะเลย์ อยู่ห่างไกลจากตึก สตง. กรุงเทพมหานครตั้งพันกว่ากิโล เพราะความประมาทตึก สตง.ถึงได้พังทลาย ตึกทั้งหลายอยู่ในทั่วฟ้าเมืองไทยทั่วปริมณฑลและต่างจังหวัด มีหลายสิบตึก ตึกไหนก็ไม่พัง มันไปพังตึกเดียวตั้งแต่ตึก สตง. ความประมาทนั้นก็ย่อมพังทลายอย่างเดียวกันเช่นเดียวกับตึก สตง.

 

ปัจจุบันเราต้องรู้เข้าใจ อย่าไปตั้งอยู่ในความประมาท ความเพลิดเพลิน ต้องรู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติของเรา เราอย่าไปประมาท มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ การปฏิบัติถึงเป็นสิ่งที่ทวนกระแส หยุดกระแส ไม่ไปตามกระแส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้กรรมนั้นหยุดลงเพียงผัสสะ อย่าให้ความดีใจเสียใจที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน มันมาปรุงแต่งจิตใจของเรา

 

 เราต้องตั้งใจตั้งเจตนา ปักหมุดลงไป เอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะ ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพรวมลงที่ใจ เอาหลักการอย่างนี้ เพราะไม่มีอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม เราตั้งใจตั้งเจตนา เราปักหมุดไว้อย่างนี้ เอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาพระธรรม เอาคำสั่งและคำสอนเป็นหลัก เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เป็นความยึดมั่นถือมั่นที่ประกอบด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ

 

เราต้องรู้จักคำว่ายึดมั่นถือมั่น คำว่ายึดมั่นถือมั่นคือทางสายกลางนะ เอาพระรัตนตรัยนำชีวิต เอาความสงบและปัญญา เอาพรหมจรรย์ที่หยุดสัญชาตญาณที่อยู่เหนือชอบใจไม่ชอบใจ เพราะความชอบใจไม่ชอบใจคือวัฏฏสงสารคือความปรุงแต่ง

 

ความไม่รู้ไม่เข้าใจทำเราเสียหายทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ มันไม่ใช่ทางสายกลาง มันเป็นนิติบุคคลตัวตน มันไม่ใช่ทางสายกลาง มันเป็นความสกปรก สกปรกทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพ สกปรกมาที่ใจ ภายในภายนอกก็สกปรก ที่หลวงตามหาบัวบอกว่าเราเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตมันสกปรก มันเหม็นมาก เหม็นได้สามแดนโลกธาตุเลย ไม่ใช่เหม็นธรรมดา เราปล่อยวางไม่ถูกต้อง ไปปล่อยวางพระธรรม ปล่อยวางพระวินัย พวกนี้ไม่รู้ไม่เข้าใจ นึกว่าตัวเองประพฤติปฏิบัติธรรมะชั้นสูง มันจะชั้นสูงได้อย่างไร นี่แหละมันคือธรรมะชั้นต่ำ เป็นอบายมุขอบายภูมิ ต่ำอย่างสุด ๆ เลย เราจะเอาแต่ทางจิตทางใจเอาแต่เรื่องจิตเรื่องใจนั้นไม่ได้นะ เราต้องเอาเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นทางสายกลาง

 

เราเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมีความสงบเราก็ต้องเสียสละ เพื่อให้เป็นทางสายกลาง ไม่เอาแต่เรื่องจิตเรื่องใจ ต้องเอาทางวัตถุทางวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน

 

เราเป็นคนเก่งคนฉลาดมาก ๆ เราก็ต้องมีความสงบมาก ๆ เพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ตามรอยบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ท่านให้เราเอาปัญญากับความสงบไปพร้อม ๆ กัน ท่านให้เรารู้เข้าใจ อยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่า อยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่า เราต้องรู้เข้าใจเราจะได้เข้าถึงความดับทุกข์ ความไม่มีทุกข์ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราต้องประพฤติปฏิบัติทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพรวมลงที่ใจ ที่ตั้งใจตั้งเจตนา เพราะกายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นเพียงอุปกรณ์ของใจเท่านั้น

 

ให้เราทุกคนลงรายละเอียด เพราะธรรมะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ระบบความคิด เราต้องไม่ตรึกในกาม ไม่ตรึกในพยาบาท คำพูดของเราทั้งหลายอย่าพากันประมาท เพราะเรื่องคำพูดเป็นความละเอียดอ่อน ก่อนเราจะพูดนั้นยังไม่ได้เป็นกรรม เมื่อเราพูดไปแล้วมันเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม เราต้องเอาใจใส่ในคำพูด ต้องมีสติก่อนที่จะพูด กลั่นกรองเสียก่อนว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ต้องควบคุมคอนโทรลคำพูดของตัวเอง พูดออกมาพูดออกไปต้องเป็นสุภาษิต เป็นสุปฏิปันโน ผู้พูดดีพูดชอบประกอบด้วยคุณด้วยประโยชน์ตัวเองและประโยชน์มหาชน ทั้งปัจจุบันและอนาคต เราต้องเทคแคร์ในการพูดของตัวเอง

 

 การกระทำกิริยามารยาททุกคนต้องเอาใจใส่พิเศษ เพราะกายวาจากิริยามารยาทเป็นคุณสมบัติของคนดีของผู้ดี เราทั้งหลายจะไปประมาทในกายวาจากิริยามารยาทไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านวางหลักการ หลักวิชาการ อุดมการณ์อุดมธรรม จะเป็นใครมาจากไหนท่านไม่ว่า ท่านให้เอาพระธรรมเอาพระวินัยเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม เพราะเหตุผลว่าพระธรรมพระวินัยเป็นสมบัติของผู้ดีเป็นสมบัติของคนดี เราไม่เอาพระธรรมไม่เอาพระวินัยก็เป็นสมบัติของคนชั่วของคนไม่ดี ต้องฝึกต้องปฏิบัติให้ติดต่อต่อเนื่อง เอาปัจจุบันให้มันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันจะเลื่อนไปสู่อนาคตเอง จะได้เป็นประโยชน์ทั้งโลกนี้และโลกต่อไป ไม่ต้องลังเลสงสัยในเรื่องอนาคต เพราะอนาคตมันก็ไปจากปัจจุบัน เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี มันเป็นกระบวนการของเหตุปัจจัย เป็นกระบวนการของปฏิจจสมุปบาท เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี

 

 เราพากันนอนพักผ่อนให้เพียงพอ เรามาบวชมาปฏิบัติธรรมพากันนอนพักผ่อนจำวัดให้เพียงพอ วัดเราพักผ่อนเวลาสามทุ่ม ตื่นนอนตีสองครึ่ง หรืออย่างช้าก็ ตีสองสี่สิบห้า ใช้เวลาเข้าถึงศาลารวมกันก่อนตีสาม ข้อวัตรข้อปฏิบัติธรรมวินัยเป็นสิ่งที่นอกเหตุเหนือผลของเรา เราคิดในใจนะว่าธรรมวินัยอยู่นอกเหตุเหนือผลในใจของเรา เราไม่ต้องไปมีเหตุมีผลอะไร เดี๋ยวมีเหตุมีผลเดี๋ยวมันจะมีข้อแม้ ให้เรารู้เข้าใจ ธรรมวินัย อยู่นอกเหตุเหนือผล มันเป็นความสงบเป็นความพอเพียงเพียงพอเป็นความพอดี เราถึงจะหยุดความปรุงแต่ง หยุดความฟุ้งซ่าย หยุดความลังเลสงสัยด้วยความรู้ความเข้าใ เรามีปิติมีความสุขในพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตรธุดงควัตรเพื่อให้ธรรมวินัย พระรัตนตรัยอยู่นอกเหตุเหนือผล เพราะเราทั้งหลายถึงจะได้ลงใจ เราจะได้โอเค คำว่าโอเคก็หมายถึงความสงบและปัญญา หยุดความปรุงแต่ง อยู่นอกเหตุเหนือผล มีแต่ความสุขมีแต่ปิติเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องเอาหลักการเอาอุดมการณ์อุดมธรรมอย่างนี้

 

เราทั้งหลายต้องเอาปฏิปทาทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพเพื่อมาเจริญสติสัมปชัญญะ คำว่าเจริญนี้หมายถึงก้าวไปไม่ถอยกลับมา ก้าวไปข้างหน้า เราคิดดูดี ๆ นะ คำว่าคนนี้ก็หมายถึงวกวนอยู่ที่เก่า หยุดอยู่ที่เก่า เดินไปข้างหน้าแล้วถอยกลับมาอยู่ที่เก่า เค้าถึงมีศัพท์ว่าคน คำว่าเจริญนี้ก็หมายถึงเดินไปเพื่อประโยชน์ในปัจจุบันให้เต็มที่ อนาคตก็ใช้ได้ ปัจจุบันก็ใช้ได้ เข้าถึงความดับทุกข์ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจในปัจจุบัน ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท

 

ปัจจุบันในชีวิตประจำวันเราต้องเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เพื่อก้าวไปด้วยพระธรรมพระวินัยนี้เป็นความเจริญ เพราะชีวิตของเรานี้เป็นของชั่วครู่ชั่วยาม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเปรียบเสมือนน้ำค้างเมื่อยามกลางคืน เมื่อแสงพระอาทิตย์ขึ้นน้ำนั้นก็หายไป ชีวิตนี้ก็เปรียบเสมือนคลื่นทะเลคลื่นมหาสมุทร

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เข้าใจว่า ชีวิตของเรานี้เกิดมาจากกรรมเหตุแห่งกรรมผลของกรรม เป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรปมา สิ่งเดิมแท้นั้นว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย ที่เรามีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ เป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมา เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ตั้งมั่นในพระรัตนตรัย เอาความรู้ความเข้าใจเราทั้งหลายจะได้รู้เรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามกระแส

 

เราทั้งหลายรู้เข้าใจจะได้พากันหยุดลงได้เพียงผัสสะ

ด้วยเหตุผลนี้แหละธรรมวินัยถึงอยู่นอกเหตุเหนือผลอยู่นอกเหนือความปรุงแต่งความสงบและปัญญานี้ถึงเป็นความพอดีความพอเพียงเพียงพอ ปัจจุบันนี้เป็นวาระสำคัญของเราทุกคน ปัจจุบันต้องเป็นของสด ให้คงไว้ซึ่งความสุขสดชื่นเบิกบาน ว้าว ว้าว ว้าว มันต้องอย่างนี้ ทำอะไรให้ดีให้ถูกต้อง มีทั้งความสงบมีทั้งปัญญาให้เป็นฟอร์มสด ให้รู้เข้าใจตัวตนนั้นมันไม่ใช่ฟอร์มสด ตัวตนนั้นไม่ใช่ฟอร์มสด ทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องวัตถุเรื่องวิทยาศาสตร์ เอาปัจจุบันนี้ให้เป็นวาระสำคัญให้เป็นฟอร์มสดที่เป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี ถ้าเรามีตัวมีตนมันจะเกิดความเบื่อ นึกว่าตัวเองรู้แล้วรู้แล้ว แล้วก็อยากรู้เรื่องใหม่ เรื่องใหม่มันจะได้อย่างไร เพราะปัจจุบันนี้ยังไม่ใช่ฟอร์มสด มันเป็นนิติบุคคลตัวตน ไม่ใช่ฟอร์มสด ถ้าเราเอาตัวเอาตนนำชีวิตมันจะไม่ใช่ฟอร์มสดนะ ปัจจุบันถึงพิถีพิถันพิเศษ ปัจจุบันมันยังไม่ดี ไปเอาอนาคตมันจะดีได้อย่างไร

 

เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ เราอย่าไปเอาความหลงนำชีวิต อย่าไปเอาความผิดนำชีวิต เมื่อปัจจุบันไม่มีพื้นมีฐาน จะเอาของอะไรมาวางได้ เค้าจะปลูกบ้านสร้างเรือนสร้างประเทศเค้าต้องมีพื้นที่มีความพอดีมีความพอเพียงเพียงพอต้องเอาปัจจุบันให้ดี ปัจจุบันคิดดีพูดดีกิริยามารยาทดี ต้องเอาปัจจุบันให้ได้ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เน้นที่ปัจจุบัน เพราะปัจจุบันมันใช้ได้ทั้งโลกนี้และโลกหน้า อดีตที่ผ่านมันเกษียณแล้วเราก็ต้องปล่อยวาง ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อย่าไปยึดมั่นถือมั่นคือบุคคลที่บริโภคของเก่า ให้รู้ให้เข้าใจที่เป็นคติเตือนใจ เป็นธรรมะสุภาษิตที่นางวิสาขามหาอุบาสิกาในพระพุทธศาสนา

 

ประวัตินางวิสาขา ความเป็นมาของนางวิสาขา ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ นางวิสาขาได้บำเพ็ญบารมีมาเป็นเวลาหลายล้านชาติหลายร้อยปี ในชาติเป็นนางวิสาขา อายุเพียง ๗ ขวบก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน คำว่าโสดาเป็นความรู้เรื่องอริยสัจสี่ เอาทั้งทางวิทยาศาสตร์ เอาทั้งทางใจไปพร้อม ๆ กัน เพราะทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัยจากปัจจุบัน เป็นลูกสาวของธนันชัยเศรษฐี

 

มิคารเศรษฐีต้องการให้บุตรชายของตนแต่งงาน จึงได้นางวิสาขาผู้พร้อมด้วยความงาม ๕ อย่าง และเป็นผู้มีความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในพระพุทธศาสนาเข้ามาสู่สกุลของตน เพราะเหตุแห่งนางวิสาขา มิคารเศรษฐีและภรรยาได้บรรลุโสดาปัตติผล ประกาศตนเป็นอุบาสก ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ

บุตรของมิคารเศรษฐี กรุงสาวัตถี ชื่อว่าปุณณวัฒนกุมาร เจริญวัยแล้ว มารดาบิดาต้องการให้แต่งงาน แต่เขายังไม่อยากแต่งงานจึงกล่าวว่า ถ้าได้หญิงสาวที่พร้อมด้วยความงาม  ๕  อย่าง จึงจะแต่งงาน

 

       ลักษณะเบญจกัลยาณีหรือความงาม  ๕  อย่างนั้น คือ

1. ผมงาม คือ ผมเหมือนกำหางนกยูง  เมื่อแก้ปล่อยระชายผ้านุ่งแล้ว ก็กลับมีปลายงอนขึ้นตั้งอยู่

2. เนื้องาม คือ ริมผีปากเช่นกับผลตำลึงสุก ถึงพร้อมด้วยสีเรียบชิดสนิทดี

3. กระดูกงาม คือ ฟันขาวเรียบไม่ห่างกัน  งดงามดุจระเบียบแห่งเพชร ที่เขายกขึ้นตั้งไว้ และดุจระเบียบแห่งสังข์ที่เขาขัดสีแล้ว

4. ผิวงาม คือ ผิวพรรณของหญิงดำ ไม่ลูบไล้ด้วยเครื่องประเทืองผิวเลย ก็ดำสนิท ประหนึ่งพวงอุบลเขียว,  ถ้าผิวพรรณของหญิงขาว ก็ประหนึ่งพวงดอกกรรณิการ์

5. วัยงาม  หญิงแม้ว่าคลอดแล้วตั้ง  ๑๐  ครั้ง  ก็เหมือนคลอดครั้งเดียว ยังสาวพริ้งอยู่

 

       เศรษฐีจึงส่งพราหมณ์ไปแสวงหาหญิงเบญจกัลยาณี พราหมณ์เดินทางมาถึงเมืองสาเกตและได้พบนางวิสาขา อายุย่างเข้า  ๑๕ - ๑๖ ปี  ประดับประดาด้วยเครื่องอาภรณ์ครบทุกอย่าง แวดล้อมด้วยหมู่เด็กหญิง ๕๐๐  คน ขณะนั้นได้เกิดฝนตก เด็กหญิง  ๕๐๐  รีบเดินเข้าไปในศาลา  แต่นางวิสาขาเดินตามปกติเข้าไปในศาลา  ผ้าและอาภรณ์เปียกโชก เมื่อถามว่าทำไมนางจึงไม่วิ่งหนีฝน นางตอบว่า

ชน  ๔  จำพวกเมื่อวิ่ง ย่อมไม่งาม

-  พระราชาประดับประดาด้วยเครื่องอาภรณ์

-  ช้างมงคลของพระราชาที่ประดับแล้ว

-  บรรพชิต

-  และสตรี

และสตรีนั้น พ่อแม่เลี้ยงอย่างทะนุถนอมมาเพื่อส่งไปตระกูลอื่น ถ้าวิ่งแล้วหกล้ม มือหรือเท้าหัก ก็จะเป็นภาระของตระกูล ส่วนเสื้อผ้าและเครื่องประดับ  เปียกแล้วแห้ง นางจึงไม่วิ่ง

เมื่อพราหมณ์ได้เห็นนางวิสาขามีลักษณะของหญิงเบญจกัลยาณีครบถวนจึงสวมมาลัยทองให้ พราหมณ์ได้กลับไปแจ้งข่าวแก่มิคารเศรษฐี ท่านเศรษฐีได้เข้าเฝ้ากราบทูลพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์ได้ไปร่วมงานด้วยตนเองเพื่อให้เกียรติที่นางยอมมาอยู่แคว้นสาวัตถี นางวิสาขาเป็นคนฉลาด มีปัญญาเฉียบแหลม สามารถจัดการเตรียมการต้อนรับและดูแลทุกคน

 

ธนันชัยเศรษฐีได้ทำเครื่องประดับ ชื่อมหาลดาปสาธน์ ใช้เวลาทำ ๔ เดือน มีมูลค่า ๙ โกฎิ และค่าจ้างทำ ๑ แสน ให้นางวิสาขา ซึ่งเป็นผลจากที่ในสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะ นางได้ถวายผ้าสาฎก ด้าย เข็ม เครื่องย้อมของตนเอง แก่ภิกษุสองหมื่นรูปเพื่อทำจีวร หญิงที่ถวายจีวรทานย่อมได้เครื่องประดับชื่อมหาลดาปสาธน์ ส่วนชายผู้ถวายจีวรทานย่อมได้บาตรและจีวรด้วยฤทธิ์ในยามกราบทูลขอบวชกับพระพุทธเจ้า

 

           ธนันชัยเศรษฐีได้จัดไทยธรรมและให้ทรัพย์สินแก่นางวิสาขา จำนวนมาก และได้ให้โอวาทในการไปอยู่ในสกุลพ่อสามีแม่สามี ๑๐ ข้อ คือ  ไม่ควรนำไฟภายในออกไปภายนอก, ไม่ควรนำไฟภายนอกเข้าไปภายใน,  พึงให้แก่คนที่ให้เท่านั้น, ไม่พึงให้แก่คนที่ไม่ให้, พึงให้แก่คนทั้งที่ให้ทั้งที่ไม่ให้, พึงนั่งให้เป็นสุข, พึงบริโภคให้เป็นสุข, พึงนอนให้เป็นสุข, พึงบำเรอไฟ, พึงนอบน้อมเทวดาภายใน

 

มิคารเศรษฐี เลื่อมใสต่อพวกชีเปลือยและไม่ได้คำนึงพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ วันหนึ่ง เศรษฐีได้เชิญพวกชีเปลือย ๕๐๐ คน มาบริโภคข้าวปายาส และอาหารอื่นๆในเรือน แล้วให้คนไปตามนางวิสาขามาไหว้ ซึ่งนางไม่ไหว้และกลับเรือน ชีเปลือยจึงตำหนิเศรษฐีและให้ไล่นางไปแต่เศรษฐีไม่อาจทำได้

 

วันหนึ่ง มีพระภิกษุมาบิณฑบาตที่ประตูเรือนแต่พ่อสามีทำเป็นไม่เห็น ก้มหน้ากินอาหารต่อไป นางจึงนิมนต์ภิกษุไปข้างหน้าแล้วกล่าวว่า พ่อสามีของดิฉันกำลังกินของเก่า เศรษฐีได้ฟังแล้วโกรธมาก ได้ขับไล่นางออกจากเรือน  นางปฏิเสธที่จะไปเพราะตนมาเป็นสะใภ้มิใช่เพื่อมาเป็นนางทาสี แล้วได้เชิญกุฎุมพีที่ติดตามมาจากเมืองสาเกตให้วินิจฉัยความผิด

 

      เศรษฐีกล่าวว่า นางวิสาขาว่าตนเป็นผู้กินของไม่สะอาด นางได้ชี้แจงว่า พ่อสามีกินข้าว ไม่ใส่ใจพระภิกษุที่มาบิณฑบาต ไม่ทำบุญในอัตภาพนี้ บริโภคแต่บุญเก่าเท่านั้น จึงได้พูดว่า นิมนต์ไปข้างหน้า พ่อสามีกำลังบริโภคของเก่า

 

และคืนหนึ่ง นางวิสาขาและคนใช้ชายหญิงติดตามไปหลังเรือนตอนเที่ยงคืน นางได้ชี้แจงว่าแม่ม้าตกลูก นางเห็นว่าไม่สมควรนั่งเฉยไม่เป็นธุระ จึงให้พวกคนใช้ไปทำการดูแลแม่ม้า นางจึงไม่มีโทษ

 

บิดานางวิสาขาได้ให้โอวาท ๑๐  ข้อ ซึ่งลี้ลับ มิคารเศรษฐีไม่เข้าใจ จึงต้องให้นางวิสาขาอธิบาย

 

 - ไฟในไม่พึงนำออกไปภายนอก  คือ  เห็นโทษของพ่อแม่สามีและสามีแล้ว  อย่านำไปพูดภายนอกเรือน

 - ไฟแต่ภายนอก ไม่พึงให้เข้าไปภายใน คือ  ถ้าคนทั้งหลายพูดถึงโทษของพ่อแม่สามีและสามี  อย่านำเอาคำพูดนั้น มาพูดภายในเรือน 

เศรษฐีได้ฟังคำอธิบายโอวาท  ๑๐  ข้อ แล้ว ไม่โต้แย้ง

 

เมื่อจบการวินิจฉัย นางวิสาขาไม่มีความผิดจึงไม่ต้องออกจากเรือนตามคำของพ่อสามี แต่นางจะไป เนื่องจากนางเป็นธิดาของตระกูลผู้มีความเลื่อมใสอันไม่ง่อนแง่นในพระพุทธศาสนา หากไม่ได้บำรุงภิกษุสงฆ์แล้ว จะเป็นอยู่ไม่ได้ หากนางได้บำรุงภิกษุสงฆ์ นางจึงจะอยู่ ซึ่งท่านเศรษฐียินยอม

 

นางวิสาขาได้ทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าเสด็จมาที่บ้านเพื่อถวายภัตรและแสดงธรรม การแสดงธรรมของพระองค์นั้น ไม่ว่าชนผู้นั้นจะอยู่ตรงไหน ผู้รับฟังจะกล่าวว่า "พระศาสดา ย่อมทอดพระเนตรดูเราคนเดียว ทรงแสดงธรรมโปรดเราคนเดียว" นี้เป็นผลแห่งทานที่พระพุทธเจ้าทรงตัดพระเศียร ทรงควักพระเนตร ทรงชำแหล่ะเนื้อหทัย ทรงบริจาคโอรสเช่นพระชาลี  พระกัณหา และพระนางมัทรี  เพื่อเป็นทาสของผู้อื่น

 

เมื่อมิคารเศรษฐีฟังธรรมเทศนา ได้บรรลุโสดาปัตติผล มีศรัทธามั่นคง หมดความสงสัยในพระรัตนตรัย ได้ขอให้นางวิสาขาเป็นมารดา ตั้งแต่วันนั้น  นางวิสาขาได้ชื่อว่ามิคารมารดา  ภายหลังได้บุตรชาย จึงได้ตั้งชื่อบุตรนั้นว่า  "มิคาระ"  ในวันรุ่งขึ้น แม่สามีก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล ตั้งแต่นั้นมา เรือนหลังนั้นได้เปิดประตูเพื่อต้อนรับพระภิกษุในพระพุทธศาสนา

 

พระภิกษุในพระพุทธศาสนาคือผู้ที่เสียสละ ความเสียสละนี้นางวิสาขามหาอุบาสิกามีความเคารพศรัทธาเลื่อมใสมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน

 

คำว่าพระนี้ก็คือพระธรรมคือพระวินัยคือพระรัตนตรัย ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน มีแต่ความสงบและปัญญา มีแต่พระธรรมพระวินัย ให้พวกเรารู้เข้าใจ เราเอาตัวเอาตนนั้นมันคืออดีต ความยึดมั่นถือมั่นคือตัวคือตนคืออดีต อดีตนั้นคือความยึดมั่นถือมั่น มันมีเหตุมีผลมีความยึดมั่นถือมั่น เราต้องรู้เข้าใจในพระธรรมพระวินัยที่อยู่นอกเหตุเหนือผล เป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจ

 

ให้ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ที่ได้กล่าวได้บรรยายหลักพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องจับหลักจับประเด็นให้ได้ดี ๆ ว่าปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะปัจจุบันนี้ใช้ได้ในปัจจุบันและอนาคต ใช้ได้ทั้งโลกปัจจุบันและโลกหน้า มันเป็นกระบวนการของกระแสปฏิจจสมุปบาทที่เป็นเหตุเป็นปัจจัย

 

ต้องเข้าใจเหมือนปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ด้วยธัมมจักกัปปวัตรสูตร เป็นธรรมะอยู่ที่นอกเหตุเหนือผล ว่าพระธรรมพระวินัยนี้เป็นความสงบและปัญญา เพื่อจะได้เข้าถึงความว่างจากเหตุจากผล เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน สิ่งที่สัญจรไปมาล้วนแต่เป็นกรรมเป็นกฎของกรรม

 

ให้เรารู้เข้าใจ การประพฤติการปฏิบัติของเราให้เอาที่ปัจจุบัน เพราะปัจจุบันมันใช้ได้เดี๋ยวนี้แล้วก็ใช้ได้ในอนาคต ก้าวไปด้วยคำว่าก้าว ก้าวไปข้างหน้าหรือว่าเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ว่า ให้เรารู้จักความปรุงแต่ง ถ้าเรารู้จักความปรุงแต่งเราจะได้อยู่นอกเหตุเหนือผล เราหยุดเหตุ ผลมันก็ไม่มี เพราะธรรมะเป็นเรื่องปัจจุบัน มันเป็นการใช้ได้ทั้งปัจจุบันและโลกหน้าเพียงแต่เราพัฒนาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อเอาอดีตมาแก้ไขในปัจจุบัน เพื่อให้เข้าถึงความเป็นมนุษย์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารในปัจจุบัน เข้าถึงเทวดาผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารในปัจจุบัน เข้าถึงพระพรหมผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารในปัจจุบัน เข้าถึงความเป็นพระสงฆ์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารในปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ถ้าเราไม่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราก็ย่อมยินดีในกาม ยินดีในพยาบาท

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ว่าที่สุดสองทางเราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้หยุดความปรุงแต่ง อยู่นอกเหตุเหนือผลด้วยความรู้ความเข้าใจ เอาความสงบและปัญญา เพื่อหยุดอัตตาตัวตน รู้เรื่องว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเพียงสัญจรไปมา

 

โกณฑัญญะ ๑ ใน ๕ รู้เข้าใจในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้ระลึกในใจว่า จักขุเกิดขึ้นแล้วก็เรา ญาณเกิดขึ้นแล้วแก่เรา แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านส่งพระอรหันต์ขีณาสพออกไปเผยแผ่เพื่อไปบอกไปสอนแก่ประชาชนแก่มหาชน ให้ดำเนินชีวิตด้วยทางสายกลาง พัฒนาใจกับพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กันให้มีความสุข ทางวัตถุทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่ยิ่งหย่อน พัฒนาเรื่อย ๆ อย่างไม่มีหยุดยั้ง พัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจก็ไม่ยิ่งหย่อน มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะรู้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจเราก็จะไปมองข้ามปัจจุบันไป เราจะไม่ได้เข้าถึงความละเอียดอ่อนความประณีต ความสงบและปัญญาที่ประณีต เมื่อเราปล่อยวางศีลสมาธิปล่อยวางปัญญา ชีวิตของเราที่เกิดมาอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง.

 

เราได้รับโอกาศพิเศษตามอายุขัยที่ได้เกิดมา เราต้องเอาปัญญาและความสงบเพื่อมาประพฤติปฏิบัติให้เป็นฟอร์มสดก้าวไปด้วยความสว่างไสวทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพรวมลงที่ใจด้วยปัญญา รู้คุณรู้ประโยชน์ว่านี้มีแต่คุณเป็นพุทธคุณธัมมคุณสังฆคุณเป็นสุปฏิปันโนผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติสมควร สมควรเป็นอย่างยิ่ง เป็นผู้กตัญญูกตเวทีต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อประโยชน์ของมหาชนด้วยความไม่ประมาท

 

ระลึกถึงโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร

 

ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม

 

ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาทจะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความสงบและปัญญา ธรรมะนั้นถึงหยุดความปรุงแต่งได้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ

 

-----------------------------

 

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

Visitors: 99,436