๑๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๑๖ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

 

ความสงบกับปัญญาจะแก้ปัญหาได้ ความรู้กับการปฏิบัติจะแก้ปัญหาได้ เพราะความสงบกับปัญญาเป็นความพอดี เป็นความพอเพียงเพียงพอ ไม่มากเกินไม่น้อยเกิน เป็นความพอดีระหว่างจิตใจกับวัตถุ

 

การประพฤติการปฏิบัติของเราทุกคนถึงเอาทางสายกลาง ไม่เพิ่มไม่ตัด ปัจจุบันเป็นวาระแห่งการประพฤติการปฏิบัติของเรา อดีตก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตจะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้แล้ว ความดับทุกข์ถึงอยู่ที่ปัจจุบัน

 

เราเข้าถึงมนุษย์เทวดาพระพรหมพระอริยเจ้าตั้งแต่ปัจจุบัน เพื่อเราจะได้เข้าถึงความเต็ม เต็ม เต็ม เต็ม เต็ม เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ

 

มนุษย์เราทั้งหลายถึงพากันมารู้อริยสัจสี่ มารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราทั้งหลายจะเป็นผู้มีศีลมีสมาธิจะได้มีปัญญา จะไม่ได้ไปตามผัสสะ จะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม เราจะได้หยุดความไม่ถูกต้องลงเพียงผัสสะ ด้วยอาศัยหลักการที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา

 

เราทั้งหลายพากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เป็นความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มนุษย์เราทำอย่างนี้แก้ปัญหาได้หยุดปัญหาได้ เราทั้งหลายจะได้หยุดอบายมุขอบายภูมิของตัวเอง ชีวิตของเราจะไม่ได้พังทลายเหมือนตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย

 

เราทุกคนต้องไม่เอาความชอบความไม่ชอบนำชีวิต เพื่อเราทั้งหลายจะได้หยุดสัญชาตญาณที่เวียนว่ายตายเกิดที่เป็นนิติบุคคลตัวตน เราทั้งหลายต้องมาหยุดสัญชาตญาณด้วยความรู้ความเข้าใจ ทางวิทยาศาสตร์ เรารู้เข้าใจ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัตินี้ช่วยเหลือเราได้ในส่วนทางร่างกาย ทางพระศาสนานั้นช่วยเหลือเราได้ทางจิตใจ ทางวิทยาศาสตร์กับทางพระศาสนาต้องไปพร้อม ๆ กัน ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ตีคู่กันไปควบคู่กันไป ทางวิทยาศาสตร์เป็นการพัฒนายิ่ง ๆ ขึ้นไป ทางจิตใจเป็นสิ่งที่พัฒนายิ่ง ๆ ขึ้นไป ทางวิทยาศาสตร์ก็เป็นคุณ มีพระคุณมาก มีประโยชน์มาก เรื่องจิตเรื่องใจก็มีคุณมาก มีประโยชน์มาก เป็นคุณ เป็นพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ มีแต่คุณไม่มีโทษ ด้วยเหตุด้วยผลนี้เราถึงมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติสองอย่างไปพร้อม ๆ กัน

 

การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์คือการปฏิบัติธรรม การพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจคือการปฏิบัติธรรม ธรรมะที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพรวมลงที่ใจเป็นบริสุทธิคุณ

 

เราทุกคนถึงเข้าสู่กระบวนการเพื่อประสานติดต่อต่อเนื่องด้วยความรู้ความเข้าใจ การปฏิบัติอะไรก็ต้องปฏิบัติให้ติดต่อต่อเนื่อง เพราะวาระกายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจ เราทำได้ทีละอย่าง ปฏิบัติได้ทีละอย่าง ด้วยเหตุผลนี้ เราถึงต้องปฏิบัติให้ติดต่อต่อเนื่อง ด้วยปิติด้วยความสุขเอกัคคตา เพื่อให้ปฏิปทาติดต่อต่อเนื่องที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา จะไม่มีคั่นรายการ ไม่มีโฆษณาแทรกแซง การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องถึงจะได้ผลถึงจะเห็นผล เอาอดีตที่ผ่านมาที่บกพร่องมาแก้ไข เอาปัจจุบันเป็นวาระของการประพฤติการปฏิบัติให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป

 

 ปัจจุบันของเราทุกคนต้องเป็นฟอร์มสด สดชื่นตื่นเบิกบานในปัจจุบัน ให้ชีวิตของเราแวววาวสว่างไสว ปัจจุบันเราต้องฟอร์มสด สดชื่นเบิกบาน เรามาตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราต้องรู้เข้าใจว่ากายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้เป็นเพียงกรรมกรของจิตของใจเท่านั้น ปัจจุบันเราถึงมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา ตั้งใจตั้งเจตนา ปัญญากับความสงบในปัจจุบันต้องเต็มที่ ถ้าปัญญากับความสงบรวมกันเป็นหนึ่งแล้วอดีตก็จบลงที่ปัจจุบัน อนาคตก็จบลงที่ปัจจุบัน ปัจจุบันนี้ใจของเรามีสติมีสัมปชัญญะ ใจของเราเป็นประภัสสร

 

ให้เรารู้เราเข้าใจ สิ่งที่สัญจรไปมาต่าง ๆ นั้น เป็นเพียงอาคันตุกะสัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยาม ปัจจุบันจิตใจของเราต้องเป็นประภัสสร เรารู้เรื่องวิทยาศาสตร์ รู้เรื่องใจ รู้เรื่องความเป็นประภัสสร เราทั้งหลายจะไม่ได้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพแห่งความเป็นจริงของความเป็นจริง เราทั้งหลายจะได้มีความสุขมีปัญญา ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยพระรัตนตรัย คือ พุทธะ ธัมมะ สังฆะ เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ เป็นผู้ปฏิบัติที่สมควร สมควรอย่างยิ่งในการประพฤติการปฏิบัติ เป็นผู้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ไม่มากเกินไม่น้อยเกิน เป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุที่เป็นวิทยาศาสตร์กับเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กันเป็นประภัสสร

 

เราพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ เป็นฆราวาสผู้ครองบ้านครองเมือง เป็นข้าราชการนักการเมืองพ่อค้าประชาชน เกษตรกร ประชากร ต้องพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ พากันนอนพักผ่อน ๖,๗,๘ ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง นักบวชในศาสนาทุกศาสนาพากันนอนพักผ่อนจำวัดวันละ ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง ๒๔ ชั่วโมง เรานอนเราพักผ่อนจำวัดวันละ ๕,๖ ชั่วโมง

 

เวลาเราตื่นอยู่นี้แหละ เราต้องรู้เข้าใจสภาวธรรมตามความเป็นจริง ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเป็นเพียงเหตุเพียงปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อมด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ดับลงได้เพียงผัสสะ ไม่ต้องให้เกิดความปรุงแต่ง ให้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย

 

เราทั้งหลายต้องรู้เหตุรู้ปัจจัย เราทั้งหลายจะได้มีปัญญา จิตใจของเราจะได้เข้าถึงความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้รู้จักโจทย์ รู้จักข้อสอบ เราจะได้ตอบด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่

 

เราทุกคนเกิดมาเป็นมนุษย์ เราต้องมาทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ ไม่มีทุกข์ เพื่อหยุดปัญหา ไม่สร้างปัญหา ไม่หาเรื่องหาราวให้กับตนเอง ไม่หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น เราทุกคนไม่ต้องไปแก้ไขคนอื่น ไม่ต้องไปแก้ปัญหาภายนอกนอกตัว ให้เน้นมาที่ตัวเรา เมื่อตัวเราเองยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

 

เราคิดดูดี ๆ นะ เราจะไปแก้ไขคนอื่นได้อย่างไร คนที่จะช่วยเหลือคนอื่นได้ก็ต้องช่วยเหลือตัวเองก่อน ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจในปัญหาสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมนั้นเป็นของที่มีอยู่ ให้เรารู้เข้าใจ อย่างความเกิดควาแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากมันเป็นสิ่งที่มีอยู่ เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นประภัสสรของกรรมของกฎแห่งกรรมของผลของกรรม

 

เราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจปัญหาจะได้แก้ปัญหาให้ถูกต้อง

เราทั้งหลายต้องมาแก้ที่ตัวเรา แก้ที่กายวาจากิริยามารยาทอาชีพ มาแก้ที่ตัวเรา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในตัวเรา ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจจะไปแก้สิ่งแวดล้อม ไปแก้คนอื่น ชีวิตนี้ก็มันถึงมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์นั้นไม่มีเลย ชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายเช่นเดียวอย่างเดียวกันกับตึก สตง.นี้แหละ

 

ให้พวกเรารู้เข้าใจนะ เราต้องมองในแง่ดี ถ้าไม่มีความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก มรรคผลนิพพานจะมาจากไหน มรรคผลนิพพานอยู่ที่รู้เข้าใจ เมื่อรู้เข้าใจแล้วเราจะไม่ได้ไปแก้ไขสิ่งภายนอก เน้นมาที่ตัวเรา เรามาเสียสละ ยกเลิกความชอบความชัง มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ มีความสุขในการรักษาศีล มีความสุขในการทำสมาธิ สมาธิคือความกลาง ๆ ระหว่างใจกับวัตถุเป็นทางสายกลาง เป็นความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ ไม่มีนิวรณ์ทั้ง ๕ ไม่มีอคติทั้ง ๔ เป็นกลาง ๆ เป็นทางสายกลาง เป็นความสงบเป็นปัญญา

 

เราทั้งหลายพากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติของเราเอง เราไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราจะไปแก้คนอื่น แก้สิ่งแวดล้อม เน้นที่ตัวเรานี้แหละ เน้นทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งใจ เพื่อความบริสุทธิคุณทั้งศีลทั้งสมาธิทั้งปัญญา จะไม่ได้เอามาเพิ่มเอามาตัด เราจะได้รู้เข้าใจด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราแก้ที่ตัวเราได้ ปฏิบัติที่ตัวเราได้สิ่งภายนอกนั้นย่อมไม่มีปัญหา สิ่งภายนอกนั้นย่อมมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์หาโทษมิได้เลย เป็นพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ

 

ให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง มันถึงสะดุดเท้าของตัวเอง สะดุดปมของตัวเอง ตัวตนคือบุคคลที่มีปมด้อยนะ เพราะเรามีตัวมีตนอยู่คนเดียวก็ไม่สงบ อยู่หลายคนก็ไม่สงบ เพราะตัวตนคือความไม่สงบ ให้เรารู้เข้าใจ ตัวตนนี้แหละคือความไม่สงบ ตัวตนนั้นแหละคือความวุ่นวาย ตัวตนนั้นคือความขัดข้อง เป็นคนรวยก็ไม่รู้จักพอ เป็นคนจน จนทั้งใจจนทั้งวัตถุ มีแต่ความทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีเลยนะ

 

เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราเป็นบุคคลที่มีปมด้อยนะ เพราะชีวิตของเราสุดโต่งด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เราจะไปเอาความว่างจากสิ่งที่ไม่มีมันเป็นไปไม่ได้ เมื่อเรามีตาก็มีรูป มีหูก็มีเสียง มีจมูกก็มีกลิ่น มีลิ้นก็มีรส มีกายก็มีสัมผัส เราไม่รู้เข้าใจอย่างนี้ไม่ได้นะ มันเสียหายนะ ความไม่รู้ไม่เข้าใจอย่างนี้ย่อมพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน

 

เราไม่รู้ไม่เข้าใจปัญหา เราไม่รู้จักปัญหา ปัญหาอยู่ที่เราไม่รู้ธรรม ไม่รู้สภาวธรรมนะ ผู้ที่ว่าชอบความสงบชอบความวิเวกคำพูดอย่างนี้ความตรึกอย่างนี้เป็นความไม่จริงนะ มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ คำว่าชอบสงบนั้นคือความวุ่นวาย เข้าใจมั๊ยรู้มั๊ย คำว่าชอบนั้นคือตัวตน ตัวตนนั้นคือความไม่สงบ ถ้ามีคำว่าชอบก็ย่อมมีความไม่ชอบ เพราะมันเป็นที่สุดแห่งสองทาง มันไม่ใช่ทางสายกลาง มันไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่ความสงบ มันเป็นบุคคลที่มีปมด้อยต่างหากล่ะ เพราะเรามีตัวมีตนอยู่ที่ไหนมันก็ไม่สงบ อยู่ที่บ้านก็ไม่สงบ อยู่ที่เมืองก็ไม่สงบ อยู่ที่ป่าที่เขาก็ไม่สงบ เพราะตัวตนคือความไม่สงบ ให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้รู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราจะได้รู้จักปัญหา จะได้แก้ปัญหาให้ถูกต้อง

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมาต่อจากสมาบัติ หรือว่ามาต่อจากสมาธิที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน ที่มันสงบชั่วครู่ชั่วคราวระดับหินทับหญ้า ที่ไปหาความสงบจากสิ่งภายนอก ถ้าอะไรได้ตามชอบใจก็ว่าสิ่งเหล่านั้นดี ถ้าอันไหนไม่ได้ตามใจก็ว่าสิ่งนั้นไม่ดี รู้มั๊ยเข้าใจมั๊ยสิ่งที่ว่าได้ตามใจไม่ได้ตามใจล้วนแต่เป็นนิติบุคคลตัวตนทั้งนั้น นี้คือบุคคลไม่รู้อริยสัจสี่ ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ไม่รู้เรื่องประพฤติปฏิบัติ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงมาต่อยอดจากสมาธิจากสมาบัติ จากสมถะความสงบ มาเจริญภาวนาวิปัสสนาด้วยความรู้ความเข้าใจว่าธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ นั้นมันเป็นของชั่วครู่ชั่วยามอยู่ตามอายุขัย มันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป

 

เรารู้เข้าใจเราทั้งหลายจะได้รู้อริยสัจสี่รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ เราต้องต่อยอดจากสมถะเป็นวิปัสสนาเพื่อให้เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ศีลสมาธิปัญญาเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบันเลย ไม่รออนาคต เอาปัจจุบันนี้แหละ ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน ปัจจุบันไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา อนาคตมันจะมีได้อย่างไร

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้รู้การประพฤติการปฏิบัติ เราต้องรู้เข้าใจ เอาความรู้เข้าใจมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้เรารู้เข้าใจเหมือนเรามองดูต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้นไม้ต้นหนึ่งนี้นะเค้าได้อาหารมาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้ ไม่ใช่ได้มาจากรากอย่างเดียว เค้าต้องได้มาจากทั้งทางกิ่งทางก้านสาขา ถึงยอดตลอดปริมณฑล แสงแดดอากาศ ต้นไม้นั้นถึงจะสง่างาม ฉันใดก็ฉันนั้น การประพฤติการปฏิบัติต้องได้มาจากทุกทิศทุกทางของการประพฤติการปฏิบัติ ในปัจจุบันในชีวิตประจำวันแล้วแต่ผัสสะอะไรจะเกิดขึ้น ให้เรารู้เข้าใจ

 

เราทั้งหลายจะได้ดับปัญหาลงได้เพียงผัสสะ จะไม่ได้เอาความดีใจเสียใจนำชีวิต เอาความสงบและปัญญานำชีวิต ศีลสมาธิปัญญาเป็นระบบเป็นหลักการ เป็นหลักวิชาการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม ให้เรารู้เข้าใจ พระธรรมพระวินัยเป็นทั้งคำสั่งคำสอนให้เราเข้าถึงพระธรรมพระวินัยในปัจจุบัน

 

เราทั้งหลาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราเข้าใจอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายว่า เธอทั้งหลายนั้นจงพากันประพฤติพรหมจรรย์เถิด เพื่อเอาความสงบและปัญญาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นอริยมรรค เมื่อมรรคเราสมบูรณ์ก็จะเป็นประโยชน์ทั้งเราเป็นประโยชน์ทั้งคนอื่น ถึงพร้อมด้วยความไม่หลงไม่เพลิดเพลินไม่ประมาทไม่ผิดพลาดไม่พังทลายเหมือนตึกสตง. เช่นเดียวกับตึกสตง.นะ

 

พระธรรมพระวินัยเป็นอมตะ ถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะดับขันธ์สู่ปรินิพพานไปก็เป็นเพียงส่วนร่างกาย แต่ธรรมะที่เป็นสัจธรรมเป็นความจริงเป็นสิ่งที่มีอยู่ชั่วฟ้าดินสลาย ให้เรารู้เข้าใจ ธรรมวินัยให้รู้เข้าใจ ให้เราพากันประพฤติปฏิบัติให้เป็นปัจจุบันให้เป็นของสดให้เป็นฟอร์มสด

 

การปฏิบัตินี้เราต้องถือนิสัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิสัยก็คือพระธรรมพระวินัย ให้เข้าใจนะ นิสัย ๔ กิจที่ควรทำ อกรณียกิจ ๔ กิจที่ไม่ควรทำ เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ถือนิสัยถือพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาให้เข้าถึงฟอร์มสดในการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันนี้เราต้องมาลงรายละเอียด เพราะการปฏิบัติมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมันเป็นสิ่งที่ทวนกระแสไม่ไปตามกระแสของสังคมสิ่งแวดล้อม

 

เราต้องรู้เข้าใจ หลักการประพฤติการปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราใช้หลักการอานาปานสติ คือลมหายใจ หายใจเข้าก็ให้สบาย หายใจออกก็ให้สบาย หายใจเข้าหายใจออกให้มีความสุข หายใจเข้าเอาออกซิเจนเอาอากาศดี ๆ เข้าไป หายใจออกเอาคาร์บอนไดออกไซด์เอาของเสียออกไป ให้ทำง่าย ๆ อย่างนี้ เราทำอย่างนี้ทำเพื่ออะไรล่ะ ทำเพื่อให้เรามีเครื่องอยู่ เพราะสิ่งภายนอกมันมีมากมายเลย มีทั้งธาตุทั้งขันธ์ทั้งอายตนะ สิ่งแวดล้อมต่า งๆ มันมากมาย

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้เราใช้หลักการอานาปานสติ หายใจเข้าให้สบายไว้ หายใจอออกให้สบายไว้  หายใจเข้าให้มีความสุขไว้ หายใจออกให้มีความสุขไว้ ถ้าเราจะให้เกิดปัญญา หายใจเข้าก็ไม่แน่ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หายใจออก็ไม่แน่ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน การเจริญอานาปานสติไม่ใช่เฉพาะตอนนั่งสมาธิ ต้องใช้ทุกอิริยาบถ

 

ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายต้องพากันเข้าใจนะ เราทำเพื่อเจริญสติสัมปชัญญะ ตัดผัสสะตัดอารมณ์ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เพื่อจะได้จบลงเพียงผัสสะ เพราะเราต้องมีที่อยู่ ที่อยู่ของเราคือความสงบและปัญญา ไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เราอยู่กับการหายใจเข้าหายใจออก เป็นหลักการ

 

ประเทศไทยเรา หลวงปู่มั่นภูริทัตโต ท่านให้เอาหลักการ อานาปานสติหายใจเข้าออกให้สบาย เพื่อให้ระลึกพุทธคุณ ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้บำเพ็ญพุทธบารมีมาหลายล้านชาติได้มาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านให้ระลึกตามลมหายใจ ลมหายใจเข้าท่องพุทธ หายใจออกท่องโธ เพื่อเป็นพุทธานุสสติ หลักการในการประพฤติการปฏิบัติของผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย

 

 องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราสาธยายส่วนร่างกาย ร่างกายของเรานี้มีอุปกรณ์อยู่ ๓๒ ชิ้น ให้แยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วนครบ ๓๒ ชิ้น แยกออกหมดแล้วก็เอามาประกอบเป็นอนุโลมปฏิโลม ให้ทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เราทำอย่างนี้แหละ ทำติดต่อต่อเนื่องกัน เอาความสงบและปัญญา พัฒนาไปอย่างนี้ เราจะเกิดทั้งความสงบเกิดทั้งปัญญา นักปฏิบัติธรรทั้งหลายไม่รู้ไม่เข้าใจก็จะเอาแต่เพียงสมมติ เอาแต่เพียงแต่เจริญสติเป็นพื้นฐาน ไม่ได้พิจารณาสรีระร่างกายซึ่งเป็นฐานใหญ่แห่งอวิชชาความหลง ผู้ที่จะบรรพชาอุปสมบทในพุทธศาสนา พระอุปัชฌาย์ถึงบอกพระกรรมฐานก่อนที่จะครองผ้ากาสาวพัสตร์ท่านสอนกรรมฐาน เป็นภาษบาลีว่า เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา ว่ากลับไปกลับมาเป็นการสาธยายเป็นชิ้นเป็นส่วน เราเอามาประกอบกันเป็นชิ้น ๆ มารวมเป็นธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ หาใช่นิติบุคคลตัวตน ผู้เป็นนักบวชก็ต้องพิจารณาอย่างนี้แหละ ผู้เป็นฆราวาสก็ต้องพากันพิจารณาอย่างนี้

 

การมาบวชมาปฏิบัติมีโอกาสพิเศษได้ประพฤติได้ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกัน ครั้งพุทธกาลปัญญาชนที่เป็นหนุ่มสาวพากันบรรพชาอุปสมบท อย่างบ้านของพระสารีบุตรออกบรรพชาทั้งหมดเลยไม่เหลือใคร เหลือแต่แม่คนเดียว ครอบครัวพระสารีบุตรออกบวชกันหมดเลย แล้วก็ได้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพกันทั้งหมดเลย เพราะธรรมะเป็นอมตะเป็นสิ่งที่ขลังศักดิ์

 

เราคิดดี ๆ เอาทั้งใจทั้งวัตถุมันเป็นสิ่งที่ขลังศักดิ์สิทธิ์ เราพูดดี ๆ ที่เป็นทางสายกลาง ไม่ให้เป็นนิติบุคคลตัวตน นี้เป็นเรื่องที่ขลังศักดิ์สิทธิ์ กิริยามารยาทดี ๆ เป็นสมบัติของผู้ดีนี้มันขลังศักดิ์สิทธิ์ อาชีพที่ดี ๆ ไม่เบียดเบียนตนเองไม่เบียดเบียนผู้อื่น เป็นอาชีพที่เสียสละ ไม่เบียดเบียนผู้อื่นเป็นสิ่งที่ขลังศักดิ์สิทธิ์ พระศาสนาเป็นสิ่งที่ขลังศักดิ์สิทธิ์ ตัวตนมันไม่ขลังศักดิ์สิทธิ์อะไร

 

ให้รู้เข้าใจนะ พระพุทธเจ้าถึงเป็นพระธรรมพระวินัยไม่ใช่ตัวตน พระอรหันต์ขีณาสพเป็นพระธรรมพระวินัย ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน พระถึงเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี เราต้องรู้เข้าใจ เราอย่าเข้าใจพระศาสนาในแง่ที่เป็นนิติบุคคลตัวตน พระศาสนานั้นไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน

 

เหตุการณ์ที่ผ่านมา พระพุทธศาสนาได้ล่วงกาลเวลาไปประมาณ ๕๐๐ ปี ถึงมีการสร้างพุทธปฏิมา ก่อน ๕๐๐ ปี ยังไม่มีการสร้างพุทธปฏิมาเพราะเกรงว่ามันจะเป็นการสร้างอัตตาตัวตน เพราะพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัตินั่นคือพระศาสนานั่นแหละคือพระศาสดาเค้ามีความเข้าใจอย่างนี้

 

ชาวพุทธทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเรื่องพระศาสนา พระศาสนาเป็นความรู้ความเข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ทำหน้าที่ เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ต้องรอโชคลาภ ไม่ต้องอ้อนวอน ต้องเป็นผู้เสียสละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ทรงเตือนผู้ที่อวดอุตริมนุษธรรมที่มีอยู่ในตัวเอง ไม่ให้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ เพราะเหตุผลว่าประชาชนเค้าก็เป็นนิติบุคคลตัวตนอยู่แล้ว ถ้าเราไปแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ จะทำให้เค้าหลงงมงาย เช่นเหตุการณ์ที่ผ่านมา

 

เศรษฐีแห่งกรุงราชคฤห์ กลึงบาตรด้วยปุ่มไม้แก่นจันทน์ (ของหายากที่มีค่า) แล้วใส่ตระกร้า แขวนที่ปลายไม้ไผ่ ป่าวประกาศว่า สมณะหรือพราหมณ์ ผู้ใดเป็นพระอรหันต์ และมีฤทธิ์ จงปลดบาตรลงมา เราจะยกบาตรไม้ พร้อมของมีค่าถวายให้ ..บรรดาเจ้าสำนักต่างๆก็อยากได้ จึงมาขอฟรีๆ กับท่านเศรษฐี แต่ไม่มีใครเหาะขึ้น ไปเอาบาตร ไม้ ลงมาได้ ...

 

ขณะนั้นพระโมคคัลลานะ กับพระปิณโฑลภารทวาชะ (อรหันต์ผู้มีฤทธิ์ทั้งคู่) กำลังบิณฑบาต อยู่ในเมือง พระโมคคัลลานะกล่าวกับภารทวาชะ ว่า ไปเถิด ท่านภารทวาชะ จงปลดบาตรนั้น บาตรนั้นของท่าน ภารทวาชะจึงเหาะขึ้นสู่อากาศ ขึ้นไปปลดบาตรแล้วเวียนรอบเมืองราชคฤห์ ๓ รอบ

พระผู้มีพระภาคทราบเรื่องจึงเรียกประชุมสงฆ์
ข่าวว่าเธอปลดบาตรของราชคหเศรษฐีลง จริงหรือ ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ทรงติเตียนว่า ภารทวาชะ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนเธอจึงได้แสดง อิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์ เพราะเหตุแห่งบาตรไม้ ซึ่งเป็นดุจซากศพเล่า มาตุคามแสดงของลับ เพราะเหตุแห่งทรัพย์ ซึ่งเป็นดุจซากศพ แม้ฉันใด เธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน ได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรม อันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์ เพราะเหตุแห่งบาตร ไม้ซึ่งเป็น ดุจซากศพ การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไป เพื่อความเลื่อมใสของชุมชน ที่ยังไม่เลื่อมใส
บทบัญญัติ (ห้ามภิกษุใช้บาตรไม้)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงแสดงอิทธิปาฎิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่ง ของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์ รูปใดแสดง ต้องอาบัติทุกกฏ ดูกรภิกษุทั้งหลายพวกเธอจงทำลาย บาตรไม้นั่น บดให้ละเอียดใช้เป็นยาหยอดตาของภิกษุทั้งหลาย
อนึ่ง ภิกษุไม่พึง ใช้บาตรไม้ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านไม่ให้ภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี อวดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เพราะตามปกติแล้วทุกคนก็มีความหลงเป็นพื้นฐาน ท่านให้บอกความจริงแก่ประชาชนแก่มหาชนว่าทุกอย่างนั้นคือธรรม คือสภาวธรรม มีความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปตามเหตุปัจจัย หาใช่นิติบุคคลตัวตน จุดมุ่งหมายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านให้เราทุกคนรู้อริยสัจสี่ เพื่อจะให้เกิดความสงบเกิดปัญญา การเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ท่านส่งพระอรหันต์ขีณาสพออกไปเผยแผ่ทางละ ๑ รูป

 

เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระอรหันต์แล้ว ได้เสด็จไปโปรดพระปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี พระองค์ตรัสธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นปฐมเทศนาแก่พระปัญจวัคคีย์ เมื่อจบพระธรรมเทศนา ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลีมลทิน จึงเกิดขึ้นแก่พระโกณฑัญญะ จนทำให้บรรลุเป็นพระโสดาบัน พระโกณฑัญญะจึงกราบทูลขออุปสมบทในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ซึ่งนับเป็นพระสงฆ์องค์แรกในโลก และพระรัตนตรัยจึงเกิดขึ้นในโลกเช่นกันในวันนั้น ต่อมา พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมอื่น ๆ เพื่อโปรดพระปัญจวัคคีย์ที่เหลืออีก ๔ องค์ จนบรรลุเป็นพระโสดาบันทั้งหมด หลังจากพระปัญจวัคคีย์บรรลุเป็นพระโสดาบันหมดแล้ว พระองค์ทรงแสดงธรรมอนัตตลักขณสูตร ซึ่งทำให้พระปัญจวัคคีย์บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น

ต่อจากนั้น พระองค์ได้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดพระยสะและพวกอีก 54 ท่าน จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ในครั้งนั้นจึงมีพระอรหันต์รวมทั้งพระองค์ด้วยทั้งสิ้น ๖๑ พระองค์ พระพุทธเจ้าจึงพระดำริให้พระสาวกออกประกาศศาสนา

 

ภายหลังออกพรรษาที่ ๑ แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงรับสั่งกับภิกษุอรหันต์ ทั้ง ๖๐ รูป ว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ แม้พวกเธอก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์

พวกเธอจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสุขแก่ทวยเทพ และมนุษย์ทั้งหลาย พวกเธออย่าได้ ไปทางเดียวกันสองรูป จงไปคนเดียวหลาย ๆ ทาง แต่อย่าไปทางเดียวหลาย ๆ คน จงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะให้ครบบริบูรณ์ บริสุทธิ์สัตว์ทั้งหลายจําพวกที่มีธุลี คือ กิเลสในจักษุน้อยก็มีอยู่ เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักมี"

 

จนกระทั่งย่างเข้าพรรษาที่ ๔๕ พระชนมายุ ๘๐ ปี ก็ทรงประชวรและทรงดับขันธปรินิพพานหลังจากพุทธปรินิพพานแล้ว เหล่าสาวกของพระพุทธเจ้าก็ได้สืบทอดพระพุทธศาสนาติดต่อกันไม่ขาดสาย หลังพุทธปรินิพพาน ๑๐๐ ปี จึงแตกเป็นนิกายย่อย โดยนิกายที่สำคัญคือ เถรวาทและมหายาน แม้บางครั้งพระพุทธศาสนาจะได้รับความกระทบกระเทือนมัวหมอง มีภัยทั้งภายนอกและภายใน เหล่าสาวกก็ได้ช่วยกันชำระสะสางให้บริสุทธิ์ถูกต้องเป็นแบบแผนเดียวกัน การกระทำเช่นนี้ เรียกว่า “สังคายนาพระธรรมวินัย” ซึ่งกระทำกัน ๓ ครั้งในช่วงสามศตวรรษ ครั้นถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช


พระพุทธศาสนาก็เริ่มรุ่งเรืองขึ้นเต็มที่จนมีเดียรถีร์เข้ามาปลอมบวชปะปนกับพระสงฆ์หากินอยู่ทั่วไป เป็นเหตุให้พระธรรมวินัยเปลี่ยนไปมาก พระโมคคัลลีบุตรติสเถระจึงรวบรวมพระอรหันต์ทำสังคายนาขึ้นเป็นครั้งที่ ๓ ราว พ.ศ. ๒๓๕ เมื่อทำสังคายนาเสร็จสิ้นพระเจ้าอโศกมหาราชและพระโมคคัลลีบุตรติสเถระก็จัดพระสมณทูตเป็น ๙ สายส่งไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาดังนี้
      สายที่ ๑ คณะพระมัชณันติกเถระ ไปรัฐกัศมี-คันธาระ (อัฟกานิสถาน)
      สายที่ ๒ คณะพระมหาเทวเถระ ไปสหมณฑล (แคว้นไมซอร์)
      สายที่ ๓ คณะพระรักขิตเถระ ไปวนาสี ( ตอนเหนือเมืองบอมเบย์)
     สายที่ ๔ คณะพระธัมมรักขิตเถระ ไปอปรันตประเทศ
     สายที่ ๕ คณะพระมหาธัมมรักขิตเถระ ไปมหารัฏฐะต้นแม่น้ำโคธาวารี
     สายที่ ๖ คณะพระมหารักขิตตเถระ ไปโยนกประเทศ (ประเทศอิหร่านหรือที่กรีกปกครอง)
     สายที่ ๗ คณะพระมัชฌิมเถระ ไปเนปาล (เชิงขาหิมาลัย)
     สายที่ ๘ คณะพระโสณเถระและพระอุตตรเถระ ไปสุวรรณภูมิ
     สายที่ ๙ คณะพระมหินทเถระ ไปศรีลังกา

         โดยสายที่ ๘ พระโสณะและพระอุตระเถระได้เดินทางไปยังสุวรรณภูมิประเทศหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน (ไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนามและอินโดนีเซีย) ทำให้ไทยได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธจากอินเดียมาตั้งแต่สมัยนั้น หลังจากสมัยพุทธกาล พุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองถึงที่สุดในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ต่อมาระหว่าง พ.ศ. ๑๓๐๐ – ๑๗๐๐ คณะสงฆ์อ่อนแอลง รวมทั้งถูกศาสนาอื่นต่อต้านและบีบคั้น กอปรกับถูกชนชาติมุสลิมเข้ารุกรานและทำลายวัดวาอารามตลอดจนพระสงฆ์ ในที่สุดในช่วงปี พ.ศ. ๑๗๐๐ พุทธศาสนาจึงเสื่อมลงและสูญหายไปจากอินเดียในที่สุด แต่ผลจากการที่ส่งสมณะทูตออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระเจ้าอโศกมหาราช จึงยังผลให้พระพุทธศาสนาไปรุ่งเรืองอยู่ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และบริเวณใกล้เคียง

 

การเผยแผ่พระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้บอกอริยสัจสี่แก่ประชาชนแก่มหาชน เพราะประชาชนเค้าไม่รู้ความจริงตามความเป็นจริง มีปัญหาว่า เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย พระอรหันต์ที่ไปเผยแผ่ ไปพูดเรื่องอริยสัจสี่ ไปบอกสอนเรื่องอริยมรรคมีองค์แปด ไม่ได้ไปบอกประชาชนว่า ทำบุญอย่างนี้ได้บุญเยอะนะ ทำบุญอย่างนี้ได้บุญน้อยนะ ไม่ใช่อย่างนั้น

 

บุญกุศลอยู่ที่เรารู้เข้าใจแล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มันจะเป็นระบบความคิดคำพูดกิริยามารยาทอาชีพรวมลงที่ใจที่เจตนามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เมื่อบุคคลรู้เข้าใจเขาผู้นั้นก็จะเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติของเขาเองด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันจะเสียหายนะ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั่นแหละมันจะทำร้ายตัวเอง มันจะเป็นรัฐประหารตัวของมันเองไปในตัว มันเป็นภูมิแพ้ แพ้ภูมิตนเอง พระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่แก้ปัญหาได้

 

พุทธบริษัททั้งหลายต้องเข้าใจพระศาสนาอย่างนี้นะ อย่าไปเข้าใจอย่างอื่น เราเป็นคนรุ่นใหม่สมัยใหม่ ได้พัฒนาทางวิทยาศาสตร์ดีแล้วถูกต้องแล้ว คนสมัยใหม่ต้องพัฒนาจิตใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อมกันอย่างมีความสุข

 

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะ ท่านเป็นผู้ประเสริฐมีลมปราณมีบุญมีวาสนาในการประพฤติการปฏิบัติ ให้พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เรามาระลึกถึงพระธรรมคำสั่งที่เป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้บำเพ็ญมาหลายอสงไขยหลายล้านชาติว่าเป็นสรณะของเราที่สูงสุด ไม่มีสิ่งใดที่ประเสริฐสูงกว่า เรามาระลึกถึงโอวาทสุดท้ายของพระบรมศาสดาที่ตรัสปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรม  ความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร

 

ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาทจะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความสงบและปัญญา ธรรมะนั้นถึงหยุดความปรุงแต่งได้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ

 

---------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอังคารที่ ๑๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

 

Visitors: 101,699