๑๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๑๙ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ให้ทุกท่านทุกคนพากันตั้งใจฟัง ความรู้ความเข้าใจเป็นสิ่งที่สำคัญ เมื่อเรารู้เราเข้าใจแล้วจะได้พากันประพฤติพากันปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ปฏิบัติที่ปัจจุบัน อดีตก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน ความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญแห่งชาติทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพจึงเป็นสิ่งที่สำคัญในปัจจุบัน ให้ทุก ๆ ท่านทุกคนเอาปัญญา เอาความสงบไปพร้อม ๆ กัน ความสงบความเคารพเป็นความพอเพียงเป็นความเพียงพอ เมื่อเรามีความเคารพเราก็มีความสงบ ถ้าเรามีความสงบเราก็มีความเคารพ คารวธรรม ๖ อย่างถึงเป็นธรรมที่เป็นพอเพียง เป็นความเพียงพอเป็นความพอดี คารวธรรม ๖ อย่างมีอะไรบ้าง คารวธรรม ๖ อย่างก็ได้แก่
คารวะ หรือ คารวตา ๖ ความเคารพ การถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะพึงใส่ใจและปฏิบัติด้วยความเอื้อเฟื้อด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา หรือโดยความตั้งมั่นหนักแน่นเอาจจริง ๆ จัง ๆ การมองเห็นด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ เห็นคุณค่า เห็นความสำคัญแล้วปฏิบัติต่อบุคคลอื่นหรือต่อวัตถุนั้น ๆ โดยถูกต้อง ด้วยความจริงใจ เป็นเหตุให้เกิดสติเกิดปัญญา เป็นโอกาสเป็นเวลาที่เราจะได้ละอัตตาตัวตน เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา
๑. สัตถุคารวตา ความเคารพในพระรัตนตรัย ได้แก่ พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ธุดงควัตร ข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ เป็นทั้งคำสั่งให้หยุด เป็นทั้งคำสอนให้ประพฤติให้ปฏิบัติ เป็นกรณียกิจ กิจที่ควรทำต้องทำ อกรณียกิจ กิจที่ต้องหยุดประพฤติปฏิบัติหยุดกระทำ เพื่อยกเลิกในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สิ่งที่ไม่ถูกต้องนี้หมายถึงทำให้เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิด เกิดภพเกิดชาติเกิดชรามณะ เพราะความเกิดนั้นมันเกิดมาจากเหตุเกิดจากปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี
การประพฤติการปฏิบัติเราต้องรู้เราต้องเข้าใจในเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย ในเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ว่าพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ธุดงควัตร กิจวัตรต่าง ๆ ล้วนมีแต่คุณมีประโยชน์ เราต้องเอาพระธรรมเอาพระวินัย ที่เป็นหลักการ หลักวิชาการ เป็นอุดมการณ์อุดมธรรมอุดมคติที่เป็นกรณียกิจ กิจที่ควรทำควรประพฤติควรปฏิบัติ มายกเลิกอกรณียกิจ กิจที่ไม่ควรทำ มายกเลิกสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน ที่ทำให้เราทุกคนต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร เป็นวงกลมเป็น cycle of life ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ
พระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ มีแต่คุณแต่ประโยชน์หาโทษมิได้ เราต้องเคารพคารวะในพระธรรมพระวินัยที่เป็นพระรัตนตรัยเป็นพุทธะ ธัมมะ สังฆะ เป็นความสงบและปัญญาเป็นอนัตตาเป็นประภัสร ด้วยเหตุผลนี้เราจึงได้เข้าถึงความสงบเข้าถึงความเคารพเข้าถึงคารวะในพระรัตนตรัยในพระธรรมพระวินัยถึงเป็นสรณะที่สูงสุด
ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราไปเอาสัญชาตญาณที่เป็นความรู้สึกที่มีความยึดมั่นถือมั่นเป็นสัญชาตญาณเป็นนิติบุคคลตัวตนนำชีวิต ชีวิตนี้ก็ย่อมเกิดภพเกิดชาติเกิดขบวนการของปฏิจจสมุปบาท
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้พิจารณาเรื่องปฏิจจสมุปบาท
ปฏิจจสมุปบาท แปลว่า อาศัยกันและกันเกิดขึ้นร่วมกัน หมายถึง ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นโดยปราศจากสิ่งอื่น ทุกสิ่งต่างอิงอาศัยกันและกันเกิดขึ้นหรือปรากฎลักษณะขึ้น เช่น ฝน ย่อมเกิดขึ้นหรือแสดงลักษณะ จากเหตุปัจจัยหลายอย่างรวมกัน ทั้งการระเหยของน้ำ การแปรสภาพเมฆ การกระทบความเย็น จนควบแน่นจนตกลงมาเป็นฝน เป็นต้น จะเห็นได้ว่าฝนไม่ได้เกิดขึ้นเองลอย ๆ ปฏิจจสมุปบาทเป็นชื่อพระธรรมหัวข้อหนึ่งในศาสนาพุทธ เรียกอีกอย่างว่า อิทัปปัจจยตา หรือ ปัจจยาการ เป็นหลักธรรมที่อธิบายถึงการเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น เช่น ทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย ๑๒ เรื่องเกิดขึ้นสืบ ๆ เนื่องกันมาตามลำดับดังนี้ คือ
- เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารทั้งหลายจึงมี
- เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
- เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
- เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะ หรือ อายตนะ จึงมี
- เพราะสฬายตนะ หรือ อายตนะ เป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
- เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
- เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
- เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
- เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
- เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
- เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
- ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี
การบรรยายพระธรรมเทศนาเรื่องปฏิจจสมุปบาท ดังแสดงไปแล้วข้างต้น เรียกว่า การบรรยายเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี ให้มองเห็นกระบวนการของวัฏฏสงสารในการเวียนว่ายตายเกิด ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายมีความจำเป็นที่จะต้องประพฤติปฏิบัติ มีความตั้งใจตั้งเจตนา เพราะเรื่องของการประพฤติการปฏิบัติมันเรื่องธรรมเรื่องปัจจุบันธรรม
อนุโลมเทศนา ได้แก่เราพิจารณาให้รู้เข้าใจ เราจะได้เข้าสู่กระบวนการในการประพฤติการปฏิบัติ พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์จึงเป็นหลักเหตุหลักผล เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราก้าวไปด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ เราต้องรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทรู้กระบวนการของปฏิจจสมุปบาท แสดงถึงเหตุแสดงถึงปัจจัยที่เป็นภาษาบาลีเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท
ซึ่งจะแสดงถึงกระบวนการเกิดทุกข์ หากแสดงเริ่มมาจากยอดปลายมากิ่งสาขาลงมาหาต้นมาถึงรากถึงโคน เพื่อเราจะได้รู้เข้าใจในกระบวนการของเหตุของปัจจัยที่กระบวนการของปฏิจจสมุปบาท อย่างเราจะละสักกายทิฏฐิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ให้หลักการเพื่อละสักกายทิฏฐิด้วยการรู้กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทเพื่อเอาธรรมนำชีวิต เป็นกระบวนการของปฏิจจสมุปบาท เป็นคุณธรรมของผู้ดี ศีลสมาธิปัญญา กายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้ที่เป็นทางสายกลาง เป็นความสงบและปัญญานี้ ที่เป็นธรรมที่มีอุปการะมาก เราทุกคนก็ต้องมีความสงบเป็นพื้นฐาน มีปัญญาเป็นพื้นฐาน เพราะความสงบมันจะมาลงที่ความพอเพียงเพียงพอ มันจะพอดี ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป รู้เรื่องหลักการในกระบวนการของปฏิจจสมุปบาท ปริยัติกับปฏิบัติถึงไปพร้อม ๆ กันให้เราทุกคนเข้าใจอย่างนี้นะ ถ้าเราไม่เข้าใจ เรามีปัญญาไม่มีการประพฤติการปฏิบัติมันดับทุกข์ไม่ได้นะ ความรู้กับการประพฤติการปฏิบัตินั้นถึงจะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นอนัตตาไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน เราต้องรู้กระบวนการของปฏิจจสมุปบาท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าใจในหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมนะ
เราต้องรู้เราต้องเข้าใจในเรื่องกระบวนการของเหตุของปัจจัย เราจะได้มีคารวธรรมที่เป็นพระรัตนตรัยเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เข้าถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เอาพระพุทธเจ้ามาไว้ที่กายวาจากิริยามารยาทอาชีพรวมลงที่ใจที่เจตนาด้วยความตั้งอกตั้งใจตั้งเจตนา การปฏิบัติธรรมถึงเป็นคารวธรรม ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง เป็นความสงบเป็นความพอเพียงเพียงพอ ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป เป็นสติและปัญญาเป็นพื้นฐานเป็นกรรมฐาน
๒. ธัมมคารวตา เราต้องเคารพในธรรมะ ธรรมะนั้นเป็นประภัสสร เช่น ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากเป็นประภัสสร เราต้องเคารพสิทธิเสรีภาพในธรรมะในความเป็นประภัสสร เราทั้งหลายจะไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพธรรมะนั้นไม่ได้ เราต้องรู้เข้าใจ เพราะเราทั้งหลายต้องรู้จักธรรมะ รู้จักสภาวธรรม
คำว่าไม่เคารพนี้มีลักษณะความหมายเป็นอย่างไร ได้แก่ มีความหมายเช่น เราไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บไม่อยากตายไม่อยากพลัดพราก อย่างนี้เรียกว่าไม่เคารพในธรรม ไม่เคารพในสภาวธรรม มันเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ มันเป็นความไม่สงบ มันเป็นความไม่เคารพในพระธรรมนะ
เราทั้งหลายต้องมารู้เข้าใจว่า เรามีความเกิดเป็นธรรมดา มีความแก่เป็นธรรมดา มีความพลัดพรากจากไปเป็นธรรมดา การประพฤติการปฏิบัติของเรา เราถึงเน้นที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเป็นความดีเพื่อเป็นบารมีอบรมบ่มอินทรีย์ติดต่อต่อเนื่อง เพราะวาระจิตวาระใจของเรามันคิดได้ทีละอย่าง เมื่อเรารู้เข้าใจ เราก็มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาเอามาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ เพื่อปัญญากับการปฏิบัติมันจะได้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เพื่อการประพฤติการปฏิบัติจะได้ติดต่อต่อเนื่องกัน เป็นศิลปะแห่งชีวิตที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เพื่อเป็นคารวธรรม การปฏิบัติธรรมของเราถึงต้องปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกันเป็นกระบวนการของกระแสของปฏิจจสมุปบาทที่เป็นฝ่ายดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาประกอบด้วยความดี เป็นบารมีเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุด
ให้เรารู้เข้าใจในความเคารพในธรรมในคารวธรรม คือเคารพในพระธรรม ไม่ลิดรอนสิทธิด้วยความรู้ความเข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ การปฏิบัติธรรมถึงเป็นเรื่องของปัจจุบันได้ประโยชน์ทั้งในชาติปัจจุบันนี้และชาติต่อไป ไม่ต้องสงสัยว่าตายแล้วเกิดหรือว่าตายแล้วสูญ ต้องเข้าถึงความเป็นมนุษย์ที่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นเทวดาที่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นพระพรหมผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นพระอริยเจ้าผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติเป็นประโยชน์ทั้งในปัจจุบันและโลกต่อไป
เราทั้งหลายไม่ต้องลังเลสงสัยเพราะธรรมะเป็นสิ่งที่ทันโลกทันสมัยทันกาลทันเวลาพัฒนาทั้งใจพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กันเป็นความสงบเป็นปัญญาเป็นคารวธรรมที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมตั้งอยู่ในความเคารพความสงบ ตั้งอยู่ในความไม่หลงไม่เพลิดเพลิน ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นผู้รู้ผู้เข้าใจในเรื่องเหตุเรื่องปัจจัยในเรื่องอริยสัจสี่ ในเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ เรื่องข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เป็นสุคโต มีความสุขในปัจจุบัน มีความสุขในภพภูมิต่อไปเป็นความว่างความเข้าใจ ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ความเข้าใจ ถึงได้มีศัพท์ว่าคุณ ความสุขที่เป็นคุณ ลาภยศสรรเสริญที่เป็นคุณด้วยความรู้ความเข้าใจในธรรมในคารวธรรม
เพราะการประพฤติการปฏิบัตินี้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายได้พากันเน้นที่ปัจจุบัน เรารู้จักกงเกวียนกงกรรมในการเวียนว่ายตายเกิด กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทที่ประกอบด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นสิ่งที่ดีมาก เป็นสิ่งที่มีคุณมีประโยชน์มาก
ปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญแห่งชาติจริง ๆ เราทั้งหลายอย่าพากันประมาท ความประมาทนี้เป็นความเสียหาย ชื่อว่าความประมาทนั้นคือความเสียหาย เป็นการพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึกสตง.ของเมืองไทยประเทศไทย สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ตรวจเงินบริหารของแผ่นดิน ตั้งอยู่ในความประมาท ไปจัดการแต่ภายนอก ไปจัดการแต่คนอื่น ไม่จัดการตัวเอง จัดการคนอื่นไปพร้อม ๆ กัน ไม่เอาทางใจทางวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน ความผิดพลาดถึงได้เกิดขึ้น ทำให้เหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เกิดความเสียหายได้เกิดการพังทลาย เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ต้องเอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติมาปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน ทุกคนเดินไปพร้อม ๆ กัน ไม่ต้องไปแก้ไขที่คนอื่น
เราทุกคนต้องพากันมาแก้ไขที่ตัวเอง แก้ไขทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพแก้ที่ใจ ตั้งใจตั้งเจตนามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เน้นที่ตัวของเรานี้เอง ให้เรารู้เข้าใจว่าปัญหาทั้งหลายนั้นไม่ได้เกิดจากคนอื่น ไม่ได้เกิดจากผู้อื่น มันเกิดจากเรานี้เอง เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจความประมาท ความผิดพลาด พากันไปแก้ตั้งแต่ภายนอก ไม่ได้แก้ทั้งภายนอกภายในไปพร้อม ๆ กัน ชีวิตนั้นก็ย่อมพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึกสตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของประเทศไทย ให้เรารู้ให้เข้าใจนะ
ประมาทเล็กน้อยก็ผิดพลาดเล็กน้อย ประมาทปานกลางก็ผิดพลาดปานกลาง ประมาทอย่างใหญ่ก็ผิดพลาดอย่างใหญ่ ให้รู้เข้าใจเรื่องความประมาท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสโอวาทที่เป็นโอวาทที่สำคัญก่อนที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน ท่านได้ตรัสแก่พระภิกษุทั้งหลายว่า การประพฤติการปฏิบัติของเราให้เรารู้เข้าใจ ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญของการประพฤติการปฏิบัติ เป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ เธอทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด
เราอย่าไปประมาท เราอย่าคิดว่าเราเป็นคนมีสติมีปัญญามาก เราสามารถที่จะจะแก้ปัญหานี้ได้ พระธรรมพระวินัยให้เรารู้เราเข้าใจ ว่าพระธรรมพระวินัยเป็นเบรก เป็นเซฟตี้ เป็นอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องรู้เข้าใจ พระธรรมพระวินัยเป็นคุณเป็นประโยชน์เป็นเบรกเป็นเซฟตี้ ให้ชะลอความเร็วในการเกิดอุบัติเหตุ ให้เรารู้เข้าใจนะ รถก็ต้องมีเบรก เครื่องบินก็ต้องมีเบรก เรือก็ต้องมีเบรก พระธรรมพระวินัยเป็นกรณียกิจ กิจที่เป็นเบรกเป็นเซฟตี้
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้ภิกษุทั้งหลาย ไม่ให้ตั้งอยู่ในความประมาท ให้เรารู้เข้าใจ พระธรรมพระวินัย เพื่อไม่ให้ใครทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ให้เรารู้เข้าใจพระธรรมพระวินัยมันอยู่นอกเหตุเหนือผล อยู่เหนือความปรุงแต่งของเรานะ เราไม่มีเหตุผลต่าง ๆ ที่จะไปคัดง้าง ไปต่อรองนะ เพราะพระวินัยคือคำสั่ง เราไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปต่อรอง พระธรรมคือคำสั่งสอน ให้เรารู้เข้าใจ ความรู้ต้องเป็นคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ด้วยเหตุผลนี้ พระธรรมพระวินัยถึงเป็นอริยมรรคทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพรวมลงที่ใจรวมลงที่เจตนา จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นธรรมเป็นคารวธรรม ตั้งอยู่ในความลงใจ ความสงบ ตั้งอยู่ในความไม่เพลิดเพลิน ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท นี้เป็นโอวาทสำคัญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้พวกเราเข้าใจนะ นี้เป็นโอวาทสำคัญ
๓. สังฆคารวตา หมายถึง สงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำว่าสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์เป็นผู้ปฏิบัติสมควร เป็นผู้ควรกระทำอัญชลี เคารพกราบไหว้ เอาพระธรรมเอาพระวินัย เอาพระรัตนตรัยที่เป็นพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ทั้งคำสั่งและคำสอน ไม่ได้เพิ่ม ไม่ได้ตัด เราต้องรู้เข้าใจ ทั้งความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ใช่เราเคารพนับถือเฉย ๆ เราต้องเอารู้มาคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั้นจะไม่เป็นพระศาสนา
ความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม พระธรรมกับพระวินัยต้องไปพร้อม ๆ กัน ถ้าเราเอาแต่พระธรรมเราก็จะเป็นได้แต่เพียงนักปรัชญา เป็นผู้คงแก่เรียน เราดูตัวอย่างแบบอย่างที่เสียหาย มีความรู้ไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ มีความเสียหายเกิดความเสียหาย ปัจจุบันนี้เราพากันพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ทางวัตถุเพื่อความสะดวกความสบาย เราไม่ได้พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน การเรียนการศึกษานั้นย่อมเสียหาย การเป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองนั้นย่อมเสียหาย การที่เป็นนักบวชนั้นย่อมเสียหาย ในความรู้สึกที่เรามีความรู้สึกร่วมรวมกันทุก ๆ คน เรามาระลึกถึงตัวเรา มาระลึกถึงคนอื่นที่พากันเอาความหลงนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต เราระลึกถึงตัวเองก็มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีเลย เราระลึกถึงคนอื่นก็เห็นแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีเลย เรามองเห็นข้าราชการเห็นนักการเมืองเห็นนักบวชทุก ๆ ศาสนาก็เท่ากับเห็นหน้าโจรหน้ายักษ์หน้ามารหน้าสัตว์เดรัจฉาน ความรู้สึกของเราทุกคนขณะนี้เวลานี้มันจะเป็นอย่างนี้ นี้กำลังเป็นปัญหา ในขณะนี้เวลา
เราทั้งหลายต้องพากันมารู้ความทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ การแก้ปัญหาให้เรารู้เข้าใจ เราจะไม่ต้องไปแก้ที่ใคร มาแก้ที่ตัวเราเองนี้แหละ มามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เน้นที่ปัจจุบัน เพราะปัจจุบันนี้เป็นวาระสำคัญ เพราะอดีตก็มารวมที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้แล้ว เรามามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ตั้งใจตั้งเจตนามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราพากันรู้เข้าใจ ว่าเราเกิดมาเพื่อมาทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ ไม่ใช่มาสร้างทุกข์มาสร้างปัญหา เรามาหยุดทุกข์หยุดปัญหา เรามามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เน้นที่ปัจจุบันนี้แหละ ให้รู้เข้าใจ เราพากันมามีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เราต้องรู้เรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม
ให้เรารู้เข้าใจว่าชีวิตของเรานี้ชั่วครู่ชั่วยามไม่จีรังยั่งยืน เราต้องมาทำประโยชน์และประโยชน์ผู้อื่นถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท ตามโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเมตตาตรัสบอกพวกเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายต้องมารู้แจ้งโลกคือทางวัตถุมาแจ้งโลก มารู้แจ้งธรรมคือทางจิตใจทั้งรูปธรรมนามธรรมรู้แจ้งทางจิตใจ เราจะเข้าถึงสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควร ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์เพื่อส่งดีเอ็นเอให้สู่กุลบุตรลูกหลานในรุ่นต่อไป เพราะความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ด้วยปิติสุขเอกัคคตา เมื่อมันผ่านมาแล้วผ่านไปแล้วเราก็ปล่อยวาง มีความสว่างไสว ว้าว ว้าว ด้วยความรู้ความเข้าใจ
๔. สิกขาคารวตา มนุษย์เรานี้ต้องเคารพในการเรียนการศึกษา เพราะความรู้ความเข้าใจเป็นสิ่งที่สำคัญ หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลาย ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะปฏิบัติได้อย่างไร เราต้องรู้เข้าใจ เราถึงพากันประพฤติพากันปฏิบัติได้ การเรียนการศึกษานี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ความรู้ความเข้าใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ความรู้ความเข้าใจนั้นไม่ใช่ความจำนะ ถ้าความรู้ความเข้าใจแล้วมันจะไม่ลืม ถ้าความจำมันลืม ปัจจุบันนี้ถ้าเรารู้เข้าใจ ความรู้ความเข้าใจมันจะเป็นคู่กับการประพฤติการปฏิบัติเลย ถ้าเรามีความรู้แล้ว เราไม่มีการประพฤติการปฏิบัติเรายังเป็นผู้ตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินตั้งอยู่ในความประมาทนะ ความรู้ความเข้าใจเราทั้งหลายต้องไม่ตั้งอยู่ในความประมาท เรารู้เข้าใจแล้ว เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเอาความรู้ความเข้าใจมาใช้มาปฏิบัติ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมเป็นความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ
การที่เราไปเรียนการศึกษาก็เพื่อความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อไปจำนะ ปัจจุบันนี้ถึงเป็นวาระสำคัญของเราทุก ๆ คน ปัจจุบันนั้นถึงเป็นวาระสำคัญนะ เราไปเรียนไปศึกษาต้องเข้าใจ ไม่ใช่ไปเรียนไปศึกษาเพื่อเอาใบประกาศ เราไปเรียนไปศึกษาเพื่อความรู้ความเข้าใจนั้นมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อให้ทางวิทยาศาสตร์กับทางวัตถุกับทางจิตใจไปพร้อม ๆ กันถึงจะเป็นการพัฒนาการเรียนการศึกษา ถึงจะเป็นธรรมเป็นคารวธรรมในสิกขาคารวตาในการเรียนการศึกษาที่ถูกต้อง ปัจจุบันเราต้องรู้เข้าใจ ความรู้ความเข้าใจนั้นจะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ปัจจุบันถึงเป็นความรู้ ปัจจุบันที่รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ นี้คือการเคารพคารวะในไตรสิกขา ที่เป็นกายวาจากิริยามารยาทอาชีพรวมลงที่ใจที่เจตนา
เราทั้งหลายต้องเอาความสงบเอาปัญญานำชีวิต เอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญานำชีวิตเราต้องรู้เข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยเราต้องเคารพในพระรัตนตรัย เคารพในไตรสิกขา ถ้าไม่เคารพในไตรสิกขาก็เกิดความสงบไม่ได้ เกิดปัญญาไม่ได้ คุณสมบัติของพระดี คุณสมบัติของคนดี จึงเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบถึงเคารพในไตรสิกขาที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาที่เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ให้เรารู้เข้าใจ เราต้องเคารพคารวะในไตรสิกขา ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
๕. อัปปมาทคารวตา ความเคารพในความไม่ประมาท เราทั้งหลายต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
ความประมาทคือความผิดพลาดคือความเสียหาย เสียหายแน่นอนนอนแน่ เราต้องเข้าใจในเรื่องความประมาทนะ ความประมาทนี้เป็นคุณสมบัติของความผิดพลาด เป็นคุณสมบัติของความเสียหาย
ถ้าใครคนไหนประมาทคนนั้นย่อมผิดพลาดแน่นอน อย่างพระธรรมฑูตที่ไปเผยแผ่ก็ต้องพากันไปนอนแผ่แน่นอนนอนแน่ ด้วยความประมาทด้วยความผิดพลาดนะ ให้เรารู้ให้เข้าใจในพระธรรมพระวินัย ในสิกขาบทน้อยใหญ่ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้วางหลักการหลักวิชาการไว้ พวกเราทั้งหลายจะไม่ได้ตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินความหลงความประมาท เพราะความประมาทนั้นมันผิดพลาดแน่นอนไม่ต้องลังเลสงสัย
เราทั้งหลายต้องเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป หวาดสะดุ้งเกรงกลัวต่อบาป อย่าไปคิดว่าบาปเล็กบาปน้อยไม่เป็นไร คงจะพอผ่านไปได้ เราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจนะ อย่าเอาความผิดพลาดนำชีวิต อย่าเอาความประมาทนำชีวิต
เราอย่าไปคิดว่าเราเป็นคนมีปัญญามากสามารถเอาตัวรอดได้ ความประมาทนั้นเป็นการเก็บเล็กผสมน้อยเดี๋ยวกรรมนั้นจะสุกงอมด้วยความประมาท เดี๋ยวจะเกิดความพินาศ เดี๋ยวมันจะพังทลายเช่นเดียวอย่างเดียวกันกับตึก สตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานตรวจเงินแผ่นนั้นย่อมพังทลายเพราะความประมาทความผิดพลาด ก็เพราะเอาความประมาทนำชีวิต เราเอาความหลงนำชีวิต เอาความประมาทนำชีวิต เอาอีโก้ เอาตัวตนนำชีวิต เราต้องรู้เข้าใจในเรื่องของความประมาทนะ เข้าใจในเรื่องความไม่ประมาทนะ ความไม่ประมาทมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้มีเมตตาบอกมหาชนทั้งหลาย ในกาลเวลาที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานว่า ความประมาทนี้จะเป็นอันตรายที่ยิ่งใหญ่ใหญ่ยิ่ง เราทุกคนได้รับความเสียหายในกาลที่ผ่านมาด้วยความประมาท เราต้องรู้เข้าใจเราจะได้เข้าสู่คารวธรรม ว่าเราต้องไม่เอาความประมาทนำชีวิต
ข้อที่ ๖ ข้อสุดท้ายของคารวธรรม คือเคารพในพระธรรม เคารพในการต้อนรับปฏิสันถาร ไม่แบ่งชั้นวรรณะ เป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละ ไม่หวังอะไรตอบแทน เทคแคร์ทุก ๆ คนเหมือนกัน มนุษย์เราคือผู้ที่รู้เข้าใจว่ามนุษย์เราต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เป็นผู้ที่ไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม รู้เข้าใจแล้วให้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นดับลงเพียงผัสสะ ไม่เอาความชอบความชัง ไม่เอาความดีใจเสียใจ เอาความสงบและปัญญา เอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญาเป็นการดำเนินชีวิต เน้นที่ปัจจุบันด้วยความรู้ความเข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ละอดีตที่ผ่านไปแล้ว ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ ได้ทั้งประโยชน์ชาตินี้ ได้ทั้งประโยชน์ชาติหน้า เน้นที่ปัจจุบัน เป็นผู้ที่รู้จักอริยสัจสี่ รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์ รู้จักข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เป็นผู้มีศีลเป็นผู้ที่มีสมาธิ เป็นผู้ที่มีปัญญา มีสติมีปัญญา เป็นความรู้ความเข้าใจเป็นประภัสสร รู้สิ่งที่สัญจรไปมาในเรื่องอาคันตุกะ ชั่วครู่ชั่วยาม การต้อนรับปฏิสันถารในแขกที่มาเยี่ยมเยือน เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้อง มาทางตาก็ให้จบเพียงตา มาทางหูก็ให้จบเพียงหู มาทางจมูกก็ให้จบเพียงจมูก มาทางลิ้นก็ให้จบเพียงลิ้น มาทางกายก็ให้จบเพียงกาย สิ่งทั้งหลายนั้นต้องให้จบลงเพียงผัสสะ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ จะได้ไม่เอาความหลงนำชีวิต ไม่เอาความผิดนำชีวิต เราต้องรู้จักสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริงว่าธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ เป็นสิ่งที่สัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยามเราต้องต้อนรับด้วยความถูกต้องด้วยความรู้ความเข้าใจเพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นประภัสสร เราทั้งหลายจะได้รู้ทางสายกลาง อดีตก็ให้จบไป อนาคตก็ให้เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เราจได้มีปฏิปทาเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง เราจะได้ต้อนรับอาคันตุกะที่สัญจรไปมาด้วยคารวธรรม
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเรื่องการต้อนรับและปฏิเสธ เราต้องเอาความสงบและปัญญาเป็นปฏิปทานำชีวิต เอาความสงบและปัญญา เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ด้วยเหตุผลนี้ธรรมะที่เป็นคารวธรรม ๖ ประการถึงเป็นสิ่งที่สำคัญของผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติทางสายกลางระหว่างวิทยาศาสตร์กับเรื่องจิตใจ
ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายที่ท่านเป็นทั้งคนดีเป็นทั้งคนมีปัญญา ที่เราต้องรู้จักปฏิปทาในการประพฤติการปฏิบัติ เรามาระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอน โอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้ว่า คารวธรรมนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ให้เราตั้งอยู่ในความไม่ประมาท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้เมตตาประทานโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรม ความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาทจะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความสงบและปัญญา ธรรมะนั้นถึงหยุดความปรุงแต่งได้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ
-----------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันศุกร์ที่ ๑๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
