๒๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
มนุษย์เราต้องพากันเอาธรรมนำชีวิต พัฒนาใจ พัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน การประพฤติปฏิบัติอยู่ที่ปัจจุบัน อดีตก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่ไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญของเรา เป็นวาระสำคัญแห่งชาติในการประพฤติปฏิบัติ
ปัจจุบันเราทุกคนต้องพากันทำให้ได้ปฏิบัติให้ได้ ปัจจุบันเราต้องพากันมีสติ ไม่มีความฟุ้งซ่าน มีสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อมว่าอันไหนถูกต้องไม่ถูกต้อง ปัจจุบันถึงเป็นความรู้คู่กับการประพฤติปฏิบัติ กาย วาจา กริยา มารยาท ใจของเราหน่ะ คิดได้ ทำได้ ปฏิบัติได้ทีละอย่าง เราต้องรู้เข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงหน่ะ เราต้องปฏิบัติในปัจจุบัน เราจะได้เป็นผู้มี ศีล สมาธิ ปัญญา ก้าวไปด้วยสติด้วยปฏิปทาที่เป็นทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม
ปัจจุบันสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้เราพากันไม่ตั้งอยู่ในความประมาท ความประมาทคือความผิดพลาด มันเป็นความพังทลายอย่างเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
พระพุทธเจ้าถึงให้เราทั้งหลายตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร เป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ให้เรารู้เข้าใจว่า กาย วาจา กริยา มารยาท อาชีพนี้เป็นเพียงอุปกรณ์ของใจ อุปกรณ์ กับ กรรมกร ก็คืออย่างเดียวกันเช่นเดียวกัน เพื่อที่เราจะได้รู้เข้าใจในเรื่องกรรม เรื่องกฎของกรรม เพื่อหยุดสิ่งเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่ ด้วยความรู้ ความเข้าใจ
เราทั้งหลายต้องพากันหยุดสัญชาตญาณที่เป็นกระบวนการทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด ด้วยมารู้มาเข้าใจในเรื่อง อริยสัจ 4 คือ รู้ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราทั้งหลายจะได้รู้เข้าใจว่าสิ่งต่าง ๆ ที่มาสัมผัสเรา เกี่ยวข้องกับเรา เป็นเพียงอาคันตุกะชั่วครู่ชั่วยามที่สัญจรไปมา เราทั้งหลายจะได้มารู้มาเข้าใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มาปรากฏแก่เราทาง ธาตุ 4 ขันธ์ 5 อายตนะ 12
ปัจจุบันต้องรู้ข้อสอบ เพื่อจะตอบด้วยการประพฤติปฏิบัติ เราต้องมีปีติ สุข เอกัคคตา ในการประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความความรู้ ความเข้าใจ เพื่อให้จบลงได้เพียงผัสสะ ไม่ให้เกิดการปรุงแต่งเป็นกระบวนการของการเวียนว่ายตายเกิด ความรู้เข้าใจอริยสัจ 4 นี่แหละจะเป็นเบรก เป็นเซฟตี้ ให้เรารู้เข้าใจ รถ เรือ เครื่องบิน เค้าก็มีเบรกมีเซฟตี้ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ความรู้ความเข้าใจให้เราเอามาเบรก มาหยุด คำว่าหยุด หมายถึงการประพฤติปฏิบัติ ปัจจุบันเราถึงจะมี ปีติ สุข เอกัคคตาในการประพฤติปฏิบัติ
ปัจจุบันนี้เราทุกคนต้องมีสติ สัมปชัญญะ เพื่อจะได้เป็นมรรค เป็นอริยมรรค ด้วยกาย วาจา กริยา มารยาท อาชีพ รวมลงที่ใจ ด้วยความตั้งใจ ด้วยเจตนา ปัจจุบันเราทุกคนต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ มีปีติ สุข เอกัคคตาด้วยการเอาใจใส่เป็นพิเศษ ปัจจุบันเราทุกคนต้องพากันประพฤติปฏิบัติให้ได้ พระพุทธเจ้าท่านเมตตาบอกเราว่าปัจจุบันเราต้องทำให้ได้ ถ้าปัจจุบันทำไม่ได้ อนาคตก็ย่อมทำไม่ได้ เราทั้งหลายต้องเห็นคุณเห็นประโยชน์ในการประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน เราทุกคนได้รับสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกันเหมือนกันทุก ๆ คน ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่ากัน เพราะการประพฤติปฏิบัตินั้น เรามาเน้นที่ตัวเรา ปฏิบัติที่ตัวเรา การปฏิบัติธรรมนั้นเป็นอริยมรรค ทั้งกาย วาจา กริยา มารยาท อาชีพรวมลงที่ใจ การประพฤติปฏิบัติจึงไม่เลือกกาลสถานที่ ที่ไหนมีกาย วาจา กริยา มารยาท อาชีพ ที่ที่มีใจ ที่นั้นย่อมมีการประพฤติปฏิบัติ
วันเสาร์วันอาทิตย์ที่เรามาวัดหรือไปวัด ให้เรารู้เข้าใจ เราไปทำความเข้าใจในพระธรรมพระวินัยของพระพุทธเจ้า เราพากันมาให้ทาน เสียสละ เพราะมนุษย์เราคือผู้มีปัญญา สัมมาทิฐิ ผู้เอาธรรมนำชีวิต เป็นผู้ให้ผู้เสียสละ ทำงานก็เพื่อเสียสละ มีความสุขในการเสียสละ เรียนหนังสือก็เพื่อเสียสละ ทำงานรับราชการการเมืองก็เพื่อเสียสละ มนุษย์เราต้องมีปัญญา สัมมาทิฐิ ต้องเสียสละ ถ้าไม่มีเราจะเป็นผู้มีสติมีปัญญาไม่ได้ มนุษย์เราเป็นผู้เสียสละมี ปีติ สุข เอกคตาในการเสีสละ ทำอะไรไม่หวังผลตอบแทนให้รู้ให้เข้าใจ เป็นปัญญากับความสงบ เป็นศิลปะการดำเนินชีวิต เป็นอนัตตา เป็นประภัสสร เป็นการยกเลิกสิทธิเสรีภาพ เป็นความรู้ความเข้าใจ ไม่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ เป็นความรู้ความเข้าใจ สิ่งภายในก็เป็นสิ่งภายใน สิ่งภายนอกก็เป็นสิ่งภายนอก ไม่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพทั้งภายในและภายนอก เป็นปัญญาสัมมาทิฐิไม่ใช่นิติบุคคลตัวตนเราเขา
การประพฤติปฏิบัติพระพุทธเจ้าท่านให้เราเข้าใจอย่างนี้ เราจะได้รู้ได้เข้าใจไม่หวังอะไรตอบแทน มีคนถามพระพุทธเจ้าว่าทำแล้วได้อะไร ท่านก็ตอบว่า ไม่ได้อะไร ไม่เสียอะไร เพราะทุกอย่างถ้าเรารู้เข้าใจ เราจะเข้าใจว่าไม่ได้อะไรไม่เสียอะไร รู้ว่าทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปตามเหตุตามปัจจัย การประพฤติปฏิบัติของเราพระพุทธเจ้าท่านให้เรารู้อย่างนี้ ท่านไม่ให้เราเอาธาตุทั้ง 4 ขันธ์ทั้ง 5 อายตนะทั้ง 6 มาเป็นเราเป็นผู้อื่นด้วยความรู้ความเขาใจ เราจะได้ประพฤติปฏิบัติอบรมบ่มอินทรีย์ ก้าวไปด้วยพรหมจรรย์ในอย่างต้น อย่างกลางและอย่างสูงสุด
มนุษย์เราพากันพัฒนาวัตถุวิทยาศาสตร์เพื่อความสะดวกสบายในการดำรงชีวิต ธาตุทั้ง 4 ขันธ์ทั้ง 5 อายตนะทั้ง 6 ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงเหตุปัจจัย เราเป็นมนุษย์ต้องเข้าใจเพื่อเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร เป็นเทวดามีวิมาน ก็ต้องเข้าใจเพื่อเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร เป็นพรหมก็ต้องเข้าใจ เพื่อเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร เป็นพระอริยเจ้าก็ต้องเข้าใจเพื่อเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร เราทั้งหลายจะได้รู้หลักการในการประพฤติปฏิบัติ
เราอยู่ที่บ้าน สังคม ครอบครัว เราต้องเน้นมาที่การประพฤติปฏิบัติที่ตัวเราเอง เราอย่าไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ ต้องรู้เข้าใจในการประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน เราจะได้ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ไม่ขาดตกบกพร่อง ให้รู้ว่าปัจจุบันนี้เป็นวาระสำคัญ เราจะพากันฟุ้งซ่านเอาความผิดนำชีวิต เอาความหลงนำชีวิต ไม่รู้ไม่เข้าใจ อยากได้มากก็ว่าสิ่งนั้นน้อย อยากได้น้อยก็ว่าสิ่งนั้นมาก อันนี้มันคิดเองเออเอง คิดแล้วก็ไม่มีใครทุกข์ให้เรา เราต้องรู้ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติในการดับทุกข์
ใจเราคิดได้ทีละอย่าง พระพุทธเจ้าไม่ให้เราตรึกนึกคิดในกาม พยาบาท เคียดแค้น อิจฉา ริษยา เราต้องรู้เข้าใจ เราปฏิบัติใจยังไม่ได้ก็ให้กาย วาจา กริยา มารยาท อาชีพให้มันได้เบื้องต้นพระพุทธเจ้าจึงไม่ให้เราตรึกนึกคิดเรื่องกาม พยาบาท สิ่งภายนอกที่เราเห็นด้วยตา ฟังด้วยหู รู้ด้วยกาย เราต้องทำให้ได้ปฏิบัติให้ได้ เพื่อจะได้เป็นเบรก เป็นเซฟตี้ เพื่อให้ความดี ปฏิปทาติดต่อต่อเนื่อง พระพุทธเจ้าให้เราปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องไม่ให้ความผิดมาคั่นรายการ มีโฆษณาสินค้าเข้ามาแทรกแซง
เราต้องรู้ต้องเข้าใจ รูป เสียง กลิ่น รส มันจะมาแทรกแซงคั่นรายการ เราไม่รู้ไม่เข้าใจเราก็ไปตามผัสสะที่มาคั่นรายการ ถ้าเรารู้เราเข้าใจเราจะไม่ไปตามผัสสะเหล่านั้น เพื่อเราจะได้มาหยุดวัฏฏะสงสาร ด้วยความรู้ด้วยความเข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายมันยังไม่จบ มีหูมันก็มีเสียง มีตามันก็มีรูป สิ่งเหล่านี้ไม่จบ เราต้องรู้เข้าใจเรื่องทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงการดับทุกข์ เรามองดูทุกอย่างมีแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป บรรพบุรุษของเราก็จากไป เราก็ล้วนต้องจากไป สิ่งทั้งหลายล้วนเกษียณ ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน
เราทุกคนต้องถือโอกาสนี้เป็นวาระในการประพฤติปฏิบัติ เราทั้งหลายเมื่อรู้อริยสัจ 4 เราต้องขอบใจอริยสัจ 4 ขอบใจความแก่ เจ็บ ตาย พลัดพราก ต้องขอบใจที่เปิดโอกาสให้เราได้ประพฤติปฏิบัติ ให้เรารู้เข้าใจว่าความแก้ เจ็บตาย พลัดพรากเป็นอริยสัจ 4 ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ให้เข้าใจในอริยสัจ 4 ที่เป็นประจักษ์พยานว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่บุคคล นิติบุคคล หากเป็นเพียงเหตุปัจจัย มันก้าวไปด้วยเหตุปัจจัย เราต้องเข้าใจจะได้เข้าสู่หลักการ อุดมการณ์ อุดมธรรม
พระธรรม พระวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่ 84,000 พระธรรมขันธ์เป็นกรณียกิจที่ควรทำ เป็นอกรณียกิจที่ไม่ควรทำ ให้เข้าใจว่าธรรมวินัยนี้มีคุณประโยชน์เป็นหลักการ อุดมการณ์ในการประพฤติปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้รู้การประพฤติปฏิบัติอยู่ที่ปัจจุบัน ด้วยเหตุผลนี้เราทั้งหลายจึงพากันมารู้อริยสัจ 4 รู้ความจริงในการประพฤติปฏิบัติ อยู่ในเมืองหลวง อยู่ต่างจังหวัดก็พากันประพฤติปฏิบัติ อยู่ที่ป่าเขารู้เข้าใจก็พากันประพฤติปฏิบัติ ที่ไหนมีธาตุทั้ง 4 ขันธ์ทั้ง 5 อายตนะทั้ง 6 ก็พากันปฏิบัติได้
เราทั้งหลายต้องพากันรู้เรื่องมรรค ให้ถือปัจจุบันเป็นวาระสำคัญในการประพฤติปฏิบัติ เราทุกคนจะได้มีสติปัญญา ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ มีความสงบให้เพียงพอ ผู้มีความสงบต้องเสียสละจะได้มีปัญญา เรามีปัญญาให้เพียงพอ คำว่าปัญญาคือ มีความเข้าใจถูกต้อง มีความเห็นถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เข้าใจทั้งเรื่องใจและวัตถุ ปัญญาต้องรู้ 2 ด้าน วัตถุกับใจ วัตถุกับใจต้องไปพร้อม ๆ กัน
ผู้มีปัญญาถึงจะเข้าถึงความพอดีพอเพียงจะไม่สุดโต่ง จะไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นคนอื่น เราดีกว่าเขา เราเก่งกว่า มีพาวเวอร์กว่า รวยกว่าเขา เราทั้งหลายมีปัญญาก็ต้องมีความสงบถึงแก้ปัญหาได้ เป็นคนรวยก็ต้องรู้อริยสัจ 4 เพื่อเข้าถึงความพอดีความพอเพียงเพียงพอ ถ้าไม่อย่างนั้นเป็นคนรวยที่ไม่รู้อริยสัจ 4 นั้นมีเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ มีความพร่องอยู่เป็นนิจ พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์วัตถุก็เพื่อตัวเพื่อตน เพื่อความหลง คนรวยก็แก้ปัญหาไม่ได้ คนรวยคนจนก็รู้จักปัญหา
การที่เราทำงาน เรียนหนังสือ เป็นข้าราชการนักการเมือง นักบวชให้รู้เข้าใจว่าเป็นการแสวงหาอาหาร ที่อยู่อาศัย ปัจจัยอำนวยความสะดวกสบาย เราต้องรู้เข้าใจในการเรียนว่าเรียนไม่ใช่เรียนเพื่อความหลง ทำงานก็ไม่ได้ทำงานเพื่อความหลง รับข้าราชการก็ไม่ได้รับข้าราชการเพื่อความหลง เป็นนักบวชก็ไม่ได้เป้นนักบวชเพื่อความหลง เราต้องรู้เข้าใจ ความรู้เข้าใจนี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราทั้งหลายจะได้รู้ความหมายว่าการทำที่สุดของมนุษย์อยู่นั้นที่ความรู้เข้าใจ อยู่ที่การมีความสุข ปีติ เอกัคคตาในการประพฤติปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้พากันมารู้พระไตรลักษณ์ มารู้สิ่งชั่วครู่ชั่วยาม เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีอะไรเป็นอมตะเที่ยงแท้แน่นอน เราจะได้ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ เราจะได้เอาความถูกต้องนำชีวิต ด้วยมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เราอย่าไปมองข้ามปฏิปทาที่เป็น กาย วาจา กริยา มารยาท อาชีพในปัจจุบัน เพื่อให้ความสมดุลระหว่างใจ กับวัตถุที่เป็นอริยมรรค
สรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้มีแต่แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากไปเกษียณไป เราต้องพากันรู้เข้าใจเพื่อไม่ให้สภาวธรรมต่าง ๆ ครอบงำใจ ครอบงำสติปัญญา เราต้องเข้าสู่หลักการ อุดมการณ์ อุดมธรรม เราพากันตั้งใจตั้งเจตนา วันหนึ่งคืนหนึ่ง มี 24 ชั่วโมง เราพากันนอนพักผ่อน 6-8 ชั่วโมง สำหรับประชาชนทุกคนที่อยู่ในเมืองกรุงปริมณฑล ค่า PM ไม่ดีต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ สิ่งต่าง ๆ มันมีประจำอยู่ในชีวิตของเรา เราต้องรู้เข้าใจ จะได้ตัดอกตัดใจ จะได้นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ทุกคนต้องตั้งมั่นในพระรัตนตรัย พระรัตนตรัยได้แก่ พุทธะ ธรรมะ สังฆะ เพื่อเอาพระรัตนตรัยนำชีวิต พวกเราจะได้รู้เข้าใจ ไม่ไปตามกระแส ให้ความรู้เข้าใจจบลงได้เพียงแค่ผัสสะด้วยรู้เข้าใจ โดยอาศัยหลักการหลักวิชาการ เพื่อเป็นอุดมการณ์ อุดมธรรม
พากันมาเน้นที่ตัวเรา ทำเหมือนพระพุทธเจ้าเหมือนพระอรหันต์ที่ฟังธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเราเป็นใครมาจากไหนเน้นที่ตัวเรานั่นแหละ เราต้องเน้นที่ตัวเรา ถ้าเราเน้นคนอื่น ภายนอกชีวิตเราก็จะพังทลายเหมือนตึก สตง. ชีวิตเราก็จะตกต่ำพังทลายเป็นอบายมุขอบายภูมิ เราต้องรู้จักโลกธรรม ไม่ให้เชื้อโรคทำลายเรา เค้าเรียกโรคภูมิแพ้ แพ้ภูมิตัวเอง โรคทำร้ายธรรม ตัวตนทำร้ายตน เราต้องรู้เข้าใจไม่ให้ความไม่ถูกต้องทำร้ายเราเหมือนตึก สตง. ไม่ให้ความไม่ถูกต้องทำร้ายเราพังทลายเหมือนตึก สตง.
เราต้องรู้เข้าใจ เราเกิดมาเพื่อรู้แจ้งทั้งธรรม รู้แจ้งทั้งทางโลก เพื่อความประภัสสรทั้งภายในและภายนอก เราทั้งหลายจะได้ไม่ถูกธาตุทั้ง 4 ขันธ์ทั้ง 5 อายตนะ 12 มาระคายเคือง ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราต้องรู้เข้าใจในเรื่องของพ่อแม่ ญาติพี่น้องวงษ์ตระกูล ทุกคนมีความแก่ เจ็บ ตาย เป็นของของตน จะแก้ให้กันไม่ได้ เราทั้งหลายเกิดมาเพื่อรู้แจ้งโลกธรรม 8 มีลาภก็เสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีนินทามีสรรเสริญ มีสุขมีทุกข์ มันเสื่อมมันทำร้าย มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตัวเราไม่รู้เข้าใจเรื่องอริยสัจ 4 ชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลาย
เราทุกคนให้พากันรู้พากันเข้าใจ พากันเป็นพระ พระคือผู้สงบ รู้แจ้งธรรมวินัย ไม่ไปตามผัสสะตามอารมณ์ ถ้าเราทำอย่างนี้เราทุกคนก็พากันเป็นพระได้ พากันเน้นที่ตัวเรา ด้วยเหตุนี้เราต้องพากันนอนพักผ่อนให้เพียงพอ สำหรับประชาชน 6-8 ชั่วโมง ต้องพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้อาหารกายให้เพียงพอ เพื่อให้อาหารใจด้วยพระธรรมพระวินัย เพื่อเป็นหลักการ อุดมการณ์ เพื่อให้อาหารใจให้เพียงพอ จะได้ไม่ตรึกนึกคิดในกามในพยาบาท เพื่อไม่หลงไปตามผัสสะ เราก็จะได้ทั้งอาหารกาย อาหารใจด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยความดีเป็นปฏิปทา
เราทุกคนนะ ทำได้ปฏิบัติได้ ไม่มีใครทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ คนที่ทำไม่ได้ก็มีแต่พวกคนสมองเสีย คนบ้า คนวิกลจริต คนที่ทำไม่ได้คือคนที่ไม่รู้อริยสัจ 4 ไม่รู้กรรม กฎแห่งกรรม บุคคล 2 ประเภทที่ทำไม่ได้ ก็คือ 1.คนบ้า 2.คนไม่รู้อริยสัจ 4
ปัจจุบันเป็นพื้นฐานของชีวิต จะสร้างบ้านก็ต้องมีถิ่นฐานสถานที่ ปัจจุบันเราถึงมีความสงบมีปัญญาเป็นพื้นฐาน เป็นพระกรรมฐานเป็นผู้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สติกับปัญญานี้เป็นพื้นฐานในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราไม่เข้าสู่หลักการมันไม่ได้นะ เราต้องเข้าสู่หลักการ เขาถึงมีแบรนด์เนมที่เป็นหลักการ มีแบรนด์เนมให้เป็นนักเรียน เป็นข้าราชการ เป็นนักการเมือง เป็นนักบวช อันนี้เป็นหลักการ เป็นมาตรฐานเป็น มอก. ถ้าเราไม่มีหลักการ ไม่มีจุดยืนมันก็จะไปของมันเรื่อย ด้วยเหตุด้วยปัจจัยนี้ เราต้องพากัน เข้าสู่การประพฤติปฏิบัติ เราต้องมีการปฏิบัติที่ติดต่อต่อเนื่องจึงจะได้ผล ไก่ฟักไข่ต้องใช้เวลา 3 อาทิตย์ขึ้นไป ไม่ว่าจะฟักด้วยวิธีธรรมชาติหรือใช้ไฟฟ้า
ธรรมะจึงเป็นหลักการในการประพฤติปฏิบัติ ความรู้ต้องคู่กับการประพฤติปฏิบัติ เราต้องมีธรรมมีวินัยคู่กับการประพฤติปฏิบัติ เราต้องมาถือพระรัตนตรัย ถือข้อวัตร กิจวัตรมาเป็นการประพฤติปฏิบัติ
อายุขัยของพวกเราส่วนใหญ่ก็อยู่ได้ไม่เกิน 100 ปี ก็หมดแล้ว ชีวิตเราก็หมดก็เกษียณ เราทั้งหลายจึงถือว่าได้รับโอกาสพิเศษ พระพุทธเจ้าท่านให้เราพากันตั้งอกตั้งใจขวนขวายทำความเพียร เอาอริยมรรคในปัจจุบันด้วยกาย วาจา กริยา มารยาท อาชีพ ลงในปัจจุบันด้วยใจด้วยเจตนา มีปีติ สุขเอกคตาในการประพฤติปฏิบัติ
วันจันทร์ถึงวันศุกร์เราก็ปฏิบัติธรรมปฏิบัติงานที่บ้านที่ทำงาน วันเสาร์วันอาทิตย์เราก็มารวมกันที่วัด เพื่อพากันมาประพฤติปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกัน มาเน้นที่ตัวของเราเอง เราอยู่ที่ไหน เราก็ต้องมีความสงบและปัญญา อยู่ที่ไหนก็ต้องเข้าถึงความสงบและปัญญา เข้าถึงพระนิพพานคือบ้านของเรา ศีล สมาธิ ปัญญาที่เป็นตัวหยุดวัฏฏะสงสารที่จะเป็นพระนิพพานคือบ้านของเรา
สุดท้ายให้พวกเรามาระลึกถึงปัจฉิมโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านบอกเราว่าอย่าพากันเพลิดเพลินตั้งอยู่ในความประมาท เพราะปัจจุบันเป็นวาระสำคัญในการประพฤติปฏิบัติ องค์หลวงปู่มั่นก็บอกเราว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของไม่จีรังยั่งยืน ปัจจุบันจึงเป็นวาระสำคัญในการประพฤติปฏิบัติ ชีวิตของเราจะได้ก้าวสู่พระนิพพานคือบ้านของเรา ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายที่มาทำหน้าที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ด้วยอานุภาพขององค์พุทธะ ธรรมะ สังฆะ จงอำนวยอวยชัยให้ทุกท่านทุกคนมีความสงบร่มเย็นเป็นพระนิพพานในโอกาสนี้ด้วยเทอญ....