๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๓๐ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเราะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม
เราทุก ๆ คนต้องพากันมารู้อริยสัจสี่ คือมารู้ทุกข์ มารู้เหตุเกิดทุกข์ มารู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เพราะเหตุผลว่าอดีตก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตที่ยังไม่มาถึงก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง ปัจจุบันนี้ถึงเป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ
ด้วยเหตุผลนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้เราพากันประพฤติพากันปฏิบัติในปัจจุบัน ไม่ให้เราทั้งหลายตั้งอยู่ในความประมาท พากันตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ สิ่งที่ผ่านไปแล้วเกษียณไปแล้วเป็นสิ่งที่เอากลับคืนมาไม่ได้ อนาคตที่ยังมาไม่ถึงก็เป็นสิ่งที่ปฏิบัติไม่ได้
ปัจจุบันถึงเป็นการประพฤติการปฏิบัติของเรา ให้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่มันมาผัสสะกับเราให้มันจบลงได้ที่ผัสสะ ธรรมะที่เรารู้เข้าใจ ที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ที่เป็นปัญญาประกอบด้วยความดี สองสิ่งนี้จะรวมกันเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตาเป็นธรรมะที่เป็นสภาวธรรมอยู่นอกเหตุเหนือผล อยู่เหนือความปรุงแต่งของเรา เราทุกคนพากันมาเน้นที่ตัวเรา ปฏิบัติที่ตัวเรา พากันมามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติของเรา
เราต้องพากันรู้เข้าใจ ว่าธาตุทั้ง ๔ ได้แก่ ดินน้ำลมไฟ ขันธ์ทั้ง ๕ ได้แก่ รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ อายตนะทั้ง ๖ ได้แก่ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ สิ่งเหล่านี้แหละเป็นเพียงเหตุเป็นเพียงปัจจัย หาใช่นิติบุคคลตัวตนไม่ เป็นเพียงเหตุเป็นเพียงปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี เราถึงรู้จักว่าอันนี้คือธรรมคือสภาวธรรมที่เป็นกรรม เป็นกฎแห่งกรรม เป็นผลของกรรม สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยาม ด้วยเหตุผลนี้เราทั้งหลายถึงต้องจบลงเพียงผัสสะ ความรู้ถึงเป็นคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ จะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมเพื่อเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ถึงจะหยุดความปรุงแต่งได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ ทุกอย่างอยู่ที่ปัจจุบัน จะเป็นวาระวาระไป
ถ้าเราเข้าใจ สติว่องไวรวดเร็วทันใจ สิ่งเหล่านี้ก็จะจบลงได้ที่ผัสสะ การประพฤติการปฏิบัติถึงมีการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เป็นอริยมรรคในปัจจุบัน การประพฤติการปฏิบัตินั้นถึงไม่เลือกกาลไม่เลือกเวลา ที่ไหนมีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ ๖ ที่นั้นคือการประพฤติการปฏิบัติของเรา ความสงบด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญาจะรวมเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา เป็นวิปัสสนาและสมถะ อยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นวาระสุดท้าย ปัจจุบันถึงเป็นอนาคตด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมพระวินัย พระนิพพานบ้านของเราถึงอยู่ที่ปัจจุบัน อยู่ที่ศีลอยู่ที่สมาธิอยู่ที่ปัญญา
เราทั้งหลายต้องพากันรู้พากันเข้าใจ เพื่อเอาปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ ทุก ๆ คนมีสิทธิเสรีภาพพอ ๆ กัน ไม่มีใครมากน้อย มีสิทธิเสรีภาพพอ ๆ กัน เราทั้งหลายไม่ต้องไปแก้ไขที่ปลายเหตุ
เราพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ มนุษย์เรานี้ภายใน ๒๔ ชั่วโมง เราพานอนพากันพักผ่อนคิดเป็นภาพรวม ๆ ๖-๘ ชั่วโมง ถ้าเรานอน ๔ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมงก็ถือว่าพอเพียงเพียงพอ ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งกิริยามารยาท ทั้งอาชีพ ทั้งใจ เป็นวาระสำคัญของการประพฤติการปฏิบัติ เพราะปัจจุบันเรารู้เข้าใจ เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ด้วยความรู้ความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ นั้นก็จะมีแต่คุณ ไม่มีโทษ ด้วยความรู้ความเข้าใจอย่างนี้ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๖ ก็ล้วนมีแต่คุณ รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์นี้ก็ล้วนมีแต่คุณ เราทั้งหลายมารู้มาเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงพระนิพพานคือบ้านของเราตั้งแต่ในปัจจุบันนี้ ชีวิตของเรานั้นจะเป็นความดี จะได้เป็นบารมีเบื้องต้นท่ามกลางถึงที่สุด
เราทั้งหลายต้องมายกเลิกสัญชาตญาณที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน ที่พาเราทุกคนนั้นเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร ต้องมายกเลิกด้วยความรู้ความเข้าใจ ยกเลิกด้วยพระธรรมพระวินัย มามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เรานอนเราพักผ่อนให้เพียงพอ เรารู้จักการประพฤติการปฏิบัติของเรา เน้นการประพฤติการปฏิบัติ ตั้งใจตั้งเจตนา ให้เข้าใจว่า ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ นี้เป็นเพียงอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติของเรา เจตนานี้ถึงเป็นตัวสำคัญ การประพฤติการปฏิบัติธรรมถึงเน้นเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องเจตนา ใจของใครก็พากันตั้งใจตั้งเจตนา ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายถึงตรึกในกามไม่ได้ ถึงตรึกในพยาบาทไม่ได้ ต้องเน้นที่ใจที่เจตนา ไม่พากันตรึกในกาม ไม่พากันตรึกในพยาบาท ถ้าเรารู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราไม่ตรึกในกามไม่ตรึกในพยาบาท ตั้งใจตั้งเจตนามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ สิ่งต่าง ๆ ที่มาเกี่ยวข้องกับเรา สิ่งเหล่านั้นก็จะจบลงที่ผัสสะ การปรุงแต่งก็จะหยุดน้อยลงไปเรื่อย ๆ ด้วยความชำนิชำนาญที่เป็นหลักการหลักวิชาการอุดมการณ์อุดมธรรม
เราทุกคนต้องมารู้จักการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ อานาปานสติเป็นหลักการของการประพฤติหลักการของการปฏิบัติ เพราะสิ่งต่าง ๆ นั้นมันมีมากมาย เราทั้งหลายถึงมีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมในการประพฤติการปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราใช้หลักการอานาปานสติ หายใจเข้าก็อยู่กับการหายใจเข้า หายใจออกก็อยู่กับการหายใจออก หายใจเข้าก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจออกก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าก็หายใจเข้าให้สบาย หายใจออกก็หายใจออกให้สบาย
เราทั้งหลายต้องรู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ การทำอย่างนี้ใช้ได้ทุกเมื่อทุกกาลทุกเวลา ไม่ใช่ใช้เฉพาะการนั่งสมาธิ เพื่อเป็นหลักในการประพฤติการปฏิบัติ เวลานั่งสมาธิก็ใช้หลักการเดียวกันนี้
ปัจจุบันเป็นอริยมรรค ปัจจุบันเราต้องมีสติสัมปชัญญะได้แก่ความสงบและปัญญา มีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราทั้งหลายจะไม่ได้ฟุ้งซ่าน จะได้มีหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม หลักการอานาปานสติถึงใช้ได้ในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราจะพัฒนาให้เกิดปัญญาก็ใช้หลักการอานาปานสตินี้แหละบริกรรมภาวนาให้รู้ในใจว่า หายใจเข้ามันก็ไม่แน่ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หายใจออกก็ไม่แน่ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแต่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปหาใช่นิติบุคคลตัวตนไม่มันเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม มันเป็นกรรมเก่าและกรรมใหม่จิ๊กซอว์ซึ่งกันและกันเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี อานาปานสตินี้ใช้ได้ดีมาก เป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ
การทำสมาธิให้เรารู้เข้าใจ ให้เน้นที่ปัจจุบัน มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราจะได้มีสติเป็นพื้นฐานมีปัญญาเป็นพื้นฐาน เป็นพระธรรมเป็นพระวินัยเป็นพระกรรมฐาน คำว่าพระคือผู้รู้ผู้เข้าใจด้วยตัวตน มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา เพื่อเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิตมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ด้วยเหตุผลนี้ทุกท่านทุกคนก็พากันเป็นพระได้ ทุกชาติทุกศาสนา ข้าราชการนักการเมืองนักบวชทุกคนก็เป็นพระได้ ด้วยความรู้ความเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจนี้จะหยุดสัญชาตญาณด้วยความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้หลักการแก่เรา ว่าเราต้องพากันเจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป เอาแต่ความสงบก็ไม่ได้ เพราะความสงบเป็นเพียงสมถะเป็นเพียงสมาบัติ เอาแต่ทางวิทยาศาสตร์นั้นก็ไม่ได้ ต้องเอาทั้งสมถะทั้งวิปัสสนาควบคู่กันไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้เราใช้หลักการในการสาธยายเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ท่านถึงให้หลักการให้เราทั้งหลายพิจารณาสรีระร่างกาย สรีระร่างกายของหมู่มวลมนุษย์หรือสรรพสัตว์ทั้งหลายมีชิ้นส่วนอยู่ ๓๒ ชิ้นส่วน ท่านให้เราแยกออกเป็นชิ้น ๆ ออกไปเลย ผู้ที่บวชมาพระอุปัชฌาย์ถึงได้บอกกรรมฐานหรือการงานก่อนที่จะครองผ้ากาสาวพัสตร์ พระอุปัชฌาย์บอกว่า เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกศา ท่านให้เราแยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วนครบ ๓๒ ชิ้นส่วน แล้วเอามาประกอบเข้ากันใหม่ที่เป็นอนุโลมปฏิโลม ที่ท่านพูดยกตัวอย่างเพียง ๕ อย่างเพื่อเป็นหลักการ การพิจารณาร่างกายหรือแยกร่างกายเป็นชิ้นส่วนทำให้เราเกิดความสงบเกิดปัญญา เกิดสมถะเกิดวิปัสสนา เราต้องรู้เข้าใจด้วยการเจริญสมถะและวิปัสสนา
เราคิดดูดี ๆ นะ มนุษย์เรานี้ถ้าเอาผมออกก็จะให้ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเอาหนังออกจะมีความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง จะให้ความรู้สึกต่างหาก หลักการในการภาวนาพิจารณาที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเรามีการประพฤติการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง การปฏิบัติของเราถึงจะได้ผลเห็นภัย ตามหลักการหลักวิชาการอุดมการณ์อุดมธรรม การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องกันหลายนาที หลายชั่วโมง หลายวัน ที่ติดต่อต่อเนื่อง การปฏิบัติอย่างนี้ถึงจะได้ผลถึงจะเห็นผล ตามหลักเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ถ้าทำอะไรติดต่อต่อเนื่อง ๓ อาทิตย์ขึ้นไปจะมองเห็นสิ่งนั้นได้ด้วยรูปธรรม นามธรรม ด้วยเหตุผลนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจึงได้วางหลักการที่เป็นทั้งคำสั่งและคำสอน เป็นพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ เพื่อให้เรารู้เข้าใจเป็นหลักการหลักวิชาการในการประพฤติการปฏิบัติ
ที่พระอานนท์ทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานแล้วจะเอาอะไรแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัสกับพระอานนท์ไว้ว่า อานนท์เอย พระธรรมพระวินัยนั่นแหละคือตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหาใช่นิติบุคคลตัวตนไม่ พระธรรมพระวินัยเป็นทั้งคำสั่งและคำสอนนั่นแหละคือตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เราทั้งหลายถึงเข้าถึงธรรมถึงสภาวธรรม ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพราะการประพฤติการปฏิบัติไม่มีใครมาประพฤติมาปฏิบัติให้เราได้ แทนเราได้ เราทั้งหลายต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติเอาเอง เรามามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ให้ถือว่าปัจจุบันนี้เป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติของเรา อานนท์เอย ต้องเน้นที่ปัจจุบัน เพราะอดีตก็มารวมที่ปัจจุบันแล้วอนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันแล้ว ปัจจุบันถึงเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ ให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัตินี้แหละคือความรู้ความเข้าใจ พระธรรมพระวินัยถึงเป็นตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ขลังศักดิ์สิทธิ์ให้เรารู้เข้าใจ พระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่ขลังศักดิ์สิทธิ์ตัวตนนี้เป็นสิ่งที่ไม่ขลังศักดิ์สิทธิ์ ตัวตนเป็นสิ่งที่พังทลายเสียหาย พังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึงสตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทยนั้นแหละ ด้วยเหตุผลนี้เราเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐต้องพากันรู้อริยสัจสี่รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์
มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจเห็นภัยในวัฏฏสงสารพากันตั้งอยู่ในความไม่ประมาทไม่หลงไม่เพลิดเพลิน มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายเป็นสิ่งที่มีอยู่ไม่ใช่ไม่มี เรามีตาก็ต้องมีรูป เรามีหูก็ต้องมีเสียง มีจมูกก็ต้องมีกลิ่น มีลิ้นก็ต้องมีรส มีกายก็ต้องมีสัมผัส เรามีใจก็ต้องมีความรู้สึกนึกคิด เราต้องรู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่ เราจะได้รู้เราจะได้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราทั้งหลายจะได้มารู้แจ้งเรื่องอดีต รู้จักเรื่องอนาคต ปัจจุบันนี้เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เอาพระธรรมพระวินัยเพื่อหยุดเหตุหยุดผลเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผลด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
การประพฤติการปฏิบัติให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราพากันมาประพฤติปฏิบัติเพื่อจะมาเอามามีมาเป็น ปกติเราทุกคนที่เวียนว่ายตายเกิดก็เพราะว่าเอาธาตุทั้ง ๔ เอาขันธ์ทั้ง ๕ เอาอายตนะ ๑๒ มาเป็นตัวเรามาเป็นคนอื่น สิ่งเหล่านี้มันไม่ถูกต้อง มันทำให้เราทุกคนเวียนว่ายตายเกิด เราทุกคนก็มีความทุกข์อยู่แล้ว มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีเลย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสบอกพวกเราทั้งหลายว่าเปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ เปรียบเสมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อของเพลิง มันหาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น เราต้องพากันมารู้เข้าใจ เพื่อให้เราทั้งหลายหยุดลงได้เพียงผัสสะ ด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติที่ติดต่อต่อเนื่องเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ปัจจุบันนี้เราทุกคนถือว่าเป็นวาระสุดท้ายหรือว่าเริ่มต้นของการประพฤติการปฏิบัติ ที่เป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตามีความสงบและปัญญา ปัจจุบันนี้ถึงเป็นด้วยความรู้ความเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจนั้นจะไม่มีความปรุงแต่ง จะหยุดความปรุงแต่ง ในวาระจิตสุดท้ายนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะวาระจิตสุดท้ายนี้มันจะเป็นจิ๊กซอว์ต่อเติมของการประพฤติของการปฏิบัติ ปัจจุบันเราถึงเอาพระธรรมเอาพระวินัยนำชีวิต เราทุกคนที่เกิดมา อายุขัยของเราอยู่ได้ร่วม ๆ ศตวรรษหนึ่งนะคือร้อยปี ถ้าเราปฏิบัติดี ๆ เอาทั้งเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องวัตถุเป็นทางสายกลางไปพร้อมกัน ชีวิตนี้ย่อมอยู่ได้เพื่อสร้างความดีสร้างความดีสร้างคุณธรรมจะอยู่ได้มากกว่าร้อยปีนะ
เราทั้งหลายต้องยกเลิกความไม่ถูกต้อง ยกเลิกเขายกเลิกเรา คืนอธิปไตยให้กับความเป็นประภัสสร หรือว่าคืนอธิปไตยให้สู่ปวงชน เราต้องรู้เข้าใจว่า ความเป็นนิติบุคคลตัวตน มันจะทำร้ายตัวของมันเอง โรคภัยไข้เจ็บเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ โรคนั้นคือภพคือชาติที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ ที่มันเป็นสัญชาตญาณที่เป็นตัวเป็นตนที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้เข้าใจนี้มันจะปรุงแต่งของมันไปเรื่อย มันจะคิดเองเออเองอยากได้สั้นก็ว่าตัวนี้ยาว อยากได้ยาวก็ว่าสิ่งนี้สั้นมันคิดเองเออเองมันเป็นความปรุงแต่ง ความปรุงแต่งนี้จึงเป็นวัฏฏสงสารอย่างยิ่งหรือเป็นทุกข์อย่างยิ่งเราต้องรู้เข้าใจนะเราทั้งหลายจะได้ดับลงได้เพียงผัสสะ เราจะได้ยกทุกอย่างที่เกิดขึ้นจากตาหูจมูกลิ้นกายใจเกิดจากธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะภายนอกภายใน ๑๒ เข้าสู่พระไตรลักษณ์ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นล้วนแต่เป็นสิ่งไม่แน่ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
หลวงปู่ชา สุภัทโทแห่งวัดหนองป่าพง ท่านถึงบอกให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ไปกราบไปไหว้พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั้นคือรู้อริยสัจสี่ ว่าทุกอย่างไม่แน่ไม่เที่ยงทุกอย่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราจะได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เข้าเฝ้าพระธรรมเข้าเฝ้าพระอริยสงฆ์นะ เราจะเห็นทุกอย่างว่าทุกอย่างนั้นไม่แน่ไม่เที่ยง ทุกอย่างนั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ทุกอย่างนั้นเป็นอนัตตา ทุกอย่างนั้นเพียงสัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะเท่านั้นเราจะได้เข้าถึงความสงบปัญญาเข้าถึงความเป็นประภัสสร เราจะได้หยุดวงจรเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม เราจะได้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ยกเลิกความไม่ถูกต้องด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจชีวิตที่ประเสริฐที่เราได้อัตภาพเป็นมนุษย์ ชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึกสตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของประเทศไทย ตึกทั้งหลายทั้งปวงมีอยู่มากมายตึกไหน ๆ ก็ไม่พังมันพังตึกเดียวเฉพาะตึกสตง.
ตึก สตง.อยู่ที่กรุงเทพมหานคร ตึก ๓๐ กว่าชั้น ตึก สตง.ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิตเอาทุจริตนำชีวิต ชีวิตมันเลยพังทลาย ชีวิตมันพังทลายนะ ตึกสตง.มันพังทลายด้วยนิติบุคคลตัวตนพังทลายด้วยทุจริตมันจะไปแก้ไขตั้งแต่ภายนอกมันจะไปพัฒนาตั้งแต่วิทยาศาสตร์จะไปเอาความสุขบนความหลง ชีวิตเลยพังทลายนะ
เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งน่ะ เราคิดดูดีๆ นะ ตึกใหญ่กว่าสูงกว่าตึก สตง.ตั้งหลายสิบตึกที่กรุงเทพมหานครที่ปริมณฑล เค้าไม่พังทลายเหมือนตึกสตง. เพราะพอที่จะรับน้ำหนักได้ ไม่ใช่ไม่โกงกินคอร์รัปชั่นนะ แต่เค้าโกงกินคอร์รัปชั่นน้อยพอที่จะรับแผ่นดินไหวจากมัณฑะเลย์ประเทศพม่า ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ประเทศพม่าห่างไกลกันตั้งนับพันกิโล
นี้ให้เรามองเห็นในแง่มุมความไม่ถูกต้องน่ะ ชีวิตที่เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ
เราทั้งหลายถึงต้องเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร รู้จักความคิดรู้จักอารมณ์เหมือนท่านพระอาจารย์ลี ธัมมธโร วัดอโศการาม สมุทรปราการ ท่านรู้จักความคิดการปรุงแต่งของตัวเอง ท่านรู้จักว่าความปรุงแต่งนี้มันคือวัฏฏสงสารนะ ท่านรู้จักความปรุงแต่ง เพราะความปรุงแต่งมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ชีวิตนี้ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. เพราะมันไม่ถูกต้อง มันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. นี้แหละ
ตึก สตง.ที่อยู่กรุงเทพมหานครอยู่เมืองหลวงอยู่เมืองกรุง เป็นศูนย์รวมของประเทศ เหมือนสมองเป็นศูนย์รวมของร่างกาย เหมือนหัวใจเป็นศูนย์รวมของสรีระร่างกาย
สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่บริหารประเทศ บริหารแผ่นดินไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เอาแต่ความรู้เอาแต่วิทยาศาสตร์เอาแต่ตัวเอาแต่ตน ไปแก้แต่สิ่งภายนอก ไม่ได้แก้ตัวเองไปพร้อม ๆ กัน
การพัฒนาวิทยาศาสตร์มันต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันมันถึงถูกต้องนะ พัฒนาทั้งภายนอกภายในด้วยความรู้ความเข้าใจให้ครบวงจร อริยมรรคองค์แปดถึงเป็นความรู้ความเข้าใจ เพื่อการประพฤติการปฏิบัติมันจะได้สมบูรณ์ สมบูรณ์ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพด้วยความถูกต้อง
มันต้องรู้ธรรมรู้ปัจจุบันธรรม รู้ธรรมธรรมนูญน่ะ ถ้าเราไปจัดการแต่สิ่งภายนอก เราไม่ได้จัดการตัวเองมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้นะ
การบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่น มันต้องรู้เข้าใจแล้วมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์
ถ้าเรามีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติมันก็ไม่มีความทุกข์อยู่แล้ว ด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติ ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพ เราต้องเน้นมาที่ตัวเราในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองให้มันสมบูรณ์ เราทั้งหลายจะไม่ได้พังทลายเหมือนตึก สตง.
ถ้าใครมีตัวมีตนบุคคลนั้นคือทุจริตนะ เราทั้งหลายจะได้รู้ว่าทุจริตนั้นคือตัวตนน่ะ ใครเอาตัวตนนำชีวิตบุคคลนั้นคือบุคคลที่ทุจริต เราต้องรู้จักธรรมรู้จักธรรมนูญ ปัญหาต่าง ๆ นั้นมันอยู่ที่ทุจริตนะ
การที่จะบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่นต้องยกเลิกทุจริต ถึงจะเป็นนักบริหารตัวเองนักบริหารคนอื่นด้วยการรู้เข้าใจในการบริหารในการปฏิบัติ
ตำแหน่งที่เค้าแต่งให้เราเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นตำแหน่งที่ให้เรามาเสียสละ มารับผิดชอบโฟกัสในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ใช่ตำแหน่งที่ให้พวกเราทั้งหลายมาทุจริตนะ
ให้ถือว่ามันเป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติมีเกียรติมีศักดิ์ศรี เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันจะมีเกียรติมีศักดิ์ศรีได้อย่างไร ถึงพวกเราทั้งหลายจะพากันใส่สูทผูกเนคไทห้อยเหรียญตรา เป็นผู้ทรงเกียรติมันก็ไม่เป็นผู้ทรงเกียรตินะ มันเป็นผู้ทรงความหลงต่างหาก ทรงความโง่ความหลงงมงายต่างหากล่ะ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะเข้าถึงบริสุทธิคุณ เข้าถึงธรรมนูญเข้าถึงรัฐธรรมนูญไม่ได้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเป็นอบายมุขอบายภูมินะ มันตกอยู่ในภพภูมิของ ๓๑ ภพภูมิ
ในภพภูมิของวัฏฏสงสารนี้มีอยู่ ๓๑ ภพภูมิ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะอยู่ในระนาบของ ๓๑ ภพภูมินี้แหละ
เค้าถึงมีศัพท์ว่าคน คนนี้หมายถึงตัวถึงตน หมายถึง ๓๑ ภพภูมินี้แหละ ภพภูมิที่เวียนว่ายตายเกิดมีทั้งหมด ๓๑ ภพภูมิ
เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ประพฤติปฏิบัติ เราจะไม่ได้ย่ำต๊อกกับความหลงที่มีศัพท์ว่า “คน” คนนี้ความหมายหมายถึงความไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้น มันจะวกวนอยู่ที่เก่า มันจะเป็นผู้ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา สัมผัสกับอะไรก็ไปกับสิ่งนั้น ๆ อยู่ในภพภูมินั้น ๆ
เรารู้เราเข้าใจเราจะได้หยุดภพภูมินั้น ๆ ด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ด้วยความเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเค้าเรียกว่ามันหลง มันวกวนในความหลงอย่างนั้น จิตใจวกวน อย่างนั้นมันจะไปไหนไม่ได้ มันจะเป็นได้แต่เพียงคนเป็นได้แต่เพียงความหลง หัวใจของบุคคลนั้นมันจะอยู่ในระนาบแห่งความหลงหรือว่าหัวใจบ่อนคาสิโน เอาตัวตนเป็นที่ตั้งคือหัวใจบ่อนคาสิโน หัวใจบ่อนทำลายความถูกต้อง หัวใจบ่อนความหลง
ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้เห็นภัยในความไม่ถูกต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารด้วยปัญญาบริสุทธิคุณ ด้วยเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ พอใจยินดีมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิตหัวใจของเราทั้งหลายจะได้หยุดอบายมุขอบายภูมิ
เราทั้งหลายถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายจะพากันคิดว่า ความสุขทั้งหลายได้มาจากสิ่งที่อำนวยความสุขความสะดวกความสบายด้วยการพัฒนาวิทยาศาสตร์ อันนี้จริงอันนี้ถูกต้อง ความสุขทั้งหลายมันอยู่พัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์
เราทั้งหลายต้องมีสัมมาทิฐิเราต้องมีความรู้ความเข้าใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ก็ต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ถ้าเราพัฒนาวิทยาศาสตร์มันก็ยังเป็นนิติบุคคลตัวตนอยู่
เราต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันด้วยความรู้ความเข้าใจเราทั้งหลายน่ะ ถึงเป็นการพัฒนาครบวงจรด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็จะเอาความหลงนำชีวิตเอาวิทยาศาสตร์นำชีวิต
เราต้องเอาทั้งวิทยาศาสตร์เอาทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กันนะ
เราอย่าไปคิดว่าประเทศสิงคโปร์นั้นน่ะประเทศเล็ก ๆ เท่าอำเภอหนึ่งของเมืองไทยก็ไม่ได้ เค้าพัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์เป็นหนึ่งของเอเชียเพราะเค้าตั้งบ่อนคาสิโน มาเก๊าส่วนหนึ่งของประเทศจีนเค้าก็รวยเพราะเค้าพัฒนาตามหลักเหตุตามหลักวิทยาศาสตร์
พวกเราทั้งหลายเมื่อมีปัญญาแล้วต้องรอบคอบนะ มีปัญญาแล้วต้องรอบคอบ อย่าลืมว่าชีวิตของเรามันเป็นรายรับรายจ่ายนะ เราไปจับหางงูเดี๋ยวงูมันจะมากัดเรา งูพิษมันจะมากัดเรานะ การที่เราเอาหลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องแล้ว เราต้องมีหลักการมีอุดมการณ์แล้วก็มีอุดมธรรมนะ หลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์น่ะ แต่ต้องไม่ทิ้งอุดมธรรมนะ
เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเอาความรู้สึกที่เอาตัวเป็นที่ตั้งมันเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์แล้วอุดมด้วยความหลงนะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราเอาทั้งหลักการอุดมการณ์แล้วก็ยกเลิกอุดมหลงนะ
ให้เอาอุดมธรรมให้เอาธรรมเอาธรรมนูญมันถึงจะสมบูรณ์เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี เราอยากได้มากมันก็ไม่มาก เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อย เราต้องรู้จักความพอดีเข้าสู่ความสมดุลทั้งรายรับรายจ่าย
เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี การประสูติของพระพุทธเจ้าถึงเป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็เป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ
เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้รู้หลักการรู้อุดมการณ์แล้วก็อุดมธรรม เราอยู่ที่ไหนก็พากันปฏิบัติได้ เมื่อเรามีลมปราณ มีอายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ มีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้
ให้รู้เข้าใจมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
อย่าไปคิดด้วยอวิชชาความหลงเอาแต่หลักการอุดมการณ์เอาแต่วิทยาศาสตร์น่ะ ถ้าเรารวย รวยความหลงมันไม่ดีนะ รวยความโง่หลงงมงายเรียกว่ารวยไสยศาสตร์มันไม่ดีนะ ไม่ใช่ความดีมันไม่ใช่บารมีไม่ใช่ปัญญาบริสุทธิคุณนะ มันเป็นความหลงนะ
ให้เรารู้เข้าใจ อย่าไปคิดว่าทำไมเราโง่ไปตั้งหลายปี ประเทศสิงคโปร์ประเทศ เค้าเล็กนิดเดียวเค้าตั้งบ่อนคาสิโนเค้ารวยกัน ประเทศมาเก๊าก็เหมือนกันเค้ารวยกัน
ประเทศสิงคโปร์เค้ามีหลักเหตุผลมีหลักวิทยาศาสตร์น่ะ เค้าคิดว่าประเทศสิงคโปร์มันเล็กนิดเดียว จะทำเกษตรกรรมก็ไม่ได้ จะทำอุตสาหกรรมก็ไม่ได้ ถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโนด้วยหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์ก็รวยได้ เพราะคนในนี้โลกนี้มันคนมีความไม่ฉลาด เอาความหลงนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิตมันมีมากถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโน เราสามารถรวยได้ทางวัตถุ ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์เค้าถึงพากันตั้งบ่อนคาสิโน จะเรียกบ่อนคาสิโนก็ได้หรือเรียกบ่อนแห่งความหลงก็ได้ มันคืออันเดียวกัน
ให้เรารู้เข้าใจ ประเทศไทยเราแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลเราต้องรู้เข้าใจว่า เราทั้งหลายอย่ายินดีในการเอาความหลงนำชีวิต อย่าไปยินดีในการเอาบ่อนคาสิโน นำชีวิตนะ
พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ศาสดาทุกศาสนาเค้ามายกเลิกบ่อนคาสิโน มายกเลิกอบายมุขอบายภูมิ ให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเรารู้เข้าใจ ทุกอย่างน่ะไม่มีปัญหา ปัญหาอยู่ที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจนะ
เหมือนประเทศไทยของเรานี้แหละ โครงการยกเลิกเหล้ายกเลิกเบียร์ ยกเลิกสิ่งเสพติดยาเสพติดที่มันเป็นอบายมุขแห่งชีวิต ที่มันเป็นอบายภูมิแห่งชีวิต
เกือบร้อยปีของโครงการพากันประพฤติปฏิบัติด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ ตั้งอยู่ในความประมาท เอาความหลงนำชีวิตเอาความประมาทนำชีวิตมันก็ปฏิบัติไม่ได้ มันก็ยิ่งมากกว่าเก่า ไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิต ความหลงก็เลยยิ่งใหญ่ใหญ่ยิ่ง
มันก็แก้ปัญหาไม่ได้ มันยิ่งมากทวีคูณ มันก็ไปของมันเรื่อย มากยิ่งกว่าเก่าทวีคูณยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก
อย่างการสวมหมวกกันน็อคอย่างนี้แหละ มอเตอร์ไซด์เข้ามาในเมืองไทย ประเทศไทย ไม่ต่ำกว่า ๖๐ ปี ขณะนี้เวลานี้ก็ยังทำไม่ได้ เรื่องสวมหมวกกันน็อคนี้ที่ให้ประชาชนผู้ขับขี่จักรยานยนต์เพื่อสะดวกในการสัญจรไปมา ได้ออกกฎหมายบังคับตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๒๕ ขณะนี้เวลานี้มันก็เป็นเวลาจวนจะ ๕๐ ปีแล้วก็ยังพากันทำไม่ได้
ถ้าเรารู้เข้าใจว่า การทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยนี้ไม่ได้ มันเป็นความเสียหายทั้งตัวเราและส่วนรวม มันไปไม่ได้ ชีวิตของเรามันไปไม่ได้นะ ชีวิตนี้มันพังทลายเหมือนตึก สตง.ของเมืองไทยนี้แหละ
เราต้องเข้าใจ ทุกคนต้องเข้าใจ ไม่ใช่เข้าใจเฉย ๆ ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าไม่อย่างนั้น มันก็จะไปของมันด้วยความไม่ถูกต้องอย่างนี้แหละ
พูดอย่างนี้ไม่ใช่คนบ้าจี้นะ ไม่ใช่คนผีบ้าจี้นะ นี้มันคนดีจี้ คนมีปัญญาจี้ นี้เป็นพระธรรมคำสั่งสอนที่เป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ อาชีพที่ถูกต้องเป็นมรรคเป็นอริยมรรค เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจในภัยทั้งทางกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ ภัยที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ เราไม่เห็นภัยก็ตั้งอยู่ในความประมาท เราจะเอาความประมาทนำชีวิตมันเป็นความไม่ถูกต้องนะ
ให้เราทั้งหลายระลึกถึงโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสโอวาทสำคัญครั้งสุดท้ายไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน
ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาทจะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความสงบและปัญญา ธรรมะนั้นถึงหยุดความปรุงแต่งได้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ
-----------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา