๒๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๒๑ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ฮิจเราะห์ศักราช ๑๔๔๖
เราทุกคนมาเอาธรรมนำชีวิตด้วยความรู้ความเข้าใจ ทุกคนต้องเอาธรรมนำชีวิต ยกเลิกตัวตน มีสติมีสัมปชัญญะ รู้แจ้งธรรมะ รู้แจ้งสภาวธรรม ไม่ไปตามผัสสะที่เกิดขึ้นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ด้วยความรู้ความเข้าใจ หยุดลงที่ผัสสะ ผัสสะในปัจจุบันเป็นวาระสำคัญในการประพฤติในการปฏิบัติ ผัสสะเป็นข้อสอบ ตอบด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย พระธรรมคือคำสอนให้รู้ให้เข้าใจ พระวินัยเป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติ เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ทุกคนรู้เข้าใจ มีปิติมีความสุข มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อไม่มีทุกข์ในปัจจุบัน เพื่อไม่ให้มีทุกข์ในอนาคต ให้ถึงความดับทุกข์ตั้งแต่ปัจจุบัน เป็นพื้นเป็นฐานของอนาคต เป็นกระบวนการแห่งความดับทุกข์
เราทุกคนพากันมามีสติมามีสัมปชัญญะ สติกับสัมปชัญญะเป็นธรรมะที่มีคุณมีอุปการะมาก เราทุกคนต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ปัญญาหมายถึงความรู้ความเข้าใจ เข้าใจในเรื่องธรรมะ ในเรื่องธรรมชาติ ในเรื่องเหตุเรื่องปัจจัยของธรรมชาติที่เป็นธรรมเป็นสภาวธรรม ที่เป็นกฎของกรรม
กรรมที่เกิดขึ้นกับเรานั้น มันเกิดขึ้นทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ เราต้องรู้เข้าใจ มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ถ้าเราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ เราจะหยุดกรรมหยุดกฎแห่งกรรมหยุดผลของกรรมไม่ได้ การเจริญสติปัฏฐานเป็นหลักการในการประพฤติในการปฏิบัติ เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ หยุดการเวียนว่ายตายเกิดได้ เราทุกคนต้องเจริญสติสัมปชัญญะ เราจะปล่อยไปตามสัญชาตญาณแห่งความเคยชินนั้นไม่ได้ เราต้องเจริญสติสัมปชัญญะ เพื่อให้ความสงบของเราจะได้เพียงพอ เรามีปัญญามากก็ต้องมีความสงบมาก มีความสงบให้เพียงพอ เรามีความสงบมากเราก็ต้องเสียสละมาก ๆ ให้มีปิติความอิ่มใจ ให้มีความสุขเพื่อหล่อเลี้ยงจิตใจ เรามีความสุขใจ ร่างกายของเราก็แข็งแรง ด้วยเหตุผลนี้เราถึงต้องมีปิติมีความสุขให้เป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา จะได้เอาความสงบและปัญญาพาไป ที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม
เราทุกคนพากันประพฤติพากันปฏิบัติพากันทำหน้าที่ หน้าที่นี้คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ เรารู้เราเข้าใจ เรามีสติมีสัมปชัญญะ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เมื่อมันผ่านไปแล้วเราก็ปล่อยเราก็วาง ถ้าเราไม่ปล่อยไม่วางเราก็ไปไม่ได้ ให้เรารู้เข้าใจในเรื่องธรรมเรื่องปัจจุบันธรรม เรื่องยกเลิกนิติบุคคลตัวตน ปัจจุบันเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เมื่อมันผ่านไปแล้วเราต้องปล่อยต้องวาง เราจะได้เข้าถึงความไม่ยึดมั่นถือมั่น ความสงบและปัญญาถึงจะก้าวไปได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ
การปฏิบัติธรรมให้เราเข้าใจ ถ้าเราไม่เข้าใจ เราจะเป็นผู้มามีมาเอามาเป็น มาได้มามีมาเสีย การปฏิบัติธรรมให้เรารู้เข้าใจ ไม่ใช่เราจะมาได้มาเอามามีมาเป็น มาได้มามีมาเสีย การประพฤติการปฏิบัติของเรา เพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราจะไปอยากมันทำไม เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราจะไปอยากมันทำไม ความอยากความไม่อยากให้เรารู้ให้เข้าใจ นี้แหละคือความทุข์ มันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์นี้ไม่มีเลย ความอยากความไม่อยากให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้รู้หน้ารู้ตาของความอยาก ความอยากนั้นคือความทุกข์ เมื่อมีความอยากเกิดขึ้นมันก็มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีเลย เราต้องรู้จักความไม่อยาก ความไม่อยากคือความทุกข์ มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป เราทุกคนมารู้ข้อวัตรข้อปฏิบัติของตัวเอง เราจะไม่ได้เอาความอยากความไม่อยากนำชีวิต ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ เราก็จะหยุดความอยากความไม่อยากได้ ถ้าเรามีปิติมีความสุข มีสติมีสัมปชัญญะ เราทุกคนก็จะไม่มีทุกข์อะไร เพราะเรามีสติมีสัมปชัญญะ เราปฏิบัติไปความสงบและปัญญาก็จะเป็นเอกัคคตาเป็นหนึ่ง เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เรารู้หลักการรู้อุดมการณ์รู้อุดมธรรมในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้
อานาปานสติเป็นหลักการที่สำคัญ เราพยายามคอนโทรลตัวของเราเองด้วยอานาปานสติ อานาปานสติหมายถึงเรามีสติสัมปชัญญะอยู่กับลมหายใจเข้าหายใจออก เราหายใจเข้าก็ให้เราหายใจเข้าให้สบาย ให้สบายในการหายใจ เราหายใจออกก็ให้สบายในการหายใจออก เรามีสติรู้ตัวทั่วพร้อมในการหายใจเข้าหายใจออกให้สบาย ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะกับการหายใจเข้าหายใจออก มนุษย์เราก็จะไม่มีความทุกข์อะไร เพราะเรามีสติสัมปชัญญะ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะในเรื่องความคิด ความคิดนี้ให้เรารู้เราข้าใจ เพราะคนยังมีลมปราณยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องมีความคิด เราอย่าไปมีความอยากความต้องการ
เราทั้งหลายต้องมาเสียสละ ไม่ใช่ไปอยากไปต้องการ เราต้องคิดเพื่อเสียละ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการเสียสละ ไม่ต้องอยากอะไร เราต้องเสียสละ ต้องเป็นผู้ไม่ต้องการ ต้องเป็นผู้เสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละเราก็จะไม่มีความสงบไม่มีปัญญา เราต้องรู้เข้าใจ ความอยากคือความไม่อิ่มไม่เต็มไม่พอเพียงไม่เพียงพอ เปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ เปรียบเสมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อของเพลิง มันบกพร่องอยู่เป็นนิจ เราต้องเข้าใจเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา เราจะมาเอาอะไร เราต้องมาเสียสละ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการเสียสละ เพื่อสติสัมปชัญญะของเราจะได้สมบูรณ์
ให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจนะ สมมติว่าเราไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าท่านประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์ ท่านได้อะไร ถ้าพระพุทธเจ้าตอบ ท่านก็ต้องตอบว่า ท่านไม่ได้อะไร มายกเลิกนิติบุคคลตัวตน มายกเลิกความอยากความไม่อยาก เพราะความอยากความไม่อยากคือความไม่สงบ ความอยากไม่อยากมันเป็นภพเป็นชาติ เป็นทะเลมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ เป็นไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ มันเป็นนิติบุคคลตัวตน ไม่ใช่ทางแห่งความสงบ ไม่ใช่ทางแห่งปัญญา นี้มันเป็นสัญชาตญาณเป็นนิติบุคคลตัวตน
เราทุกคนรู้จักการประพฤติการปฏิบัติ ธรรมะคือความสงบ ธรรมะคือปัญญา ธรรมะคือยกเลิกตัวตน ทุกคนต้องเข้าใจธรรมะ ธรรมะเป็นการประพฤติการปฏิบัติเพื่อให้ทางวัตถุกับทางจิตใจไปพร้อม ๆ กันเป็นทางสายกลาง ให้เรารู้เข้าใจ สิ่งที่ปรุงแต่งนี้เป็นเหตุเป็นผล เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ด้วยเหตุผลนี้ ผู้ที่มีการเรียนการศึกษา มีปัญญามาก ๆ ๆ ก็ต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียง ผู้มีปัญญามากก็ต้องมีความสงบมาก ๆ ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ ๆ เพื่อความไม่ยึดมั่นถือมั่น ที่เป็นหลักการที่สูงสุด ที่เป็นศิลปะชีวิต ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นเอกัคคตา เป็นความไม่ยึดมั่นถือมั่น ที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ก้าวไปด้วยปิติสุขเอกัคคตา เมื่อสิ่งต่าง ๆ มันผ่านไปแล้ว ผ่านมาแล้วก็ปล่อยวาง เข้าถึงความไม่ยึดมั่นถือมั่น ยกเลิกตัวตน ไม่ต้องไปติดหนี้ติดสินติดอะไร ด้วยความรู้ความเข้าใจ
ให้เรารู้เข้าใจ เรามีสติมีสัมปชัญญะ เราก็จะมีการประพฤติการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องด้วยการมีสติมีสัมปชัญญะ เพราะสตินั้นมันคือความสงบ สัมปชัญญะมันคือตัวปัญญา สติสัมปชัญญะนั้นจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์เราคือผู้ที่ประเสริฐ อายุขัยของมนุษย์อยู่ได้ร่วม ๆ ศตวรรษหนึ่ง ศตวรรษหนึ่งเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี ถ้าเราพัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆกันให้เป็นทางสายกลาง ชีวิตเราย่อมอยู่ได้มากกว่าศตวรรษหนึ่ง มนุษย์เราถ้าเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เวลามันจะผ่านไปเร็ว ถ้าเรามีปิติมีสัมปชัญญะ เวลามันจะผ่านไปเร็ว อย่างเราทำอะไรที่มีความสุข เวลาจะผ่านไปเร็ว ด้วยเหตุผลนี้ เราต้องเจริญสติสัมปชัญญะให้มีความสุข มีความสุขในการเจริญสติสัมปชัญญะ
เราทุกคนไม่รู้ไม่เข้าใจ ไปปล่อยตัวเองไปโดยธรรมชาติ ไม่เห็นความสำคัญในปัจจุบัน ไม่มีความสุขในการเรียนหนังสือ ไม่มีความสุขในการทำงาน ไม่มีความสุขในการเป็นข้าราชการเป็นนักการเมือง ไม่มีความสุขในการเป็นนักบวช เมื่อเราไม่มีความสุขมันก็มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป ให้เรารู้ให้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ว่าความดับทุกข์นั้นอยู่ที่เรามีสติมีสัมปชัญญะ ทำความดีก็เพื่อเสียสละ ไม่หวังอะไรตอบแทน เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้เข้าใจ มันจะมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป เป็นคนรวยก็มีความทุกข์ เพราะความไม่รู้จักพอ คนรวยถ้าไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ มันก็จะไม่อิ่มไม่เต็มไม่รู้จักพอ สติสัมปชัญญะคนรวยต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติ จะได้เข้าถึงความอิ่มความเต็มความพอ เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอ เราเป็นคนจนทางวัตถุ ถ้าเรารู้เข้าใจมีสติสัมปชัญญะ ทุกคนก็ไม่มีทุกข์ได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าเราเจริญสติสัมปชัญญะคนจนก็ไม่มีทุกข์ เมื่อมันแก้ไขภายนอกไม่ได้ เมื่อสิ่งภายนอกไม่เอาความสะดวกความสบายเราก็มาแก้ที่ใจ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอก็ดับทุกข์ได้พอ ๆ กัน เพราะความทุกข์นั้นอยู่ที่เรามีสติมีสัมปชัญญะ พระอรหันต์ขีณาสพท่านเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี
เมื่อสมัยหกสิบกว่าปีก่อน มีพระรูปหนึ่งที่เป็นบาลีชื่อพระสุเมโธ เป็นคนอเมริกา ประเทศอเมริกาเค้าพัฒนาวัตถุพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปไกล ไปไกลกว่าทางเอเชียมากหลายสิบปี การพัฒนาวิทยาศาสตร์ไม่ได้พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ผู้มีปัญญามากมันก็ย่อมทุกข์มากเพราะว่าไม่ได้พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ท่านถึงหาทางออก เพื่อพัฒนาทางใจไปพร้อม ๆ กัน ท่านได้ไปที่ประเทศอินเดีย เนปาล ศรีลังกา พม่า มาที่เมืองไทย ไปบรรพชาอุปสมบทอยู่ที่หนองคาย ได้ถามพระถามประชาชนที่นั่นว่ามีครูบาอาจารย์ที่ไหน เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประชาชนที่นั่นบอกว่าให้ไปหาพระอาจารย์ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ท่านพระอาจารย์ชา ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายพระกรรมฐานของเมืองไทยประเทศไทย
พระสุเมโธ ท่านได้มาอยู่มาประพฤติมาปฏิบัติกับพระอาจารย์ชาสุภัทโท มาใหม่ ๆ ไม่รู้ไม่เข้าใจ เพราะรู้เข้าใจแต่ทางวัตถุทางวิทยาศาสตร์ สิ่งอำนวยความสะดวกความสบายทางวัตถุทางวิทยาศาสตร์ที่วัดหนองป่าพงไม่มีเลย พระสุเมโธก็มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป ท่านพระอาจารย์ชารู้เข้าใจ จึงได้ให้คติธรรมเพื่อให้พระสุเมโธรู้เข้าใจ ได้พูดกับพระสุเมโธว่า พระสุเมโธเป็นทุกข์ หรือว่าวัดหนองป่าพงเป็นทุกข์
ท่านพระอาจารย์ชาได้ให้คติธรรมว่า มนุษย์เราต้องเอาเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้เกิดความพอเพียงเพียงพอ เพื่อให้เกิดความพอดี การเจริญสติสัมปชัญญะ เราจะเข้าถึงความดับทุกข์ตั้งแต่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราก็ไม่มีทุกข์อะไร อนาคตต่อไปเราก็ไม่มีทุกข์อะไร เป็นประโยชน์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ธรรมะเป็นทางสายกลาง เป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี
ท่านพระอาจารย์สุเมโธรู้เข้าใจ เข้าถึงบางอ้อ หรือว่าเข้าถึงคำว่าโอเค เข้าถึงความสงบและปัญญา เข้าถึงปัญญาและความสงบ เมื่อพระสุเมโธได้อบรมบ่มอินทรีย์ทั้งความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติเป็นเวลา ๑๐ ปี ๑๐ พรรษา ด้วยปฏิปทาที่ติดต่อต่อเนื่อง ที่เป็นความสงบและปัญญา ทำให้พระสุเมโธกลายเป็นอาจารย์สุเมโธ ท่านพระอาจารย์ชา สุภัทโท จึงได้ส่งท่านอาจารย์สุเมโธไปเผยแผ่ทางยุโปร ทางอังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส ทางโน้น เพราะการพัฒนามนุษย์เอาแต่วิทยาศาสตร์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องเอาใจไปพร้อม ๆ กัน ต้องให้ได้ทั้งสองอย่าง คือได้ทั้งทางจิตใจทางวัตถุไปพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เพื่อยกเลิกความไม่ถูกต้องยกเลิกความทุกข์ เป็นความสงบและปัญญา ต้องเอาสองอย่างไปพร้อม ๆ กัน จึงได้ส่งพระอาจารย์สุเมโธไปเผยแผ่ที่ประเทศอังกฤษ ท่านพระอาจารย์ชาก็ไปด้วย เพราะไปให้กำลังใจความอบอุ่น ความอบอุ่นให้เรารู้เข้าใจนะ เราสงบอบอุ่นได้เพราะเรามีสติสัมปชัญญะ ถ้าเราไม่มีสติสัมปชัญญะความอบอุ่นจะมีกับเราได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจ สติสัมปชัญญะคือความสงบอบอุ่น คือความพอเพียงเพียงพอ คือความพอดี ท่านพระอาจารย์ชาได้เดินทางไปประเทศอังกฤษพร้อมกับพระอาจารย์สุเมโธ ออกจากวัดหนองป่าพงไปขึ้นรถไฟที่สถานีอำเภอวารินชำราบ ไปกรุงเทพมหานคร เหมารถไฟเป็นตู้นอนสำหรับเดินทาง มีประชาชนไปส่งหลายร้อยคน เป็นแสดงความยินดีเพื่อนำธรรมะไปสู่ยุโรป ไปที่ประเทศอังกฤษ ไปที่กรุงลอนดอน ประชาชนที่อังกฤษเค้าพัฒนาวัตถุพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปไกลกว่าประเทศไทยเรามาก เค้ารู้เข้าใจในเรื่องวิทยาศาสตร์ เข้าใจในหลักพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มันเป็นหลักการที่พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กันเป็นทางสายกลางระหว่างใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กันนี้ดีมากเลย ทันโลกทันสมัย เอาทั้งใจเอาทั้งวัตถุ
คนอังกฤษได้สนทนากับท่านพระอาจารย์ชาว่า พระพุทธศาสนานั้นเป็นความสงบและปัญญา เป็นการก้าวไปพร้อมกัน อยากจะถามความเห็นของท่านอาจารย์ชาว่า ถ้าเราเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ มันดีน่ะ เพราะมันดับทุกข์เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจจุบัน แต่ว่ามันไปได้เฉพาะตน อยากจะถามท่านพระอาจารย์ชาว่า ถ้าเราบำเพ็ญพระโพธิสัตว์เพื่อเป็นพระพุทธเจ้า ได้ช่วยเหลือมหาชนมาก แต่ต้องใช้เวลานาน อยากจะถามว่าสองอย่างนี้อันไหนมันดีกว่ากันในทัศนะความเห็นของท่านพระอาจารย์ชา
ท่านพระอาจารย์ให้คติทางพระพุทธศาสนาว่า เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ความอยากความไม่อยากมันเป็นความปรุงแต่ง เราต้องรู้เข้าใจ เราจะเอาความอยากความไม่อยากนำชีวิตไม่ได้ เพราะอันนี้มันเป็นความไม่สงบ ความอยาก็เป็นทุกข์ ความไม่อยากก็เป็นทุกข์ เพราะชื่อความปรุงแต่งนั้นมันเป็นความทุกข์ เราอย่าไปอยากเป็นอะไรเลย เป็นพระพุทธเจ้าก็อย่าไปเป็นมัน เป็นพระอรหันต์ก็อย่าไปเป็นมัน เป็นอะไรมันก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องเข้าใจพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาคือความรู้ความเข้าใจเป็นความสงบเป็นปัญญาเป็นปฏิปทาที่ยกเลิกตัวตน ให้เราทุกคนรู้เข้าใจ จะได้ยกเลิกความสำคัญมั่นหมาย ที่มันเป็นสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน องค์...ท่านมาตรัสรู้ เราต้องรู้เข้าใจ ท่านมายกเลิกชาติชั้นวรรณะ ยกเลิกตระกูล ยกเลิกเขายกเลิกเรา เข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญาเข้าถึงธรรมเข้าถึงสภาวธรรม เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจ เราจะมาได้มาเอามามีมาเป็น มันจะเสียหาย อย่าไปได้อะไร อย่าไปเป็นอะไร ต้องยกเลิกสิ่งเหล่านี้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยการมาเจริญสติสัมปชัญญะ สติคือความสงบ สัมปชัญญะคือตัวปัญญา เรารู้เข้าใจอย่างนี้แหละ เราจะได้เรียนหนังสือก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ทำงานก็ไม่เป็นทุกข์ เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองหรือเป็นนักบวชก็จะได้ไม่เป็นทุกข์ มีความรู้ความเข้าใจ มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันเลยเป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ ประกอบทุกข์ทั้งทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมันเป็นไปเพื่อประกอบทุกข์
เราทั้งหลายต้องหยุดสัญชาตญาณ นิติบุคคลตัวตน เราจะข้ามวัฏฏสงสารได้เราก็ต้องอาศัยยานเพื่อหยุดสัญชาตญาณ พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นี้คือยานนำเราพาไป เพื่อหยุดสัญชาตญาณ ยกเลิกนิติบุคคลตัวตน เรารู้เข้าใจ เราจะได้เข้าสู่ภาคปฏิบัติภาคบำบัด เค้าจะเดินทางไกลในส่วนของร่างกายก็ต้องมียาน มีรถมีเครื่องบินทางบกทางอากาศ ทางทะเลมหาสมุทรก็ต้องมีเรือใหญ่เรือเดินสมุทร พระธรรมพระวินัยเป็นยานที่จะนำเราไป พระธรรมพระวินัยถึงมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์หาโทษมิได้เลย ถึงเรียกว่านี้เป็นพุทธคุณ มีคุณ นี้เป็นธัมมคุณ ยกเลิกตัวตน เป็นสังฆคุณยกเลิกตัวตนเห็นภัยในวัฏฏสงสาร
เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้เข้าใจมันก็เป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ เราต้องเข้าสู่ภาคบำบัด เพื่อการปฏิบัติของเราจะได้ติดต่อต่อเนื่อง ทำอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราวเป็นชิ้นเป็นอัน ติดต่อต่อเนื่องเข้าสู่ภาคบำบัดนี้ถือว่าเป็นภาคบังคับ ภาคคอนโทรล เค้าติดเหล้าติดเบียร์ ติดฝิ่นเฮโรอีนกัญชา ติดเที่ยว ติดการพนันก็ต้องเข้าสู่ภาคบำบัด ภาคบำบัดที่ยกเลิกในสิ่งเสพติด ต้องใช้เวลาหลายวันหลายเดือนหลายปีด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะ ไม่ปล่อยตัวเองเหมือนแต่ก่อนไปตามสัญชาตญาณ เพื่อหยุดสัญชาตญาณ เอาอริยมรรคมีองค์แปดที่เป็นกายวาจากิริยามารยาทมารวมลงที่ใจ รวมลงที่เจตนา ด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตา
เรามาเจริญสติสัมปชัญญะ เราทั้งหลายต้องมีความสงบให้เพียงพอ มีปัญญาให้เพียงพอ เราทั้งหลายถึงต้องมารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เข้าสู่ภาคปฏิบัติภาคบำบัด ให้สิ่งต่าง ๆ นี้มันจบลงเพียงผัสสะที่ผัสสะ เราต้องรู้เข้าใจ ตัวตนมันคือวัฏฏสงสาร ตัวตนนี้มันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป เราต้องรู้เข้าใจ ตัวตนนี้มันคือทุจริต มันอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตัวตนมันเป็นความทุกข์ ตัวตนนั้นมันพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึกสตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของประเทศไทย ตึกไหน ๆ ก็ไม่พังมันไปพังตึกเดียวคือตึก สตง.
ชีวิตของเราที่ประเสริฐที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราต้องรู้เข้าใจ ต้องเอาทางสายกลาง ทางสายกลางให้เรารู้เข้าใจ ทางสายกลางนี้คือการยกเลิกตัวตน ถ้าเรายกเลิกตัวตนเราถึงมีความสงบและปัญญา ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ รู้หลักเหตุหลักผลรู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เป็นอริยมรรคมีองค์แปดในชีวิตประจำวันของเรา เรารู้จักอริยมรรมีองค์แปด รู้จักระบบความคิด ความคิดของเราต้องยกเลิกตัวตน คำพูดก็ให้รู้จักให้ยกเลิกตัวตน กิริยามารยาทของเราให้เรารู้เข้าใจ ให้เรายกเลิกตัวตน อาชีพของเราเราต้องยกเลิกตัวตน มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตามีความตั้งใจตั้งเจตนาในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เอาหลักปัจจุบันถือว่าเป็นหลักสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้หลักการกรรมฐานของผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบท ให้ใช้หลักอานาปานสติเป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะผู้ที่มาบวชยกเลิกธุรกิจหน้าที่การงาน เอาความสงบและปัญญา เอาสติปัฏฐานทั้ง ๔ เป็นการดำเนินชีวิตที่ยกเลิกตัวตน ท่านให้ผู้มาบรรพชาอุปสมบทพิจารณาสรีระร่างกาย แยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วน สรีระร่างกายของมนุษย์มีทั้งหมดอยู่ ๓๒ ชิ้นส่วน ต้องแยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วน เพื่อให้ครบ ๓๒ ชิ้นส่วน แยกออกเป็นชิ้นแล้วก็ให้ประกอบกันเข้า เพื่อให้รู้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันคือเหตุคือปัจจัย ไม่ใช่เราไม่ใช่คนอื่นทุกอย่างมันคือเหตุคือปัจจัย ผู้ที่มาบวชในพระพุทธศาสนา พระอุปัชฌาย์ผู้ให้บรรพชาอุปสมบทถึงบอกพระกรรมฐาน ให้ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบทว่า เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกศา หมายถึงแยกออกเป็นชิ้นส่วนแล้วให้เอามาประกอบกันใหม่ เพื่อให้เป็นธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๖ ถ้าเราเจริญสติสัมปชัญญะอย่างเดียวนั้นไม่พอ ต้องภาวนาวิปัสสนาไปด้วยพร้อม ๆ กัน ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบทต้องภาวนาอย่างนี้ทุก ๆ วัน เพื่อให้เกิดความสงบและปัญญา เราเจริญสมถะ หายใจเข้าก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจออกก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าก็รู้สบาย หายใจออกก็รู้สบาย หายใจเข้าก็ไม่แน่ไม่เที่ยง หายใจออกก็ไม่แน่ไม่เที่ยง มันเป็นอาคันตุกะสัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยาม เมื่อมันสงบแล้วก็ต้องมาพิจารณาสรีระร่างกายอย่างนี้ ดีกว่าเราจะไปนั่งโงกนั่งง่วงนั่งสัปหงก เรามาท่องในใจ แยกในใจ เราทำไปเรื่อย ๆ ทำไปทุก ๆ วัน นี้คืองานของผู้มาบรรพชาอุปสมบท
เราทุกคนต้องรู้เข้าใจนะ เราอย่าพากันนั่งโงกนั่งง่วง พยายามมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมหายใจก็ให้สบายหายใจออกก็ให้สบาย หายใจเข้าให้มีความสุขหายใจออกให้มีความสุข เมื่อมันสงบแล้วก็พิจารณาร่างกายของเรา เพื่อยกเลิกตัวตน เรามีตัวมีตนนี้ไม่ได้นะ มันเสียหาย มันพังทลายล้มละลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง.
เราทั้งหลายมาพิจารณาร่างกาย ร่างกายที่เป็นชิ้นเป็นส่วน ส่วนใหญ่มันจะไม่อยากภาวนาไม่อยากพิจารณานะ มันจะเอาแต่ความสงบ ไม่อยากพิจารณา เราต้องพิจารณาเพื่อจะได้นิมิต นิมิตที่เรายกเลิกตัวตน อย่าให้เป็นนิมิตเพื่อตัวเพื่อตน เราจะไม่ได้มีตัวมีตน ถ้าเราไม่มีตัวไม่มีตนแล้ว เรามองไปข้างนอกมันก็ไม่มีตัวไม่มีตน เรายกเลิกตัวตนเราก็จะมีความสงบมีปัญญา เราถึงจะมีพระนิพพานบ้านของเรานะ มีความสงบและปัญญา
เราทั้งหลายมาระลึกถึงปัจฉิมโอวาทของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านตรัสปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
--------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๒๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา