๒๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันที่ ๒๓ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ฮิจเราะห์ศักราช ๑๔๔๖

 

วันนี้เป็นวันพฤหัสบดี เป็นวันปิยมหาราช ประวัติศาสตร์ของเมืองไทยประเทศไทย ความเป็นมาของวันปิยมหาราช 

 

วันที่ ๒๓ ตุลาคม เป็นวันปิยมหาราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ท่านสวรรคต วันที่ ๒๓ ตุลาคม

 

วันที่ ๒๓ ตุลาคม ปีนี้ ที่พสกนิกรชาวไทยทั้งหลาย ได้ระลึกถึงพระปิยมหาราช

 

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ต่อปวงชนชาวไทยและชาวโลก

 

สิ่งที่ชัดเจนโดดเด่น ได้แก่ การประกาศยกเลิกทาส เป็นการหยุดวงจรการเป็นทาส เพราะเมื่อสมัยก่อนหากพ่อแม่เป็นทาส ลูกที่เกิดมาก็ต้องเป็นทาสต่อไปเรื่อยๆ ทางราชการจึงได้ประกาศให้วันที่ ๒๓ ตุลาคมของทุกปีเป็นหนึ่งในวันระลึกถึงความสำคัญของเหตุการณ์ในชาติ โดยเรียกว่า “วันปิยมหาราช” พร้อมทั้งกำหนดให้วันนี้เป็นวันหยุดราชการ

 

วันปิยมหาราช เป็นวันสวรรคต ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ในทุกๆ ปีหน่วยงานราชการจะมีการวางพวงมาลาดอกไม้ ที่พระบรมรูปทรงม้าอย่างพร้อมเพรียง เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

 

การเลิกไพร่ เลิกทาส แต่ดั้งเดิมนั้นประเทศไทยของเรา มีพลเมืองที่เป็นชนชั้นทาสมากกว่า ๓๐% ของพลเมืองทั้งประเทศ เนื่องจากการได้รับวรรณะทาสนั้นจะถูกสืบจากสายเลือด หากพ่อแม่เป็นทาส ลูกก็จะเป็นทาสด้วย โดยทาสนั้นแบ่งออกเป็น ๗ ประเภทใหญ่ๆ

 

  1. ทาสสินไถ่: เกิดจากการขายตัวเป็นทาส ทาสประเภทนี้มักยากจน
  2. ทาสในเรือนเบี้ย: เกิดจากการที่แม่เป็นทาส พ่อเป็นนายทาส
  3. ทาสมรดก: เกิดจากการส่งต่อมรดกของนายทาสที่เสียชีวิตลง ส่งให้นายทาสคนต่อไป
  4. ทาสท่านให้: ทาสที่ได้รับมาจากผู้อื่น
  5. ทาสทัณฑ์โทษ: กรณีที่บุคคลนั้นถูกลงโทษ แต่ไม่สามารถหาเงินมาชดใช้ได้หมด ถ้าหากมีนายทาสมาช่วยเหลือ ถือว่าบุคคลนั้นกลายเป็นทาสของนายทาสคนนั้น
  6. ทาสที่ช่วยไว้จากความอดอยาก: คือการขายตนเองให้นายทาส เพื่อหลีกหนีจากความอดอยากที่เผชิญอยู่
  7. ทาสเชลย: เกิดจากการที่ประเทศหรือพลเมืองนั้นๆ แพ้สงคราม จึงถูกผู้ชนะสงครามนำคนเหล่านั้นไปเป็นทาสรับใช้

 

การจะหลุดออกจากการเป็นทาสนั้นมี 6 วิธี

  1. การหาเงินมาไถ่ถอนตนเอง
  2. การบวชที่ต้องได้รับการยินยอมจากนายทาส
  3. การหลบหนีจากการเป็นเชลยในสงคราม
  4. การแต่งงานกับชนชั้นสูงกว่า
  5. การแจ้งความนายจ้างว่าเป็นกบฏ และตรวจสอบว่าเป็นจริง
  6. การประกาศจากรัชกาลที่ 5 ให้มีการเลิกทาส

 

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตด้วยโรคพระวักกะ (ไต) เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 เวลา 2.45 นาฬิกา ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต สิริพระชนมพรรษาได้ 57 พรรษา นายแพทย์วิบูล วิจิตรวาทการ นักเขียนเชิงประวัติศาสตร์ ได้ให้ความเห็นระบุโรคที่เป็นไปได้ คือ โรคนิ่วในไต, โรคไตอักเสบ จากการติดเชื้อ และโรคไตชนิด Chronic Glomerulonephritis อันเกิดจากต่อมทอนซิลอักเสบฉับพลัน อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นโรคไตชนิดใด ทั้งนี้ รัฐบาลไทยได้จัดให้วันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันปิยมหาราชและเป็นวันหยุดราชการ

 

ก่อนสวรรคตเคยมีพระราชกระแสรับสั่งในพระราชหัตถเลขาว่าให้ยกเลิกการพระเมรุใหญ่เสีย ปลูกแต่ที่เผาพอสมควรในท้องสนามหลวงแล้วแต่จะเห็นสมควร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเคารพต่อพระราชประสงค์ จึงโปรดให้จัดการตามพระราชดำรินั้น

 

เราทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ สรีระร่างกายของเราเป็นมนุษย์ อายุขัยของมนุษย์ปัจจุบันนี้อยู่ได้ร่วม ๆ ๑ ศตวรรษ ศตวรรษหนึ่งก็คือร้อยปี เพราะเราพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ พัฒนาวัตถุที่เป็นวิทยาศาสตร์ มนุษย์อยู่ได้ร่วม ๆ ร้อยปี ถ้าเราพัฒนาทั้งใจทั้งวิทยาศาสตร์ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการดำเนินชีวิตนั้นก็ย่อมอยู่ได้มากกว่า ๑ ศตวรรษ ชีวิตนี้อยู่ได้มากกว่าร้อยปี

 

มนุษย์นี้เป็นภพภูมิที่พอดีในการสร้างบารมี ไม่มาเกินไป ไม่น้อยเกินไป ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเลือกเอาภพภูมิของมนุษย์มาบำเพ็ญบารมีมาตรัสรู้ เพราะเหตุผลว่าเป็นภพภูมิที่อายุขัยไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป อยู่ในระหว่างศตวรรษหนึ่งจะเป็นภพภูมิที่พอดี พอที่จะรู้อริยสัจสี่ ไม่น้อยเกินไปไม่มากเกินไป อายุน้อยเกินก็ไม่รู้อริยสัจสี่ได้ ถ้ามากเกินไปก็ไม่รู้อริยสัจสี่ได้ ถ้าน้อยเกินก็ตั้งตัวไม่ทันตายเร็วเกินไป ถ้าอายุมากเกินไปก็คิดว่าชีวิตนี้เป็นอมตะ ชีวิตนี้มองไม่เห็นความแก่เจ็บตายพลัดพราก

 

ชีวิตที่อยูได้ ๑ ศตวรรษพอที่จะรู้จะเข้าใจในเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย พอที่จะรู้เรื่องอริยสัจสี่ คือเรื่องของความทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ เรื่องข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ อายุขัยของมนุษย์ศตวรรษหนึ่งนี้เป็นชีวิตที่พอดี พอที่จะเข้าใจในเรื่องอริยสัจสี่ได้  

 

มนุษย์เราทุกคนพากันเข้าใจนะ เพื่อเราจะได้เอาความรู้ความเข้าใจมาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ ด้วยความรู้ความเข้าใจนี้จะเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นทั้งความรู้เป็นทั้งการประพฤติการปฏิบัติ จะได้เดินทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องวัตถุไปพร้อม ๆ กัน มนุษย์เราที่เกิดมาต้องมีการเรียนการศึกษาเพื่อให้รู้ให้เข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วก็เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ให้ถือเอาปัจจุบันนี้เป็นการประพฤติการปฏิบัติ ความรู้กับการปฏิบัติควบคู่กันไป เพื่อเข้าถึงคำว่าชาติ ศาสน์ กษัตริย์

 

ชาตินี้ก็หมายถึงความเกิด ศาสน์ก็หมายถึงพระศาสนา กษัตริย์ก็หมายถึงปัญญา ๓ อย่างนี้เป็นความรู้ความเข้าใจ คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เป็นทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องวัตถุที่เป็นวิทยาศาสตร์ ที่เป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม เป็นชาติ เป็นศาสน์ เป็นกษัตริย์ เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยความดี เป็นบารมีเบื้องต้น เป็นบารมีท่ามกลาง เป็นบารมีถึงที่สุด ความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ มนุษย์เราที่เกิดมาถึงต้องมีการเรียนการศึกษาตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก ทางฝ่ายวัตถุทางฝ่ายวิทยาศาสตร์ ทางฝ่ายเรื่องจิตเรื่องใจที่เป็นนามธรรม ตั้งแต่นักธรรมตรีจนถึงเปรียญธรรม ๙ ประโยค ต้องเอาทั้งทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นฝ่ายวัตถุเอาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน ให้เป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจ การประพฤติการปฏิบัติก็ให้เอาปัจจุบัน เพราะเหตุผลว่า อดีตทั้งหลายที่ผ่านมาก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน  ปัจจุบันถึงเป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ

 

การประพฤติการปฏิบัติเป็นอริยมรรค เป็นอริยมรรคทั้งกายวาจากิริยามารวาทอาชีพมารวมลงที่ใจที่เจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ความทุกข์ของเราก็จะไม่มี เพราะเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา ความดีที่เราทำเราประพฤติปฏิบัตินั้นเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาที่ประกอบด้วยความดี เป็นความดีระหว่างทั้งทางวัตถุทางจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เป็นทางสายกลางระหว่างวัตุกับจิตใจไปพร้อม ๆ กัน

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้สร้างบารมีที่เป็นความดีและปัญญา ใช้เวลานานหลายล้านชาติ หลายล้านปี นี้เป็นหลักการของหมู่มวลมนุษย์ มนุษย์เราทั้งหลายเป็นภพภูมิที่ดี เป็นภพภูมิที่พอดี ให้พวกเรารู้เข้าใจนะ ว่าเราทุกคนต้องมารู้มาเข้าใจเรื่องอริยสัจสี่ เพื่อเราจะได้เดินทางสายกลาง

 

การประพฤติการปฏิบัติของเราทุกคนต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติเอาเอง ไม่มีใครปฏิบัติให้ใครแทนใครได้ ปัจจุบันให้ถือว่าเป็นวาระสำคัญของเราทุก ๆ คน พระธรรมพระวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่ ให้เข้าใจว่า เป็นสิ่งที่มีคุณมีอุปการคุณแก่เราทุกคน ความสงบและปัญญาถือว่าเป็นคุณมีอุปการคุณ รู้เข้าใจ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ชีวิตของเราในชีวิตประจำวัน เราต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เป็นอริยมรรคทางกายทางวาจาทางกิริยามารยาททางอาชีพทางใจ

 

ให้เรารู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ใช่เราจะเอาตั้งแต่สมาธิ ศีลเราก็ต้องเอา สมาธิก็ต้องเอา ปัญญาก็ต้องเอา ๓ อย่างนี้ต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นความสมัครสมานสามัคคี เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เราต้องรู้เข้าใจ สิ่งทั้งหลายนั้นมันจะได้จบลงที่ปัจจุบัน หรือจบที่ผัสสะ เพื่อเราจะหยุดความปรุงแต่ง เราจะได้เข้าถึงความพอดีความพอเพียง เราทั้งหลายต้องพากันรู้พากันเข้าใจ แล้วมายกเลิกตัว มายกเลิกตน ให้รู้เข้าใจ ว่าตัวตนนั้นแหละมันมีแต่ความทุกข์เกิดขึ้น มีแต่ความทุกข์ตั้งอยู่ ความทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์นั้นไม่มีเลย เปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ มันจะเป็นความทุกข์เป็นความบกพร่อง ไม่อิ่มไม่พอไม่เต็ม

 

เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติของเรา ให้เรารู้เข้าใจ ปัญหาต่าง ๆ นั้นมันไม่ได้อยู่ที่คนอื่น ไม่ได้อยู่ที่สิ่งแวดล้อม มันอยู่ที่ตัวเรานี้เอง ถ้าเรารู้เข้าใจ สิ่งต่าง ๆ นั้นมันก็ไม่มีปัญหา สิ่งต่าง ๆ นั้นมันจะมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา สิ่งต่าง ๆ นั้นจะทำให้เกิดสมถะเกิดวิปัสสนา ให้เรารู้ให้เข้าใจ เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายนั้นจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ความเข้าใจ สิ่งทั้งหลายนั้นจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ให้เรารู้เข้าใจ เมื่อเรามีตารูปนั้นถึงมี เมื่อเรามีหูเสียงนั้นถึงมี เมื่อเรามีจมูกกลิ่นมันถึงมี เมื่อเรามีลิ้นรสมันถึงมี เมื่อเรามีกายมันถึงมีสัมผัส เมื่อเรามีใจที่มีลมปราณ เราถึงมีความรู้สึกนึกคิด

 

เราทั้งหลาย สิ่งที่ปรากฏการณ์มันเป็นกรรม เป็นกฎของกรรม เราทั้งหลายจะได้รู้กรรม กฎแห่งกรรม ผลของกรรม เราทั้งหลายจะได้หยุดที่ปัจจุบันนี้แหละ ยกเลิกตัวตน เพื่อให้เราทุกคนมีศีลมีสมาธิมีปัญญา จะได้เข้าถึงพระนิพพานบ้านของเราในปัจจุบัน เรารู้เข้าใจเรื่องกรรมเก่าที่ผ่านมา ที่เป็นรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ที่เป็นธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะภายนอกภายใน ๑๒ เราต้องรู้เข้าใจทั้งกรรมเก่ากรรมใหม่ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี ว่างจากสิ่งที่ไม่มีมันจะมีประโยชน์อะไร ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านมาตรัสรู้ เป็นธรรมะที่เป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ เมื่อเรารู้เข้าใจ สิ่งภายนอกก็เป็นสิ่งภายนอก สิ่งภายในก็เป็นสิ่งภายใน ๒ อย่างนั้นมันคนละอย่าง มันไม่เป็นจิ๊กซอว์ ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ยกเลิกขั้วบวกขั้วลบของขบวนการของการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อเรามีสติเมื่อไหร่เราก็สงบ เรามีสัมปชัญญะเมื่อไหร่เราก็สงบ ความสงบและปัญญาถึงเป็นสิ่งที่พอเพียงเพียงพอ เป็นความดี เป็นความเต็มเต็มเต็ม ไม่มากเกินไม่น้อยเกิน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญบารมีมาเพื่อยกเลิกการเวียนว่ายตายเกิด หรือว่าการยกเลิกการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร ท่านมายกเลิกชาติชั้นวรรณะ ยกเลิกชาติตระกูล เราจะได้เข้าถึงความสงบและปัญญา เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี เราจะได้เอาความดีและปัญญา เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เดี๋ยวจะไปเอาแต่วิทยาศาสตร์เอาแต่นิติบุคคลตัวตน เราจะสร้างปัญหาให้กับตัวเอง สร้างปัญหาให้กับคนอื่น ชีวิตนี้ก็ย่อมเสียสละ ชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกไหน ๆ เค้าก็ไม่พัง สูงใหญ่กว่าตึก สตง. เค้าก็ไม่พังทลาย เพราะเค้าสร้างได้มาตรฐาน ความไม่รู้ไม่เข้าใจ มันทำให้เราเสียหาย เราทั้งหลายต้องพากันมารู้มาเข้าใจ มามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสร้างบารมีมาหลายล้านชาติหลายล้านปี ท่านเข้าถึงความเต็มเต็มเต็ม เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ว่าทางสายกลางระหว่างวิทยาศาสตร์กับทางจิตใจเป็นความพอดีเป็นความพอเพียงเพียงพอ ให้เราทั้งหลายเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ พากันเอาหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เอามาใช้มาปฏิบัติ ปฏิบัติของเราเอง ตัวของเราเอง จะได้เข้าถึงชาติศาสน์กษัตริย์ ชาติก็หมายถึงความเกิด ศาสน์ก็คือศาสนา กษัตริย์หมายถึงปัญญา หมายถึงนามธรรม

 

มนุษย์เราทั้งหลายอยู่ในโลกนี้ปัจจุบันนี้มีแปดพันกว่าล้านคนก็ใช้หลักการเดียวกันทั้งหมด ใช้อริยมรรคมีองค์แปด สิ่งต่าง ๆ มันจะเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติที่เป็นความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ให้รู้เข้าใจ ทุกชาติทุกศาสนาต้องใช้หลักการเดียวกันนี้หมด ความทุกข์มันเป็นสากล ความดับทุกข์ก็เป็นสากล ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากมันเป็นสากล ให้รู้เข้าใจ ทุก์ทางกายทุกข์ทางใจมันเป็นสากล เราต้องรู้ว่าเราทุกคนต้องเดินทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องวัตถุ วัตถุนั้นก็ต้องพัฒนาให้เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ด้วยความรู้ความเข้าใจเราจะได้หยุดสัญชาตญาณที่เป็นโลกธรรม โลกธรรมก็หมายถึงตัวตน ตัวตนนั้นมันจะทำร้ายธรรม ที่มันเป็นโลกธรรม เราต้องรู้เข้าใจ เราจะเอาโลกธรรมมาใช้ให้เป็นคุณเป็นประโยชน์ด้วยการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ พัฒนาทางวิทยาศาสตร์ให้มีความสุข เพราะสิ่งที่จะอำนวยความสะดวกความสบายในปัจจุบันมันต้องได้มาจากทางวิทยาศาสตร์

 

เราทั้งหลายต้องมีความสุขในการเรียนหนังสือมีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการทำงานเป็นข้าราชการนักการเมือง มีความสุขในการทำหน้าที่ของนักบวชนักศาสนา เราจะได้เอาสรีระร่างกายที่เป็นกายวาจากิริยามารยาทเป็นอาชีพนี้มาใช้มาปฏิบัติ ให้เรารู้เข้าใจ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นเพียงอุปกรณ์ของใจนะ เค้าถึงมีศัพท์ว่ากรรมกร กายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นเพียงอุปกรณ์ เป็นเพียกรรมกร เราต้องรู้เข้าใจ เพราะเอาอุปกรณ์ของเรามาใช้มาทำงาน มาเสียสละ ให้เรารู้เข้าใจ ความคิดอย่างนี้เราคิดอะไรก็ต้องให้เป็นทางสายกลาง เพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ทั้งทางวัตถุทั้งทางจิตใจไปพร้อม ๆ กันพูดอะไรก็ให้รู้เข้าใจเพื่อให้ได้ทั้งทางวัตถุทั้งทางจิตใจไปพร้อม ๆ กัน กิริยามารยาทให้รู้เข้าใจมันจะได้มีคุณมีประโยชน์ทั้งตัวเราและบุคคลอื่นไปพร้อม ๆ กัน อาชีพต้องเป็นอาชีพที่ยกเลิกตัวตน มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อจะได้เอาอุปกรณ์ทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมาใช้มาประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาประกอบด้วยความดี

 

เราทั้งหลายพากันเข้าใจ อย่าไปขี้เกียจขี้คร้านเห็นแก่ตัว เราทั้งหลายต้องมาว่างจากตัวตน ยกเลิกตัวตน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเมตตาบอกพวกเราทั้งหลายว่า เราอย่าพากันประมาทนะ ความประมาทคือความผิดพลาดคือความเสียหายมันจะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวอย่างเดียวกันกับตึก สตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ว่าประเทศไทยหรอก ทุกเมืองทุกประเทศ ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ที่นั่นก็ย่อมเสียหาย ที่นั่นก็ย่อมพังทลาย

 

เรารู้เข้าใจ เอาปัจจุบันเป็นการประพฤติการปฏิบัติ สิ่งที่มีคุณมีประโยชน์มากคือความรู้กับการประพฤติการปฏิบัติ เราพากันเจริญสติสัมปชัญญะ เรามีความสุขในการทำหน้าที่ มีความสุขในการปฏิบัติธรรม ให้เข้าใจ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ต้องโฟกัสในการประพฤติในการปฏิบัติ ให้ปฏิปทาของเรามันสมบูรณ์ ชีวิตของเราต้องสดชื่นเบิกบานด้วยปิติด้วยสุขเอกัคคตา เราใจดีใจสบาย ร่างกายของเราก็ได้รับอานิสงส์ไปด้วย ร่างกายของเราก็สบาย สิ่งที่ผ่านมาแล้วก็แล้วไป เพราะสิ่งที่ผ่านมาแล้วนั้นมันเป็นอดีตไปแล้วมันเกษียณไปแล้ว ไม่มีสิ่งไหนเลยที่เอากลับคืนมาได้ เราอย่าให้อดีตมาปรุงแต่งจิตใจของเรา เราต้องหยุดเราต้องเบรก เราต้องเซฟตี้ อย่าให้อดีตปรุงแต่งจิตใจของเราได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราตึกในเรื่องของอดีต อย่าได้ไปตรึกในนิติบุคคลตัวตน ตัวตนนั้นเป็นกามตัวตนนั้นเป็นพยาบาท เราต้องรู้ใจของเรา รู้ความคิดของเรา เราจะได้หยุดลงที่ปัจจุบัน หยุดลงที่ผัสสะนี้แหละ ยกทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ ว่าสิ่งต่าง ๆ นั้นมันเป็นสิ่งเก่า ๆ และสิ่งใหม่ ๆ มาเกี่ยวข้องกันมาสัมผัสกัน ๒ อย่างนี้มันมาจิ๊กซอว์กัน มันเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ให้รู้เข้าใจ มันไม่มีอะไรมากไปกว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไป เราทั้งหลายจะได้จบลงที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องเสียสละ

 

เราคิดดูดี ๆ นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัจจุบันท่านเสียสละ วันหนึ่งคืนหนึ่งท่านทรงบรรทมพักผ่อนท่านเสียสละให้สรีระร่างกาย ๔ ชั่วโมง เสียสละให้สรรพสัตว์ทั้งหลายด้วยความเมตตาอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ ท่านเสียสละวันละ ๒๐ ชั่วโมง รวมกันเสียสละให้ร่างกายและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ๒๔ ชั่วโมงเลยนะ ธรรมเหล่าใดที่เป็นนิติบุคคลตัวตนไม่เสียสละถึงไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทุกคนต้องมาเสียสละ จะขี้เกียจขี้คร้านไม่ได้ ต้องเสียสละ อย่าไปปล่อยตัวเองลอย ๆ ปล่อยไปเฉย ๆ ไม่เสียสละ ต้องมีความสุขในการเสียสละ มีความสุขในการรักษาศีล มีความสุขในการเจริญสมาธิเจริญปัญญา ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราจะไปปล่อยทิ้งพระธรรมพระวินัยไม่เสียสละ เราจะไปเอาแต่ความสงบ ความสงบมันก็เป็นสมาบัติ ผู้มีความสงบมากก็ต้องเสียสละ เราไม่เสียสละเราจะมีศีลมีสมาธิมีปัญญาได้อย่างไร ผู้มีความสงบมากก็ต้องเสียสละมาก ดูอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่รู้ไม่เข้าใจ ว่าการเสียสละนี้มันคือศีลคือสมาธิคือปัญญาที่มันเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม มันเป็นการก้าวไปทั้งความสงบและปัญญา

 

เราทั้งหลายต้องมายกเลิกทาส ยกเลิกชั้นวรรณะ เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ พระปิยมหาราช ที่ท่านประกาศยกเลิกทาส วัฏฏสงสารที่เราท่องเที่ยวกันมานาน ถึงแม้มันจะอร่อยมันจะหรอยมันจะแซบจะลำจะนัว เราต้องรู้เข้าใจ อันนี้มันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์นั้นไม่มีเลย เราจึงต้องมาเจริญสติ ทุกคนต้องเจริญสติคือความสงบมาก ๆ เมื่อเราสงบมาก ๆ เราก็ต้องเสียสละมาก ๆ จะได้เกิดทั้งความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน

 

เรามาระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ประเสริฐ มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ ว่าเราต้องใช้ชีวิตที่ประเสริฐนี้มาบำเพ็ญบารมี เพราะชีวิตนี้เราต้องรู้เข้าใจนะ ถ้าเรามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติความทุกข์ในปัจจุบัน ในชีวิตประจำวันของเรามันก็ไม่มีความทุกข์อยู่แล้ว เพราะเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา เราทั้งหลายต้องพากันรู้อริยสัจสี่อย่างนี้ด้วยเห็นภัยในวัฏฏสงสาร จะได้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

 

เรามาระลึกถึงปัจฉิมโอวาท พระบรมศาสนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสให้แก่ภิกษุทั้งหลายว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

 

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร

 

ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง

 

 ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น

--------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

Visitors: 103,026