๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒๖ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันที่ ๒๔ ที่ผ่านมา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จสวรรคต เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน ความดีที่เป็นบารมี อยู่ที่เราทุกคนที่เรารู้เราเข้าใจ ที่เป็นอริยมรรคทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพมารวมลงที่ใจที่เจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราทุกคนต้องเอาความดีและปัญญามาไว้ที่กายวาจากิริยามารยาทมารวมลงที่ใจมารวมลงที่เจตนา เพื่อให้เป็นอริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐ การประพฤติการปฏิบัติของเราก็ให้เอาที่ปัจจุบัน ให้เน้นที่ปัจจุบัน เพราะอดีตก็มารวมกันที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน เราทุกคนให้พากันตั้งอกตั้งใจบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลเพื่อจะถวายเป็นพระราชกุศล

 

พวกเราต้องรู้ต้องเข้าใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันคือเหตุคือปัจจัยนะ เราต้องตั้งใจตั้งเจตนา ให้ทุกคนตั้งใจมีสติมีสัมปชัญญะ ถ้าเราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ เราก็ไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ ทุกคนต้องมีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม ถ้าเราไม่มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมไม่ได้นะ ใช้ไม่ได้ เราทุกคนต้องมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เพื่อเราทุกคนจะเป็นธรรมเป็นปัจจุบัน เพื่อจะได้ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงจะได้จบลงที่ปัจจุบันนี้ จบลงที่ผัสสะ เพื่อทุกคนจะไม่ได้ยืดเยื้อ จบลงที่ความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อหยุดสิ่งเก่าไม่ให้ทำงาน สิ่งใหม่ไม่ให้ทำงาน เพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เพื่อสิ่งต่าง ๆ สิ่งภายนอกก็ให้เป็นสิ่งภายนอก สิ่งภายในก็ให้เป็นสิ่งภายใน

 

การประพฤติการปฏิบัติธรรมที่เป็นความดีเป็นคุณสมบัติของผู้ดี เราต้องรู้เข้าใจว่าธรรมะมันเป็นความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ เราคิดดี ๆ ยกเลิกตัวตนมันก็เป็นพระนิพพานแล้ว เราพูดดี ๆ ยกเลิกตัวตนมันก็เป็นพระนิพพานแล้ว เรามีกิริยามารยาทดี ๆ ยกเลิกตัวตนมันก็เป็นพระนิพพานแล้ว เราประกอบอาชีพดี ๆ ยกเลิกตัวตนมันก็เป็นพระนิพพานแล้ว

 

เราตั้งใจดี ๆ มีความสุขมีปิติมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เมื่อมันผ่านไปแล้วเราก็ปล่อยก็วางเพราะมันเกษียณไปแล้ว เราต้องปล่อยต้องวาง

 

อานาปานสติเราต้องเอามาใช้ทำงาน ต้องคอนโทรลตัวเอง อานาปานสติหายใจเข้าก็ให้มันสบาย หายใจออกก็ให้สบาย หายใจเข้าก็ให้มีความสุข หายใจออกก็ให้มีความสุข หายใจเข้าก็ไม่แน่ไม่เที่ยง หายใจออกก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน ทุกสิ่งนั้นเป็นเพียงอาคันตุกะชั่วครู่ชั่วยาม เราทั้งหลายจะได้รู้เข้าใจ อานาปานสติจึงใช้ได้ทุกเมื่อทุกเวลา เรายืนเดินนั่งนอนเราใช้ได้ทุกกาลทุกเวลา เรานั่งสมาธิก็ใช้อานาปานสตินี้แหละ เราปฏิบัติทางสายกลางเอาความสงบและปัญญาควบคู่กันไปด้วยสติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะถึงเป็นธรรมะที่มีคุณมีอุปการะมาก ๆ สำหรับเราทุก ๆ คน เราทุกคนต้องเห็นคุณเห็นสิ่งที่ประเสริฐ

 

เราพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ เราพากันนอนพักผ่อน ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง เวลาเราเดินเหินนั่งนอนเราก็มีสติสัมชัปญญะเพื่ออริยมรรคมีองค์แปดจะได้ทำงานเพื่อเอาทั้งทางใจกับทางวัตถุไปพร้อม ๆ กันอย่างมีปิติสุขมีเอกัคคตา

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมให้เราปฏิบัติ ให้พากันพิจารณาสรีระร่างกาย สรีระร่างกายของหมู่มวลมนุษย์เรามี ๓๒ ชิ้นส่วน ให้แยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วนด้วยการสาธยาย เอาผมออก เอาขนออก เอาหนังออก เอาออกจนหมดครบ ๓๒ แล้วก็ประกอบอย่างนี้ เพื่อความสงบและปัญญา เพื่อจะได้เกิดนิมิต นิมิตทางธรรมที่ว่างจากตัวตน เราต้องขยันหมั่นเพียร เราต้องภาวนา เราอย่าประมาท เพราะความประมาทคือความผิดพลาดคือความเสียหายเป็นการพังทลายอย่างเช่นเดียวกันกับตึกสตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย

 

เราต้องรู้เข้าใจว่า พระนิพพานอยู่ที่ความคิดคำพูดการกระทำกิริยามารยาทอาชีพที่ยกเลิกตัวตนที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา หยุดลงที่รู้เข้าใจ ไม่ได้เพิ่มไม่ได้เติมไม่ได้ตัด เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ไม่มากเกินไม่น้อยเกิน

 

เราทั้งหลายอย่าพากันขี้เกียจขี้คร้าน เราคิดดูดี ๆ นะ ความขี้เกียจขี้คร้านนี้มันเป็นนิติบุคคลตัวตน ความประมาทเป็นนิติบุคคลตัวตน

 

ทำไมมีพระธรรมพระวินัย..?

มีพระธรรมพระวินัยก็เพื่อยกเลิกตัวตนเพื่อจะได้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมเพื่อยกเลิกตัวตน ทำไมถึงต้องให้เราตื่นตั้งแต่ตี ๓ ทำไมไม่ให้เรานอนสบาย พักผ่อนสบาย การนอนการพักผ่อน ๕,๖ ชั่วโมงก็เพียงพอ เพื่อทุกคนจะได้เจริญสติสัมปชัญญะ เพื่อจะได้เอาความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เพื่อเราทั้งหลายจะไม่ได้ติดตัวติดตนติดความสุข ผู้มีความสุขมีความสงบก็ต้องเสียสละมาก ๆ ผู้ที่มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องมีความสงบมาก ๆ เพื่อให้เราตั้งอยู่ทั้งสมถะทั้งวิปัสสนา  ๒อย่างนี้ต้องควบคู่กันไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจึงต้องพากันเจริญสติสัมปชัญญะนะ ถ้าที่ไหนมีสติมีสัมปชัญญะที่นั่นก็ไม่มีความทุกข์ ความทุกข์มีได้เพราะไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ

 

เราทุกคนพากันเจริญสติสัมปชัญญะ ปรับตัวเข้าหาพระวินัย มีความสุขในการรักษาพระวินัย มีความสุขในการปฏิบัติธรรมเพื่อให้เป็นปัจจุบัน เพื่อให้ยกเลิกตัวตน เพราะตัวตนมันเสียหายตัวตนมันพังทลายตัวตนมันเป็นอบายมุขอบายภูมิตัวตนมันวกวนอยู่ที่เก่าที่เดิมไปไหนไม่ได้ถึงมีศัพท์ว่าคนคน คือตัวตน เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา

 

เราเน้นมาที่เรานี้แหละ เราจะได้เป็นมนุษย์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะได้เป็นเทวดาผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะได้เป็นพระพรหมผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารเป็นพระอริยเจ้าผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราทุกคนมาทำประโยชน์ตนด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะ ทำประโยชน์ผู้อื่นด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะ

 

ปัจจุบันเราทุก ๆ คนต้องมีสติมีความสงบ มีสัมปชัญญะมีปัญญา มีความสงบและปัญญาควบคู่กันไป เราทั้งหลายพากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เรารู้เข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติของตัวของเราเอง รู้จักกรรม รู้จักกฎแห่งกรรม รู้จักผลของกรรม เข้าใจเรื่องชาติด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ รู้เข้าใจว่าชาตินั้นคือความเกิด ความเกิดนั้นมาจากกรรม กรรมทางร่างกาย กรรมทางวาจา กรรมทางกิริยามารยาทที่แสดงออกมา กรรมทางอาชีพที่ประกอบอาชีพ มารวมลงที่ใจที่เจตนา กรรมทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นอุปกรณ์ของใจ เมื่อเราถึงต้องรู้อริยสัจสี่ คือต้องรู้ทุกข์ รู้เหตุที่จะเกิดทุกข์ รู้ถึงข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ จะได้จบลงที่ปัจจุบัน จบลงที่ผัสสะ เพื่อรู้เข้าใจ เพื่อเราจะได้หยุดความปรุงแต่ง เพื่อกรรมของเราหยุดลง จะได้หยุดเรื่องกรรมของเรา พระศาสนาเป็นความรู้ความเข้าใจในเรื่องของกรรม และกฎแห่งกรรม ผลของกรรม  

 

มนุษย์เราในโลกนี้ทั้งหมดมีแปดพันกว่าล้านคนก็ใช้หลักการเดียวกันนี้แหละ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ธรรมะถึงเป็นสิ่งที่รู้เข้าใจ ถึงไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม มีปัญญาสัมมาทิฏฐิกันทุก ๆ คน รู้ทุกอย่างในสภาวธรรมในความเป็นจริง ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้มมันมีเพียงกรรม กฎแห่งกรรม ผลของกรรม ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นเพียงเหตุเพียงปัจจัย เป็นเพียงอาคันตุกะสัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยาม เราทุกคนมาเจริญสติ มาเจริญสัมปชัญญะ มีผู้ปัญญามาก ๆ ก็ต้องมีความสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ ชีวิตของเราจะได้ก้าวไปด้วยความสงบและปัญญา ก้าวไปด้วยปัญญาและความสงบ เราใช้หลักการนี้เป็นศิลปะชีวิต

 

 เรามีความตั้งมั่น รู้เข้าใจ เราทั้งหลายไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามอารมณ์ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เป็นสัมมาสมาธิ เป็นความสงบและปัญญา เป็นสมถะเป็นวิปัสสนา เป็นปัญญาเห็นตามเป็นจริง ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน รู้จักกรรมเก่าที่เกิดจากความไม่รู้ไม่เข้าใจ กรรมเก่านั้นก็ได้แก่ธาตุทั้ง ๔ ดินน้ำไฟลม ขันธ์ทั้ง ๕ ก็ได้แก่ รูปเวทนาสัญญาสังขาณวิญญาณ รู้จักอายตนะทั้ง ๖ ภายใน คือตาหูจมูกลิ้นกายใจ ว่าสิ่งเหล่านี้มันคือกรรมเก่า รู้เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้คือกรรมเก่า กรรมเก่านั้นทุกคนจะไปแก้ไขไม่ได้ เพราะสิ่งที่มันเป็นอดีต สิ่งที่มันเกษียณแล้ว เราทุกคนจะไปแก้ไขไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นอดีต เราต้องรู้เข้าใจ เราอย่าไปแก้ไขเรื่องในอดีต เราทุกคนพากันคิดดูดี ๆ เราอยากให้มากมันก็ไม่มาก มันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราจะไปคิดมันไปทำไม จะไปปรุงแต่งมันไปทำไม เรื่องอยากให้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราจะไปคิดมันไปทำไม เราจะไปปรุงแต่งมันไปทำไม ด้วยเหตุผลนี้เราถึงต้องเข้าถึงความสงบ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากมันเป็นเรื่องของกรรมเก่า

 

เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความสงบ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ปัจจุบันเราต้องเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ สติกับสัมปชัญญะเป็นธรรมะที่มีคุณมีประโยชน์ มีอุปการะมากกับเราทุก ๆ คน พระธรรมพระวินัยมีอยู่มากมาย ถ้าให้เข้าใจง่าย ๆ ก็มารวมที่สติที่สัมปชัญญะนี้แหละ อยู่ที่เราตั้งใจตั้งเจตนา เพื่อให้เป็นปฏิปทาที่ยกเลิกตัวตน ศีลสมาธิปัญญาของเราจะเกิดได้ ด้วยใจด้วยเตนาที่เรายกเลิกตัวตน อยู่ที่เรามีความสงบอยู่ที่เรามีปัญญา จิตใจมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาที่เป็นกรรมเป็นปัจจุบันธรรม ที่เต้องยกเลิกกรรม ยกเลิกกฎแห่งกรรม ยกเลิกผลของกรรม เรามีความสงบและปัญญา เราทุกคนก็จะหยุดเรื่องกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม ผลของกรรม

 

เรารู้เข้าใจเรื่องกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม ผลของกรรม เรายกเลิกด้วยพระธรรมพระวินัย ลงรายละเอียดทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ ลงที่เจตนาที่เราต้องยกเลิกตัวตน ถ้าเราไม่ยกเลิกตัวยกเลิกตน เราจะมีสติมีสัมปชัญญะได้อย่างไร เราจะเข้าถึงศีลถึงสมาธิถึงปัญญาได้อย่างไร

 

ความสงบและปัญญาจะเป็นสภาวธรรมที่หยุดกรรม หยุดความปรุงแต่ง หยุดวัฏฏสงสารที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องวัตถุ เป็นสติเป็นสัมปชัญญะ

 

รู้เข้าใจในเรื่องกรรม กฎแห่งกรรม ผลของกรรม เราทุกคนก็จะรู้เรื่องพระศาสนา

พระศาสนาคือธรรมะ ธรรมคือพระศาสนา พระศาสนาคือทางสายกลางเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องวัตถุหรือว่าเรื่องทางวิทยาศาสตร์ เราต้องเข้าถึงเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องวัตถุที่เป็นวิทยาศาสตร์ เราทั้งหลายจะได้เอาเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องวัตถุเรื่องวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน ๒ อย่างนี้ต้องไปพร้อม ๆ กัน ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ความสงบและปัญญาต้องไปพร้อม ๆ กัน

 

เพื่อทำที่สุดแห่งความไม่มีทุกข์ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะต้องเป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุเพื่อให้สองอย่างนี้เป็นความดีและปัญญา เพื่อปัญญาและความดีและได้ก้าวไปพร้อม ๆ กัน เราทั้งหลายต้องยกเลิกตัวตน เพื่อทุกคนจะได้เดินทางสายกลาง เพื่อจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นจบลงเพียงผัสสะ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ถ้าเราเจริญสติ เจริญสัมปชัญญะ มีความสุขในการเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ ความดับทุกข์นั้นก็ย่อมมีกับเราทุก ๆ คนไม่มีใครยกเว้น เพราะความดับทุกข์ ความไม่มีทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่เรามีสติมีสัมปชัญญะ

 

สติระดับศีล ศีลที่มีสติสัมปชัญญะก็ดับทุกข์ได้ในเบื้องต้น สติระดับสมาธิก็ดับทุกข์ได้ระดับกลาง สติระดับปัญญาที่ยกเลิกตัวตนก็ดับระดับทุกข์ได้ระดับสูงสุด เราทุกคนต้องรู้เข้าใจนะ ทุกคนต้องเจริญสติสัมปชัญญะ เอากาย เอาวาจา เอากิริยามารยาท เอาอาชีพมาเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เราทั้งหลายจะได้ทั้งเรื่องจิตเรื่องใจ ได้ทั้งเรื่องวัตถุไปพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นทางสายกลาง ในส่วนร่างกายของเรา ร่างกายก็แข็งแรง ส่วนจิตใจของเราก็แข็งแรง เพราะเรามีสติมีสัมปชัญญะ เราทุกคนต้องตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ ให้ทุกท่านเข้าใจว่า ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในเรื่องการประพฤติการปฏิบัติ เราจะไม่ได้เสียเวลาที่เราต้องใช้ทรัพยากรที่ประเสริฐที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้พวกเราทั้งหลายมาเจริญสติสัมปชัญญะ อย่าพากันตั้งอยู่ในความหลงความเพลิดเพลินความประมาท ให้เข้าใจว่า ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ เป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ ในการเจริญสติคือความสงบ ในการเจริญสัมปชัญญะตัวปัญญา เพื่อให้ปฏิปทาก้าวไปด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตาที่เป็นปัญญากับความสงบ เราพากันเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน เราต้องรู้เข้าในว่าพระนิพพานนี้ต้องอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องเข้าถึงพระนิพพาน ให้ศีลนี้เป็นพระนิพพาน สมาธิเป็นพระนิพพาน ปัญญาเป็นพระนิพพาน เราไม่ต้องเอาความฟุ้งซ่าน ไม่เอาความหลงนำชีวิตว่าพระนิพพานอยู่เบื้องหน้าโน้นเทอญ คำว่าเทอญอยู่ไกลเหลือเกิน มันไม่ใช่ธรรมไม่ใช่ปัจจุบันธรรม อย่างนั้นมันเอาความผิดนำชีวิต ไม่ได้เอาธรรมไม่ได้เอาปัจจุบันธรรมอันนั้นไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา อันนั้นมันเป็นอัตตาเป็นนิติบุคคลตัวตนให้เรารู้เข้าใจ

 

ด้วยเหตุผลนี้เราทุกคนจึงต้องเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เพื่อให้สติสัมปชัญญะของเรามันติดต่อต่อเนื่อง เราคิดดูดี ๆ นะ การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องถึงจะเป็นชิ้นเป็นอัน ถึงจะเป็นมรรคเป็นผล เพราะอันนี้เราต้องรู้เข้าใจว่าอันนี้เป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม เราต้องรู้ต้องเข้าใจในเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม การประพฤติการปฏิบัติของเราจะได้ติดต่อต่อเนื่อง รายการดี ๆ ก็ย่อมมีรายการต่าง ๆ เข้ามาแทรกแซงนะ อย่างรายการโทรทัศน์ดี ๆ ก็ย่อมมีการโฆษณา ในชีวิตประจำวันมีสิ่งต่าง ๆ มากมายที่เกิดจากธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ ที่มาเกี่ยวข้อง ที่มาสัมผัส เปรียบเสมือนรายการโฆษณาสรรพสินค้าต่าง ๆ นานา เรื่องธุรกิจหน้าที่การงาน เราต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้ไปตามสิ่งที่เค้าโฆษณา เราจะได้จบลงที่ปัจจุบัน ถึงสิ่งต่าง ๆ นั้นจะเอร็ดอร่อย  จะแซบจะลำจะนัวจะหรอย เราก็ต้องจบลงด้วยความรู้ความเข้าใจ เพราะเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ว่าให้เราช้าให้เรานาน เสียเวลากับความเพลิดเพลินในสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้

 

เราทั้งหลายต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราจะได้จบลงที่ปัจจุบัน เราต้องตั้งมั่นเราต้องเข้มแข็ง เอาปัจจุบันให้มีสติสัมปชัญญะดี ๆ ให้มีความสงบมาก ๆ ด้วยการเสียสละ เสียสละความเอร็ดอร่อยในปัจจุบัน ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อความดีเพื่อบารมีเพื่อศีลเพื่อสมาธิเพื่อปัญญาจะได้ติดต่อต่อเนื่องที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องวัตถุไปพร้อม ๆ กัน

 

เราทุกคนพากันรู้เข้าใจนะ อยู่ที่ไหนเราก็พากันทำได้ปฏิบัติ ไม่ขัดต่อธุรกิจหน้าที่การงาน เราเอาธุรกิจหน้าที่การงานมาใช้มาปฏิบัติให้มันได้ทั้งเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เพราะธรรมะมันเป็นเรื่องความรู้ความเข้าใจ เป็นอุปกรณ์ที่เราจะเอาไปใช้เอาไปปฏิบัติทั้งทางกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ มารวมลงที่เจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อให้เป็นความดีเป็นบารมี เป็นปฏิปทา เป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติ คำว่าวัตรข้อวัตรข้อปฏิบัติให้เรารู้เข้าใจ เขาจะทำอะไรเขาต้องมีเครื่องวัด อย่างเค้าจะทำบ้านทำเรือนสร้างบ้านสร้างเมืองเค้าต้องมีเครื่องวัด วัดความสั้นความยาวความสูงความต่ำ วัดน้ำหนักของความหนักความเบา วัดมีความหมายอย่างนี้ พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ให้เรารู้เข้าใจ จะเป็นอุปกรณ์ให้เราถือเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม

 

เราทั้งหลายต้องรู้ประโยชน์รู้คุณ พระธรรมพระวินัยไม่ใช่เรื่องธรรมดานะ พระธรรมพระวินัยเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่จะให้เราเข้าถึงบริสุทธิคุณทั้งทางกายวาจากิริยามายาทรวมลงที่ใจที่เจตนา เราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจเรื่องพระธรรมเรื่องพระวินัย เรื่องการให้ทานการเสียสละ เรื่องเจริญเมตตา เจริญสมถะ เจริญวิปัสสนา สิ่งเหล่านี้ที่เป็นคุณมากมีอุปการะคุณมาก เราต้องรู้เข้าใจเรื่องทาน ศีล สมาธิ ปัญญา วิปัสสนา ว่าสิ่งเหล่านี้มีคุณมีอุปการคุณแก่เรามาก ๆ เราจะได้เข้าถึงความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่เป็นทั้งรูปธรรมนามธรรม ที่เป็นทั้งความสงบและปัญญา

 

เราทุกคนจะเอาความรู้สึกนำชีวิตนั้นไม่ได้ ต้องเอาพระธรรมเอาพระวินัย ยกเลิกตัวตน สติสัมปชัญญะคือหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ความไม่ประมาท ความตั้งใจ ตั้งเจตนา เพื่อจะให้ปฏิปทา สติสัมปชัญญะได้ก้าวไป เราทุกคนถึงไปตามใจตามอารมณ์ตามความรู้สึกไม่ได้ ต้องทวนกระแส ไม่ไปตามกระแส อย่าให้ความประมาทเข้ามาแทรกแซง เราคิดดูดี ๆ นะ ความประมาทมันจะเข้ามาแทรกแซงนะ ธรรมะถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมอยู่ตลอด ต้องยกเลิกตัวตนอยู่ตลอด ให้เข้าใจนะว่าศีลสมาธิปัญญาเป็นสภาวธรรมที่ยกเลิกตัวตนที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม

 

อย่างเราพากันมานั่งสมาธิ นั่งสมาธิเรายกเลิกตัวตน ใจมันก็สงบ เมื่อมันสงบมันก็เป็นตัวเป็นตน ผู้มีความสงบก็ต้องเสียสละ อย่าไปติดสุขติดสบาย องค์สมเด็จพระสัมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเมื่อเรามีความสงบพอสมควรเราก็ต้องพิจารณาร่างกายเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เราจะได้ทำสมถะวิปัสสนาไปพร้อม ๆ กัน

 

เราไปติดสุขติดความสงบติดความสบายเดี๋ยวเราก็ต้องนั่งสัปหงกโงกง่วง เรานอบน้อมต่อความหลงโยกไปโยกมา น่าเวทนาทั้งตัวเราและคนอื่นนะ เราต้องเข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ตั้งอยู่ในความประมาท ให้เรารู้เข้าใจ ว่าเราทั้งหลายอย่าไปตั้งอยู่ในความหลงอย่าไปตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินความประมาท เราทั้งหลายต้องเสียสละยกเลิกตัวตน ต้องทำหน้าที่เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะเพื่อให้ความสงบและปัญญาก้าวไปพร้อม ๆ เรามีปัญญามาก ๆ เราก็ต้องสงบมาก ๆ  เรามีความสงบมาก ๆ เราก็ต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เพื่อเราจะได้ก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา

 

วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานกับการปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กันให้เราทุกคนรู้เข้าใจ ว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เพื่อพัฒนาทั้ง ๒ อย่าง พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ พัฒนาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงาน มาเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ ยกเลิกสิ่งภายนอกหมด เน้นความบริสุทธิที่ใจ ใจของเรานั้น เราทุกคนต้องยกเลิกตัวตน เราทุกคนถ้าเรายกเลิกตัวตนแล้ว เราทุกคนก็จะมีแต่ความสงบและปัญญา มีปัญญาและความสงบ ใจของเราทุกคนรู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ข้อปฏิบัติของความดับทุกข์ ใจของเราจะเป็นปัจจุบันธรรม ใจของเราจะยกเลิกตัวตน ถ้าเราทุกคนยกเลิกตัวตน เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความเป็นประภัสสร เราจะได้ว่างจากนิติบุคคล ว่างจากตัวตน เราจะไม่ได้ไปเป็นอะไร ไม่ได้อะไรเสียอะไร เราทั้งหลายจะได้ว่างจากตัวตน

 

เราคิดดูดี ๆ นะ ใจของเรามันเป็นกลาง ๆ มันว่างจากตัวจากตน ใจของเราเค้าจะไม่มีความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก ที่มันเกิดมันแก่มันเจ็บมันตายมันพลัดพรากล้วนแต่เป็นนิติบุคคลตัวตน ศีลสมาธิปัญญาถึงเป็นสภาวธรรม เป็นพระธรรมพระวินัยให้พวกเราทั้งหลายพากันมายกเลิกตัวตน ให้เรารู้เข้าใจ ธุรกิจหน้าที่การงาน กายวาจากิริยามารยาทอาชีพให้เรารู้เข้าใจ ว่าสิ่งเหล่านี้แหละที่จะเป็นอุปกรณ์ให้พวกเราได้ประพฤติได้ปฏิบัติ เพื่อบำเพ็ญบารมีเบื้องต้นท่ามกลางที่สุด เราทุกคนจะได้เข้าถึงความสงบและปัญญาในปัจจุบัน เราจะได้เข้าถึงพระนิพพานบ้านของเราในปัจจุบัน

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เรารู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ เราอย่าไปเข้าใจเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนเราแยกการแยกงานออกจากการปฏิบัติธรรม อย่างนั้นไม่ได้มันเสียหาย เสียหายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ตึกที่ไหนเค้าก็ไม่พังทลายไปพังตึกเดียว พังแต่ตึกสตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน

 

ให้เราทั้งหลายระลึกถึงโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสโอวาทสำคัญครั้งสุดท้ายไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร

 

ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง

 

 ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น

การบรรยายพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเช้าของวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๘ เห็นสมควรแก่เวลา ขอสมมติยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้

 

--------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอาทิตย์ที่ ๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

Visitors: 103,024