๒๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันที่ ๒๘ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ฮิจเราะห์ศักราช ๑๔๔๖
เราทุกคนทุกชาติทุกศาสนาก็ต้องพากันรู้พากันเข้าใจ เพื่อจะได้มีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อจะได้ประพฤติได้ปฏิบัติได้ทำหน้าที่ เพราะธรรมะนั้นคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เพื่อการประพฤติการปฏิบัติให้เป็นทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องวัตถุต้องไปพร้อม ๆ กัน ด้วยการมีปิติมีความสุขความอิ่มอกอิ่มใจ สบายกายบายใจ ด้วยความสุขกับการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นธรรมนูญ ยกเลิกสิ่งที่จะให้เกิดทุกข์ เราต้องรู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ การประพฤติการปฏิบัติของเราทุก ๆ คนนั้นมันอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเป็นการประพฤติการปฏิบัติของเรา เพราะอดีตทั้งหลายก็มาอยู่ที่ปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง ปัจจุบันนี้ถึงเป็นวาระสำคัญของเราทุก ๆ คน
เราต้องรู้ต้องเข้าใจนะ เพื่อจะเข้าสู่หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เข้าถึงเหตุเข้าถึงปัจจัย เพราะเหตุผลว่าปัจจุบันเป็นวาระสำคัญของการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อใช้เป็นหลักการ อุดมการณ์อุดมธรรม เป็นประโยชน์ของตัวเราเอง เป็นประโยชน์ของคนอื่น
ให้เข้าสู่หลักเหตุ เหตุอย่างไรผลก็ย่อมมาเช่นนั้น เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ความรู้ถึงเป็นคู่กับการประพฤติคู่กับการปฏิบัติ
ถึงพร้อมทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ของบุคคลอื่น ถึงพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท เป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป เป็นทางสายกลาง มีทั้งความสงบมีทั้งปัญญา พระวินัยก็ไม่บกพร่อง พระธรรมก็ไม่บกพร่อง เป็นทั้งพระธรรม เป็นทั้งพระวินัย เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจก็จะเป็นเหมือนธรรมกถึกกับวินัยธร ธรรมกถึกก็จะเอาตั้งแต่พระธรรม ไม่เอาพระวินัย พระวินัยธรก็จะเอาตั้งแต่พระวินัย ไม่เอาธรรมะ ๒ อย่างนี้ต้องไปพร้อม ๆ กัน ไม่มากไม่น้อย ต้องไปพร้อมกัน เสมอกันไปที่เป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี การประพฤติการปฏิบัติถึงเป็นเรื่องปัจจุบัน ผู้มีปัญญามาก ๆ ก็ต้องให้มีความสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อให้เป็นทางสายกลาง ต้องรู้ต้องเข้าใจ ต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ ต้นไม้ต้นหนึ่งนี้ที่จะเป็นต้นไม้ที่สวยสดงดงามสง่างาม การได้อาหารของต้นไม้นั้นต้องได้มาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้ ได้มาจากรากจากใบจากกิ่งสาขาจากยอดตลอดปริมณฑลแสงแดดอากาศออกซิเจน ต้นไม้นั้นถึงจะอุดมสมบูรณ์ พระธรรมพระวินัยต้องควบคู่กันไป ความรู้คู่กับการประพฤติคู่กับการปฏิบัติ
ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันคือเหตุคือปัจจัย เราต้องรู้เรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมีได้ ให้เรารู้เข้าใจ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมีได้ เราจะได้ทำที่สุดแห่งไม่มีทุกข์คือความดับทุกข์ของตัวของเราเอง ต้องไม่มีทุกข์ในปัจจุบัน ต้องดับทุกข์ในปัจจุบัน เราจะได้ดับทุกข์ในปัจจุบันได้เราก็ต้องมีสติมีสัมปชัญญะ เพราะความดับทุกข์ของเราทุก ๆ คนนั้นอยู่ที่เรามีสติมีสัมปชัญญะ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะเมื่อไหร่เราก็ดับทุกข์ได้ทันที มันจะเป็นความพอดีระหว่างพระธรรมพระวินัย จะได้สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ สมมติสัจจะเป็นเรื่องเปลือกเรื่องกระพี้ เพื่อรักษาเนื้อไม้แก่นไม้ให้เจริญเติบโต
ให้เรารู้เข้าใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกกับพวกเราทั้งหลายว่า อย่าไปประมาท เพราะความประมาทนั้นคือความผิดพลาดคือความเสียหาย เดี๋ยวมันจะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกที่ไหนใหญ่กว่าสูงกว่าเขาก็ไม่พังทลาย มันไปตึกเดียว เฉพาะตึก สตง. เพราะเหตุผลว่าเราไปพัฒนาแต่ทางวิทยาศาสตร์ เราไม่ได้เอาใจไปพร้อม ๆ กัน
การดำเนินชีวิตของเรา เราก็ต้องเอาทั้งวิทยาศาสตร์ เอาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน เราเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ เราต้องรู้เข้าใจ เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เห็นภัยของความผิด เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เพื่อเราทั้งหลายจะพากันไม่ตั้งอยู่ในความประมาท เพื่อเราจะได้ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาท ความดีนั้นต้องประกอบด้วยปัญญา ปัญญานั้นต้องประกอบด้วยความดี สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นจะจบลงที่ปัจจุบัน จบลงที่ผัสสะ
ความดีพร้อมด้วยปัญญาที่เราต้องเอามาใช้เอามาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบัน
สิ่งที่ไม่ดีไม่ถูกต้องจะได้หยุดลงที่ปัจจุบัน สิ่งถูกต้องจะต้องก้าวไปที่ปัจจุบัน
สิ่งที่ไม่ถูกต้องต้องหยุดที่ปัจจุบัน เอาอดีตเอาอนาคตมารวมกันเป็นความดีและปัญญา ก้าวไปด้วยปฏิปทาที่มีแต่สติมีแต่สัมปชัญญะ เรามาเอาสมมติสัจจะมาใช้มาปฏิบัติ สมมติสัจจะที่เป็นยศเป็นตำแหน่ง เราต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติ เมื่อเรารู้เข้าใจ เราต้องเอาสมมติสัจจะ เอามาใช้เอามาปฏิบัติ ตำแหน่งที่เค้าแต่งตั้งให้เราเป็นอะไร เราต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติ มามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในการทำหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ เราต้องมีปิติมีความสุขเอกัคคตาในการปฏิบัติหน้าที่ทำหน้าที่
เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ อย่าไปมีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น พระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์เป็นสมมติสัจจะที่ให้เราทั้งหลายทำหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ ด้วยเหตุผลนี้เราถึงต้องเอาสมมติสัจจะที่ได้มีสมมติกันหลายล้านสมมติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการปฏิบัติต่อสมมติให้ถูกต้อง ด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตา
เราทุกคนต้องยกเลิกความไม่ถูกต้อง ยกเลิกตัวตน เพื่อเอาทั้งพระธรรมเอาทั้งพระวินัย ไม่ต้องเกิดความเสียหาย เพราะเรารู้เข้าใจในเรื่องพระธรรมพระวินัย เรื่องธรรมเรื่องปัจจุบันธรรม
เราอย่าไปคิดว่าให้มันจบในอนาคต มันต้องจบลงที่ปัจจุบันนี้แหละ ให้มันจบที่ปัจจุบัน จบที่ผัสสะ จะได้จบเรื่องจบราวจบปัญหา ไม่ต้องมีปัญหา ต้องหยุดปัญหา
เราพากันทำหน้าที่ให้มีความสุขในการทำหน้าที่จนกว่าเราจะหมดอายุขัย เมื่อเรามีลมปราณมีลมหายใจ เราทั้งหลายต้องพากันทำหน้าที่ ให้มีความสุขในการทำหน้าที่
อายุขัยของเราให้เรารู้เข้าใจนะ อายุขัยของเราอยู่ได้ร่วม ๆ ศตวรรษหนึ่งนะ ศตวรรษหนึ่งคือร้อยปี ถ้าเราปฏิบัติดี ๆ ที่ประกอบด้วยปัญญา เราพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ เราพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน อายุขัยของเราจะอยู่มากกว่าร้อยปีนะ
การดำเนินชีวิตของเราอยู่ด้วยปิติอยู่ด้วยความสุขอยู่ด้วยเอกัคคตา ที่เป็นธรรมเป็นธรรมนูญในการประพฤติการปฏิบัติ อายุขัยอยู่ได้มากกว่าร้อยปี เราต้องพากันรู้หลักการธรรมนูญชีวิต เพื่อยกเลิกความผิด เพราะความผิดนั้นมันจะพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย นี้มันเสียหายมาก ตึกไหน ๆ เค้าก็ไม่พัง พังตึกเดียวเฉพาะเจาะจงแต่ตึก สตง. ทั้ง ๆ ที่ตึกหลายตึกใหญ่กว่าสูงกว่าเค้าก็ไม่พังทลาย เพราะเขาสร้างได้มาตรฐานพอที่จะรับแผ่นดินไหวได้
ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราทุกคนต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการพัฒนาในการทำงานในการทำหน้าที่ ให้มีปิติมีความสุขในการทำหน้าที่ เราทุกคนต้องยกเลิกตัวตนนะ ไม่ยกเลิกตัวตนไม่ได้นะ ให้รู้เข้าใจ ทุกคนต้องยกเลิกตัวตน เราเอาตัวตนนำชีวิตนี้มันเป็นความผิดนะ เพราะตัวตนนั้นมันคือความทุกข์นะ ตัวตนนั้นมีแต่ความทุกข์เกิดขึ้น ความทุกข์ตั้งอยู่ ความดับทุกข์นั้นดับไป นอกจากความทุกข์นั้นไม่มีเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า มันไม่มีอะไรเลย นอกจากความทุกข์ มันเป็นความทุกข์ทั้งนั้น มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป เปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรมันไม่อิ่มไม่เต็มด้วยน้ำ มันบกพร่องอยู่เป็นนิจ บกพร่องตลอดกาลตลอดเวลา เปรียบเสมือนไฟมันไม่อิ่มด้วยเชื้อของเพลิง
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงการประพฤติการปฏิบัติเพื่อหยุดความผิดความไม่ถูกต้อง เราจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เราพากันคิดดูดี ๆ นะ เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเดิม เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเดิม ความตรึกอย่างนี้ความคิดอย่างนี้มันเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพนะ เราต้องรู้เข้าใจ ต้องไม่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ความคิดลิดรอนสิทธิเสรีภาพให้เราเข้าใจนะ ที่เราไม่อยากให้มีความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก ลักษณะความคิดอย่างนี้แหละ มันเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง เป็นความคิดที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ เราจะไม่ได้หาเรื่องหาราวให้กับตนเองเป็นทุกข์เปล่า ๆ มันเป็นทุกข์ทั้งตัวเองและไปหาเรื่องหาราวให้กับคนอื่นอีกด้วย ศัพท์คำว่าตัณหานี้เป็นศัพท์ที่ลึกซึ้งกินใจมาก มันหาเรื่องหาราวให้กับตนเองเป็นทุกข์ หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่นเป็นทุกข์
ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันทำให้เรามีความอยาก ทำให้เรามีความไม่อยาก ความอยากหรือความไม่อยากเราต้องรู้ต้องเข้าใจ อันนี้มันคือความปรุงแต่ง เราต้องรู้เข้าใจ ความปรุงแต่งคือความทุกข์ คือความไม่พอเพียงเพียงพอ คือความไม่สงบ คือความวุ่นวาย คือความบกพร่อง เป็นความไม่อิ่มไม่เต็ม ไม่พอไม่เพียงพอ
เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราไปคิดเองเออเอง นี้มันเป็นความไม่รู้ไม่เข้าใจ
เราต้องรู้เข้าใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป มันเป็นประภัสสรของเหตุของปัจจัย เราทั้งหลายอย่าไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพเสรีธรรม อย่าไปลิดรอนความเป็นประภัสสร เราต้องคืนอธิปไตยให้กับปวงชน อย่าไปลิดรอน
ลิดรอนสิทธิอย่างไร ลิดรอนสิทธิให้เรารู้ให้เราเข้าใจนะ ความปรุงแต่งนั้นคือการลิดรอนสิทธิเสรีภาพนะ
เช่นเราไม่อยากแก่นี้นะคือการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ เช่นเราไม่อยากเจ็บนี้นะคือการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ที่เราไม่อยากตายนี้คือการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ไม่อยากพลัดพรากนี้คือการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ เราอยากจะให้เป็นอย่างโน้นไม่อยากให้เป็นอย่างนี้ ให้เราทุกคนเข้าใจนะ ลักษณะอย่างนี้เช่นนี้เค้าเรียกว่าลิดรอนสิทธิเสรีภาพหรือว่าเสรีธรรม ไม่ได้นะ ไม่ถูกต้องนะ มันเสียหายมาก ๆ นะ มันไม่ถูกต้อง นี้มันทุจริต ความไม่ถูกต้องเรียกว่าทุจริต
ให้เรารู้ให้เข้าใจในเรื่องทุจริตนะ ถ้าเรามีตัวมีตน บุคคลนั้นแหละคือบุคคลที่ทุจริต ตัวตนนั้นคือบุคคลที่ทุจริต ตัวตนคือความผิด การประพฤติการปฏิบัติธรรมถึงต้องมาพากันยกเลิกตัวตน
ถ้าเราเอาตัวตนนำชีวิต มันคือความผิดคือการปฏิบัติผิด ปฏิบัติไม่ถูกต้อง
เรามีตัวมีตนบุคคลคือบุคคลที่ทุจริต ด้วยเหตุผลนี้ เราทั้งหลายถึงพากันมารู้มาเข้าใจ รู้เข้าใจแล้วต้องมีปิติมีความสุขยกเลิกตัวตน ยกเลิกความสำคัญมั่นหมาย ว่าเป็นเราเป็นคนอื่น สำคัญว่าเราเป็นผู้หญิงผู้ชาย เป็นคนแก่คนเฒ่าคนชรา คนตายคนพลัดพราก สำคัญมั่นหมายว่าเราดีกว่าเขา เก่งกว่าเขา รวยกว่าเขามีเพาเวอร์มากกว่าเขา หรือว่าเสมอเขา สู้เขาไม่ได้ ต้องรู้เข้าใจ ไม่มีเขาไม่มีเรานะ มันเป็นเพียงเหตุเพียงปัจจัยเท่านั้น ให้รู้ให้เข้าใจ สิ่งต่าง ๆ นั้นมันเกิดจากกรรมที่มันเป็นกรรมทางกายทางวาจาทางกิริยามารยาทอาชีพที่มารวมที่ใจที่เจตนา เราต้องยกเลิกตัวยกเลิกตน เราทั้งหลายจะได้หยุดที่ปัจจุบัน ปัจจุบันถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ กรรมของเราก็ต้องหยุดลง เพราะความรู้คู่กับการปฏิบัติ ด้วยเรามีสติมีสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะถึงเป็นความพอดีความพอเพียงเพียงพอเป็นความเต็ม เต็ม เต็ม กฎแห่งกรรมก็จะได้หยุดลง จะเป็นอโหสิกรรม เป็นการยกเลิกกรรม สติสัมปชัญญะเป็นการยกเลิกกรรม
เราต้องยกเลิกเขายกเลิกเราด้วยยกเลิกตัวตน เราทุกคนจะได้มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา เราทั้งหลายพากันจับหลักของการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ เน้นมาประพฤติปฏิบัติในตัวของเราเอง เพราะการประพฤติการปฏิบัตินี้ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น เป็นเรื่องของเรา คนอื่นก็ให้เป็นเรื่องของคนอื่น เราอย่าไปก้าวก่ายสิทธิเสรีภาพของเขา
เราต้องเอาตัวเองให้รอดปลอดภัยด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราจะเอาตัวรอดได้ก็เพราะเรามีสติมีสัมปชัญญะ ให้มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมในปัจจุบัน
ปัจจุบันเราต้องมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เราเดินอยู่ก็ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมมาก ๆ เรานั่งก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมมาก ๆ เรานอนอยู่ก็ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมมาก ๆ เรายืนอยู่ก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมมาก ๆ กิริยามารยาทก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมให้มาก ๆ เราคิดอะไรอยู่ก็ต้องมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมว่าความคิดนี้ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง เราพูดอะไรอยู่ก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมว่าความคิดนี้ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง กิริยามารยาทนี้มันถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง อาชีพที่เรากำลังทำอยู่นี้มันถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง
เราจะได้รู้เรื่องว่านี้มันผิดหรือมันถูก เราต้องก้าวด้วยความดีและปัญญา สองอย่างนี้ต้องควบคู่กันไปให้เป็นทางสายกลางด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ
เราทั้งหลายต้องมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม นี้ใช้เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม
หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้พวกเราทั้งหลายใช้อานาปานสติเป็นหลักในการประพฤติการปฏิบัติ อานาปานสติได้แก่ลมหายใจเข้าหายใจออก เพื่อเราจะได้รู้หลักการของการประพฤติการปฏิบัติ ลมหายใจเข้าออกมีกับเราทุก ๆ คนที่มีอายุขัย ผู้ที่มีอายุขัยต้องมีลมหายใจมีลมปราณ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราใช้หลักการอานาปานสติเพื่อเป็นอุดมการณ์อุดมธรรมเพื่อสติสัมปชัญญะ สิ่งทั้งหลายที่มาสัมผัสกับเราจะได้จบลงที่ปัจจุบัน เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม
อานาปาสติได้แก่หายใจเข้าหายใจออก เราใช้หลักการด้วยหายใจเข้าก็ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมว่าหายใจเข้า หายใจออกก็ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมว่าหายใจออก หายใจเข้าก็ให้เราหายใจเข้าให้สบาย หายใจออกก็ให้เราหายใจออกให้สบาย หายใจเข้าก็ให้ลมหายใจเข้านั้นสบาย หายใจออกก็ให้ลมหายใจออกนั้นสบาย หายใจเข้าก็มีความสุขหายใจออกก็ให้มีความสุข หายใจเข้าก็ให้รู้ว่ามันไม่แน่ไม่เที่ยง หายใจออกก็ให้รู้ว่ามันไม่แน่ไม่เที่ยง หายใจเข้าก็ให้รู้ว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หายใจออกก็ให้รู้ว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ว่าทุกอย่างเป็นเพียงอาคันตุกะสัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วคราวชั่วครั้งชั่วยาม หาใช่นิติบุคคลตัวตนไม่ อานาปานสติเป็นทั้งสมถะเป็นทั้งวิปัสสนาเป็นความสงบและปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้ใช้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ ให้เอาไปใช้ได้ทุก ๆ อิริยาบถเลย ไม่ใช่เอาไปใช้เฉพาะเวลานั่งสมาธินะ ให้เอาไปใช้ได้ทุก ๆ อิริยาบถ
เราทั้งหลายต้องพากันมีสติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะเป็นธรรมะที่มีคุณมีอุปการมาก จะทำให้เรามีความสงบและปัญญา ที่จะทำให้เราเข้าถึงธรรมถึงปัจจุบันธรรม เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ การปฏิบัติของเราก็จะมีอยู่ตลอดกาลตลอดเวลาเป็นธรรมะเป็นสภาวธรรมที่มีแต่ความสงบและปัญญา นี้มีคุณมากมีประโยชน์มาก
เราทั้งหลายถึงพากันมาเจริญสติปัฏฐาน ที่เป็นหลักการเป็นฐานของการประพฤติการปฏิบัติ
สติคือความสงบ ความสงบต้องเป็นพื้นฐาน เมื่อมีความสงบมาก ๆ เราก็ต้องเสียสละมาก ๆ เราเสียสละมาก ๆ วิปัสสนาของเราถึงจะเกิดได้ ถ้าเราไม่เสียสละมาก ๆ เราก็ได้แค่สมาธิแค่สมาบัติ ถ้าเราได้แค่สมาธิสมาบัติ ปัญญาของเรามันจะไม่เกิดนะ วิปัสสนาของเรามันจะไม่เกิดนะ ให้เราพากันรู้พากันเข้าใจ พวกที่เรียนที่ศึกษาปริยัติ มีปัญญามาก ๆ ต้องพากันเจริญสติสัมปชัญญะให้มาก ๆ เพื่อจะได้เข้าถึงความสงบ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เพื่อเอาความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน
สัมปชัญญะตัวปัญญาที่เกิดจากการเรียนการศึกษาปริยัติ เราต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติในปัจจุบัน ถึงจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ถึงจะเข้าถึงธรรมถึงปัจจุบันธรรม ถ้าอย่างนั้นไม่ได้มันเสียหาย มันแก้ปัญหาไม่ได้ มันต้องพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึกสตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย
เราต้องรู้จักหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องมายกเลิกตัวเราด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะ
ยกเลิกเรื่องอดีตที่ผ่านมาทั้งหมด เพื่อไม่ให้อดีตที่ผ่านมามันปรุงแต่งจิตใจของเราได้ เรามายกเลิกเรื่องอนาคตที่เราคิดเราปรุงแต่งไปเพ้อฝัน เรามาเอาปัจจุบันนี้เพื่อให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม
ถ้าเราใช้อานาปานสติมันยังไม่หยุดก็ใช้หลักการอย่างนี้เลยก็ได้ เราสต๊อปลมหายใจ หยุดลมหายใจ ใจมันจะขาดเดี๋ยวมันก็หยุดเอง เราทำไปอย่างนี้ ใช้หลักการอย่างนี้คงไม่เกินหนึ่งชั่วโมง ความสงบก็ย่อมเกิดขึ้น หลักการท่านถึงให้เราเจริญสติสัมปชัญญะ ทำอะไรให้อยู่กับหน้าที่นั้น ๆ ถ้าเราทำหน้าที่ของเราสมบูรณ์ ความสงบและปัญญามันจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
ให้เรารู้เข้าใจ เพราะอดีตทั้งหลายนั้นก็มันมารวมกันอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว ปัจจุบันเราต้องยกเลิกเรื่องอดีตทั้งหมด เพื่อให้สติสัมปชัญญะของเราสมบูรณ์
อนาคตที่จะไปข้างหน้าให้เรารู้เข้าใจ ปัจจุบันมันเป็นอย่างไรอนาคตมันเป็นอย่างนั้น ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญของการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้เข้าใจง่าย ๆ เข้าใจง่ายขึ้น ว่าการประพฤติการปฏิบัติมันอยู่ที่ปัจจุบัน
ปัจจุบันนี้ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ นะ เราต้องทำหน้าที่ของเราในปัจจุบันให้สมบูรณ์ ให้สมบูรณ์ ให้มีปิติมีความสุขเป็นเอกัคคตาเป็นหนึ่ง
มนุษย์เราทั้งหลายให้เรารู้เข้าใจในเรื่องเหตุเรื่องปัจจัยเรื่องหน้าที่ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ เมื่อเรามีสติสัมปชัญญะในปัจจุบันที่สมบูรณ์ ความสงสัยในเรื่องตายแล้วเกิดหรือว่าตายแล้วสูญมันก็จะไม่มี เพราะเราหยุดเรื่องของอดีตอนาคต ปัจจุบันเราก็เข้าถึงความว่าง เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน ไม่ใช่พระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ คำว่าเทอญมันไกลเหลือเกิน มันไม่ใช่ธรรมไม่ใช่ปัจจุบันธรรม
มันจะต้องเข้าถึงพระนิพพานด้วยความพอเพียงเพียงพอในปัจจุบันนี้เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่อนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ
ปัจจุบันถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ เราทุกคนจะมีทุกข์มาจากไหน เรามีทุกข์เพราะเราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะนะ
การที่เรามีความปรุงแต่งนั้นให้เรารู้เข้าใจนะ ความปรุงแต่งนั้นเป็นการพัฒนาเพื่อให้เป็นไปตามหลักเหตุหลักผลหลักวิทยาศาสตร์ เป็นความดีที่มนุษย์เราที่ต้องสร้างสรรค์ เพื่อสร้างเหตุสร้างปัจจัยให้หมู่มวลมนุษย์ก้าวไปทั้งทางวัตถุเพื่ออำนวยความสะดวกสบาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เป็นการเสียสละสัญชาตญาณที่มันขี้เกียจขี้คร้านที่มันเป็นตัวเป็นตน เพราะตัวตนคือความขี้เกียจขี้คร้าน การพัฒนาวิทยาศาสตร์ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิที่เรารู้เข้าใจ เรามีความสุขในการเรียนหนังสือในการทำงาน ในการรับราชการ ในการเป็นนักการเมือง ในการเป็นนักบวช
เราทำอย่างนี้ให้เราพากันรู้นะ เราทำอย่างนี้เราทำเพื่อยกเลิกตัวตนนะ เพราะตัวตนนั้นมันจะทำให้เราเสียหาย ทำให้เราพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. ธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่รู้เข้าใจ ว่าทุกคนต้องเสียสละ เสียสละพัฒนาวิทยาศาสตร์ เรียนหนังสือให้มีความสุข ทำงานให้มีความสุข เป็นข้าราชนักการเมืองให้มีความสุข เพื่อเป็นผู้ให้ผู้เสียสละ เพื่อยกเลิกตัวตน เพราะเราจะได้ทั้งงานได้ทั้งใจไปพร้อม ๆ กันเป็นทางสายกลาง เป็นสติเป็นสัมปชัญญะ เป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นหลักการของหมู่มวลมนุษย์ที่เป็นชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นรูปธรรมนามธรรม มนุษย์เราทั้งหลายที่อยู่ในโลกนี้ โลกที่หมุนรอบตัวเองหมุนรอบดวงอาทิตย์ ปัจจุบันมีแปดพันกว่าล้านคน มีทั้งหมด ๑๙๕ ประเทศ ใช้หลักการเดียวกันนี้แหละ สิ่งเหล่านี้เป็นอริยมรรคเป็นความรู้ความเข้าใจคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เข้าสู่หลักการประพฤติการปฏิบัติเพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ให้เป็นอริยมรรคในการดำเนินชีวิตของหมู่มวลมนุษย์ทุก ๆ คน ไม่มีใครยกเว้น
เราต้องมีความเห็นถูกต้องด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ เราต้องหยุดตัวเองเบรกตัวเอง เพื่อให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
เราทุกคนมาระลึกถึงโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ามีแต่คุณมีแต่ประโยชน์หาโทษมิได้เลย เราทุกคนเป็นผู้ที่โชคดีนะ เมื่อเราโชคดีแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตรัสโอวาทให้เป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติในปัจฉิมโอวาทไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น
การบรรยายพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นบริสุทธิคุณ ที่เป็นความสงบและปัญญาก็สมควรแก่เวลา ขอสมมติหยุดการบรรยายไว้เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้
-------------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอังคารที่ ๒๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา