๒๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

พสกนิกรชาวไทยและชาวต่างประเทศได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความโทมนัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน พระองค์ทรงเป็นดั่งแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระปรีชาสามารถ ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชหฤทัยในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อธำรงไว้ซึ่งความผาสุกและความมั่นคงแห่งชาติไทย เราประชาชนชาวไทยต้องร่วมใจสมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่ออุทิศบุญกุศลน้อมเกล้าถวาย เพื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย เข้าสู่สวรรค์มรรคผลพระนิพพาน

 

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๒๒ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ เป็นวันหยุดทำงานของข้าราชการ

 

วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงานของข้าราชการ เสาร์อาทิตย์เป็นวันหยุด มนุษย์เราเอาหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เอามาใช้เอามาปฏิบัติ เพื่อเป็นหลักการดำเนินชีวิตในปัจจุบันในชีวิตประจำวัน เพราะเหตุผลว่า อดีตก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน

 

ปัจจุบันมนุษย์เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจนั้นต้องเอามาใช้เอามาประพฤติมาปฏิบัติ ตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเป็นมรรคเป็นอริยมรรคด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

มนุษย์เราคือผู้ที่รู้ผู้ที่เข้าใจ ไม่ทำอะไรจากความไม่รู้จากความไม่เข้าใจ ต้องทำอะไรจากความรู้ความเข้าใจ มนุษย์เราถึงมีตัวผู้รู้ ตัวผู้ที่เข้าใจ พร้อมทั้งมีการประพฤติมีการปฏิบัติ ความคิด คำพูด กิริยามารยาท อาชีพ มาจากตัวผู้รู้ผู้เข้าใจ พร้อมทั้งการประพฤติการปฏิบัติ มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพจากตัวผู้รู้ ตัวเข้าใจ

 

มนุษย์เราต้องมีสติมีสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะจะมีได้ เราก็ต้องเจริญสติ เจริญสัมปชัญญะ สติคือความสงบ สัมปชัญญะคือตัวปัญญา ผู้ที่มีปัญญามาก ๆ ถึงต้องมีความสงบมาก ๆ ผู้มีความสงบมาก ๆ ถึงต้องเสียสละมาก ๆ เพื่อสติกับสัมปชัญญะจะได้ก้าวไปพร้อม ๆ กัน

 

อริยมรรคมีองค์แปด หลักการในการประพฤติในการปฏิบัติ กายวาจากิริยามารยาทเป็นอุปกรณ์ในการประพฤติในการปฏิบัติ เราถึงจะต้องมีความสงบในปัจจุบัน เราถึงต้องมีปัญญาในปัจจุบัน ความสงบนั้นเป็นสมถะ ปัญญานั้นเป็นวิปัสสนา การประพฤติการปฏิบัติของเรานั้นถึงจะยกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ ยกเลิกอคติทั้ง ๔ ด้วยสมถะและวิปัสสนา ใจของเราจะเป็นขณิกสมาธิอยู่ในปัจจุบัน ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพจะได้ตั้งอยู่ในขณิกสมาธิ จะได้ยกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ ยกเลิกอคติทั้ง ๔ ใจของเราจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ไม่มากเกินไม่น้อยเกิน สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นั้นถึงอยู่ในความรู้ความเข้าใจ อยู่ที่เรามีสติมีสัมปชัญญะ เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติของหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม มนุษย์เราทุกชาติทุกศาสนาต้องใช้หลักการเดียวกันนี้หมด เพราะธรรมะนั้นเป็นสากล ความเกิดแก่เจ็บตายพลัดพรากนั้นเป็นสากล ความคิดคำพูดการกระทำกิริยามารยาทอาชีพนั้นเป็นสากล เราต้องรู้ต้องเข้าใจ การดำเนินชีวิตถึงเกิดจากตัวผู้รู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราเอาหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ที่เป็นกายวาจากิริยามารยาทเป็นอาชีพ มารวมลงที่ใจรวมลงที่เจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เพื่อให้ใจของเรามีความสุข เพื่อให้กายของเรามีความสุข เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

มนุษย์เราต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เราทุกคนเข้าใจอย่างนี้ อย่าไปคิดว่าเรียนหนังสือก็เพราะความจำเป็น ทำงานก็เพราะความจำเป็น รับราชการก็เพราะความจำเป็น เป็นนักการเมืองก็เพราะความจำเป็น เป็นนักบวชก็เพราะความจำเป็น ให้เรารู้ให้เข้าใจ เราต้องมีความสุขในการทำงานในการทำหน้าที่ เพราะธรรมะนั้นคือหน้าที่ หน้าที่นั้นคือธรรมะ ความดับทุกข์ของเราต้องอยู่ที่หน้าที่ อยู่ที่การทำงาน อยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันถ้าเรารู้เข้าใจ มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติทุก ๆ คนก็ไม่มีความทุกข์อะไร เมื่อมันผ่านไปแล้วมันเกษียณไปแล้ว ทุกคนก็ต้องรู้เข้าใจ เราต้องปล่อยต้องวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นในอดีตที่ผ่านมา

 

เราจะไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในอดีตที่ผ่านมาได้อย่างไร หลักการมีอยู่ว่า ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะในปัจจุบันให้สมบูรณ์ ความยึดมั่นถือมั่นในอดีตนั้นก็จะไม่มี ด้วยเหตุผลนี้เราถึงต้องเจริญสติสัมปชัญญะ เพื่อทำหน้าที่ของเราดี ๆ ให้เป็นปัจจุบัน ให้มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติของเราในปัจจุบัน

 

ให้รู้ให้เข้าใจ มนุษย์เราน่ะคิดได้ทีละอย่าง พูดได้ทีละอย่าง กระทำได้ทีละอย่าง กิริยามารยาทอาชีพทำได้ทีละอย่าง เมื่อปัจจุบันเรามีสติมีสัมปชัญญะ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ สติกับสัมปชัญญะนั้นจะเป็นความสงบ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันจะจบลงที่ปัจจุบัน ที่เป็นปัจจุบันธรรม มันจะยกเลิกความปรุงแต่ง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันจะจบลงในปัจจุบัน จะจบลงในผัสสะนั้นเอง เวทนาที่ดีใจเสียใจมันจะปรุงแต่งจิตใจเราไม่ได้ เพราะเรามีสติมีสัมปชัญญะสมบูรณ์

 

มนุษย์เราถึงต้องรู้ต้องเข้าใจ ต้องเข้าใจว่า สติสัมปชัญญะนั้นเป็นธรรมะที่มีคุณมีประโยชน์มาก ปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เราต้องรู้จักสมมติสัจจะ สมมติสัจจะทั้งหลายมีทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งผิดทั้งถูก ชี้ให้เห็นเรื่องผิดเรื่องถูกเรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องไม่ผิดไม่ถูกไม่ดีไม่ชั่ว ปัญญาสัมมาทิฏฐิเราต้องรู้ต้องเข้าใจ เมื่อรู้เมื่อเข้าใจ เราตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะความดับทุกข์นั้นอยู่ที่ปัจจุบัน ความดับทุกข์นั้นไม่ได้อยู่ที่อนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ อยู่ที่ปัจจุบัน เมื่อเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราก็เข้าถึงความดับทุกข์แล้วในปัจจุบัน เราไม่ต้องรอชาติหน้า

 

มีผู้ไปทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ตายแล้วเกิดหรือว่าตายแล้วสูญ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าให้เอาปัจจุบัน เพราะอดีตก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่อยู่ข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง เราจะได้เป็นประโยชน์ทั้งปัจจุบันและโอกาสต่อไปให้เราเข้าใจอย่างนี้ อริยมรรคมีองค์แปดที่เป็นกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจที่ปัจจุบันนี้นะ

 

เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราอย่าไปเอาความหลงนำชีวิต อย่าไปเอาความผิดนำชีวิต อย่าไปคิดว่าความสุขความดับทุกข์อยู่ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ มันไกลเหลือเกิน มันไม่ใช่ปัจจุบัน ความไม่รู้ไม่เข้าใจนี้มันจะเสียหาย

 

ให้เรารู้ให้เข้าใจว่าปัจจุบันเราต้องคิดดี ๆ พูดดี ๆ กิริยามารยาทดี ๆ อาชีพ ๆ ยกเลิกความไม่ถูกต้อง เพื่อให้เกิดสติสัมปชัญญะ เพื่อใจของเข้าจะได้เกิดขณิกสมาธิ ยกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ ยกเลิกอคตทั้ง ๔ จะได้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม จะได้มีความสุขจะไม่ได้มีความทุกข์อะไรในปัจจุบัน เราปฏิบัติไปให้ติดต่อต่อเนื่อง ความรู้ความเข้าใจนี้มันจะได้จบลงในปัจจุบัน เราจะไม่ได้ไปตามผัสสะที่มันเกิดทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ต้องขอบใจตาหูจมูกลิ้นกายใจ ที่เป็นโจทย์เป็นข้อสอบให้เราได้ตอบได้ปฏิบัติ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ เราก็ไม่มีข้อสอบไม่มีข้อตอบ รายการต่าง ๆ ที่ให้รู้เข้าใจ ที่มันเกิดจากตาหูจมูกลิ้นกายใจที่เป็นรายการต่าง ๆ ให้เรารู้จักการประพฤติการปฏิบัติของเรา เราทั้งหลายจะได้จบลงในปัจจุบัน จบลงที่ผัสสะ เราต้องขอบใจปัญหา ต้องขอบใจข้อสอบ

 

ให้เราเข้าใจปัญหานะ ปัญหานั้นคือปัญญานะ ไม่ใช่ความทุกข์นะ เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่นั้นมันจะมีประโยชน์อะไร อย่างคนตายนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะมันตายแล้วมันเกษียณแล้ว คนตาบอดหูหนวก อัมพฤกษ์อัมพาตอย่างนี้มันจะมีประโยชน์อะไร เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เจริญสติสัมปชัญญะ

 

เราทุกคนต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติของเราเอง ของตนเอง ให้รู้เข้าใจว่าไม่มีใครมาประพฤติมาปฏิบัติให้เราได้แทนเราได้ พ่อแม่ญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล ข้าราชการนักการเมืองนักบวชก็มาช่วยเราไม่ได้ เราต้องรู้เข้าใจ เข้าถึงภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราต้องตั้งใจเต็มที่ตั้งเจตนาเต็มที่ เราอย่าไปลูบคลำในศีลในข้อวัตรข้อปฏิบัติ เราอย่าไปคิดว่าค่อยเป็นค่อยไป ความคิดอย่างนั้นมันคิดไม่ได้นะ มันเป็นสีลัพพัตรปรามาส มันลูบคลำในศีลในข้อวัตรข้อปฏิบัติ ความคิดอย่างนี้มันทำให้เราเสียหาย มันจะทำให้เราพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ตึกไหน ๆ เค้าก็ไม่พัง มันพังเฉพาะตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน แผ่นดินไหวอยู่ไกลถึงเมืองมัณฑะเลย์ประเทศพม่า ห่างไกลจากกรุงเทพมหานครนับพันกิโล ด้วยความไม่ถูกต้องตึก สตง. ถึงต้องพังทลาย เรามาลูบคลำในศีลในข้อวัตรปฏิบัติ ชีวิตของเราก็ย่อมพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกัน ไม่ต้องลังเลสงสัย

 

พระธรรมพระวินัยที่เป็นสมมติสัจจะ เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องเอามาใช้ด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตา เราทุกคนต้องรักพระธรรมรักพระวินัย รักข้อวัตรข้อปฏิบัติ คำว่าวัดนั้นหมายถึงข้อวัตรข้อปฏิบัตินะ เค้าจะสร้างบ้านสร้างเมืองเค้าต้องมีเครื่องวัด วัดระยะใกล้ระยะไกล ระยะสูงระยะต่ำ วัดน้ำหนักความหนักความเบา พระธรรมพระวินัยเป็นเครื่องวัด สติสัมปชัญญะเราเข้าใจง่าย ๆ สติสัมปชัญญะเป็นหลักการง่าย ๆ เราทุกคนต้องมีสติต้องมีสัมปชัญญะ ต้องมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม รู้ว่าเราเดินเรายืนเรานั่งเรานอน เราพูดจากิริยามารยาทอาชีพ ต้องตั้งใจ ต้องมีสติมีสัมปชัญญะ

 

หลักการของการประพฤติการปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกพวกเราว่า ให้เอาหลักอานาปานสติ เพราะมนุษย์เราทุกคนที่มีอายุขัยก็ต้องมีลมปราณ ให้เอาหลักลมหายใจหลักอานาปานสติ หายใจเข้าหายใจออก หายใจเข้าให้เรามีสติรู้ตัวทั่วพร้อม ให้มีความสุขในการหายใจเข้า หายใจออกให้เรามีสติรู้ตัวทั่วพร้อมในการหายใจออก ให้มีความสุขในการหายใจออก หายใจเข้าให้เรารู้ว่ามันไม่แน่ไม่เที่ยง เข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกายด้วยออกซิเจน หายใจออกให้เอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปเอาสิ่งปฏิกูลออกไป ล้วนแต่ไม่แน่ไม่เที่ยงทั้งนั้น ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนทั้งนั้น ล้วนแต่เป็นอาคันตุกะสัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยาม

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เอาหลักการอานาปานสติเพื่อไปเจริญสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่เอาไปใช้เฉพาะตอนนั่งสมาธิ เราเอาไปใช้ได้ทุกอิริยาบถที่เป็นอิริยาบถหลัก ยืนเดินนั่งนอนนี้เป็นอิริยาบถหลัก เวลาเราเกี่ยวข้องกับอริยมรรคข้ออื่น ๆ เราก็ทำหน้าที่กับอริยมรรคข้ออื่นให้มีความสุข เราจะได้มีสติมีสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ครบถ้วนทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ จะเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ จะได้เป็นมรรคเป็นอริยมรรค จะเป็นความรู้ ความเข้าใจคู่กับการประพฤติคู่กับการปฏิบัติควบคู่กันไป

 

เรามีสติมีสัมปชัญญะ มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติต่ออริยมรรคในการประพฤติการปฏิบัติอริยมรรคนั้น ๆ เพื่อให้เป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะได้ยกเลิกตัวตนที่เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ คือการประพฤติคือการปฏิบัติของเรา

 

มนุษย์เราต้องมีหลักการ ต้องมีอุดมการณ์อุดมธรรมอย่างนี้ มนุษย์เราคือผู้ที่รู้เข้าใจ เมื่อรู้เมื่อเข้าใจแล้วก็ต้องพากันเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละเราก็ไม่มีสติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะเราจะเกิดได้เราก็ต้องเสียสละ การเสียสละนั้นถึงเป็นสติเป็นสัมปชัญญะ เราลองคิดดูดี ๆ นะ ถ้าเราเจริญสติสัมปชัญญะ เอาความสงบและปัญญารวมกันเป็นหนึ่ง มนุษย์เรานี้จะไม่มีความทุกข์เลย มนุษย์เรามีความทุกข์เพราะไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ ด้วยเหตุผลนี้ เราทุกคนถึงเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เอาสติสัมปชัญญะนั้นมาประพฤติมาปฏิบัติเพื่อให้มันติดต่อต่อเนื่องด้วยการเสียสละที่ยกเลิกตัวตน

 

อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเสียสละ ๒๔ ชั่วโมงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเสียสละ ท่านเสียสละให้สรีระร่างกายได้บรรทมพักผ่อนวันละ  ๔ ชั่วโมง เสียสละให้หมู่มวลมนุษย์เทพเทวาสรรพสัตว์ทั้งหลายวันละ ๒๐ ชั่วโมงรวมกันเป็น ๒๔ ชั่วโมง วันหนึ่งคืนหนึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีแต่สติสัมปชัญญะ สติสัมสัมปชัญญะถึงเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ยกเลิกนิติบุคคลตัวตน เป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่

 

เราต้องรู้เข้าใจ ความดับทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่ทางสายกลาง ทางสายกลางนี้ก็ได้แก่สติสัมปชัญญะที่เป็นความสงบและปัญญา ที่เป็นความพอเพียงเพียงพอ เหมือนดั่งคติธรรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ของเมืองไทยท่านตรัสคติธรรมไว้ว่า คนเราต้องรู้ต้องเข้าใจ ต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราอยากได้มากมันก็เท่าเก่าท่าเดิม เราจะไปอยากมันทำไม เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่าเท่าเดิม เราจะไปอยากมันทำไม เพราะความอยากความไม่อยากนั้นเป็นการที่เราไปคิดเองเออเอง ความคิดอย่างนี้แหละมันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจาทกุกข์ไม่มีเลย เราไปคิดอย่างนั้นเราจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียงได้อย่างไร ความคิดอย่างนั้นเป็นความคิดไม่ถูกต้อง มันหาเรื่องหาราวให้กับตัวเองหาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น เปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ เปรียบเสมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อของเพลิง มันบกพร่องมันเป็นทุกข์อยู่ตลอดกาลตลอดเวลา

 

เราคิดว่าความสุขความดับทุกข์อยู่ที่อนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ เราต้องรู้เข้าใจ ความดับทุกข์มันต้องอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันที่เรามีสติมีสัมปชัญญะนี้ เราถึงต้องรู้เข้าใจ ธรรมะธรรมชาติ เราทั้งหลายจะไม่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ เราจะได้คืนสิทธิเสรีภาพให้กับปวงชน เราต้องคืนอธิปไตยให้กับปวงชน เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้มีความสงบมีปัญญา เราจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เราต้องรู้เข้าใจ เพื่อคืนอธิปไตยให้กับปวงชน เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ อย่าไปคิดเองเออเอง ให้รู้เข้าใจว่า เรามีความเกิดแก่เจ็บตายพลัดพรากนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องพิเศษ เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้จบลงในปัจจุบัน จบลงในผัสสะนี้

 

เรามามีความสุขมีปิติในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบันของเรา เราต้องคืนอธิปไตยให้กับธรรมชาติหรือว่าให้กับปวงชน ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมาตรัสรู้ท่านก็มารู้อย่างนี้ มารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เพราะสิ่งต่าง ๆ นั้นมันไม่จบ เรามีตาก็มีรูปอย่างนี้ เรามีหูก็มีเสียงอย่างนี้ เรามีจมูกก็มีกลิ่นอย่างนี้ เรามีลิ้นก็มีรสอย่างนี้ มีกายก็มีสัมผัสอย่างนี้ มีใจก็มีจิตใจที่นึกคิด เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เรามารู้เรื่องของกาย กายมันก็เป็นอย่างนี้แหละ เกิดแก่เจ็บตายพลัดพรากจากไปเป็นธรรมดา ไม่เป็นอย่างอื่น ส่วนใจของเรานั้นเป็นความว่าง สิ่งที่สัญจรไปมามันเป็นเรื่องของธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ ต่างหาก ถ้าเรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะเข้าถึงความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ สิ่งภายนอกมันก็มีอยู่อย่างนี้แหละ จะไม่ให้มีได้อย่างไร เพราะมันมีเหตุมีปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี เราทั้งหลายรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ เราทั้งหลายจะไม่ได้เอาความสงบจากสิ่งที่ไม่มี แต่ก่อนเราไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่อยากให้มีปัญหา เมื่อเรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจมันก็มีโจทย์มีข้อตอบอย่างนี้ ให้เรารู้จักว่า ปัญหานั้นมันคือปัญญา เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราไม่ต้องเป็นทุกข์กับปัญหาต่าง ๆ เราต้องขอบใจปัญหาที่จะให้เราเกิดปัญญา ถ้าไม่มีปัญหามันจะมีปัญญาได้อย่างไร

 

เราเกิดมารู้แจ้งทั้งวัตถุ รู้แจ้งทั้งจิตใจ เราต้องมารู้ปัญหา รู้จักปัญหา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตานะ มารู้จักปัญหามาแก้ปัญหา

 

สติความสงบสัมปชัญญะนั้นจะเป็นตัวแก้ปัญหา ผู้มีปัญญามากหรือว่าผู้รู้มากก็ต้องสงบมาก ๆ คือการแก้ปัญหา ผู้มีความสงบมาก ๆ ก็ต้องเสียสละมาก ๆ นั่นแหละคือการแก้ปัญหา อริยมรรคมีองค์แปด กายวาจากิริยามารยาทอาชีพ เราต้องทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ ให้รู้เข้าใจว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะที่จะเป็นทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจ ระหว่างวัตถุไปพร้อม ๆ กันเป็นทางสายกลาง

 

เราจะมาเอาอะไร ให้เรารู้เข้าใจ เราอย่ามาเอา เราอย่ามาเพิ่ม แล้วเราก็อย่าไปตัดออก ความสงบและปัญญาหรือว่าสติสัมปชัญญะถึงเป็นการประพฤติการปฏิบัติที่เป็นความพอดีเป็นความพอเพียงเพียงพอ เราดูตัวอย่างแบบอย่างที่ดี อย่างพระพุทธเจ้าท่านก็ทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้า ทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้าอย่างสมบูรณ์ ถ้าเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำหน้าที่ บารมีความดีก็จะก้าวไปด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ จะไม่หยุดอยู่เพียงความสงบ จะไม่หยุดอยู่เพียงสมาบัติ

 

ให้เราเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ วันหนึ่งคืนหนึ่งเรานอนเราพักผ่อนให้เพียงพอ ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง สำหรับนักบวช ๕,๖ ชั่วโมง สำหรับประชาชน ๖,๗,๘ ชั่วโมง ในชีวิตประจำวันให้เราทำหน้าที่ของเราดี ๆ ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา เอาความดีและปัญญานำทางของการประพฤติของการปฏิบัติ ยกเลิกสิ่งภายนอกในการคลุกคลีในหมู่ในคณะ ทำไมไม่ให้คลุกคลีในหมู่ในคณะ เพราะเหตุว่า การคลุกคลีในหมู่ในคณะเราจะไม่ได้เจริญสติสัมปชัญญะ การทำข้อวัตรกิจวัตรเป็นหมู่เป็นคณะ เช่น ไปบิณฑบาตพร้อมกัน มาสวดมนต์พร้อมกัน นั่งสมาธิพร้อมกัน อย่างนี้ถือว่าไม่ใช่การคลุกคลี เมื่อเราเจริญสติสัมปชัญญะ ความคลุกคลีนั้นจะไม่มี ที่ทำเป็นหมู่คณะนั้นมันเป็นความสมัครสมานสามัคคีของความดีและปัญญา ก้าวไปพร้อม ๆ กัน เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะจะไม่มีคำว่าคลุกคลี เพราะเราเจริญสติสัมปชัญญะ

 

เราอย่าไปเข้าใจเหมือนแต่ก่อนนะ คิดว่าอยู่คนเดียวเงียบ ๆ อยู๋ในป่าในเขานั้นคือความสงบความวิเวกนะ ความสงบความวิเวกนั้นอยู่ที่เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายก็ต้องว่างจากสิ่งที่มีอยู่ มันจะว่างได้เพราะเราเจริญสติสัมปชัญญะ เรายกเลิกสิ่งภายนอกหมด อยู่กับสติอยู่กับสัมปชัญญะ สัมปชัญญะก็ยังเอามาพิจารณาว่า ทุกอย่างนั้นมันคือคาวมไม่แม่ไม่เที่ยงไม่จีรังยั่งยืนเกิดขึ้นต้งอยู่ดับไป ขึ้นอยู่กับเหตุกับปัจจัย นี้คือการเจริญสติสัมปชัญญะ เจริญปัญญา

 

เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราพากันไปทิ้งพระธรรมพระวินัยไปทิ้งข้อวัตรข้อปฏิบัติ ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันเสียหาย เราอย่าไปคิดว่า การมาทำวัตรสวดมนต์ มาทำความสะอาด บิณฑบาต ทำอะไรเป็นหมู่เป็นคณะนี้มันคือความไม่วิเวก ไม่เป็นส่วนตัว คำว่าความสงบวิเวกคือการเจริญสติสัมปชัญญะ สิ่งภายนอกมันมีมากมายไม่สำคัญถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ ยกเลิกตัวตน สิ่งภายนอกนั้นกลับมีคุณต่างหาก

 

การประพฤติการปฏิบัติถึงต้องยกเลิกการคลุกคลี ถึงยกเลิกการมีโทรศัพท์ การใช้โทรศัพท์ ถ้าเรามีโทรศัพท์ใช้โทรศัพท์ เราก็ไม่เจริญสติสัมปชัญญะ เป็นการที่นำภัยภายในออก ภายนอกเข้า มันเป็นการสร้างปัญหา มันเป็นการหาเรื่องหาราว ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย หลวงตามหาบัวญาณสัมปันโนท่านถึงเมตตาบอกพระทั้งหลายว่าอย่าพากันมีโทรศัพท์มือถือต้องยกเลิกมีโทรศัพท์มือถือถ้ามีโทรศัพท์มือถือนี้ไม่ได้นะ มันเสียหาย พระเรานักปฏิบัติเราต้องรู้ต้องเข้าใจ เพื่อจะไม่ได้เอาไฟในออกไป เอาไฟนอกเข้ามา

 

เราต้องเจริญสติสัมปชัญญะ เราต้องมาพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ ว่าตาเห็นรูปมันก็ไม่แน่ไม่เที่ยง เรามองไปทางนี้เราก็เห็นอย่างนี้เราหันหน้าไปทางอื่นมันก็ไม่เห็นแล้ว เราหูไม่หนวกมันก็ได้ยินมันก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เราต้องเจริญสติสัมปชัญญะอย่างนี้ เราอย่าไปใจอ่อนตามสิ่งแวดล้อม ต้องเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญให้เข้าใจอย่างนี้นะ ให้เอาหลักการของพระพุทธเจ้า เอาหลักการของพระอรหันต์ขีณาสพผู้ที่ท่านเจริญสติสัมปชัญญะ ท่านผู้ที่ไม่นำเอาไฟในออกไม่นำไฟนอกเข้าเป็นผู้ที่มีสติสัมปชัญญะ

 

คำว่าพระนี้ให้รู้เข้าใจ พระนี้คือผู้ยกเลิกตัวยกเลิกตน มีแต่พระธรรมพระวินัยมีแต่สติมีแต่สัมปชัญญะ ผู้ที่ถือพรหมจรรย์ ผู้ปฏิบัติธรรมเค้าถึงเรียกว่าพระ พระคือพระธรรมคือพระวินัย ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ พระนั้นคือพระธรรมพระวินัย ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน

 

เราทุกคนต้องพากันมาทำหน้าที่ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยอาศัยพระธรรมพระวินัยที่มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ ทุกคนเป็นพระได้เหมือนกันทุก ๆ คน ข้าราชการนักการเมืองพ่อค้าประชาชน รู้เข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์

 

เราทั้งหลายมาระลึกถึงโอวาทของพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตรัสปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายก่อนท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน

 

ท่านตรัสปัจฉิมโอวาทเพื่อให้เรารู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อเราจะได้ไม่ประมาท เพราะปัจจุบันเป็นวาระสำคัญของเราทุก ๆ คน ท่านตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงให้เรารู้ให้เราเข้าใจ เราจะได้เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ที่ท่านตรัสเป็นภาษาบาลีว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร

 

ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง

 

 ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น

 

 --------------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันเสาร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

Visitors: 104,505