๒๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันพุธที่ ๒๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ของศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ของศาสนาอิสลาม
พระศาสนาคือหลักการประพฤติปฏิบัติของมนุษย์ มนุษย์เราต้องเอาพระศาสนามาประพฤติปฏิบัติ พระศาสนาคือชื่อของศาสนาน่ะ พระศาสนาความหมายคือธรรมะ ความหมายนั้นหมายถึงอริยมรรคคือความเข้าใจ คู่กับการประพฤติการปฏิบัติเพื่อเป็นมรรคเป็นอริยมรรค เพื่อเป็นสมถะเป็นวิปัสสนา
ให้พวกเราทั้งหลายเข้าใจเรื่องพระศาสนา เราจะไม่ได้ทะเลาะกันเรื่องพระศาสนา
พระศาสนานั้นไม่ใช่เรื่องที่จะไปตัดออกหรือว่าเอาไปเพิ่มน่ะ
พระศาสนาคือความพอดีคือความพอเพียง เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่มีอยู่นั้นมีอยู่ แต่ความรู้ความเข้าใจ จะให้หมู่มวลมนุษย์เข้าถึงความว่าง เข้าถึงความเป็นประภัสสรจากสิ่งที่มีอยู่น่ะไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี ต้องว่างจากสิ่งที่มีอยู่
ความรู้ความเข้าใจอย่างนี้จะให้เราทั้งหลายรู้การประพฤติการปฏิบัติ
การพัฒนาของมนุษย์น่ะต้องว่างจากสิ่งที่มีอยู่ รูปก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ เวทนาก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ สัญญาก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ สังขารความปรุงแต่งก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ ใจตัวที่รับรู้นี้ที่มันเป็นจิตเป็นวาระจิตก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ไม่มีนะ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่ มันมีอยู่เพราะเหตุเพราะปัจจัย
อย่างเรามีตาอย่างนี้แหละเราก็ต้องมีรูป เรามีหูก็มีเสียง เรามีจมูกก็ต้องมีกลิ่น เรามีลิ้นก็ต้องมีรส เรามีกายก็มีสัมผัส เรามีใจก็ต้องมีจิต
ศัพท์นี้เราพูดสองอย่างคือจิตใจ เพราะเป็นนามธรรมเค้าเลยพูดว่าจิตใจเพราะมันเป็นนามธรรมเค้าเลยพูดว่าจิตใจ
ศาสนานี้เป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่นะ เป็นปัญญาที่รู้เข้าใจ เป็นปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง เรียกว่ารู้ความจริง รู้อริยสัจสี่ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย
เราทั้งหลายเราจะได้รู้จักพระศาสนา เราจะไม่ได้เอาพระศาสนามาเป็นนิติบุคคลไม่ได้มาเป็นตัวเป็นตน เราจะไม่ได้เอาพระศาสนามาทะเลาะกัน
พระศาสนานี้เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเรารู้พระศาสนาแล้วเราจะไม่ได้มีการทะเลาะกัน
อย่างธรรมกถึกกับวินัยธรน่ะ ระดับนี้ถือว่ายังไม่เข้าใจพระศาสนาที่ทะเลาะกันน่ะ เพราะว่าถ้ารู้แล้วไม่ทะเลาะกันน่ะ ถ้ายังมีการทะเลาะกันยังเรียกว่ายังไม่รู้จักพระศาสนา
เราต้องเข้าใจ เมื่อคนหนึ่งไม่เข้าใจคนหนึ่งก็ต้องหยุด เราไปทะเลาะกันนั้นมันไม่ถูกต้อง
พระศาสนานี้เป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่
ให้เข้าใจ ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็จะไปหาความสงบจากสิ่งที่ไม่มีอยู่น่ะ อย่างนี้มันก็ไม่ใช่พระศาสนา มันก็ยังเป็นนิติบุคคลตัวตน
เราทั้งหลายผู้ที่เป็นศาสนาพุทธก็ต้องรู้พระศาสนานะ ผู้ที่เป็นศาสนาคริสต์ก็ต้องรู้พระศาสนา ผู้ที่เป็นศาสนาอิสลามก็ต้องรู้พระศาสนา ผู้ที่เป็นศาสนาพราหมณ์ฮินดู ทุก ๆ ศาสนาต้องรู้พระศาสนา ว่าพระศาสนาน่ะคือความรู้ความเข้าใจ ทั้งสิ่งภายนอกภายใน เข้าใจอดีตเรื่องอนาคตเรื่องปัจจุบัน เข้าใจเรื่องสมมติสัจจะทั้งหลาย
สมมติสัจจะทั้งหลายชี้ให้เห็นถึงแง่มุมทั้งผิดถูกดีชั่ว ไม่ผิดไม่ถูกไม่ดีไม่ชั่วชี้ให้เห็นน่ะ เพื่อจะได้รู้เหตุรู้ปัจจัยในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อจะได้มีสัมมาทิฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง แล้วก็มีความสุขมีปิติมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะอันนี้มันเป็นความถูกต้อง ถูกต้องทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพมันถูกต้อง มันเป็นบริสุทธิคุณ มันเป็นความว่างจากความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี
มนุษย์เราถึงต้องปฏิบัติที่ตัวของมนุษย์เอง เราต้องเอาเหตุเอาปัจจัยที่เป็นปัญญาสัมมาทิฐินำชีวิต
มนุษย์เราถึงมีการเรียนการศึกษา เราต้องเข้าใจนะทำไมถึงมีการเรียนการศึกษา ไม่เรียนไม่ศึกษาไม่ได้เหรอ เกิดมาทำไมถึงต้องมีการเรียนการศึกษา
มนุษย์เราต้องมีการเรียนการศึกษาตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก มีการเรียนการศึกษาตั้งแต่นักธรรมตรีจนถึง ปธ.๙
มนุษย์เราต้องมีการเรียนการศึกษาเพื่อความรู้ความเข้าใจ
เค้าทำกันอย่างนี้มาตั้งแต่โบราณ ตั้งหลายร้อยหลายพันหลายหมื่นปี มันมีหลักการด้วยความรู้ความเข้าใจ เข้าใจแล้วก็ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ
การประพฤติการปฏิบัตินั้นก็ต้องติดต่อต่อเนื่องกัน เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา เราทั้งหลายถึงจะมีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ไม่ไปตามสิ่งที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ
มนุษย์เราถึงต้องมีการเรียนการศึกษา เพื่อเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ถ้าใครยังติดยังหลงอยู่ก็เข้าสู่ภาคบำบัด
ทำเหมือนไก่ฟักไข่นี้แหละ ไก่ฟักไข่ ฟักโดยแม่ไก่ใช้เวลา ๓ อาทิตย์ หรือสมัยใหม่เค้าฟักด้วยไฟฟ้าด้วยอุณหภูมิพอดีก็ใช้เวลา ๓ อาทิตย์เหมือนกัน
การทำอะไรที่ติดต่อต่อเนื่องมันเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา มันเป็นสัมมาทิฐิ มันมีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรม
พวกเราทั้งหลายพากันรู้เข้าใจ อย่าไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยมันไม่ได้ ไม่มีคำว่าตามใจตามอัธยาศัยน่ะ เพราะตัวของเรามันยังเป็นนิติบุคคลตัวตน ให้เข้าใจ
เราทั้งหลายถึงเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ พากันประพฤติพากันปฏิบัติ เพราะไม่มีใครทำให้เราได้ปฏิบัติให้เราได้ เน้นที่ตัวของเราเอง
การประพฤติการปฏิบัติก็ต้องมีความสุขมีปิติมีเอกัคคตา
ถ้าเราไม่มีปิติไม่มีความสุขไม่มีเอกัคคตาเราก็มีความทุกข์ เราก็เป็นโรคซึมเศร้าน่ะ
ทำอะไรไม่มีความสุขในการกระทำเค้าเรียกความทุกข์ ทางภาษาหมอเค้าเรียกว่าเป็นโรคซึมเศร้า
ให้เข้าใจ เพราะความทุกข์ ถ้าจะพูดถึงความทุกข์มันเป็นเรื่องของใจนะ ใจของเรานี้มันมีความทุกข์น่ะ
เราต้องเข้าใจสิ่งที่เป็นทุกข์นั้นคือใจ ถ้ากายทุกข์ก็ถือว่าไม่เป็นไรนะ แต่ใจทุกข์นี้ มีปัญหา ความทุกข์ที่แท้จริงน่ะคือใจนะ
ใจของเราน่ะถึงเป็นใจบริสุทธิคุณ ใจของเราถึงมีปัญญานะ ใจของเราต้องรู้เข้าใจเรื่องทุกข์ทางกาย ใจของเราต้องว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ใจของเราต้องมีปัญญา ใจของเราต้องรู้อริยสัจสี่
น้ำเป็นสิ่งที่มีอยู่ ดินเป็นสิ่งที่มีอยู่ ลมเป็นสิ่งที่มีอยู่ ไฟเป็นสิ่งที่มีอยู่ อากาศธาตุ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่ เราต้องเข้าใจ
เมื่อสิ่งเหล่านี้มีอยู่น่ะ เราต้องรู้จักความเป็นประภัสสร ความเป็นประภัสสรของดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ เราต้องเข้าใจสิ่งเหล่านั้นเป็นประภัสสร สิ่งเหล่านั้นแหละมันคือธรรมะ เป็นใหญ่ของทุกสิ่งทุกอย่างน่ะ
น้ำก็เป็นใหญ่ของน้ำ ดินก็เป็นใหญ่ของดิน ลมก็เป็นใหญ่ของลม ไฟก็เป็นใหญ่ของไฟ ทุก ๆ อย่างเป็นใหญ่
เราต้องรู้เข้าใจสิ่งเหล่านั้นเป็นธรรมชาติเป็นประภัสสร เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายใจของเราจะได้รู้เข้าใจความเป็นประภัสสรนะ
ใจของเราจะได้ไม่ลิดรอนสิ่งต่าง ๆ น่ะ
รู้ว่าความร้อนก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ ความเย็นก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ สุขทุกข์ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่
เราต้องรู้เข้าใจเราจะไม่ให้มันมีก็ไม่ได้ มันมีเหตุมีปัจจัย
อย่างเรามีอายุขัยร่วมศตวรรษหนึ่งร่วมร้อยปีมันก็ต้องมีหนาวมีร้อนมีสุขมีทุกข์
เราต้องรู้เข้าใจเรื่องความเป็นประภัสสรของดินน้ำลมไฟ ตาหูจมูกลิ้นกายใจเรื่องธาตุเรื่องขันธ์เรื่องอายตนะ เราต้องรู้เข้าใจ
เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบอย่างนี้
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้ไปตามความร้อนความหนาว ไปตามผัสสะทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราต้องเข้าใจ เราไม่เข้าใจมันก็ต้องทุกข์แน่นอน เพราะไปลิดรอนสิทธิของความไม่ถูกต้อง เราก็ต้องเป็นทุกข์แน่นอน
เราเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต ผิดก็คือผิด ไม่ถูกต้องก็คือไม่ถูกต้อง เราต้องรู้เข้าใจ
เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจ เพื่อเราจะได้ก้าวไปหรือผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ มีการประพฤติการปฏิบัติการปฏิบัติถูกต้องน่ะ
เราไปตามใจตามอารมณ์ไม่ได้น่ะ ยิ่งตามใจตามอารมณ์มันก็เหมือนไก่ฟักไข่
เราตามความไม่ถูกต้อง ความไม่ถูกต้องมันก็ยิ่งใหญ่ใหญ่ยิ่งไปเรื่อย
เราเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต มันก็ต้องมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มี ทุกข์ทางกายยังไม่เพียงพอมันทุกข์ทางใจด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจนะ
เราต้องรู้จักพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัย สมมติสัจจะทั้งหลายมีหลายล้านสมมติ เราต้องรู้เข้าใจให้เรามีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ
สมมติทั้งหลายเค้าร้อยกรองเป็นพวงมาลาอย่างสวยสดงดงาม เหมือนร้อยดอกไม้ เค้าร้อยเป็นพวงมาลา
ศีลสมาธิปัญญามันจึงเป็นความงดงามในเบื้องต้น ท่ามกลาง และงามในที่สุด
สมมติสัจจะทั้งหลายเราต้องรู้เข้าใจ
เราทั้งหลายต้องพากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมีนะ
ที่พระสารีบุตรมาเจอกับพระอัสสชิ เมื่อก่อนพระสารีบุตรกับโมคคัลลายังไม่ได้มาบรรพชาอุปสมบทกับพระพุทธเจ้า
พระสารีบุตรกับโมคคัลลาท่านเป็นพระอัครสาวกฝ่ายขวาฝ่ายซ้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้หนึ่งบำเพ็ญทางปัญญา ผู้หนึ่งบำเพ็ญมาทางอิทธิฤทธิ์
พระสารีบุตรเจริญสร้างบารมีมาทางปัญญา พระโมคคัลลาบำเพ็ญบารมีมาทางอิทธิฤทธิ์
พระสารีบุตรได้ไปพบกับพระอัสสชิ เห็นพระอัสสชิแล้วเลื่อมใส ประทับใจในพระอัสสชิ ได้ถามพระอัสสชิว่า ท่านบวชมาจากไหนเป็นลูกศิษย์ใคร ทำไมท่านมีพระรัศมีสว่างไสวน่าเคารพเลื่อมใส
พระอัสสชิก็ตอบว่า เราพึ่งมาบรรพชาอุปสมบทใหม่จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่าพุทธะ
พระสารีบุตรถามพระอัสสชิว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงสอนอะไร
พระอัสสชิก็ตอบหลักการอุดมการณ์อุดธรรมว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี
เราต้องรู้จักเหตุ รู้จักปัจจัย รู้ความจริงอย่างนี้
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเราต้องรู้เข้าใจแล้วเอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ชีวิตของเรามันจะก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัสสอนอย่างนี้แหละ
พระสารีบุตรผู้บำเพ็ญสาวกปัญญาบารมีมาหลายอสงไขยหลายล้านชาติ ท่านเข้าใจ ได้บรรลุธรรม เข้าใจเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย
ความรู้ความเข้าใจมันถึงไม่ใช่ความจำนะ มันเป็นความรู้ความเข้าใจ
เราจะไปเรียนหนังสือ หนังสือกองใหญ่ยิ่งกว่าภูเขา ไปฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าหรือจากใครอย่างนี้ หรือค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ จุดหมายสิ่งเหล่านี้คือความรู้ความเข้าใจนะ
ความรู้ความเข้าใจไม่ใช่ความจำ ถ้าความจำมันลืม ถ้าความเข้าใจมันไม่ได้ลืม มันจะก้าวสู่กระบวนการทางปัญญาเรียกว่าปัญญาบริสุทธิคุณ
เราทั้งหลายรู้เข้าใจ ถ้าเรายกเลิกตัวตนเอาธรรมนำชีวิต เราถึงจะเข้าใจนะ
ถ้าเราไม่ยกเลิกตัวตนเราจะเข้าถึงความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ไม่ได้
ความว่างจากสิ่งที่มีอยู่เราต้องยกเลิกตัวตนเสียก่อน เพราะธรรมทั้งหลายทั้งปวงมันเกิดจากเหตุ ถ้ามีตัวมีตน เอาตัวตนนำชีวิตศีลก็ไม่มี สมาธิก็ไม่มี ปัญญาก็ไม่มี ถึงจะเป็นความรู้ก็เป็นความรู้ที่เป็นนิติบุคคลตัวตน ถึงเป็นปัญญาก็เป็นปัญญาที่เป็นนิติบุคคลตัวตน มันเป็นความมีความเป็น ความได้ความเสีย ถือว่าเป็นนิติบุคคลตัวตนอยู่นะ มันไม่ใช่พระศาสนา
ต้องรู้เข้าใจเรื่องพระศาสนา
พระศาสนาคือเรื่องมาละตัวมาละตน คือมารู้อริยสัจสี่นะ
ศาสนาทุกศาสนาต้องรู้อริยสัจสี่นะ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า เราต้องรู้เข้าใจเรื่องอริยสัจสี่ เรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไป มันถึงมี ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่เหตุที่ปัจจัยนะ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ถ้าอย่างนั้นไม่ได้ รู้มากก็ยิ่งมีปัญหามาก รู้น้อยก็มีปัญหามากเหมือนกัน
เราต้องรู้เข้าใจ เพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันมีปัญหา มันไม่ถูกต้อง
เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเราคิดดูดี ๆ นะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันพังทลาย พังทลายเหมือนตึก สตง.นี้นะ
ตึก สตง.ที่อยู่ที่ประเทศไทย ศูนย์กลางคือกรุงเทพมหานคร ที่นั่นเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนการศึกษา ศูนย์กลางแห่งทุกอย่างในความเจริญทางเทคโนโลยี ทางเศรษฐกิจทางปัญญาในการเรียนการศึกษา มันมีอยู่ในกรุงเทพมหานครอยู่ในปริมณฑลของกรุงเทพมหานคร จังหวัดล้อมรอบน่ะ
ที่นั่นมีตึกใหญ่ตึกสูงยิ่งกว่าตึกสตง.หลายสิบตึก แต่ตึกอื่นมันก็ไม่พังทะลาย เพราะความแข็งแรงพอ ความมั่นคงพอ
เพราะตัวตนนี้แหละมันคือทุจริต ตัวตนนั้นมันพังทลาย มันคอร์รัปชั่น คอร์รัปชั่นมากเกิน ตึกต่าง ๆ นั้นน่ะไม่ใช่ว่าไม่ใช่คอรัปชั่นนะ คอรัปชั่นเหมือนกันแต่ว่าน้อยกว่า
ให้เรารู้เข้าใจ เราจะมีปัญญามากเท่าไหร่ก็แก้ปัญหาไม่ได้
ถ้าเราเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิตคือมันแก้ปัญหาไม่ได้มีแต่สร้างปัญหา
เราทั้งหลายต้องพากันมารู้จักปัญหานะ ปัญหาอยู่ที่เราเอาของไม่ถูกต้องนำชีวิตนี้แหละ
เราทั้งหลายน่ะไม่ต้องไปหาความทุกข์ที่ไหนหรอก ความดับทุกข์มันอยู่ที่เรารู้เราเข้าใจ แล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีความสุขมีปิติในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เพื่อพวกเราทั้งหลายจะว่างจากสิ่งที่มีอยู่ เราทั้งหลายจะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม ไม่ไปตามความหลง รู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายถึงจะเข้าถึงพระศาสนานะ
ผู้เป็นศาสนาพุทธก็จะเข้าถึงพระพุทธศาสนา ผู้ที่เป็นศาสนาคริสก็จะเข้าถึงคริสต์ศาสนา ผู้ที่เป็นศาสนาอิสลามก็เข้าถึงอิสลามศาสนา ผู้ที่เป็นพราหมณ์ ฮินดู ซิกส์ ก็เข้าถึงศาสนานั้น ๆ
เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายน่ะจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากสิ่งที่ไม่มีถือว่าใช้ไม่ได้ ถือว่าแก้ปัญหาไม่ได้ มีแต่สร้างปัญหานะ เพราะมันเป็นนิติบุคคลตัวตน มันเป็นปัญหา
เราทั้งหลายต้องรู้จักปัญหา
เราทั้งหลายอย่าไปหนีความถูกต้อง อย่าไปหนีความจริง
เราอย่าไปคิดเหมือนแต่ก่อน ถ้าคิดเหมือนแต่กอ่นมันเป็นตัวเป็นตนมันไม่เป็นธรรม ไม่เป็นสภาวธรรม ไม่เป็นบริสุทธิคุณ ไม่เป็นปัญญาบริสุทธิคุณ มันเป็นตัวเป็นตนนะ
เห็นรูปสวย ๆ ก็ร้องโอย ๆ ๆ ไป
ได้ยินเสียงเพราะ ๆ ก็ร้องโอย ๆ ๆ ไป
ได้ทานอาหารอร่อย ๆ ก็ร้องโอย ๆ ๆ ไป
ทุกอย่างมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์ตั้งอยู่ มีแต่โอยกับโอยนะ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้พากันว่างจากสิ่งทีมีอยู่
ต้องขอบใจทุกสิ่งทุกอย่างต่างหากนะ ขอบใจรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะธรรมารมณ์ ที่มันเป็นโจทย์เป็นข้อสอบให้เราได้ประพฤติได้ปฏิบัติ
ถ้าเราไม่มีกายไม่มีใจไม่มีอายุขัยอย่างนี้ เราก็ไม่มีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติ
ให้เราทั้งหลายคิดว่า เราโชคดีนะ ให้เรารู้จักหน้าที่รู้จักข้อวัตรข้อปฏิบัติ เราจะได้ปฏิบัติอยู่ทุกหนทุกแห่งทุกกาลทุกสถานที่
การประพฤติการปฏิบัติมันเป็นคู่กับการประพฤติการปฏิบัติจนตราบสิ้นอายุขัย ใครมีอายุขัยเท่าไหร่ก็ปฏิบัติไปเท่านั้น
ที่มีคำถามว่า ปฏิบัติถึงไหนถึงจะได้หยุด
การปฏิบัติมันคู่กับอายุขัย คิดดี ๆ ที่ประกอบด้วยปัญญา พูดดี ๆ ที่ประกอบด้วยปัญญา กิริยามารยาทดี ๆ ที่ประกอบด้วยปัญญา ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ให้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่นี้แหละ
เราทั้งหลายอย่าไปหาความว่างจากสิ่งที่ไม่มี
มันจะมีประโยชน์อะไร เอาความหลงนำชีวิตมันมีประโยชน์อะไร มีอายุเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านปีมันจะมีประโยชน์อะไร
เราต้องรู้เข้าใจ ว่าการเกิดของเราว่าการที่มีชีวิตมีลมปราณนั้นประเสริฐอยู่ที่เรารู้เข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เราคิดดูดี ๆ ว่างจากสิ่งที่มีอย่างนี้แหละมันดีนะ เราพูดดี ๆ กิริยามารยาทดี ๆ ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้องตลอดอายุขัย
เราทำอย่างนี้น่ะมันก็จะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นความสงบเป็นความเย็น
เราทั้งหลายจะได้กลับมาหาความถูกต้องนะ ความถูกต้องคือความถูกต้อง ความถูกต้องคือพระนิพพาน
พระนิพพานคือบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านที่แท้จริง
ความรู้ความเข้าใจที่เป็นพระธรรมพระวินัยต้องมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้กลับมาหาความถูกต้องกลับมาหาพระนิพพานบ้านของเรา พระนิพพานคือบ้านที่แท้จริงของเรานะ
ความหลงมันคือความหลงน่ะมันไม่ใช่บ้านของเรา เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจเอาความหลงเป็นที่ตั้งหัวใจของเรามันก็ตกต่ำ ตกไปสู่ภพภูมิต่าง ๆ ภพภูมิต่าง ๆ ของมนุษย์เราไม่เข้าใจ ภพภูมิมันมีทั้งหมดหลายภพภูมินะ เราต้องเข้าใจ ถ้าเราเข้าใจแล้วมันก็จะไม่ตกต่ำไปในภพภูมิต่าง ๆ หัวใจของเราจะหยุดภพภูมินะ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราต้องรู้หลักการรู้อุดมการณ์ มีปัญญาสัมมาทิฐิ
ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านเป็นพระดีพระมีปัญญาของโลกน่ะ ท่านพูดจากใจ จากพระนิพพานว่า เราทั้งหลายต้องมีสัมมาทิฐิมีควมเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องรู้อริยสัจสี่ เราเข้าสู่หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เราต้องรู้ภาษาวัตถุภาษาใจ ต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะเป็นมนุษย์ได้ไม่ตกสู่อบายมุขอบายภูมิก็ด้วยความรู้ความเข้าใจนะ ท่านตรัสจากใจจากพระนิพพานว่า
เป็นมนุษย์ เป็นได้ เพราะใจสูง เหมือนหนึ่งยูง มีดี ที่แววขน
ถ้าใจต่ำ เป็นได้ แต่เพียงคน ย่อมเสียที ที่ตน ได้เกิดมา
ใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ ถ้ามีครบ ควรเรียก มนุสสา
เพราะทำถูก พูดถูก ทุกเวลา เปรมปรีดา คืนวัน ศุขสันติ์จริง
ใจสกปรก มืดมัว และร้อนเร่า ใครมีเข้า ควรเรียก ว่าผีสิง
เพราะพูดผิด ทำผิด จิตประวิง แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย
คิดดูเถิด ถ้าใคร ไม่อยากตก จงรีบยก ใจตน รีบขวนขวาย
ให้ใจสูง เสียได้ ก่อนตัวตาย ก็สมหมาย ที่เกิดมา อย่าเชือน เอย ฯ
เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ หัวใจเราก็จะตกสู่อบายมุขอบายภูมิ หัวใจของเราก็จะเป็นหัวใจแห่งความหลง หัวใจแห่งความหลง เค้าเรียกว่าหัวใจตกสู่อบายมุขอบายภูมิ เรียกว่าหัวใจเป็นบ่อนคาสิโนนะ
เรารู้เข้าใจเรื่องอริยสัจสี่ เราจะได้ยกเลิกบ่อน ยกเลิกอบายมุขอบายภูมิ เราจะไม่ได้คิดเอาตัวตนนำชีวิต เราจะได้พากันเอาธรรมนูญนำชีวิต
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ท่านบำเพ็ญพุทธบารมีเพื่อความรู้ความเข้าใจ มายกเลิกอบายมุขอบายภูมิ ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
สิ่งที่ไม่ถูกต้องมันทำลายความถูกต้องนะ มันระเบิดความถูกต้อง
รู้เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจใครมาผู้บริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่นก็จะพากันมาคิดที่จะมาตั้งแต่บ่อนคาสิโนให้ถูกต้องตามหลักกฎหมาย เพื่อพากันเอาความหลงนำชีวิต อย่างนั้นน่ะมันไม่ถูกต้องมันไม่มีปัญญานะ เพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่มีปัญญา
ถึงเราจะเรียนศึกษาจบ ปธ.๙ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งก็ชื่อว่าเราไม่มีปัญญานะ
ถึงเราจะเรียนศึกษาจบปริญญาเอกก็ชื่อว่าไม่มีปัญญา
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องว่างจากตัวตนว่างจากสิ่งที่มีอยู่ เราทั้งหลายจะไม่ได้คิดว่าจะพากันมาตั้งบ่อนคาสิโน
ศาสนาทุกศาสนาในโลกนี้เค้ามาหยุดอบายมุขอบายภูมิ มาหยุดบ่อนคาสิโนกันให้เข้าใจนะ
ศาสนาทุกศาสนาเค้าพากันมาพัฒนาใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้เป็นทางสายกลาง เอาความถูกต้องนำชีวิต เอาปัญญาบริสุทธิคุณนำชีวิต เอากรุณาบริสุทธิคุณนำชีวิต เพราะเอาตัวตนนำชีวิต เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันเป็นนิติบุคคลตัวตนเป็นวัฏฏสงสาร
เราต้องรู้เข้าใจ เราจะไปคิดด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ คิดที่เป็นนิติบุคคลตัวตน มีความคิดเห็นว่า ประเทศสิงคโปร์ประเทศเค้าเล็กนิดเดียว ประเทศเค้าตั้งบ่อนคาสิโนเค้ารวยมากน่ะ ในเอเชียเค้ามาเบอร์หนึ่งเลยอย่างนี้ มาเก๊าที่เมืองจีนน่ะเค้าตั้งบ่อนคาสิโนเค้าก็รวยกัน เราทำไมไม่พากันตั้งบ่อนคาสิโน
เราต้องรู้เข้าใจนะ ประเทศสิงคโปร์เค้าประเทศเล็กนิดเดียว ไม่มีที่ทำไร่ทำสวน ทำเกษตรกรรมอุตสาหกรรม
ที่มาเก๊าก็เหมือนกัน เค้าคิดว่าในโลกนี้คนไม่ฉลาดมันมีมาก คนหลงคนโลภมีมาก เราหากินกับคนโง่คนหลงพวกนี้ดีน่ะ เราะจะได้รวยทางวัตถุ รวยทางวัตถุมันก็ได้รับความสะดวกความสบายทางวัตถุ แต่มันก็ยังมีความทุกข์อยู่นะ
เราต้องเข้าใจ เพราะคนที่มีความทุกข์น่ะ คนมีความจนเพราะไม่มีสิ่งของน่ะมันก็เป็นทุกข์ คนหนึ่งเป็นคนรวยก็เป็นทุกข์เพราะไม่รู้จักพอ สองคนนี้มันก็ทุกข์พอ ๆ กัน เราต้องรู้เข้าใจ ถ้ามีตัวมีตนเมื่อไหร่ มันเป็นทุกข์ทั้งนั้น เพราะมันไม่เข้าใจเรื่องพระนิพพานบ้านของเรา หรือพระนิพพานบ้านที่แท้จริงน่ะ จะให้มันว่างจากสิ่งที่มันไม่มีน่ะ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกอย่างความเกิดมันก็มีอยู่ ความแก่ก็มีอยู่ ความเจ็บก็มีอยู่ ความตายก็มีอยู่ ความพลัดพรากก็มีอยู่
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้คืนทุกอย่างให้สู่ความเป็นประภัสสร เอาตัวตนเป็นที่ตั้งหัวใจของเราก็เป็นความหลงหรือเป็นบ่อนคาสิโนนี้เอง
ให้รู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องเข้าใจการประพฤติการปฏิบัติ อย่าพากันไปคิดที่จะไปแก้ปลายเหตุ ต้นเหตุอยู่ที่เรารู้เข้าใจ ก็พากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติจนกว่าจะหมดอายุขัยที่เราก้าวไปด้วยการประพฤติการปฏิบัติ
ท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่ประเสริฐเป็นผู้ที่มีลมปราณ มีโอกาสมีเวลามีบุญมีวาสนาต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะไม่มีใครประพฤติปฏิบัติให้เรา ต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเข้าสู่ความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่ ต้องรู้เข้าใจต้อง พัฒนาทั้งเทคโนโลยีพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์พัฒนาจิตใจไปพร้อม ๆ กัน
เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ขี้เกียจ มันก็จะไปแก้ไขแต่คนอื่น แก้ไขคนอื่น-มันก็พังทลายเหมือนตึก สตง. เอาตัวตนเป็นที่ตั้งนั่นแหละคือความไม่ถูกต้อง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้เราเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงปฏิบัติเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ของเมืองไทย เราต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้เป็นทุกข์กับอะไร เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นประภัสสร เราอยากให้มีมากมันก็เท่านั้น อยากให้มันมีน้อยก็เท่านั้นแหละ เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องเข้าถึงพระนิพพานความสงบเป็นสิ่งที่ว่างจากสิ่งที่มีอยู่
ประเทศไทยเรามันกว้างใหญ่ไพศาล เราต้องรู้เข้าใจไม่ต้องพากันไปตั้งบ่อนคาสิโน ให้เข้าใจในหลักการอุดมการณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ เราอย่าไปตามความหลงน่ะ ต้องพัฒนาทั้งใจทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กัน
เราจะเอาแต่วัตถุแล้วทิ้งใจทิ้งพระนิพพานบ้านของเราไปได้อย่างไร
เราทั้งหลายต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอด้วยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติ เราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็ไม่ได้แก้ปัญหา มีแต่ไปสร้างปัญหา เราทั้งหลายก็จะไม่ได้พากันเป็นมนุษย์น่ะ เป็นได้แต่เพียงความหลง เป็นได้แต่เพียงคน ย่ำต๊อกอยู่ในความหลงด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ
ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าท่านทั้งหลายน่ะมีชีวิตที่ประเสริฐต้องเอาธรรมนำชีวิต อย่าได้ตั้งอยู่ในความหลง ความเพลิดเพลินความประมาท เพราะสิ่งทุกอย่างเราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้เข้าใจเราก็จะไปประมาทกัน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเอากลับคืนมาไม่ได้นะ
ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ
เราอย่าเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต เราต้องเอาความถูกต้องนำชีวิตด้วยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ
การแสดงบรรยายพระธรรมเทศนาด้วยโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นบริสุทธิคุณ เป็นกรุณาธิคุณ เป็นปัญญาธิคุณในเช้าวันนี้ก็เห็นสมควรในกาลเวลา พอสมควร จึงขอสมมติยุติในการบรรยายไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้
-----------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันพุธที่ ๒๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา