๑๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นเวลา ๘ แปดนาฬิกาของวันเสาร์ที่ ๑๐ พฤษภาคม เป็นเดือนวิสาขบูชาของศาสนาพุทธ วันพรุ่งนี้เป็นวันวิสาขบูชา ปีพุทธศักราช ๒๕๖๘
ศาสนาคริสต์ตั้งศักราชหลังศาสนาพุทธ ๕๔๓ ปี ศาสนาคริสต์ศักราช ๒๐๒๕
ศาสนาอิสลามตั้งศักราชหลังพระพุทธศาสนา ๑๑๒๒ ปี ศาสนาอิสลามศักราช ๑๔๔๖
ศาสนาพุทธได้ต่อยอดมาจากศาสนาพราหมณ์ด้วยการสร้างบารมี สร้างความดีประกอบด้วยปัญญา เอาปัญญากับความดีไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้เป็นบริสุทธิคุณ เป็นมรรคเป็นอริยมรรคทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทและอาชีพ เป็นบริสุทธิคุณ
หลักการของพระศาสนาทุก ๆ พระศาสนาก็ใช้หลักการเดียวกัน จะต่างกันก็เพียงแต่ชื่อ เป็นความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่ความจำ เป็นความรู้เป็นความเข้าใจ
ความรู้ความเข้าใจเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์แล้วก็เป็นอุดมธรรม เพื่อให้กายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพเป็นบริสุทธิคุณ เป็นมรรคเป็นอริยมรรคทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพเป็นอริยมรรค
ทุก ๆ ศาสนาก็ใช้หลักการเดียวกัน แตกต่างกันเพียงสมมติ พระศาสนาน่ะคือบริสุทธิคุณ ผู้ที่นับถือศาสนาทั้งหลายให้พากันเข้าใจ ผู้ที่นับถือศาสนาทั้งหลาย จะไม่ได้เอาพระศาสนานั้นทะเลาะกัน ที่ว่าเราดีกว่าเค้าเก่งกว่าเค้าถูกต้องกว่าเค้า พระศาสนาต้องไม่มีเค้าไม่มีเรา มีแต่ธรรมมีแต่สภาวธรรม
เราทุกคนเกิดมาเป็นมนุษย์อายุขัยของมนุษย์อยู่ได้ร่วม ๆ ศตวรรษหนึ่งนะ ศตวรรษหนึ่งคือร้อยปี มนุษย์เราต้องเอาธรรมนำชีวิตไม่ให้ใครทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ต้องเอาธรรมนำชีวิต
มนุษย์เราจะเอาความรู้สึกไม่ได้ ต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เพราะธรรมชาติเป็นประภัสสรทุกอย่างก็เป็นประภัสสร เป็นใหญ่ของสิ่งเหล่านั้น ความเกิดก็เป็นใหญ่ของความเกิด ถ้ามีเหตุมีปัจจัยก็ต้องเป็นใหญ่ของความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายความพลัดพรากก็เป็นใหญ่ในสิ่งนั้น ๆ เป็นประภัสสรอย่างนั้น
เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจในความเป็นประภัสสร มันมีความพอเพียงเพียงพอ มันเป็นความพอดี อยากให้มันมากมันก็ไม่มาก อยากให้มันน้อยมันก็ไม่น้อย มันเป็นธรรมเป็นสภาวธรรมเป็นประภัสสรน่ะ
เรารู้จักพระศาสนาด้วยปัญญา เราจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ไม่เอาความรู้สึกนำชีวิต เอาธรรมนำชีวิต เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย
การประพฤติการปฏิบัติของเรา เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฐิ รู้เข้าใจจะได้หยุดเราจะได้ยกเลิกสัญชาตญาณที่มันเป็นความรู้สึกที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน ที่มีความสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นผู้หญิงผู้ชาย เป็นคนหนุ่มคนสาว คนเฒ่าคนแก่คนชรา คนตายคนพลัดพราก ไม่สำคัญมั่นหมายในเชื้อชาติวงศ์ตระกูล เพราะทุกอย่างนั้นมันคือเหตุคือปัจจัย มันเป็นกระบวนการของเหตุของปัจจัย มันเป็นกระบวนการปฏิจจสมุปบาท
ปฏิจจสมุปบาทน่ะคือเหตุคือปัจจัย ภาษาบาลีเค้าเรียกว่าปฏิจสมุปบาท เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี เมื่อเรามีตาถึงมีรูป เรามีหูถึงมีเสียง เรามีจมูกถึงมีกลิ่น เรามีลิ้นถึงมีรส เรามีกายถึงมีผัสสะ เรามีใจถึงมีวาระจิตใจ
เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจ เข้าใจเรื่องธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ภายในของเรา ๖ ภายนอกก็ ๖ รวมกันทั้งภายนอกภายในเป็นอายตนะ ๑๒ มันเป็นกระบวนการของปฏิจจสมุปบาทนะ
ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้รู้เหตุรู้ปัจจัย สมมติต่าง ๆ ในโลกนี้มีตั้งหลายล้านสมมติ ชี้ให้เห็นแง่มุมทั้งผิดทั้งถูกทั้งดีทั้งชั่ว ไม่ผิดไม่ถูกไม่ดีไม่ชั่ว เพื่อให้เราเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายน่ะจะได้เอาธรรมนูญนำชีวิต เอาธรรมนำชีวิต ไม่เอาความรู้สึกนำชีวิต เพื่อจะได้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา มนุษย์เราถึงเอาความรู้สึกนำชีวิตไม่ได้ต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต ถึงต้องสมบูรณ์ทุกแง่ทุกมุมในการประพฤติการปฏิบัติ ด้วยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม จะไม่ได้ไปตามผัสสะ จะได้หยุดผัสสะด้วยความรู้ความเข้าใจ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ
ปัจจุบันนี้เป็นวาระสำคัญ เป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาททั้งอาชีพ เราต้องรู้เข้าใจเรื่องกระบวนการของการเกิดและการหยุดเกิด
เราทั้งหลายต้องรู้กระบวนการอย่างนี้แหละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่าต้องรู้อริยสัจสี่ต้องรู้ความจริงอย่างนี้ เราทุกคนถึงเป็นผู้มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มีธรรมมีธรรมนูญ
เราทั้งหลายจะได้เอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต เพราะผัสสะของเรามันมีผัสสะแต่ละอย่าง เรารู้เราเข้าใจเราก็ไม่ไปตามผัสสะ ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราไม่ไปตามผัสสะ เอาธรรมนำชีวิตเรียกว่าบรรลุธรรมน่ะ
ถ้าเราเอาความรู้สึกนำชีวิตเราก็ไม่ได้บรรลุธรรมมันบรรลุตัวตนน่ะ ไม่ได้เอาปัญญาสัมมาทิฐินำชีวิต เอาโมหะเอาความหลงนำชีวิต ที่กำลังพูดในสังคมในประเทศว่าสายมู สายหลง สายไสยศาสตร์
เราทั้งหลายเมื่อยังเด็กอยู่ในท้องอยู่ในครรภ์ อาศัยบิดามารดาเมื่อเติบโตมาก็อาศัยความรู้ความเข้าใจจากการเรียนการศึกษา มนุษย์เราถึงมีการเรียนการศึกษา ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาททั้งอาชีพ
มนุษย์เราจะมีการเรียนการศึกษาเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมทั้งหมด ๑๘ ศาสตร์ เบื้องต้น ๑๘ ศาสตร์น่ะ ถ้าอย่างกลาง ๓๖ อย่างสูงสุด ๕๔ ถึงมีบารมี ๑๐ ทัศ เบื้องต้น ๒๐ ทัศท่ามกลาง ๓๐ ทัศสูงสุด คำว่าทัศนี้คือบรรทัดฐานคือมาตรฐาน เค้ามีเครื่องวัด วัดระยะยาว วัดน้ำหนัก ที่เราไปซื้อสายวัดหรือว่าตลับเมตรวัดน่ะ หรือว่าตราชั่งน้ำหนัก เพื่อเข้าสู่มาตรฐานเข้าสู่ความพอเพียงเพียงพอ เข้าสู่ความพอดี ความสงบกับปัญญามันถึงไปพร้อม ๆ กัน เราจะไปทำอะไรตามความรู้สึกไม่ได้ ต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต เพราะไม่มีใครเหนือกรรม เหนือกฎแห่งกรรม เหนือผลของกรรม
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจจะไม่ได้เอาความรู้สึกนำชีวิต ไม่ได้เอาความหลงนำชีวิต เราต้องรู้เข้าใจว่าการกระทำอะไรตามความรู้สึกมันจะไม่เป็นความสุขความดับทุกข์ ทำอะไรตามความรู้สึกตามความไม่ถูกต้องมันเป็นทุกข์เป็นความหลงมันเป็นสายมู สายหลงสายมืดน่ะ เป็นไสยศาสตร์ มันเป็นอวิชชาเป็นความหลง
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ถึงได้มีการเรียนการศึกษา ทุกวันนี้ก็ยิ่งมีการเรียนการศึกษาการค้นคว้าก็เพื่อเหตุเพื่อปัจจัย
ให้เข้าใจเรื่องการเรียนการศึกษา ด้วยการเรียนการศึกษาเพื่อรู้เข้าใจไม่ใช่การเรียนการศึกษานั้นเพื่อไปเอาความรู้สึกนำชีวิต เพื่อเอาตัวตนนำชีวิต
การศึกษานั้นต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต การทำการทำงานก็เช่นเดียวกัน เราต้องเอาธรรมนำชีวิต ต้องเอาธรรมนูญนำชีวิต การที่เราได้เรียนรู้เข้าใจ ที่เอามาประใช้ในการประพฤติการปฏิบัติ ได้มีตราชั่งได้มีเครื่องวัดมาตรฐาน ให้เรารู้เข้าใจ เพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เพราะความพอดีมันเป็นสิ่งที่มีอยู่ มันเป็นความสมดุล รายรับก็สมบูรณ์ รายจ่ายก็สมบูรณ์มันเป็น ความพอดี ความรู้ความเข้าใจอย่างนี้เรียกว่ารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ มันเป็นการรู้อริยสัจสี่นะ
มนุษย์เราทั้งหลายถึงพากันรู้เข้าใจ ไม่ได้ไปเน้นที่ใครหรอก เน้นที่ตัวเรานี้แหละทำความรู้ให้สมบูรณ์ด้วยความรู้ความเข้าใจเราไม่ได้ไปเน้นที่คนอื่นแก้ไขที่คนอื่นเพราะปัญหาต่าง ๆ นั้นมันอยู่ที่เรา ถ้าเราไปแก้คนอื่นมันไม่ถูกต้อง คนอื่นก็เป็นเรื่องของเค้าให้เค้าแก้ของเค้า
เราได้รับตำแหน่งหน้าที่ ตำแหน่งก็คือเราได้รับทางตาทางหูจมูกลิ้นกายใจ เราก็ทำหน้าที่ของเราเพื่อรายรับรายจ่ายทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เน้นที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเป็นรายรับรายจ่ายต้องรู้เข้าใจ
เราทั้งหลายต้องบริโภคทุกอย่างด้วยความรู้ความเข้าใจที่เป็นศีลสมาธิปัญญาเป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ เราทั้งหลายต้องเข้าใจอย่างนี้ อย่างนี้เรียกว่าความดีบารมีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา
ทุก ๆ ศาสนาก็ใช้หลักการเดียวกันนี้แหละ
ผู้ถือศาสนาทั้งหลายอย่าไปทะเลาะกัน ต้องเข้าใจเรื่องพระศาสนา ศาสนานี้แหละเป็นปัญญาสัมมาทิฐิ ยกเลิกความรู้สึก เอาธรรมนำชีวิต เราทั้งหลาย ถึงจะเป็นผู้มีศีลมีสมาธิมีปัญญา
ถ้าเราเอาความรู้สึกนำชีวิตเอาธรรมนำชีวิตทุกคนคือผู้ไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา
ให้รู้ความหมายนะ ความหมายของกฎหมายบ้านเมือง กฎของธรรมนูญน่ะ ให้รู้เข้าใจ เราจะไม่ได้เอาความรู้สึกนำชีวิต เราต้องเอาธรรมนูญนำชีวิต
ความอร่อยในความหลงของเราทุกคนมันมากนะ มันทำให้เราหลงเพลิดเพลินตั้งอยู่ในความประมาท เราอย่าไปคิดว่าไม่เป็นไร ๆ ความคิดอย่างนี้คือความด่างพร้อยของศีลของสมาธิของปัญญา เพราะเราเอาความหลงนำชีวิต เอาความรู้สึกนำชีวิต เราตั้งอยู่ในความประมาทนะ
เราทั้งหลายต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจเราทั้งหลายอย่าไปประมาท ต้องรู้ข้อวัตรข้อปฏิบัติของตัวเองอย่าประมาท ต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต
เราอย่าไปประมาท พูดถึงความอร่อยไม่จบ รูปก็ไม่จบ เสียงก็ไม่จบ กลิ่นก็ไม่จบ รสก็ไม่จบ โผฏฐัพพะธรรมารมณ์มันไม่จบ เพราะอันนี้มันมีอยู่ประจำโลก เค้าเรียกว่าโลกธรรมน่ะ
เราอย่าเอาความรู้สึกนำชีวิต อย่าเอาโลกธรรมนำชีวิตต้องเอาธรรนำชีวิต เราทั้งหลายต้องใจเข้มแข็งนะ เราทั้งหลายต้องรู้จักเห็นภัยในวัฏฏสงสาร
ให้ทบทวนชีวิตให้ดี ๆ เราอย่าไปคิดว่าถ้าเรายกเลิกความรู้สึกที่เป็นเค้าเป็นเรา เราจะมีความสุขได้อย่างไร ความสุขจากความหลงมันไม่ถูกต้อง มันเป็นวัฏฏสงสาร มันเป็นวงกลมมันหมุนรอบตัวเอง โลกนี้มันหมุนรอบตัวเอง มันวนอยู่กับความหลง ความหลงนี้เค้าถึงเรียกว่าไม่ใช่มนุษย์ เค้าถึงเรียกว่าคน คำว่าคนนี้หมายถึงตัวตนหมายถึงความหลงนะ
ที่เรามองไปเห็นด้วยตาฟังด้วยหูนี้ เราก็เห็นว่านิติบคุคลตัวตนเป็นอย่างนี้แหละ ถ้าเราเอาความรู้สึกอย่างนี้ เราทั้งหลายก็อยู่ในความหลงนะเป็นได้แต่เพียงคน ชีวิตของเราย่ำต๊อกในความเป็นคนในความหลงน่ะ
ภพภูมิอยู่ในส่วนมนุษย์ของเรา เราต้องรู้เข้าใจ ตาหูจมูกลิ้นกายใจมันจะมีภพภูมิอยู่ในความไม่รู้ความไม่เข้าใจมีทั้งหมด ๓๑ ภพภูมินะ
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายถึงจะไม่ได้เอาความรู้สึกนำชีวิตไม่ได้เอาความหลงนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต เราทั้งหลายต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร อย่าไปเพลิดเพลินในความอร่อยความแซบความลำความนัวความหรอย เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ
ที่เค้าไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าอะไรเป็นเครื่องทำให้เนิ่นช้า บางคนก็ได้บรรลุธรรมช้าบางคนก็ได้บรรลุธรรมเร็ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่าความหลงความเพลิดเพลินทำให้เราเนินช้า ทำให้เราช้านาน เพราะไม่เห็นความสำคัญในปัจจุบัน ไม่เห็นวาระสำคัญในกาประพฤติการปฏิบัติ เพลิดเพลินประมาททำให้เสียกาลเสียเวลา ไม่รู้จักการไม่รู้จักเวลาไม่รู้จักการประพฤติการปฏิบัติ ทำให้เราเนิ่นช้า เสียเวลา เสียทรัพยากร เพราะความหลงความเพลิดเพลินน่ะ
เราทั้งหลายต้องรู้คุณรู้ประโยชน์ที่เราทุกคนเป็นผู้ที่ประเสริฐ ต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต พากันมีปิติมีสุขมีเอกัคคตาเน้นที่ในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อเป็นธรรมเป็นปัจจุบัน จะไม่ได้ตั้งอยู่ในความหลงเพลิดเพลินประมาท เพราะความสุขมันสุดสองอย่างนะ
เราเอาความหลงเป็นที่ตั้งมันก็มีความสุขนะแต่ความสุขนั้นมันเวียนว่ายตายเกิด เรามีความสุขในการเอาธรรมนำชีวิตมันหยุดความเกิดนะ
เรารู้เข้าใจ เราพัฒนาไปทางสายกลาง พัฒนาวิทยาศาตร์พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อให้เป็นทางสายกลาง
อริยมรรคมีองค์แปดที่ทุก ๆ ศาสนาต้องรู้เข้าใจ เปรียบเสมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้นไม้ที่เรามองเห็นด้วยตา ต้นไม้ต้องได้อาหารมาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้ เราอย่าไปคิดว่าต้นไม้นั้นได้อาหารมาจากรากอย่างเดียว จริงอยู่ มันได้มาจากราก แต่มันต้องได้มาจากทางกิ่งทางก้านทางใบทางสาขาทางยอดตลอดปริมณฑลทั้งแสงแดดอากาศออกซิเจน มันต้องได้ทุกทิศทุกทางด้วยความรู้ความเข้าใจ
ความรู้ความเข้าใจถึงเป็นอริยมรรค เน้นที่ปัจจุบันที่มันผัสสะทางตาหูจมูกลิ้น กายใจ มันเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เราจะไม่ได้เข้าใจเหมือนแต่ก่อน มันเป็นความสงบจากสิ่งที่มีอยู่ ความสงบจากสิ่งที่ไม่มีอยู่หรือว่าการกดข่มด้วยสมาธิอย่างนี้ มันก็เป็นเบื้องต้น
ให้เราเข้าใจ การพัฒนาของศาสนานี้เค้าให้พัฒนาให้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ตามีอยู่ รูปก็มีอยู่ หูมีอยู่เสียงก็มีอยู่ จมูกมีอยู่กลิ่นก็มีอยู่ ลิ้นมีอยู่รสก็มีอยู่ มีกายก็มีสัมผัส ให้เรารู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็จะไปแก้ที่ปลายเหตุ เราไปแก้ที่ปลายเหตุเดี๋ยวมันจะพังทลายเหมือนตึก สตง.นะ
ตึก สตง.น่ะอยู่ที่ประเทศไทยอยู่ที่เมืองไทยกรุงเทพมหานคร กรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางของการบริหารประเทศจึงได้มีตึก สตง. เราต้องมองอย่างนี้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. เอาความรู้สึก เอาความชอบไม่ชอบนำชีวิตมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.
ให้พวกเราทั้งหลายรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้เข้าใจมันจะตกต่ำตกไปในที่ชั่วมันเป็นอบายมุขอบายภูมิมันจะวกวนอยู่กับความหลงวกวนอยู่กับภพภูมิ ๓๑ ภพภูมิ
เราทั้งหลายต้องเอาธรรมนำชีวิต เราจะไม่ได้ไม่พังทลายเหมือนตึก เราไปแก้ภายนอกพัฒนาแต่วิทยาศาสตร์น่ะ วิทยาศาสตร์ก็ต้องพัฒนา เพราะมันเป็นเหตุผล กายวาจาใจก็ต้องพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน มันเป็นการพัฒนาอริยมรรคให้ครบสมบูรณ์ทุกแง่ทุกมุมทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ
ตึกต่าง ๆ อยู่ในกรุงเทพมหานครมีมากมายสูงกว่าใหญ่กว่าตั้งหลายสิบตึกเค้าไม่พัง เพราะความแข็งแรงเพียงพอพอเพียง
แผ่นดินไหวอยู่ตั้งไกลที่มัณฑะเลย์ประเทศพม่าห่างไกลจากกรุงเทพมหานคร ร่วมพันกิโลนะ
ให้เรารู้เข้าใจ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็พังทลาย ให้รู้ให้เข้าใจ อย่าไปหลงงมงาย เอาความหลงนำชีวิตเอาความรู้สึกนำชีวิต ตึกต่าง ๆ น่ะไม่ใช่ไม่โกงกินคอร์รัปชั่นนะ แต่เค้าโกงกินน้อยกว่า
เรามาคิดแง่มุมตามหลักเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ ถ้าเรามีตัวมีตนบุคคลนั้นคือบุคคลทุจริตนะ ใครมีตัวมีตนมากก็ทุจริตมาก ใครมีตัวมีตนน้อยก็ทุจริตน้อย ความทุจริตนี้มันอยู่ที่เอาความรู้สึกนำชีวิตเอา เอาความหลงความเพลิดเพลิน ความประมาทนำชีวิต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่าอย่าเพลิดเพลิน อย่าหลงอย่าประมาท ให้ทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์
ผู้ที่มาบวชกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถึงตรัสบอกว่าเธอทั้งหลายจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด พรหมจรรย์ก็หมายถึงธรรมนูญนี้แหละ เอาธรรมนำชีวิต ไม่เอาความรู้สึกนำชีวิต พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติเราทั้งหลายก็ต้องมีความทุกข์ เพราะตัวตนคือความทุกข์ความไม่ถูกต้องคือความทุกข์ ตัวตนนั้นเป็นความทุกข์ ตัวตนนั้นคือทุจริต
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่า เราให้มีความเห็นถูกต้อง ให้พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ที่จะได้หยุดกรรม หยุดเวร หยุดภัย ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะพังทลายด้วยการไม่รู้ไม่เข้าใจด้วยการไม่รู้เหตุรู้ปัจจัยเรียกว่าไม่รู้อริยสัจสี่
เราทั้งหลายจงพากันประพฤติพรหมจรรย์เถิดเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติของเราเอง เราทั้งหลายไม่ต้องพึ่งอาศัยใคร พึ่งอาศัยความรู้ความเข้าใจเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ
เราต้องเข้าใจคำว่าธรรมคำว่าปฏิบัติธรรมถึงเป็นการบรรลุธรรม มีความตั้งใจมีเจตนา ไม่มีสิ่งไหนมีความสุขเท่ากับความถูกต้องนำชีวิต
เราทั้งหลายต้องเข้าใจนะ พรหมจรรย์นั้นถึงเป็นพระนิพพานบ้านของเรานะ ความหลงไม่ใช่บ้านของเรา มันหลงมันจะเป็นบ้านของเราได้อย่างไร
ความรู้ความเข้าใจเพื่อเอาธรรมนำชีวิต ธรรมนูญนำชีวิต พระธรรมพระวินัย สิกขาบททั้งหลายให้รู้เข้าใจ ว่าพระธรรมพระวินัย เป็นความรู้ความเข้าใจ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติเพื่อให้เราหยุดกรรม หยุดการสร้างบาปสร้างกรรม สร้างเวรสร้างภัย กรรมคือกรรมกร กรรมกรก่อสร้างมันสร้างเวรสร้างภัยด้วยความรู้ความไม่เข้าใจมันจะทำลายตัวเองระเบิดตัวเองด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ มันจะพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้นะ
เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจจะได้บรรลุนิติภาวะ เรียกว่ายกเลิกความหลงน่ะ เอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิตเค้าเรียกว่าเป็นบรรลุนิติภาวะมีปัญญาสัมมาทิฐิเอาตัวตนเอาความหลงเป็นที่ตั้ง เอาความรู้สึกนำชีวิตเป็นบุคคลที่ไม่ได้บรรลุนิติภาวะเป็นบุคคลที่พึ่งผู้อื่น พึ่งความหลงน่ะ
เป็นข้าราชการก็เป็นตัวเป็นตนเป็นความหลง เป็นนักการเมืองก็เป็นตัวเป็นตนเป็นความหลง เป็นนักบวชเป็นศาสนาก็เป็นตัวเป็นตนเป็นความหลงนะ
เราต้องรู้เข้าใจจะได้บรรลุนิติภาวะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งคือบุคคลที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่มีปัญญาสัมมาทิฐิคือบุคคลที่ไม่บรรลุนิติภาวะ
เราทั้งหลายต้องพากันบรรลุนิติภาวะ ต้องอาศัยปลีแข้งในการประพฤติการปฏิบัติ เราไม่ต้องไปอาศัยใคร ความรู้ความเข้าใจรู้ใจหลักการอุดมการณ์ อุดมธรรม
แต่ก่อนเราพึ่งน่ะ เราพึ่งสมาธิพึ่งสมาธิบัติอย่างนี้แหละ สมาธิกับวิปัสสนาถึงไปพร้อม ๆ กัน ความสงบกับปัญญาถึงไปพร้อม ๆ กัน ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะกดข่มไว้ มันจะเป็นหินทับหญ้า มันอาศัยสมาธิอาศัยสมาบัติกดข่มไว้
ความไม่รู้ไม่เข้าใจนี้ที่ศาสนาพราหมณ์ไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาสมาธิเอาสมาบัติเป็นพระนิพพาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงมาต่อยอดจากสมาธิจากสมาบัติ เอาสมาธิเอาสมาบัติมาใช้เป็นอริยมรรคทั้งกายวาทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาทให้เป็นบริสุทธิคุณทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งอาชีพต้องเป็นบริสุทธิคุณ เราถึงต้องกดข่มไว้ เอาทับไว้ด้วยสมาธิด้วยสมาบัติ
เราต้องรู้เข้าใจ สมถะกับวิปัสสนาต้องใช้พร้อมกันไปในชีวิตประจำวัน สมถะต้องใช้ในตาเห็นรูปหูฟังเสียง กายได้สัมผัส ใจได้สัมผัสกับจิตใจ เราต้องรู้เข้าใจเราทั้งหลายจะได้มีทั้งสมถะทั้งวิปัสสนา เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้เข้าใจเราก็จะไปเอาแต่ความสงบเอาแต่สมาธิสมาบัติ เราไม่เอาปัญญากับความสงบไปพร้อม ๆ กัน
เราต้องเอาปัญญากับความสงบไปพร้อม ๆ กันนะ เราทั้งหลายจะได้เป็นศีล เป็นสมาธิเป็นปัญญาโดยธรรมชาติ ด้วยความรู้ความเข้าใจที่เป็นสัมมาทิฐิ มันจะไม่ได้กดข่มไว้
การที่ท่องพุทธโธ ๆ อยู่กับอานาปานสติอย่างนี้มันก็ดี แต่เราคิดดูดี ๆ นะ มันต้องไปพร้อม ๆ กันเป็นอริยมรรค เราจะได้ไม่เสียการเสียงาน เราจะไม่เสียกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ ชีวิตของเรามันจะเป็นอริยมรรคเป็นความรู้ความเข้าใจ ถ้าอย่างนั้นมันจะกดข่มไว้ นั่งสมาธิเอาแต่ความสงบ สมาธิลึก ๆ มันถึงไม่เกิดปัญญา สมาธินี้ต้องมีความสงบมีปัญญา ต้องรู้เข้าใจ
ลองคิดดูดี ๆ สิ พระพุทธเจ้าจะเสด็จขันธ์สู่ปรินิพพานท่านเข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน เข้าฌาน ๑ ฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌาน ๔ เข้าถึงสุดย้อนกลับไปกลับมา ท่านไม่ได้นิพพานในฌานนะ
เราคิดดูสิ พระอนุรุทธะ ตามดูจิตวาระจิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานเข้าสู่ความพอดีเข้าสู่ความพอเพียงเพียงพอ ไม่ใช่หินทับหญ้านะ เป็นความรู้ความเข้าใจคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ
การประพฤติการปฏิบัตินี้สมาธิกับปัญญาถึงเสมอกันมันถึงไม่เป็นหินทับหญ้า ปล่อยทุกอย่างเป็นไปโดยธรรมชาติเพื่อให้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันว่างอยู่ ว่างจากสิ่งที่ไม่มีน่ะ ถ้าเราว่างจากสิ่งที่ไม่มีอย่างนี้แหละ
เราคิดดูดี ๆ นะ ตั้งแต่ก่อนน่ะเรามีความคิดเห็นผิดเข้าใจ เราจะเอาความว่างความสงบจากสิ่งไม่มีอยู่ มันเป็นสมาธิเป็นสมาบัติเป็นนิติบุคคลตัวตน เราจะเอาความสงบจากสิ่งที่ไม่มีนะ ไปเอาความสงบจากทุ่งใหญ่นเรศวรโน่น เอาความสงบจากห้วยขาแข้ง เขาใหญ่ เขาหลวง ภูสอยเดือนสอยดาวสอยดวงอาทิตย์ เราไปคิดอย่างนั้นไม่ได้ อย่างนั้นว่างจากสิ่งไม่มีอยู่
พระนิพพานบ้านของเราต้องมีอยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง
ผู้ที่อยู่ในกรุงเทพก็ต้องมีพระนิพพาน ผู้ที่อยู่ต่างจังหวัดก็ต้องมีพระนิพพาน อยู่ในหมู่บ้านในป่าในเขาก็ต้องมีพระนิพพาน ที่ไหนมีกายวาจากิริยามารยาทแล้วรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติก็ต้องมีพระนิพพาน บริโภคทุกอย่างด้วยสติ ด้วยปัญญาด้วยความรู้ความเข้าใจชีวิตของเรามันก็ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ อย่าไปคิดอย่างแต่ก่อน เราไปเอาพระนิพพานเมื่อเราละสังขารไปโน่นมันไม่ถูกต้องน่ะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลองคิดดูดี ๆ สิ ท่านตรัสรู้แล้วท่านก็ทรงเผยแผ่แสดงธรรมอีกตั้ง ๔๕ ปี เพื่อบอกอริยสัจสี่บอกอุดมการณ์อุดมธรรม
ให้พวกเราทั้งหลายรู้เข้าใจว่าพระนิพพานอยู่ที่เรารู้เข้าใจ ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ด้วยความรู้ความเข้าใจเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราทั้งหลายต้องเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตายนี้นะ เราอย่าไปคิดว่าในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ
เราทุกคนน่ะมีใครถึงอนาคตมั๊ย มันก็มีแต่ธรรมมีแต่ปัจุบันธรรม ไม่มีใครถึงอนาคตได้ ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้เข้าใจ เรื่องเหตุเรื่องปัจจัยเข้าใจเรื่องพระนิพพาน
เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ไปตามผัสสะไปตามสิ่งแวดล้อมให้รู้เข้าใจ ให้รู้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ต้องเข้าใจเหมือนแต่ก่อนแล้ว เราจะเอาความรู้สึกของเราไม่ได้ ต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต เราต้องเอาความสงบเอาปัญญา เค้าถึงมีการนอนการพักผ่อนให้เพียงพอ เอาความหลงนำชีวิตเอาความรู้สึกนำชีวิตการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ การนอนพักผ่อนเพียงพอ มันเป็นความพอดีเป็นความเพียงพอพอเพียงนะ
เราคิดดูดี ๆ นะ อย่างหลวงปู่ดุล อตุโล ท่านตรัสธรรมะไว้ว่าจิตส่งออกนั้นเป็นสมุทัยนะ เป็นความหลงนะ
เราต้องรู้เข้าใจ เมื่อเรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจเราต้องมีปัญญา เราต้องรู้เรื่องจิตส่งออก เราจะได้บริโภคทุกอย่างด้วยปัญญา ด้วยความไม่บริโภคความหลง เพราะจิตส่งออกนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สงบ เป็นจิตฟุ้งซ่าน
การทำงานเราทั้งหลายต้องรับผิดชอบเรื่องจิตเรื่องใจ เพราะเรื่องจิตเรื่องใจ
ให้เราทั้งหลายรู้ว่า เรื่องจิตเรื่องใจมันเป็นรายรับรายจ่าย รายรับรายจ่ายของเรามันต้องสมดุลกัน เราทั้งหลายต้องรับผิดชอบเรื่องจิตเรื่องใจ ใจของเราจะได้มีปัญญา ใจของเราจะไม่ได้หลงไปตามสิ่งแวดล้อม เดี๋ยวเราจะเสียความสมดุล
เรามีจิตเราก็ต้องรู้จิต เรามีใจก็ต้องรู้ใจเพื่อความสมดุล เพื่อมันจะเป็นธรรมเป็นธรรมนูญ ไม่อย่างนั้นจิตส่งออกมันจะเป็นสมุทัยเป็นความหลง มันจะเสียความสมดุลทางจิต
จิตของเราต้องมาอยู่กับปัจจุบันเพื่อเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต นี้คือข้อวัตรข้อปฏิบัติของเรื่องจิตเรื่องใจส่งออก เพื่อจิตนั้นจะไม่ได้เป็นสมุทัยจะไม่ได้เป็นความหลง
ให้รู้เข้าใจ เราจะได้รู้จักวาระแห่งการประพฤติการปฏิบัติ
เราต้องรู้เข้าใจ เหมือนแพทย์ผู้ผ่าตัดจะผ่าตัดสมองหรือผ่าตัดหัวใจ ผู้นั้นต้องมีปัญญามีความรู้มีวิชา ความรู้คู่กับความสงบหรือคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ มันถึงไปพร้อม ๆ กัน เพราะการผ่าตัดสมองมันมีเส้นประสาทเยอะ ถ้าไม่มีความสงบไม่มีปัญญามันผิดพลาดแน่ ประสาทหัวใจเป็นศูนย์ใหญ่ศูนย์รวมแห่งการส่งเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกาย มันต้องมีความสงบมีปัญญา มันต้องเป็นความพอดี เป็นความพอเพียงเพียงพอ เหมือนการแหย่รูเข็มรูเข็มมันเล็กนิดเดียว ถ้าเราไม่มีความสงบ ไม่มีปัญญาเราก็แหย่รูเข็มไม่ได้
ความรู้ความเข้าใจมันถึงมาที่การพัฒนาใจ พัฒนาวิทยาศาสตร์ พัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน ให้เราทั้งหลายรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ
วันวิสาขาบูชามันเป็นวันที่เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีหลายบล้านชาติหลายอสงไขย เพื่อให้ความสมบูรณ์ทุกแง่ทุกมุม ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทไม่เอาความรู้สึกนำชีวิต เป็นความเต็มเป็นความพอเพียงเพียงพอเป็นความพอดี
เราคิดดูดี ๆ สิ สิ่งที่เต็ม พระพุทธเจ้าประสูตรก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ มันเต็ม เป็นความพอเพียงเพียงพอ ตรัสรู้ก็วัน ๑๕ ค่ำ มันเต็ม เพียงพอพอเพียง เป็นความพอดี ปรินิพพานก็วันเพ็ญมันเป็นความพอเพียงเพียงพอเป็นความพอดี แสดงธรรมก็วันเพ็ญทั้งนั้นแหละ ให้เรารู้เข้าใจ
เราทั้งหลายต้องพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เราต้องระลึกถึงสิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้อง เอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก อย่าเอาความรู้สึกที่เป็นนิติบุคคลตัวตน เป็นหลักให้รู้เข้าใจ เราทั้งหลายน่ะจะได้หยุดอบายมุขอบายภูมิอบายภูมิของตัวเอง
เราคิดดูดี ๆ นะ เพราะความไม่ถูกต้องก็คือความไม่ถูกต้อง ความไม่ถูกต้องมันเป็นอบายมุขอบายภูมิอบายภูมิมันก็ไปไหนไม่ได้มันก็วกวนอยู่ในอบายมุขอบายภูมิ หัวใจของเรามันก็เป็นความหลงน่ะ มันทำลายความมั่นคงด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ มันทำลายความมั่นคงแห่งความประเสริฐที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ทำลายความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์
เราอย่าไปเอาแต่ทางวิทยาศาสตร์เอาแต่ทางวัตถุ ให้รู้เข้าใจ ทางวิทยาศาสตร์ ก็ให้มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติให้เอาธรรมนำชีวิต
วิทยาศาสตร์นี้ถูกต้องดีน่ะ เพราะวิทยาศาสตร์มันเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งความดี วิทยาศาสตร์นั้นต้องประกอบด้วยปัญญาบริสุทธิคุณ ปัญญาต้องประกอบด้วยความดีสองอย่างนี้แยกกันไม่ได้ เราต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เดี๋ยวมันจะเป็นอบายมุขอบายภูมิอบายภูมิ มันจะเป็นหัวใจแห่งความหลง หัวใจแห่งความหลงก็คือหัวใจบ่อนคาสิโนนี้นะ
เราไม่รู้เข้าใจเอาความหลงนำชีวิตเรียกว่าหัวใจบ่อนคาสิโน หัวใจความหลงน่ะ คิดในใจคิดว่าเอาความรู้สึกนำชีวิต เอาความอร่อยความแซบความลำความนัวความหรอย ชีวิตของเราจะได้ถึงความสุดยอดแห่งความดับทุกข์ความไม่มีทุกข์ มันไม่ใช่ มันเป็นความสุดยอดแห่งความหลงนะ เดี๋ยวมันจะพังทลายเหมือนตึก สตง.
เราต้องพากันรู้พากันเข้าใจ ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็ไปคิดว่าประเทศสิงคโปร์ ประเทศเค้าเล็กนิดเดียวเท่ากับอำเภอหนึ่งของเมืองไทยก็ไม่ได้ มาเก๊าส่วนหนึ่งของประเทศจีนก็เล็ก ๆ
เราต้องคิดด้วยปัญญา สิงค์โปร์ประเทศเค้าเล็กนิดเดียวไม่มีทำมาหากินไม่มีที่ทำเกษตรกรรมทำอุตสาหกรรม
เราคิดดูดี ๆ สิ ประเทศสิงคโปร์ เค้าใช้สติใช้ปัญญา เค้าไปค้าขายไปตั้งบริษัทอยู่ที่ประเทศอื่น ๆ เกือบทุก ๆ ประเทศของโลก เพราะเค้าไม่มีที่ทำเกษตรกรรมอุตสาหกรรม เค้าคิดในใจว่าถ้าตั้งบ่อนคาสิโน ตามหลักเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ ก็รวยได้เพราะคนในโลกนี้มันมีคนโลภคนหลง เอาความโลภหลงนำชีวิตเยอะ มันรวยถ้าตั้งบ่อนคาสิโนให้ถูกต้องตามกฎหมาย ความรู้ความเข้าใจนี้อยู่ในระดับวิทยาศาสตร์ ไม่ได้พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน มันเป็นการบ่อนทำลายความถูกต้องทำลายปัญญานะเอาความหลงนำชีวิตมันไม่ใช่คนมีปัญญานะ
พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ทุก ๆ ศาสนาท่านตรัสรู้มายกเลิกความไม่ถูกต้อง มายกเลิกอบายมุขอบายภูมิเพื่อยกเลิกบ่อนคาสิโน
ประเทศไทยของเรากว้างใหญ่ไพศาลสามารถที่จะทำเกษตรกรรมอุตสาหกรรม ไม่ต้องเอาความหลงนำชีวิต ไม่ต้องไปสร้างบ่อนแห่งความหลงหรือไม่ต้องไปสร้างบ่อนคาสิโน เราทั้งหลายอย่าพากันโง่หลงงมงายนะ อย่าเอาความหลงนำชีวิตต้องเอาปัญญานำชีวิต
เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราเอาความรู้สึกนำชีวิต มันจะลามปามไปเรื่อย เอาความหลงนำชีวิตไปเรื่อย เราทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องมันก็เสียหายอยู่แล้ว อย่างที่อนุญาตให้สร้าง โรงเหล้าโรงเบียร์โรงฆ่าสัตว์อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง มันก็ผิดอยู่แล้ว มันเป็นเพียงหลักการ ที่เห็นแก่ตัวทางวิทยาศาสตร์ มันเอาความสุขจากความหลง เอาความสุขจากการเบียดเบียน มันไม่ได้เอาความสุขจากผู้มีปัญญาสัมมาทิฐิ ไม่ได้เป็นผู้ให้ผู้เสียสละ มันเป็นผู้มีความหลงต่างหากนะ เป็นผู้ยึดมั่นถือมั่นในความหลงในตัวในตน เป็นเรื่องไม่มีศีลไม่มีธรรม ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่ธรรมนูญ มันเป็นความรู้สึกที่มันเป็นตัวเป็นตนนะ มันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจขยะแขยง
เราทั้งหลายต้องเป็นผู้ละอายในความไม่ถูกต้อง ความละอายต่อบาปเกรงกลัว ต่อบาปเป็นธรรมคุ้มครองความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ปัญญาที่ประกอบด้วยความดี
เราทั้งหลายอย่าให้ความไม่ถูกต้องให้มันถูกต้องด้วยเอาโลกธรรมนำชีวิตนะ ต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้รู้ว่าเราเกิดมาไม่ใช่เพื่อความหลงนะ
เราเกิดมาเพื่อมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ให้รู้ว่าพระนิพพานคือบ้านของเรานะ
เราทั้งหลายต้องเอาความถูกต้องกลับมามา เอาความสงบกลับคืนมา เอาออกซิเจนกลับคืนมา เอาศีลสมาธิปัญญาแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านได้ตรัสรู้
เราต้องรู้เข้าใจว่า เดือนวิสาขาบูชา เป็นเดือนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประสูตรตรัสรู้ดับขันธ์ปรินิพพาน นิพพานทางความหลง นิพพานกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพที่หลงน่ะ นิพพานทางจิตใจที่ยกเลิกไม่เอาความรู้สึกนำชีวิต เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต
ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะ ท่านทั้งหลายเป็นผู้ประเสริฐเป็นผู้มีลมปราณ เป็นคนดีเป็นคนมีปัญญา เป็นคนมีปัญญาเป็นคนดี ท่านทั้งหลายต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต อย่าเอาความรู้สึกเอาความหลงนำชีวิต เอาปัญญาบริสุทธิคุณนำชีวิต นี้เป็นโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทั้งหลายอย่าเอาความหลงนำชีวิตเอาความเพลิดเพลินนำชีวิต ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด
เราทั้งหลายจะได้เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติสมควร เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดีระหว่างวิทยาศาสตร์กับเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน ด้วยความรู้ความเข้าใจเห็นภัยในวัฏฏสงสารด้วยความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด นี้เป็นพระวาจามีในครั้งสุดท้ายของพระตถาคตเจ้าก่อนที่ท่านจะละธาตุวางขันธ์เสด็จสู่พระนิพพาน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจากไป แต่ธรรมนูญรัฐธรรมนูญก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ พระธรรมพระวินัยนั้นแหละคือหลักการ อุดมการณ์ อุดมธรรม
พุทธะนั้นคือความถูกต้องทั้งวาจาใจกิริยามารยาท ให้เราทั้งหลายเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ
ทุกชาติทุกศาสนาให้รู้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำที่สุดแห่งความทุกข์ของเรา
-----------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันเสาร์ที่ ๑๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา