๑๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ของศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ของศาสนาอิสลาม

 

วันนี้เป็นวันจันทร์เป็นวันทำงานของส่วนราชการ ทำงานรัฐวิสาหกิจ ทำงานส่วนตัว

 

การประพฤติการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นความรู้ความเข้าใจในกระบวนการแห่งชีวิต เพราะทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี เราทั้งหลายน่ะจะไม่ได้ทำอะไรตามความไม่รู้ไม่เข้าใจ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เหตุรู้ปัจจัย รู้เรื่องกรรมเรื่องผลของกรรม การปฏิบัติธรรมนั้นไม่มีวันหยุด เมื่อเรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจ มันมีเหตุมีปัจจัย มันเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติจะไม่มีวันหยุด

 

ให้พวกเรารู้เราเข้าใจ วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นการทำงานทั้งงานภายนอกทั้งงานภายใน

 

งานภายนอกตั้งแต่กายวาจากิริยามารยาทอาชีพ อย่างนี้เรียกว่างานภายนอก

 

งานภายในก็เป็นงานของใจ การพัฒนางานภายนอกคือการพัฒนาวิทยาศาสตร์ การพัฒนาใจคือพัฒนาธรรม “ธรรม ธรรมนูญ”

 

ในโลกนี้หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ปัจจุบันมีอยู่แปดพันกว่าล้านคน ต้องเอาธรรมนูญนำชีวิต กายวาจากิริยามารยาทอาชีพและจิตใจ ต้องเอาธรรมนูญนำชีวิต พัฒนาให้เข้าสู่ทางสายกลาง ไม่เอาความชอบความไม่ชอบ

 

ความชอบความไม่ชอบนี้ไม่ใช่ทางสายกลางนะ มันเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา ภาษาแพทย์ภาษาหมอเค้าเรียกไบโพล่าไม่ใช่ทางสายกลาง

 

ให้เรารู้เข้าใจ ความชอบความไม่ชอบนั้นไม่ใช่ทางสายกลางเราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้มีปัญญา เราจะได้บรรลุนิติภาวนะ เราจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม

 

ให้รู้จักธรรม รู้จักสภาวธรรม

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกเราทั้งหลายว่าอย่าเอาความชอบความไม่ชอบนำชีวิต อันนี้มันเป็นเพียงความรู้สึกเป็นเพียงอารมณ์

 

ให้เรารู้เข้าใจ อันนี้เป็นเพียงสิ่งที่สัญจรไปมาเหมือนลมนี้แหละ

 

บางครั้งลมมมันก็มาแรง บางครั้งก็มาค่อย บางครั้งก็ดูเหมือนจะไม่มีลม เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะเอาความชอบความไม่ชอบนี้ไม่ได้

 

มนุษย์เราถึงต้องมีหลักการมีอุดมการณ์แล้วก็มีอุดมธรรมเป็นธรรมนูญ เราทั้งหลายน่ะถึงจะเป็นผู้มีศิลปะแห่งชีวิต ไม่ทำไปตามสิ่งแวดล้อม

 

สมมติสัจจะทั้งหลายในโลกนี้มีหลายล้านสมมติ ชี้ให้เห็นแง่มุมต่าง ๆ ทั้งผิดถูกดีชั่ว และไม่ดีไม่ชั่ว เพื่อให้หมู่มวลมนุษย์นี้เข้าใจในหลักการแล้วก็อุดมการณ์อุดมธรรม

 

เราทั้งหลายถึงต้องพากันรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เอาความรู้ความเข้าใจมาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ จะได้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เราทั้งหลายถึงจะเป็นผู้บรรลุนิติภาวะรู้ธรรมรู้สภาวธรรม

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่ารู้อริยสัจสี่ คือรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์

 

เราทั้งหลายให้เข้าใจนะ ที่เราได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้หญิงผู้ชาย เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นคนแก่เฒ่าชรา หรือว่าคนที่ตายแล้ว ให้เข้าใจ นี้เราไม่ใช่เราไม่ใช่คนอื่นมันเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม ให้รู้เข้าใจ

 

ให้เอาศีลมาใช้เอาสมาธิมาใช้เอาปัญญามาใช้เพื่อเป็นปัญญาสัมมาทิฐิ           

     

ปัจจุบันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่าปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ มันเป็นวาระแห่งชาติทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพมันเป็นเรื่องใหญ่ ให้เรารู้เข้าใจ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่า ท่านทั้งหลายหรือว่าเธอทั้งหลายจงพากันเข้าใจ ให้ถือเอาว่าศีลเป็นสิ่งที่สำคัญ สมาธิเป็นสิ่งที่สำคัญ ปัญญาเป็นสิ่งที่สำคัญน่ะ เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นวาระแห่งชาติ อย่าประมาท ถ้าเราประมาทไม่ได้นะ

 

หลวงพ่อชา สุภัทโทถึงตรัสว่า เราประมาทไม่ได้นะ ประมาทนาทีหนึ่งก็เป็นความหลงนาทีหนึ่ง ความหลงกับบ้าก็เป็นอันเดียวกันน่ะ เราประมาทเราก็คือคนบ้าหรือว่ามีเชื้อบ้า

 

การปฏิบัติธรรมนี้ถึงเน้นมาที่ใจของพวกเรา ต้องเน้นมาที่ใจของเรานะ ต้องเห็นภัยในความไม่ถูกต้อง หรือว่าต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร อย่าประมาทนะ

 

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสกับผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาว่า เธอทั้งหลายจงพากันประพฤติพรหมจรรย์เถิด

 

พรหมจรรย์นี้ก็หมายถึงธรรมนูญนี้แหละ ธรรมนูญรัฐธรรมนูญ ต้องเน้นที่ใจ ให้เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัตินี้ไม่ได้นะ มันจะมีความทุกข์

 

รู้มั๊ยความทุกข์กับโรคซึมเศร้ามันก็คืออันเดียวกันนี้แหละ ภาษาหมอในปัจจุบันนี้ก็เรียกว่าเป็นโรคซึมเศร้า โรคซึมเศร้าก็คือความทุกข์ใจ

 

การประพฤติการปฏิบัติของเราต้องมีความสุข มีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในปัจจุบัน          

 

ให้เรารู้เข้าใจเราต้องจับประเด็นให้ได้ อย่าไปคิดว่าเรียนหนังสือก็เพราะมีความจำเป็น ทำงานเพราะจำเป็น ทำอะไรทุกอย่างก็เพราะมีความจำเป็น เพราะคิดอย่างนี้ทำอย่างนี้มันจะก่อให้เกิดโรคซึมเศร้า

 

ความเครียดทำให้หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายเป็นโรคจิตโรคประสาทเป็นโรคซึมเศร้า

 

ให้เข้าใจ ต้องรู้เข้าใจถึงต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญนะ ให้รู้เข้าใจ

อดีตที่ผ่านมามันก็คือปัจจุบันนี้แหละ ให้รู้เข้าใจ

อนาคตที่ยังไปไม่ถึงมันก็คือปัจจุบัน ให้เรารู้เข้าใจ

 

เราจะไม่ได้ทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย เราทั้งหลายจะได้มีปิติมีความสุข มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติจะได้เอาธรรม เอาธรรมนูญนำชีวิต เราทั้งหลายจะได้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

กายวาจากิริยามารยาทรู้มั๊ยมันเป็นเพียงอุปกรณ์ อุปกรณ์กับกรรมกรมันก็คืออันเดียวกัน ถ้าเราเอานิติบุคคลตัวตนนำชีวิตมันไม่ใช่ปัญญานะ มันเป็นบุคคล ไม่บรรลุนิติภาวนะ ให้รู้ให้เข้าใจ เราจะไม่ได้ไม่เพลิดเพลินไม่ประมาท

 

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเธอทั้งหลายอย่าไปเพลิดเพลิน อย่าไปประมาทนะ เพราะความอร่อยของโลกเราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่เข้าใจ เราจะไปหลงในเหยื่อของโลก เห็นรูปสวย ๆ มันก็อร่อย เสียงเพราะ ๆ มันก็อร่อย อาหารที่เค้าปรุงแต่งดี ๆ มันก็อร่อย กลิ่นที่เค้าปรุงแต่งดี ๆ หรือว่ากลิ่นดอกไม้อย่างนี้มันก็อร่อย เรามีกายมันก็สัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ มันก็อร่อย เรามีใจมันก็มีความคิดมีอารมณ์มันก็อร่อย

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้รู้จักว่าทุกอย่างมันไม่จบ เราต้องจบด้วยความรู้ความเข้าใจ เรียกว่ารู้อริยสัจสี่ ความรู้ความเข้าใจนี้ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญนะ

 

ปัจจุบันเราถึงมีความสงบ ปัจจุบันเราถึงมีปัญญา ปัญญากับความสงบ อันนี้คู่กันนะ สมถะกับวิปัสสนาต้องคู่กัน

 

เราคิดดูดี ๆ นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็เป็นลูกหลานของพราหมณ์มาก่อน พราหมณ์ก็ได้สมาบัติได้สมาธิ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็เป็นลูกหลานพราหมณ์มาก่อน ท่านก็ทำอย่างไงก็แก้ปัญหาไม่ได้

 

ท่านเลยระลึกถึงทางสายกลาง ระลึกถึงที่เค้าเล่นดนตรี เค้าเล่นกีต้าร์เล่นพิณ ถ้าตึงเกินไปมันก็จะขาด หรือว่าขาด ถ้าหย่อนเกินไปมันก็ไม่เพราะ มันต้องพอดี เป็นทางสายกลางมันเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม

 

ปัจจุบันเราถึงทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยไม่ได้ ต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่าท่านรู้เข้าใจว่าทุกอย่างมันคือเหตุ คือปัจจัย

 

เรามาคิดดูดี ๆน่ะ เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้นไม้ต้นหนึ่งเค้าได้อาหารมาไม่ใช่เค้าได้มาจากทางรากอย่างเดียวนะ ต้นไม้ต้นนั้นเค้าต้องได้อาหารมาจากทางกิ่งทางใบทางก้านทางสาขาทางยอดตลอดปริมณฑล ทั้งอากาศแสงแดดออกซิเจน ต้องได้อาหารมาจากทุกทิศทุกทาง ต้นไม้ต้นนั้นถึงเจริญสง่างาม มีวิตามินโปรตีน เกลือแร่แร่ธาตุสมบูรณ์

 

ฉันใดก็ฉันนั้น เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้รู้จักว่าปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ

 

เราทั้งหลายต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต เมื่อมันผ่านไปแล้ว มันเกษียณแล้วมันเอากลับคืนมาไม่ได้ ถึงมีคำว่าให้ยึดมั่นถือมั่น ให้เอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต เมื่อมันผ่านไปแล้วก็ปล่อยวาง เพราะว่ามันเอากลับคืนมาไม่ได้เพราะว่ามันเกษียณแล้ว

 

เราต้องรู้เข้าใจ สิ่งที่ผ่านมาแล้วเราต้องปล่อยต้องวาง ถ้าเราไม่ปล่อยไม่วางมันก็ไปไม่ได้มันก็ติด ถึงมีคำว่าอย่ายึดมั่นถือมั่น เพราะเราเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์พัฒนาวัตถุ พัฒนากายวาจากิริยามารยาท นักวิทยาศาสตร์ต้องพัฒนาใจด้วย การพัฒนาการปฏิบัติถึงจะไม่มีโทษ เราจะได้ทำงานเพื่องานทำอะไรเพื่อเข้าสู่บริสุทธิคุณ

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราให้รู้เข้าใจทุกอย่างที่มันผ่านไปคือมันตายไปนะ เอากลับคืนมาไม่ได้ ถึงมีสัญญาขันธ์จำไว้เพียงสัญญาขันธ์

 

สิ่งที่ผ่านมาตั้งแต่เราเกิดมามันจำน่ะ จำได้ในสัญญาขันธ์

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายเราจะได้รู้จักหน้าที่ในการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเราไม่ต้องมีความทุกข์อะไร เรารู้เข้าใจเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ

 

เราคิดดูดี ๆ นะ เราจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ ๙  ของเมืองไทย ท่านตรัสกับพสกนิกรชาวไทยหรือชาวโลกว่า เราทั้งหลายต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ อยากได้มากมันก็ไม่มาก น้อยก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่า เราต้องรู้เข้าใจเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติอย่างนี้ถึงจะแก้ปัญหาได้ มันเป็นการพัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน

 

ถ้าอย่างนั้นเราไปเรียนหนังสือก็เพื่อตัวเพื่อตนมันคือความทุกข์นะ

 

เราทำงานเพื่อตัวเพื่อตนมันคือความทุกข์

 

เราเป็นข้าราชการเพื่อตัวเพื่อตนมันคือความทุกข์

 

เป็นนักบวชก็เพื่อตัวเพื่อตนอันนี้ไม่ใช่ทางนะ เรียกว่าไม่มีทางก็แล้วกันไม่มีทางไปเรียกว่าตัน

 

ถึงมีศัพท์ว่า “ตัณหา” ศัพท์นี้ลึกซึ้งมากมันหาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า อันนี้เป็นทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำ เป็นไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ อย่าไปหาเรื่องหาราวให้กับตนเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น

 

ศัพท์นี้เป็นครอบครัว ครอบครัวสร้างภพสร้างชาติสร้างวัฏฏสงสาร

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่าเอาตัวตนเป็นที่ตั้งนั่นแหละ หัวใจที่มีครอบครัว หัวใจกำลังเป็นวัฏฏสงสาร

 

ให้เราทั้งหลายรู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

 

เราทั้งหลายต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต เราอย่าไปตามผัสสะ อย่าไปตามสิ่งแวดล้อม เพราะเรามีตามันก็มีรูปมันเป็นสภาวธรรมน่ะ มีหูก็มีเสียง เป็นธรรมเป็นสภาวธรรม มีจมูกก็มีกลิ่น มีลิ้นก็มีรส มีกายก็มีผัสสะ มีใจก็มีวาระใจมีวาระจิต เราต้องรู้เข้าใจ

 

เราทั้งหลายต้องรู้อย่างนี้เข้าใจอย่างนี้ เราจะได้รู้เรื่องจิตเรื่องใจเรื่องวัฏฏสงสาร เราจะได้เน้นที่ธรรมที่สภาวธรรม

 

เราทั้งหลายต้องเข้าถึงพระนิพพานด้วยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายต้องเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตายนะ

 

ถ้าเราจะรอเข้าถึงพระนิพพานเมื่อตายไปแล้วนั้นน่ะ อันนั้นไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่ปัจจุบันธรรม มันเป็นความหลงนะ มันเป็นความไม่รู้ไม่เข้าใจ เรากำลังวิ่งตามความหลง

 

เราต้องรู้ประโยชน์ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องคิดดี ๆ พูดดี ๆ กิริยามารยาทดี ๆ อาชีพดี ๆ เอาธรรมนำชีวิตไม่เอาตัวตนนำชีวิต เรียนหนังสือเพื่อรู้เข้าใจ เมื่อรู้เข้าใจเราจะได้ประพฤติปกิบัติ เราจะได้มีศีลมีสมาธิมีปัญญา ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม

 

เหมือนหลวงปู่ชา สุภัทโทวัดหนองป่านี้นะ ท่านไปฟังธรรมะของหลวงปู่มั่น เมื่อรู้แล้วท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น ๓ วัน ๓ คืน ท่านรู้เข้าใจ ความรู้ความเข้าใจเป็นสิ่งที่สำคัญนะ ถึงเราจะไปเรียนหนังสือจะมากมายกองใหญ่เท่าภูเขาใหญ่กว่าภูเขามันสำคัญอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ

 

อย่างเราเรียนวิทยาศาสตร์ค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ ค้นคว้าคนเดียวหรือค้นคว้ากับทีมมันอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ การฟังบรรยายอย่างนี้ก็อยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจมันไม่ใช่ความจำน่ะ

 

หลวงปู่ชาได้ฟังพระธรรมเทศนาในแง่มุมต่าง ๆ จากหลวงปู่มั่น ท่านได้เข้าใจเรื่องพระนิพพาน พระนิพพานคือบ้านของเรานะ ไม่ใช่ความหลงเป็นบ้านของเรานะ

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เพราะทุกอย่างนั้นมันไม่จบ เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ประพฤติปฏิบัติ

 

หลวงปู่ชาท่านรู้เข้าใจ ท่านถึงบอกลูกศิษย์ลูกหาว่าผมรู้เข้าใจปฏิบัติตัวเองสอนตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ ด้วยความเข้าใจทั้งต่อหน้าและลับหลัง ตั้งใจอย่างนี้ ตั้งเจตนาอย่างนี้ใจถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ผมสอนพวกท่านสอนประชาชนเพียงห้าเปอร์เซ็นต์เองนะ

 

เราทั้งหลายต้องรู้การประพฤติการปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตามีเอกัคคตา อย่าไปคิดว่าเข้าถึงพระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ อย่าไปคิดอย่างนั้น

 

ปัจจุบันต้องโฟกัสด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา เพราะกายวาจากิริยามารยาทเป็นเพียงอุปกรณ์หรือกรรมกร เราต้องรู้เข้าใจ

 

รถก็ยังมีเบรกรถก็ยังมีคันเร่ง รถก็ยังมีการหยุดการพักผ่อน ความสงบกับปัญญาถึงไปพร้อม ๆ กัน

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ๒๐ ปีแรก ท่านจะพูดเรื่องอริยสัจสี่รู้เข้าใจ บอกอริยสัจสี่บอกเรื่องอริยมรรคมีองค์แปด ท่านยังไม่ได้วางสิกขาบทพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เราต้องรู้อย่างนี้นะ

 

เราทั้งหลายต้องพากันมาเน้นที่ตัวเรา เราจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ การเดินทางอย่างนี้นะ มันต้องความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้แหละ ปริยัติกับปฏิบัติมันไปพร้อม ๆ กัน มันต้องไปพร้อมกันเลย มันอยู่ในเซทเดียวกัน มันต้องไปพร้อม ๆ กัน เพราะธรรมะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมอย่างนี้

 

ให้พวกเรารู้เข้าใจ เพื่อการประพฤติการปฏิบัติมันจะได้โฟกัสในการประพฤติการปฏิบัติ แล้วมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราต้องระลึกถึงคติธรรมที่หลวงปู่สุเมโธ เป็นพระฝรั่ง คนอเมริกา เมื่อ ๖๐ ปี ๗๐ ปีก่อน ท่านเป็นผู้มีสติมีปัญญา พัฒนาทางวัตถุพัฒนาทางวิทยาศาสตร์มันไปไม่ได้ท่านก็ไปที่ประเทศอินเดีย เนปาล ศรีลังกา พม่า แล้วก็มาเมืองไทย แล้วก็มาอยู่กับท่านหลวงปู่ชาน่ะ

 

สมัยก่อน ๖๐ กว่าปีก่อนน่ะ ประเทศไทยการพัฒนาวิทยาศาสตร์มันก็ยังไม่ก้าวหน้าน่ะ ไม่เหมือนทางยุโรป ทางอังกฤษอเมริกาเค้า ทางโน้นวิทยาศาสตร์ดีกว่า มาอยู่เมืองไทยก็มีความทุกข์ ยืนเดินนั่งนอนก็มีแต่ความทุกข์

 

เรามาคิดดูดี ๆ นะคนจนก็ทุกข์ไม่มี คนรวยก็ทุกข์เพราะไม่รู้จักพอ สองคนนี้ก็ทุกข์พอ ๆ กัน

 

หลวงปู่สุเมโธ ก็มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไปอย่างนี้ในชีวิตประจำวันอย่างนี้แหละ

 

หลวงปู่ชาท่านตรัสว่ากับหลวงปู่สุเมโธว่า วัดหนองป่าพงเป็นทุกข์ หรือว่าพระสุเมโธมีความทุกข์

 

หลวงปู่สุเมโธรู้เข้าใจว่า อ้อๆๆ มันมีทุกข์เพราะเราไม่รู้จัก เราเอาธาตุทั้ง ๔ เอาขันธ์ทั้ง ๕ เอาอายตนะทั้ง ๖ ภายในสัมผัสกับภายนอกเป็น ๑๒ มาเป็นเรามันจึงมีความทุกข์อย่างนี้

 

ท่านรู้เข้าใจท่านจึงปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องด้วยความรู้ความเข้าใจรู้ว่าพระธรรม   พระวินัยเป็นบริสุทธิคุณ เพื่อจะให้เราหยุดวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ มีทั้งความสงบมีทั้งปัญญาสลับกันไป มีทั้งสมถะมีทั้งวิปัสสนาอยู่ในปัจจุบันธรรม เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม

 

หลวงปู่สุเมโธ มาอยู่กับหลวงปู่ชา ใช้เวลา ๑๐ ปีปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง ใจสงบใจเย็นเป็นแอร์คอนดิชั่นเดินได้ ด้วยความรู้ความเข้าใจ ไม่ต้องไปเป็นทุกข์

 

หลวงปู่ชาถึงให้หลวงปู่สุเมโธน่ะไปเผยแผ่ทางอังกฤษ ไปเผยแผ่ทางอเมริกาทางยุโรป ประเทศพัฒนาวิทยาศาสตร์ที่เจริญ การพัฒนาวิทยาศาสตร์ที่เจริญมันดีมันถูกต้องแล้วแต่ต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ เพื่อความเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ

 

เหมือนในหลวงรัลกาลที่ ๙ ท่านบอกชาวไทยชาวโลกว่า ต้องพัฒนาทั้งทางวิทยาศาสตร์กับเรื่องจิตเรื่องใจถึงไปพร้อม ๆ กัน ไม่ยิ่งไม่หย่อนกว่ากัน ต้องรู้เข้าใจ

 

เราทั้งหลายต้องให้รู้ต้องให้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติของเราเอง ต้องพึ่งพาอาศัยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติของเราเอง เพราะไม่มีใครประพฤติปฏิบัติแทนกันได้ มันเป็นเรื่องส่วนตัวน่ะ

 

พระพุทธเจ้าก็ปฏิบัติของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ปฏิบัติของพระอรหันต์ เราเป็นใครก็ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง เพื่อเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่มีใครมีสิทธิพิเศษไม่มีใครทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยได้

 

องค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตน่ะ ท่านบำเพ็ญพุทธบารมีด้วยการตั้งอธิษฐานจิตที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ท่านได้มาเกิดที่ดินแดนแห่งเมืองไทยที่จังหวัดอุบลฯน่ะ

 

เมื่อท่านอายุได้ ๒๓ ปี ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดเลียบ อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๖ ได้รับฉายานามว่า ภูริทตฺโต แปลว่า ผู้ให้ปัญญา

 

ก่อนที่หลวงปู่มั่นจะตั้งจิตถอนจากโพธิญาณ ท่านได้เดินสมาธิเฝ้าย้อนรำลึกในอดีตชาติว่า ท่านเพิ่งจะเริ่มตั้งจิตปรารถนาต่อพุทธภูมิต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าศากยโคดมเท่านั้น เส้นทางบำเพ็ญเพียรเพียงแค่กึ่งพุทธกาล อีกทั้งในอดีตชาติที่ผ่านมา ท่านระลึกได้ถึงความยากลำบากของการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฎ 

 

ท่านสลดสังเวชแม้ท่านจะบำเพ็ญบารมีเพียงใดยังเคยเกิดเป็นหมาขี้เรื้อนถึง ๕๐๐ ชาติ ทำให้หลวงปู่มั่นมองดูสรรพสัตว์ในสังสารวัฎที่ยังคงหลับไหล เขาเหล่านั้นยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับชะตากรรมเช่นไรเมื่อสิ้นชีวิตลงไป 

 

ครั้นหลวงปู่มั่นจะละถอนจากโพธิญาณก็ให้สงสารสัตว์เหล่านั้น แต่เมื่อมองดูท่ามกลางสรรพสัตว์ทั่วไตรภพ ยังมีขบวนพระมหาโพธิสัตว์มีจำนวนมากที่ได้พยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่าเป็นนิตยโพธิสัตว์ (พระโพธิสัตว์ที่จักได้รับการบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต) และยังมีพระโพธิสัตว์อีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการพยากรณ์อยู่ในสังสารวัฎ เพื่อบำเพ็ญบารมีช่วยขนสรรพชีวิตให้พ้นทุกข์ เมื่อพิจารณาดังนี้หลวงปู่มั่น จึงอธิษฐานจิตละจากพระโพธิญาณ

 

การประพฤติการปฏิบัติธรรมนี้ถ้าเราเน้นที่ปัจจุบันธรรมนี้ ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องด้วยปัญญาสัมมาทิฐิ เราทั้งหลายถึงจะเป็นผู้มีศีลมีสมาธิมีปัญญา ยกเลิกโลกธรรมน่ะ โลกธรรมนี้หมายถึงตัวตน ยกเลิกตัวตน

 

หลวงปู่มั่นได้เอาหลักการและอุดมการณ์อุดมธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านำชีวิต การปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องนี้ด้วยความรู้ความเข้าใจ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ถึงจะเป็นผู้มีศีลมีสมาธิมีปัญญาไม่ไปตามผัสสะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม  ทางสิ่งแวดล้อมทางตาหูจมูกลิ้นกายใจมันเป็นข้อสอบ ข้อตอบมันก็ต้องตอบด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เพราะปริยัติกับการปฏิบัติมันต้องควบคู่กันไปด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

การประพฤติการปฏิบัติธรรมน่ะถึงพากันปฏิบัติได้อยู่ที่เรามีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ น่ะ จะอยู่ในเมืองกรุงเมืองหลวง อยู่ต่างจังหวัดอยู่ในชนบท อยู่ในป่า ในเขา ถ้าเรามีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ เราทุกคนพากันปฏิบัติได้หมด ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะ ไม่เลือกชาติตระกูล เป็นมนุษย์ปฏิบัติได้หมดทุกคน

 

เราเข้าใจนะ ที่เราเป็นอะไร ๆ นี้แหละ อันนี้มันเป็นตำแหน่งที่คนอื่นเค้าให้นะ  เราเป็นผู้หญิงผู้ชายเป็นคนแก่คนเฒ่าคนชรา เป็นข้าราชการเป็นนักการเป็นนักบวชเป็นตำแหน่งที่เค้าให้

 

เราต้องรู้เข้าใจว่าเป็นตำแหน่งที่เค้าให้ไม่ใช่ตำแหน่งของเรา ตำแหน่ของเรา มันต้องเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ มันถึงไม่มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์

 

เหมือนดอกเบี้ยธนาคารนี้แหละ ดอกเบี้ยธนาคารเค้าไม่มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์เวลานอนหลับดอกเบี้ยธนาคารเค้าก็หมุนไป ให้รู้เข้าใจ เรามีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ

 

ที่หลวงพ่อถามพระว่า เป็นอย่างไรสบายดีมั๊ย พระบอกว่าสบายน่ะ แต่ตอนค่ำไม่ได้มาทำวัตรสวดมนต์นั่งสมาธิส่วนรวมน่ะ หลวงพ่อบอกว่าอย่างนั้นไม่ได้นะ  ถ้าอย่างนั้นมันไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยเราเอาความรู้สึกนำชีวิต ต้องเอาข้อวัตรกิจวัตร เอาธรรมนูญนำชีวิต นั้นเราเอาความรู้สึกของเรานำชีวิต ไม่ได้เอาธรรมนูญนำชีวิต เราไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยไม่ได้

 

ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญ เราต้องรู้เข้าใจอย่าไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ให้ถือว่าพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรมันเป็นยานเพื่อหยุดสัญชาตของเราทุกคน

 

เราจะเดินทางไกลเราต้องอาศัยปลีแข้งของเราทั้งสองข้าง สมัยใหม่สมัยวิทยาศาสตร์ ต้องอาศัยรถอาศัยเครื่องบินทางบกทางอากาศ ทางน้ำทางทะเลมหาสมุทรต้องอาศัยเรือยนต์ขนาดใหญ่ในการเดินทางนะ พระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรมันเป็นยานนำเราไปนะ

 

เราต้องรู้เข้าใจอย่าไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยนะ ต้องมีปิติมีความสุข มีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าอย่าเอาความรู้สึกนำชีวิตนะ ต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต ให้รู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจมันเสียหายนะ

 

ต้องเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ต้องพากันรู้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เน้นที่ใจของเราที่เจตนานี้แหละ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะเป็นพระได้ทุก ๆ คนน่ะ

 

คำว่าพระคือพระธรรมคือพระวินัย คือธรรมคือธรรมนูญคือรัฐธรรมนูญ คือความเป็นพระ

 

เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันจะเป็นพระได้อย่างไร เพราะตัวตนไม่ใช่เป็นพระ    

          

เราคิดดูดี ๆ นะ บุคคลที่ตัวเปล่า ๆ นี้ เมื่อใส่ผ้าใส่ชุดอะไรมันก็เป็นชุดอย่างนั้นเป็นสีอย่างนั้น เราต้องรู้เข้าใจ อันนี้เป็นแบบฟอร์มภายนอกน่ะ ที่ได้รับการแต่งตั้ง ความเป็นพระมันอยู่ที่เรารู้เข้าใจมีความตั้งใจตั้งเจตนา

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่าสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓  ที่ ๔ อยู่ที่เรามีสัมมาทิฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต บุคคลนั้นก็จะเป็นพระ เป็นสมณะ เป็นผู้สงบ เป็นผู้มีปัญญา

 

การมาตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มายกเลิกชาติชั้นวรรณะ นิติบุคคลตัวตน ไม่ถือชาติชั้นวรรณะ

 

เราต้องรู้เข้าใจว่า เราจะมีอภิสิทธิพิเศษนี้ไม่ได้ เราต้องรู้เข้าใจ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงตรึกในพระทัยว่า เราได้เป็นพระพุทธเจ้าก็เพราะเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต ท่านถึงเคารพคารวะในธรรม เอาธรรมนำชีวิต

 

พุทธะเป็นนามของพระธรรม เป็นนามของธรรมนูญ มีคู่กับสิ่งที่ถูกต้อง

 

เราคิดดูดี ๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน พระอานนท์พระอุปัฏฐากย์มีความโศรกเศร้า

 

นี้มันก็เป็นธรรมดา พระอานนท์ถึงจะเป็นพระโสดาบันก็ยังมีความโศรกเศร้า เพราะยังไม่หมดกิเลสสิ้นอาสวะ แต่สำหรับพระอรหันต์แล้วรู้เข้าใจในธรรมในสภาวธรรม เข้าถึงธรรมถึงปัจจุบันธรรม มันไม่มีความโศรกเศร้าน่ะ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจว่าความโศรกเศร้ามันก็คือโรคซึมเศร้านี้แหละ มันก็คืออันเดียวกัน

 

เราทั้งหลายต้องรู้ว่าความชอบใจความไม่ชอบใจนี้ให้เรารู้เข้าใจ ให้ผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะไปหยุดอยู่กับความชอบความไม่ชอบนี้ไม่ได้ ต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

หลวงปู่สุเมโธ ไปเผยแผ่ทางอังกฤษ ไปเผยแผ่ทางยุโรปหลายปี ประชาชนให้ความเคารพนับถือเลื่อมใส เพราะเป็นการสอนเรื่องอริยสัจสี่ สอนทั้งวิทยาศาสตร์สอนทั้งเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน ประชาชนเค้าโอเคกัน ประชาชนทั้งหลายมีความเคารพนับถือในหลวงปู่สุเมโธ เพราะเอาธรรมนำชีวิตทุกคนโอเคหมดน่ะ ทุกคนลงใจหมดน่ะ

 

หลวงปู่สุเมโธ ท่านถึงได้กลับมาเมืองไทยอีกรอบใหม่เพื่อประกาศให้พระรุ่นน้องได้ทำหน้าที่เผยแผ่

 

ท่านกลับมาเมืองไทยครั้งนี้แหละเป็นเวลา ๑๐ ปี หลวงปู่สุเมโธแก่แล้ว อายุร่วม ๘๐ ปีแล้ว ไปอยู่วัดป่ารัตนวันด้วยการอุปถัมภ์อุปัฏฐากของหลวงพ่อญาณธัมโม ที่เป็นพระฝรั่งมาบวชกับท่านพระอาจารย์ชาเป็นคนประเทศออสเตรเลีย เป็นผู้อุปถัมภ์อุปัฏฐาก หลวงปู่สุเมโธ ท่านเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นผู้ที่ตั้งมั่นในพระพุทธเจ้า

 

ท่านระลึกถึงกาลเวลาว่าขณะนี้สังขารทั้งหลายมันจะสิ้นไปเป็นธรรมดา ท่านถึงอยากจะกลับไปเผยแผ่ ไปบอกเรื่องอริยสัจสี่ให้กับชาวยุโรปให้รู้เข้าใจ จะได้พัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน

 

โยมตาวัดป่ารัตนวัน ได้กราบถวายวาจากับหลวงพ่อกัณหาว่า หลวงปู่สุเมโธ ท่านอยากจะกลับไปยังประเทศอังกฤษ

 

หลวงพ่อกัณหาถึงไปคุยกับหลวงปู่สุเมโธ ไปกราบเรียนถามหลวงปู่สุเมโธว่า ทำไมถึงอยากจะกลับไปที่อังกฤษ กลับไปที่ยุโรป

 

หลวงปู่สุเมโธบอกว่า เดี๋ยวนี้มันอายุแปดสิบปีแล้ว อีกไม่นานก็ลาละสังขารแล้ว

 

หลวงพ่อกัณหาก็ถามหลวงปู่สุเมโธว่าเป็นอย่างไรเรื่องจิตใจหมดกิเลสสิ้นอาสวะแล้วหรือยัง

 

หลวงปู่สุเมโธ ท่านก็ไม่ได้บอกว่าหมดกิเลสสิ้นอาสวะนะ ท่านบอกว่าขณะนี้เวลานี้น่ะ จิตใจมันเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ไม่รู้ความรู้สึกว่ามีพระสุเมโธหรือว่าพระฝรั่งน่ะ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีแต่เหตุมีแต่ปัจจัย มีแต่ธรรมมีแต่สภาวธรรม มีความรู้มีความเข้าใจอย่างนี้

 

หลวงพ่อกัณหาเลยพูดว่าถ้าอย่างนั้นก็ให้กลับไปที่อังกฤษ ไปอเมริกา ไปทางยุโรป เพื่อไปบอกอริยสัจสี่ให้หมู่มวลมนุษย์พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน เราแก่แล้ว ไปบอกผู้มีปัญญา เพราะชาวอังกฤษชาวอเมริกา พวกนี้มีปัญญามาก เพื่อจะได้พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์พัฒนาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน เพราะมนุษย์เราต้องเข้าถึงความพอดี ความเพียงพอพอเพียง

 

เหมือนกับแพทย์  เค้าผ่าตัดนี้แหละ แพทย์ผ่าตัดสมอง เพราะสมองของมนุษย์มันเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาทน้อยใหญ่ ผู้ที่ผ่าตัดสมองต้องมีปัญญารู้เรื่องสรีระของร่างกาย แล้วก็มีความสงบ ความสงบกับปัญญามันถึงเป็นความพอดี มันถึงเป็นความพอเพียงเพียงพอ การผ่าตัดสมองถึงจะปลอดภัยถึงจะไปได้

 

การผ่าตัดหัวใจก็เช่นเดียวกัน หัวใจเป็นศูนย์รวมของการส่งเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ผู้ที่ผ่าตัดหัวใจต้องมีความรู้มีปัญญาแล้วมีความสงบถึงจะมีความปลอดภัยได้

 

เรามาคิดดูดี ๆ ความสงบกับปัญญามันเป็นความพอดี มันเป็นความพอเพียงเพียงพอ

 

เรามาคิดดูดี ๆ นะ อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีหนังสือ ในประวัติศาสตร์ว่าพระพุทธเจ้าประสูติก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ แสดงธรรมจักรกัปปวัตนสูตรก็วันเพ็ญ ๑๕ เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ มันเป็นความพอดีเป็นความสมดุลมันเต็มมันพอมันพอเพียงเพียงพอ

 

แล้วก็วันเพ็ญเดือน ๖ เดือน ๖ ถ้าเราน้อมดูด้วยปัญญา เดือน ๖ วันเพ็ญ ตาหูจมูกลิ้นกายใจมันก็ ๖ อายตนะภายนอกที่สัมผัสก็ ๖

 

เรารู้เข้าใจอย่างนี้เราก็ถึงบางอ้อว่า อ้อๆๆ การประพฤติการปฏิบัติเค้าให้เอาที่ปัจจุบัน

 

มีตาเราถึงเป็นผู้ฉลาด ด้วยปัญญา รู้เข้าใจเราจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม

 

เรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจเราจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม ถ้าเราไปตามสิ่งแวดล้อมนี้มันไม่ได้ มันจะทำให้เราไม่มีหลักการอุดมการณ์

 

เรารู้เข้าใจ ศีลสมาธิปัญญานี้เพื่อให้เรารุ้เข้าใจ เราจะไม่ได้ตามอะไรไป ไม่ตามสิ่งแวดล้อม ด้วยความรู้ความเข้าใจอย่างนี้มันจะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นปัญญาเป็นความสงบ ตรัสรู้ก็วันเพ็ญเดือน ๖ อะไรก็วันเพ็ญเดือน ๖

 

เรารู้เข้าใจอย่างนี้ เราทั้งหลายจะได้รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราจะได้รู้อริยสัจสี่ อันนี้เป็นความดีนะ เป็นบารมีของเรา

 

เราเอาความหลงนำชีวิตเราจะเป็นคนไม่มีบารมีนะ เราไปตามสิ่งแวดล้อม             

 

ความดีกับปัญญาต้องควบคู่กันไป เราจะได้รู้เข้าใจว่าปัญญากับความดี มันจะแยกกันไม่ได้ อริยมรรคมีองค์แปดข้อหนึ่งถึงข้อแปดมันมีปัญญาสัมมาทิฐิไปพร้อมกัน ไปพร้อมกันระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับวัตถุหรือทางวิทยาศาสตร์ต้องไปพร้อม ๆ กัน

 

วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์นี้ให้เรารู้เข้าใจ ว่าเราพัฒนาทั้งใจทั้งวัตถุ ให้ไปพร้อม ๆ กันเพื่อไปทางสายกลาง มันจะได้ทั้งเรื่องจิตเรื่องใจได้ทั้งวัตถุ การปฏิบัติธรรมมันต้องอย่างนี้มันเป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ สัมมาทิฐิที่ประกอบด้วยปัญญามันจะเป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่

 

เรารู้เข้าใจเอาศีลสมาธิปัญญามาใช้มานำชิวตเพื่อเป็นธรรมเป็นธรรมนูญนี้จะเป็นพระนิพพาน เพราะทุกอย่างเรารู้เข้าใจ เราไม่ได้เอามาเพิ่มเอามาตัดออกด้วยความรู้ความเข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทุกก็เป็นพระได้เหมือนกันทุกคน ไม่ใช่เป็นพระได้ตั้งแต่ศาสนาพุทธ หรือตั้งแต่ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาพราหมณ์อะไรต่าง ๆ มันเป็นได้ด้วยความรู้ความเข้าใจการประพฤติการปฏิบัติ

 

ให้เราทั้งหลายรู้เข้าใจ นี้ถึงเป็นความดีเป็นบารมีที่ประกอบด้วยปัญญา  

 

เราต้องรู้เข้าใจในธรรมในสภาวธรรม ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเอาความหลงนำชีวิต  ชีวิตของเราก็จะพังทลายเหมือนตึก สตง. ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันจะเป็นอบายมุขอบายภูมิ

 

ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้เข้าถึงธรรมเข้าถึงสภาวธรรม เข้าถึงพรหมจรรย์ ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ เราทั้งหลายจะได้เอาปัญญาสัมมาทิฐิเพื่อบรรลุนิติภาวะ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม ไม่เอาความหลงนำชีวิต ไม่เอาความไม่ถูกต้อง ไม่เอาทุจริตนำชีวิต เอาพรหมจรรย์นำชีวิต เอาธรรมนูญ เอารัฐธรรมนูญ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายเป็นผู้ประเสริฐเป็นผู้มีลมปราณมีบุญมีวาสนา ให้ถือว่ากาลเวลาเป็นการประพฤติการปฏิบัติมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงพระนิพพานบ้านของเราตั้งแต่เรายังไม่ตาย

 

เราอย่าไปเอาความหลงนำชีวิต เราอย่าไปความว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่

 

สมัยก่อนเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราจะไปเอาความว่างจากสิ่งที่ไม่มี ไปหาความสงบที่ทุ่งใหญ่นเรศวรโน้น ไปหาความสงบที่ห้วยขาแข้งโน้น ไปหาความสงบที่เขาใหญ่ ภูสอยดาวสอยเดือน

 

เราต้องรู้เข้าใจ เรารู้เข้าใจเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ

 

เราจะได้รู้เข้าใจว่าพระนิพพานอยู่ที่เรารู้เข้าใจแล้วมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะการประพฤติการปฏิบัตินี้เป็นความถูกต้อง ความถูกต้องคือพระนิพพานบ้านของเรานะ

 

บุญกุศลที่พวกเราได้บำเพ็ญบารมีเป็นความดีจะได้อุทิศบุญกุศลให้ญาติ ๆ บรรพบุรุษผู้วายชนม์จากไป

 

---------------------------------

 

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันจันทร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

Visitors: 94,990