๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ของศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ของศาสนาอิสลาม
การประพฤติการปฏิบัติธรรมให้พวกเรารู้ให้พวกเราเข้าใจ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพุทธบารมี ท่านเน้นที่ท่าน เน้นที่เจตนาที่ตั้งใจ เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต มีความตั้งใจมีเจตนาไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เอาธรรมเอาธรรมนูญมาไว้ที่กายวาจากิริยามารยาทอาชีพ เน้นที่ตัวขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นความดีที่บริสุทธิคุณ
เราทั้งหลายต้องพากันมารู้มาเข้าใจ เน้นมาที่ตัวเรานี้แหละ
การปฏิบัติถึงไม่มีต่อหน้าลับหลัง ไม่มีต่อหน้าอย่างหนึ่งลับหลังอย่างหนึ่ง เป็นการปฏิบัติสม่ำเสมอทั้งต่อหน้าและลับหลังด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา
การประพฤติการปฏิบัตินั้นถึงเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาที่บริสุทธิคุณ
“คารวธรรม” เรื่องความเคารพคารวะจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ปัจจุบันเราต้องทำให้ดี ต้องตั้งใจตั้งเจตนา ต้องเคารพในสมมติสัจจะ พระธรรมพระวินัย กาลเวลา ธรรมชาติที่เป็นใหญ่ของตัวของธรรมชาติเอง
เราต้องมีความเคารพคารวะ อย่างเราไม่อยากให้มันเกิดมันแก่มันเจ็บมันตายมันพลัดพรากอย่างนี้ เรียกว่าไม่เคารพไม่คารวะนะ นี้มันเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม
เราทั้งหลายต้องรู้จักเคารพคารวะ อย่าไปลิดรอนสิทธิ เช่นเราไม่อยากให้เราแก่เราเจ็บเราตายเราพลัดพรากหรือในสิ่งต่าง ๆ เราต้องรู้เข้าใจ เพราะทุกอย่างนั้นมันเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม
เราต้องเคารพคารวะ เพราะทุกอย่างน่ะได้เป็นใหญ่ของตัวธรรมชาติเอง
พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่เคารพในธรรมในสภาวธรรม บุคคลที่ไม่มีความเคารพไม่มีคารวะเป็นบุคคลที่หยาบ หยาบกระด้าง หยาบคาย เป็นบุคคลไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เป็นบุคคลที่ไม่อยู่ในธรรมในปัจจุบันธรรม เป็นผู้เอาความหลงนำชีวิต เอานิติบุคคลตัวตนนำชีวิต
พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ พวกเราทั้งหลายต้องเคารพคารวะเพื่อประโยชน์ตนเองทั้งเพื่อประโยชน์มหาชน
เราดูอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ ท่านเสียสละ เอาธรรมนำชีวิต เอาฆราวาสธรรมนำชีวิต
เราจะเห็นทางประวัติศาสตร์ชัดเจน ท่านกลับไปกรุงกบิลพัสตร์เพื่อโปรดพระบิดามารดา โปรดญาติ โปรดประชาชน โปรดมหาชน ท่านไม่ได้ดำรงตัวสำคัญตน ถึงเวลาเช้าท่านก็ออกภิกขาจารบิณฑบาต เพื่ออ่อนน้อมถ่อมตนต่อประชาชน
ออกบิณบาตมีฐานะอย่างเดียวกับคนขอทาน ท่านไม่ถืออภิสิทธิว่าท่านเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระบิดามารดากราบเรียนถวายท่านว่าไม่ต้องบิณฑบาตภิกขาจาร
ท่านตรัสกับพระบิดามารดาว่า นี้เป็นประเพณีที่เสียสละ ยกเลิกนิติบุคคลตัวตน ยกเลิกวัฏฏสงสารเพื่อเอาธรรมนำชีวิต เป็นเครื่องหมายของผู้ที่เสียสละ ไม่เอาอะไร ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร ยกเลิกนิติบุคคลตัวตน ไม่มีอะไรที่จะหลงเหลืออยู่ที่สำคัญมั่นหมายว่าเราดีกว่าเค้า เราเก่งกว่าเค้า เรารวยกว่าเค้า เรามีเพาเวอร์มากกว่าเค้าไม่ถือชาติชั้นวรรณะ ญาติวงศ์ตระกูล
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมาตรัสรู้ก็เพื่อมายกเลิกชาติชั้นวรรณะ ยกเลิกชาติวงศ์ตระกูล จึงจะถึงความบริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ ปัญญาธิคุณ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสกับพระบิดามารดาว่านี้เป็นประเพณีเป็นบริสุทธิคุณ เพื่อพุทธะเพื่อปัญญาบริสุทธิคุณ
เราทั้งหลาย เราพากันจับเอาหลักการ เอาอุดมการณ์อุดมธรรม
เราทั้งหลายน่ะต้องมีโมเดลเป็นตัวอย่างแบบอย่าง เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงคารวธรรมทั้งต่อหน้าและลับหลัง ถ้าไม่อย่างนั้นเราทั้งหลายจะเข้าถึงความสงบไม่ได้ เข้าถึงปัญญาไม่ได้ ถ้าเราไม่มีความเคารพในธรรมในสภาวธรรม
ให้เข้าใจนะ ถือว่าเราไม่ลงใจให้พระพุทธเจ้า ให้พระธรรม ให้พระอริยสงฆ์ หัวใจอย่างนี้มันหัวใจเป็นนิติบุคคลตัวตน หัวใจยังมีครอบครัว หัวใจยังมีผัวมีเมีย หัวใจยังเป็นวัฏฏสงสาร
การเข้าถึงธรรมะ มันต้องเข้าถึงทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ
พระธรรมพระวินัยที่เป็นสมมติสัจจะถึงเป็นอุปกรณ์เป็นกรรมกรแห่งการประพฤติการปฏิบัติ ถึงจะหยุดสัญชาตญาณถึงจะหยุดวัฏฏสงสาร ด้วยความเคารพในธรรมในสภาวธรรม ไม่มีการประพฤติการปฏิบัติเพื่อเอาโลกธรรมนำชีวิต
การประพฤติการปฏิบัติที่มีความเคารพในธรรมในสภาวธรรม ถึงจะหยุดวัฏฏสงสารได้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกภิกษุทั้งหลายว่า เธอทั้งหลายจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด
พรหมจรรย์นั้นหมายถึงพระธรรมพระวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่
เราต้องเคารพ เราต้องคารวะ ต้องตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
เรามีตาก็ต้องมีปัญญา เรามีหูก็ต้องมีปัญญา มีจมูกก็ต้องมีปัญญา มีลิ้นก็ต้องมีปัญญา เรามีร่างกายก็ต้องมีปัญญา เรามีใจก็ต้องมีปัญญา เป็นผู้ไม่ประมาทไม่เพลิดเพลิน มีความเคารพมีคารวในธรรม
อย่าไปคิดว่าไม่เป็นไร ความคิดว่าไม่เป็นไรนี้แหละคือความประมาท ความประมาทนี้แหละคือศีลขาดศีลด่างศีลพร้อย
เราอย่าไปคิดว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว เราอย่าไปคิดว่าพระอรหันต์ขีณาสพทั้งหลายละธาตุละขันธ์พระนิพพานแล้ว
ให้พวกเราทั้งหลายรู้ทางวิทยาศาสตร์รู้ทางธรรมะนะ
ความถูกต้องนั้นยังไม่ได้ตาย ความไม่ถูกต้องนั้นก็ยังไม่ได้ตาย ทุกอย่างน่ะมันมีอยู่ ให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงธรรมเข้าถึงสภาวธรรม
ที่พระอานนท์ทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานไปแล้ว จะให้เคารพคารวะใครน่ะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ที่มาหยุดความไม่ถูกต้อง ทำตามความถูกต้อง นั่นหละคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ให้พระอานนท์เข้าใจนะ ความถูกต้องนั้นไม่ได้นิพพานนะ ธาตุขันธ์อายตนะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นนิพพานน่ะ มรรคผลพระนิพพานมีอยู่ชั่วฟ้าดินสลาย ให้เข้าใจ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจว่าพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นมีอยู่คู่กับเราทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ
เราทั้งต้องรู้จักพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคือพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตร ข้อวัตรปฏิบัติ
เราทั้งหลายถึงต้องมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ความสงบรู้เข้าใจ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อมนั่นแหละคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นแหละคือพระอรหันต์ขีณาสพ
ความเคารพความคารวะในธรรมในปัจจุบันธรรมในพระธรรมพระวินัยนั้นคือ พระพุทธพระธรรมพระอริยสงฆ์
ความสงบถึงเป็นพื้นฐาน จะเป็นทางวิทยาศาสตร์ก็ต้องเอาความสงบเป็นพื้นฐาน จะเป็นทางใจก็เอาความสงบเป็นพื้นฐาน ถ้าเราเอาความสงบเอาปัญญามาใช้ไปพร้อมกัน เป็นการพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์พัฒนาทั้งใจไปพร้อมกัน เป็นความสงบเป็นปัญญาที่เป็นธรรมเป็นคารวะในธรรม เป็นปัจจุบันธรรม เป็นธรรมนูญ
เราคิดดูดี ๆ นะ ประชาธิปไตยก็ต้องพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์พัฒนาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน สังคมนิยมที่เรานิยมชมชอบก็ต้องเอาทั้งวิทยาศาสตร์เอาทั้งใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นทางสายกลาง
ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ซ้ายจัดขวาจัด มันไม่ใช่ธรรมไม่ใช่ปัจจุบันธรรม มันไม่ได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ไม่ได้เข้าถึงความพอดี
ความเป็นพระนั้นอยู่ที่เรารู้เข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เหมือนสายพิณ ถ้าตึงเกินไปมันก็จะขาด ถ้าหย่อนเกินไปมันก็ไม่เพราะ มันถึงเป็นความพอดี เพราะธรรมชาติทุกอย่างมันเป็นประภัสสร เราอยากให้มันมากมันก็ไม่มาก เราอยากให้มันน้อยมันก็ไม่น้อย เราจะได้รู้เข้าใจ เราจะได้เคารพในธรรมในสภาวธรรม เราจะไม่ได้ลิดรอนสิ่งที่ไม่ถูกต้องด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราทั้งหลายน่ะถึงต้องพากันเคารพคารวะในธรรมในสภาวธรรม เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เห็นภัยในความประมาท
เรื่องเคารพคารวะในธรรมเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าเราไม่เข้าใจเราจะไม่เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ไม่เข้าถึงความพอดี
เราทั้งหลายต้องมีหลักการอุดมการณ์แล้วก็อุดมธรรม กฎหมายบ้านเมืองเป็นธรรมเป็นธรรมนูญ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพมันเป็นธรรมนูญ เราต้องเคารพคารวะกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ นี้เป็นหลักวิทยาศาสตร์ทางวัตถุ ทางใจนามธรรมน่ะ
ทางใจ นามธรรมเราต้องมีความเคารพคารวะถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง
เราทั้งหลายยกเลิกตรึกในกามยกเลิกตรึกในพยาบาท เพื่อความสมบูรณ์ ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพและสมบูรณ์ทางจิตใจ ต้องยกเลิกตรึกในกามตรึกในพยาบาทอีกด้วย
เราอย่าไปคิดว่าเรื่องจิตเรื่องใจใครก็ไม่รู้ เราจะคิดอะไรก็ได้ตรึกอะไรก็ได้อย่างนี้ไม่ได้นะ
เราทั้งหลายต้องมีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เห็นภัยในวัฏฏสงสาร
เราคิดดูดี ๆ นะ ท่านพระสารีบุตร ท่านพระโมคคัลลาสนทนากับเรื่องอาพาธ ของพระสารีบุตร พระสารีบุตรบอกพระโมคคัลลาว่า สุขภาพร่างกายไม่ดีไม่แข็งแรง เพราะออกมาบวชแล้วก็โภชนาการทางอาหารไม่ครบหมวดหมู่
เมื่อยังไม่ได้บวชมารดาทำอาหารให้ครบหมวดหมู่น่ะ ทำข้าวมัธุปายาสให้บริโภคร่างกายแข็งแรง
ท่านพูดกันสนทนากัน เทวดาอยู่ในอาณาเขตนั้นรู้เข้าใจ ถึงไปบอกไปนิมิตให้ประชาชนเค้าทำบุญตักบาตรด้วยข้าวมัธุปายาส
พระโมคคัลลาไปบิณฑบาต ประชาชนเค้าก็ถามว่าพระสารีบุตรไม่มาภิกขาจารบิณฑบาตเหรอ ท่านก็บอกว่าไม่มาไม่สบาย ฝากข้าวมัธุปายาสไปถวายท่านหน่อยนะ
ท่านพระโมคคัลลาบิณฑบาตกลับมา ถวายข้าวมัธุปายาสให้ท่านพระสารีบุตร
ท่านพระสารีบุตรท่านบำเพ็ญสาวกบารมีมารู้ด้วยปัญญาด้วยญาณว่า เราพูดคุยสนทนากันนี้ทำให้เทวดาได้ยินได้ฟัง ได้เป็นนิมิตหมายให้ประชาชนเค้าถวายข้าวมัธุปายาส อันนี้ไม่ได้นะ ไม่ดีนะ
ท่านก็คิดในใจว่าพระธรรมพระวินัย เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อตนเองและมหาชน เราอย่าได้ฉันข้าวมัธุปายาสนี้เลย เราเอาไปเททิ้งในปฐพี ดีกว่ามีชีวิตอยู่ด้วยความ ไม่ถูกต้อง
ทำไมไม่ถูกต้องล่ะ ก็เพราะเทวดาไปบอกไปนิมิตหมายไปโฟกัสให้เขาถวายนี้คือความไม่ถูกต้อง
พระเถระเจ้าผู้เอาธรรมนำชีวิต เป็นผู้มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เอาอาหารไปเทลงพื้นปฐพี อาหารลงสู่พื้นดิน อาพาธโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ก็หายทันที
นี้เป็นธรรมโอสถนะ ธรรมเป็นของสดเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ จะได้ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม จะไม่ได้ไปตามธาตุตามขันธ์ตามอายตนะ
เราทั้งหลายต้องมีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรม เป็นผู้ละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป
เราทั้งหลายต้องสำรวมในพระธรรมพระวินัย สำรวมในศีล สำรวมในพระปาฏิโมกข์ สำรวมในอินทรีย์สังวร ตาหูจมูกลิ้นกายใจกิริยามารยาทข้อวัตรกิจวัตร
เราทั้งหลายต้องเคารพคารวะเพื่อเราจะได้เคารพคารวะในธรรมในสภาวธรรม เพื่ออันนี้เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม
ถ้าการปฏิบัติของเรามันติดต่อต่อเนื่องด้วยความรู้ความเข้าใจ ความดีความถูกต้องมันก็จะเป็นกระบวนการ เพราะสิ่งที่เป็นอดีตทั้งหลายทั้งปวง มันก็เป็นปัจจุบันอยู่แล้ว อนาคตที่ยังมาไม่ถึงก็เป็นปัจจุบันนี้แหละ ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญเป็นวาระแห่งชาติทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพทั้งเรื่องจิตเรื่องใจ
เรื่องเคารพคารวะในธรรมในสภาวธรรมถึงเป็นเรื่องใหญ่นะ
เราทั้งหลายอย่าไปคิดว่าพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ไปแล้ว เราทั้งหลายจะได้ทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยนะ ที่มีความคิดความตรึกความนึกอย่างนี้ เป็นเหตุให้สังคายนาครั้งที่ ๑ เกิดขึ้น หลังพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน เพราะความเป็นนิติบุคคลตัวตนทำให้หยาบสกปรก
เช่นว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้วไม่มีใครมาว่า
ความจริงความถูกต้องนั้นน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นคือพระธรรมพระวินัย
พวกเราทั้งหลายต้องเคารพในธรรมในพระธรรมในพระวินัย เพราะความถูกต้องมันก็คือความถูกต้อง พระนิพพานยังไม่ได้หายไปไหน เราต้องรู้ทั้งภาษาใจและภาษาวัตถุไปพร้อม ๆ กันนะ
เราทั้งหลายถึงจะพากันว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่ได้ เราทั้งหลายถึงจะว่างจากสิ่งที่มีอยู่
เราต้องรู้ทั้งภาษากายภาษาใจ รู้ทั้งภาษาวัตถุรู้ทั้งภาษาใจไปพร้อม ๆ กัน
ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะเอาความหลงนำชีวิตนะด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ
เราต้องเคารพคารวะในพระธรรมพระวินัย คนอื่นไม่รู้ไม่เห็นไม่เป็นไร เพราะเราก็เป็นคนรู้คนเห็นอยู่ การปฏิบัติธรรมถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง เราถึงจะรู้การประพฤติการปฏิบัติของเรา
เราต้องรู้การประพฤติการปฏิบัตินะ เราจะได้เป็นคนละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เราต้องเคารพคารวะในพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ พระพุทธเจ้าว่าอย่างไรเราก็เอาอย่างนั้นไม่ต้องมีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น อย่ามีเหตุมีผล
พระธรรมพระวินัยนั้นเพื่อมายกเลิกตัวยกเลิกตน มายกเลิกเหตุยกเลิกผลที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน ให้เรารู้เข้าใจ
การพัฒนาวิทยาศาสตร์มันดีแล้วถูกต้องแล้ว หากเอาวิทยาศาสตร์เป็นนิติบุคคลตัวตนมันจะเป็นทางโลกเป็นทางความหลงนะ ถึงต้องเอาธรรมเอาธรรมนูญ เอาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กันมันถึงจะดีนะ มันถึงจะมีปัญญานะ
เราทั้งหลายได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้หญิงผู้ชาย เป็นคนหนุ่มคนสาวคนเฒ่าคนชรา เป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวชน่ะ นี้มันเป็นตำแหน่งแต่งตั้งเป็นหลักเหตุ หลักผลหลักวิทยาศาสตร์
เราทั้งหลายต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในหน้าที่ตำแหน่ง เราอย่าไปมีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น เพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี
เมื่อเค้าแต่งตั้งให้แล้ว เราไม่เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ อย่างนี้มันถูกต้องมั๊ย อันนี้ไม่ถูกต้องนะ ความไม่ถูกต้องมันคือทุจริตนะ
เราทั้งหลายต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ เพื่อเคารพในธรรมในหน้าที่ ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ด้วยปิติด้วยความสุขเอกัคคตา ต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ด้วยปิติด้วยความสุข
เราอย่าไปทุจริตในหน้าที่ ชีวิตของเรามันจะก้าวไปด้วยธรรมด้วยปัจจุบันธรรมด้วยธรรมนูญ การบริหารตนเองบริหารข้าราชการนักการเมืองหรือการเป็นนักบวช ด้วยความรู้ความเข้าใจมันถึงจะไปได้ ถึงจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ความดีนั้นจะเป็นธนาคารไปในตัวนะ เรามีความดีที่ประกอบด้วยปัญญาจะเป็นธนาคารไปในตัว มันจะลงตัวพอดีน่ะ มันจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
เราทำอย่างนี้ เราก็ลงใจให้เรานะ คนอื่นก็ลงใจให้เรา เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราก็ไม่ลงใจให้ตัวเอง คนอื่นก็ไม่ลงใจให้เรา
เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ลูกหลานก็มาเถียงเรา เพราะเราเอาตำแหน่งหน้าที่ไปทุจริต ไม่ใช่แม่แบบไม่ใช่พ่อพิมพ์ ไม่ใช่ข้าราชการ ไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่นักบวช ไม่ใช่ศาสนา มันเป็นนิติบุคคลตัวตน
การเดินขบวนใคร ๆ เค้าไม่อยากเดินขบวนนะ เพราะการเดินขบวนนะไม่มีความสะดวกด้วยประการทั้งหลายทั้งปวง ไม่มีงบประมาณในการเดินขบวน เราทั้งหลายน่ะต้องรู้เข้าใจ ว่าเราเอาทุจริตนำชีวิตเค้าถึงพากันมาเดินขบวนนะ
ทำไมมนุษย์เราน่ะมีการเรียนการศึกษาตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก ตั้งแต่นักธรรมตรีจนถึง ปธ.๙ ทำไมพัฒนาวิทยาศาสตร์กันมากถึงพากันเป็นทุกข์กัน เป็นโรคประสาทเป็นโรคจิตกัน ไม่มีปัญญากันเลย เพราะเราไม่รู้ไม่เข้าใจในธรรมในสภาวธรรม ชีวิตของเรามันก็ไปไหนไม่ได้ วกวนอยู่ที่เก่า ชีวิตของเรามันเป็นได้แต่เพียงความหลง เป็นได้แต่เพียงคน มันย่ำต๊อกอยู่ได้แต่เพียงความหลง ย่ำต๊อกอยู่ได้แต่เพียงคน
คำว่าคนให้รู้นะ หมายถึงว่าไม่มีสัมมาทิฐิ มันเป็นอวิชชาเป็นความหลง มันไม่ใช่สติไม่ใช่ปัญญานะ ไม่มีความสงบไม่มีปัญญานะ มันไม่มีศิลปะ ไม่มีสมาธิ
สมาธินี้แปลว่ายกเลิกตัวยกเลิกตนยกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ ยกเลิกอคตทั้ง ๔ เข้าสู่ทางสายกลาง เป็นการพัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กันเป็นทางสายกลางอย่างนี้เรียกว่าสมาธิ
สมาธิต้องเป็นสัมมาสมาธิ เพราะสมาธินั้นมี ๒ ระดับ ระดับหนึ่งเราใช้ทางวัตถุ สมาธิเอาไปใช้ในเรื่องจิตเรื่องใจ เราก็ต้องเอาทั้งวัตถุทั้งวิทยาศาสตร์ เอาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้เป็นสัมมาสมาธิ
เราต้องมีปัญญา ไม่ไปตามผัสสะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อมที่กระทบในอายตนะทั้ง ๖ ตาหูจมูกลิ้นกายใจเรียกว่าอายตนะทั้ง ๖ ที่กระทบกับภายนอก รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์
หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายต้องมีความรู้ความเข้าใจจะไม่ได้ไปตามผัสสะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อมเราทั้งหลายถึงจะเข้าถึงทั้งศีลทั้งสมาธิทั้งปัญญา
การเรียนการศึกษาเพื่อความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องรู้ต้องเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นคุณเป็นอุปการะคุณ ความรู้ความเข้าใจถึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
การเรียนการศึกษาของเรา หนังสือมากมายก่ายกองเท่ากับภูเขาหรือมากกว่าภูเขาสำคัญอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ
การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองหรือเป็นทีมสำคัญอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ
การฟังการบรรยายสำคัญอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจนะ
ความรู้ความเข้าใจไม่ใช่ความจำนะ ถ้าความจำมันมีลืมนะ ความรู้ความเข้าใจมันจะไม่ลืม เพราะว่ามันเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม
ชีวิตของเราถึงจะมีศีลมีสมาธิมีปัญญา มนุษย์เราถึงจะเรียนศึกษาทำงานรับราชการนักการเมืองหรือเป็นนักบวชถึงจะมีปัญญานะ
การปฏิบัติธรรมน่ะให้เน้นบริสุทธิคุณในปัจจุบันนะ ให้เน้นที่ใจที่เจตนาที่เป็นบริสุทธิคุณในปัจจุบัน
การตัดสินพระธรรมพระวินัยเน้นที่ใจของเราที่เป็นบริสุทธิคุณในปัจจุบัน ความคารวะในธรรมเคารพในธรรมมันจะเป็นสิ่งที่ตัดสินพระธรรมพระวินัย
ให้รู้ให้เข้าใจ สิ่งที่เป็นอดีตผ่านมาแล้วมันเกษียณแล้ว หมู่มวลมนุษย์ให้เข้าใจว่าสิ่งที่ผ่านมาแล้วมันเกษียณแล้วมันเอากลับคืนมาไม่ได้ เราทั้งหลายถึงยกเลิกสิ่งที่เป็นอดีตทั้งหมดน่ะ เราทั้งหลายต้องไม่พะวงในสิ่งที่ยังไม่มาถึง ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ ต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายถึงจะหยุด โรคซึมเศร้าหรือว่าหยุดความทุกข์ด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราทั้งหลายน่ะอย่าเก็บขยะ อย่าไปเก็บของสกปรกไว้ในใจ ต้องตั้งใจตั้งเจตนา ช่างหัวเผือกช่างผัวมัน อะไรแล้วก็แล้วไป ต้องเข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา เข้าถึงปัญญาเข้าถึงความสงบ ไม่ต้องไปสะสมให้มันหมักหมมให้มันเสียหาย ชีวิตของเรามันถึงจะเข้าถึงธรรมเข้าถึงปัจจุบันธรรม เราทั้งหลายถึงจะมีความสงบมีปัญญา ถ้าอย่างนั้นเราจะไม่มีความสงบไม่มีปัญญานะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะละธาตุละขันธ์เสด็จสู่มหาปรินิพพานทางร่างกายทางจิตใจนั้นท่านได้นิพพานมา ๔๕ ปีแล้ว
ท่านตรัสบอกพระภิกษุทั้งหลายว่า เธอทั้งหลายนั้นต้องพากันรู้เข้าใจในพระธรรมพระวินัย ต้องเคารพคารวะในธรรมเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต ท่านทั้งหลายอย่าพากันประมาทอย่าพากันเพลิดเพลิน เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันผ่านไปแล้วมันเอากลับคืนมาไม่ได้ให้รู้เข้าใจ เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิดนี้เป็นพระวาจามีในครั้งสุดท้ายของพระตถาคตเจ้า
เราทั้งหลายอย่าได้ประมาท ต้องมีความเคารพคารวะในธรรม
เรามาคิดดูดี ๆ นะ ถ้าประมาทชีวิตของเรามันจะเสียหาย เสียทรัพยากรที่ประเสริฐที่เกิดมาเป็นมนุษย์
เราเกิดมาเป็นมนุษย์เรามีทรัพยากรที่ประเสริฐนะ อายุขัยของเราจะได้อยู่ศตวรรษหนึ่งนะ ศตวรรษหนึ่งคือร้อยปี เราพัฒนาใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน ถ้าเรามีปิติสุขเอกัคคตาเราอยู่ได้มากกว่าร้อยปีนะ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจชีวิตมันจะเสียหายเสียทรัพยากร มันจะพังทลายเหมือนตึก สตง.นะ
---------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้นำมาบรรยายในเช้าวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา