๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ของศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ของศาสนาอิสลาม
วันศุกร์เป็นวันทำงานข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ เพื่อเป็นหลักการชีวิต เพื่อเป็นธรรมนูญ เป็นรัฐธรรมนูญ พัฒนาใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้เป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุกับใจ ปฏิบัติเป็นทีมเวิร์ค ทำงานเป็นทีมเวิร์ค เพื่อเป็นมรรคเป็นอริยมรรค
วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงาน การทำงานกับการปฏิบัติธรรมต้องให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งทางวิทยาศาสตร์ทั้งทางใจต้องให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อจะได้คุณได้ประโยชน์ทั้งทางวิทยาศาสตร์และทางใจไปพร้อม ๆ กัน เป็นความสมัครสมานสามัคคีทำงานเป็นทีมเวิร์ค ทั้งทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพทั้งใจ เพื่อให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง นี้เป็นเรื่องสำคัญ
เราจะไปเรียนหนังสือค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ฟังการบรรยายความหมายอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจนี้จะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านประสูติก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ แสดงธรรมจักรกัปปวัตนสูตรก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เราคิดดูดี ๆ นะ มันเป็นความสมบูรณ์เป็นความพอเพียงเพียงพอ
เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ ๙ ของเมืองไทย ท่านตรัสแก่พสกนิกรชาวไทยและชาวโลกว่า
เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราอยากจะได้มากมันก็ไม่มาก เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อย เพราะทุกอย่างนั้นมันเป็นประภัสสรของทุกอย่าง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ก็วันเพ็ญเดือน ๖
ถ้าเราจะคิดดูดี ๆ น่ะ ๖ มันก็หมายถึงอายตนะทั้ง ๖ อายตนะภายนอกก็ ๖ อายตนะภายในก็ ๖
รู้เข้าใจว่าทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตนเราเขา เป็นธรรมเป็นสภาวธรรม เราไม่รู้ไม่เข้าใจก็หมุนไปตามผัสสะ หมุนไปตามสิ่งแวดล้อม
เรารู้เราเข้าใจด้วยปัญญา เราก็หยุด ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม
ความรู้ความเข้าใจนี้จะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาจะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม จะเป็นความพอดีเป็นความพอเพียงเพียงพอ
พระพุทธเจ้าท่านรู้เข้าใจ ท่านถึงเป็นผู้มีศีลมีสมาธิมีปัญญา มีปัญญามีสมาธิมีศีลน่ะ
พระอรหันต์ขีณาสพผู้ได้ฟังพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้เข้าใจในอริยสัจสี่ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงแสดงไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เป็นผู้มีศีล เป็นผู้มีสมาธิมีปัญญา
การประพฤติการปฏิบัติถึงเป็นความรู้ความเข้าใจ เป็นสัมมาทิฐิที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง อดีตที่ผ่านมามันก็มาอยู่ที่ปัจจุบันนี้ อนาคตที่จะก้าวไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้
เราทั้งหลายจะได้รู้ว่า ทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย เราทั้งหลายจะได้รู้ปัญหา จะได้แก้ปัญหา ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจตัวเราเองนี้แหละจะไปสร้างปัญหาให้กับตัวเอง แล้วก็จะไปสร้างปัญหาให้กับคนอื่น ถึงมีศัพท์คำว่าตัณหา ศัพท์นี้ลึกซึ้งมาก กินใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจสร้างปัญหาให้กับตัวเอง สร้างปัญหาให้กับคนอื่น
เราทั้งหลายน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกพวกเราทั้งหลายให้รู้ว่า เราทั้งหลายต้องรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราจะได้หยุดปัญหา ด้วยเอาปัญญานำชีวิต ไม่เอาความหลงนำชีวิต เพื่อชีวิตของเราทั้งหลายจะได้มีศิลปะแห่งชีวิต
อริยมรรคมีองค์แปด กายวาจากิริยามารยาทอาชีพและใจต้องมีปัญญาสัมมาทิฐิ เป็นตัวนำ
เราทั้งหลายเป็นมนุษย์ ที่ได้รับทรัพยากรที่ประเสริฐที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
เราคิดดูดี ๆ ด้วยปัญญา อายุขัยของมนุษย์อยู่ได้ร่วมศตวรรณหนึ่งด้วยการพัฒนาวิทยาศาสตร์ พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน
ศตวรรษหนึ่งน่ะคือร้อยปี ถ้าเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติอยู่ได้มากกว่าร้อยปี
การประพฤติการปฏิบัติของเราน่ะ ให้พวกเรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอด้วยปัญญา
แพทย์จะผ่าตัดสมองน่ะก็ต้องมีปัญญา เพราะสรีระร่างกายของมนุษย์มันมีเส้นประสาทน้อยใหญ่ แพทย์ผู้ตัดต้องมีปัญญา มีปัญญาก็ต้องมีความสงบควบคู่กันไป เราคิดดูดี ๆ มันเป็นความพอดีเป็นความพอเพียงเพียงพอ
แพทย์จะผ่าตัดหัวใจก็เช่นเดียวกัน หัวใจเป็นศูนย์รวมของการส่งเลือดสู่สรีระร่างกาย แพทย์จะผ่าตัดหัวใจต้องมีความรู้มีปัญญาและมีความสงบเช่นเดียวกันนี้ก็เป็นความพอเพียงเพียงพอเช่นเดียวกัน เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอ การพัฒนาวิทยาศาสตร์ก็ต้องพัฒนาใจไปพร้อมกัน
ให้พากันรู้พากันเข้าใจ อย่างที่เราจะแหย่รูเข็ม เข็มมันก็เล็กนิดเดียวอยู่แล้ว รูเข็มก็เล็กเข้าไปอีกที่เราจะเอาเส้นด้ายเข้าไปแหย่ เราต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความสงบกับปัญญา ความสงบกับปัญญาต้องคู่กัน ความสงบกับปัญญามันเป็นความเพียงพอพอเพียงเป็นความพอดี
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยวิบากกรรมของท่าน ความไม่รู้ไม่เข้าใจ มันเป็นวิบากกรรมของเราทุกคนนะ มันหาเรื่องหาราวให้กับตนเอง มันหาเรื่องหาราวให้กับคนอื่นนี้เรียกว่าวิบากกรรม
ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นเป็นวิบากกรรมของทุก ๆ คนนะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านพินิจพิจารณาด้วยปัญญาว่าสายพิณที่จะเพราะมันต้องพอดี พอเพียงเพียงพอ ถ้าตึงเกินไปมันก็จะขาด ถ้าหย่อนเกินไปมันก็ไม่เพราะ มันต้องเป็นความพอเพียงเพียงพอ มันต้องเป็นความพอดี
ความสงบต้องเอามาใช้ทางวิทยาศาสตร์ ความสงบต้องเอามาใช้ทางใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อจะให้เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์แล้วก็เป็นอุดมธรรม
ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราก็จะมีหลักการอุดมการณ์แต่ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ มันก็จะเป็นอุดมด้วยความหลง หาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น เรียกว่าอุดมแห่งความหลงน่ะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เรามีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรม พัฒนาระหว่างวิทยาศาสตร์กับจิตใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อให้เป็นอุดมการณ์อุดมธรรม
ความรู้ความเข้าใจนี้มันจะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราทั้งหลายจะไม่ได้บริโภคความหลง ไม่ได้บริโภคของเก่า
ความไม่รู้ไม่เข้าใจนี้เรียกว่าบริโภคความหลงที่หาเรื่องหาราวให้กับตนเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่นเค้าเรียกว่าบริโภคความหลงบริโภคของเก่า
เราทั้งหลายจะทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยไม่ได้ ต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
ทุกคนรู้เข้าใจท่านผู้นั้นก็จะเป็นพระได้
ความรู้เข้าใจเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติมีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ท่านผู้นั้นเป็นพระได้ทุกชาติทุกศาสนา
เราจะเป็นนักบวชเป็นข้าราชนักการเมืองเป็นพ่อค้าประชาชน ทุกคนเป็นพระได้ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนี้มันเป็นพระไม่ได้
ความเป็นพระนั้นอยู่ที่เรารู้เข้าใจ ไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามอารมณ์ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม มีความรู้มีความเข้าใจ มีความสงบมีปัญญา
เราทั้งหลายน่ะถึงไม่ต้องไปหาพระที่ไหน พระอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล อยู่กายวาจากิริยามารยาทอาชีพ อยู่ที่ตัวของเราเอง เพราะภายนอกนั้นเป็นพระที่คนอื่นเค้าแต่งตั้ง จะเป็นพระพุทธพระคริสต์พระอิสลามพระพรามหณ์ฮินดูอะไร อันนั้นพระเค้าแต่งตั้ง
ความเป็นพระเราต้องรู้เข้าใจ พระที่แท้จริงนั้นไม่มีใครมาแต่งตั้งได้ พระนั้นหมายถึงความรู้ความเข้าใจเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต เอารัฐธรรมนูญนำชีวิต มีแต่ปิติมีแต่สุขมีแต่เอกัคคตาในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ
สิ่งที่มันผ่านไปแล้วมันเกษียณแล้วก็ปล่อยก็วาง เพราะมันเอากลับคืนมาไม่ได้ ชีวิตนั้นถึงเป็นผู้ที่วางภาระ เป็นชีวิตที่วางภาระหนักลงแล้ว
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้เข้าใจ รู้เรื่องอดีต รู้เรื่องปัจจุบัน รู้เรื่องอนาคต เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอในพระจันทร์วันเพ็ญ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ รู้เรื่องอายตนะทั้ง ๖ มีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ มีความเต็ม มีความพอเพียงเพียงพอ
ท่านแสดงธรรมจักรกัปปวัตตนสูตรเพื่อให้รู้ให้เข้าใจ เรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เรื่องหยุดการเวียนว่ายตายเกิด เพื่อเป็นมรรค เป็นอริยมรรคในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ เพื่อเป็นศิลปะแห่งชีวิต หยุดวัฏฏสงสาร หยุดเวียนว่ายตายเกิด ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม มีความสงบมีปัญญา มีปัญญา มีความสงบ รู้อริยสัจสี่ คือรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์
การเรียนการศึกษาอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ การพัฒนาวิทยาศาสตร์อยู่ที่เรารู้เราเข้าใจ การฟังการบรรยายอยู่ที่เรารู้เราเข้าใจ
เราต้องเข้าใจเหมือนเรามองดูต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้นไม้ต้นนั้นเค้าต้องได้อาหารมาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้นะ ต้นไม้นั้นเค้าได้อาหารมาจากทางรากทางใบทางกิ่งก้านสาขาทางยอดตลอดปริมณฑล แสงแดดอากาศออกซิเจนน่ะ ต้นไม้นั้นถึงได้รับสารวิตามินเกลือแร่แร่ธาตุเจริญงอกงาม
ความรู้ความเข้าใจนี้มันถึงเป็นการพัฒนาทั้งทางวิทยาศาสตร์ พัฒนาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อทำงานเป็นทีมเวิร์ค มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
แต่ก่อนเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราเรียนหนังสือก็เพื่อจะเอาเพื่อจะมีเพื่อจะเป็น เราทำงานเพื่อจะเอาเพื่อจะมีเพื่อจะเป็น เรารับราชการเป็นนักการเมืองก็เพื่อจะเอาเพื่อจะมีเพื่อจะเป็น เรามาเป็นนักบวชก็เพื่อจะเอาเพื่อจะมีเพื่อจะเป็น
เราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจนะ ถ้าเราไม่เข้าใจน่ะมันไม่ได้นะ ถ้าเราไม่เข้าใจ เราจะหาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น
เราต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี เพราะทุกอย่างนั้นมันเป็นธรรมชาติเป็นประภัสสร มันเป็นความพอดีของทุกสิ่งทุกอย่าง
อย่างกลางวันที่มีแสงสว่างของดวงอาทิตย์มันก็ ๑๒ ชั่วโมง เมื่อไม่มีแสงพระอาทิตย์มันก็เป็นความมืด ๑๒ ชั่วโมง
ความสงบกับปัญญามันต้องควบคู่กัน มันเป็นความพอดี มันเป็นความพอเพียงเพียงพอ ถึงต้องมีการพัฒนาทั้งทางวิทยาศาสตร์ พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน
เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราจะไม่ได้หาเรื่องหาราวหาปัญหาให้กับตนเอง
วันจันทร์ถึงวันศุกร์เราต้องมีความสุขกับการทำงานกับการปฏิบัติธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงานภายนอก เน้นเรื่องใจเพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ เพื่อบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งทางจิตใจ
ผู้ที่ถือศาสนาพุทธก็พากันไปที่วัด ผู้ถือศาสนาคริสต์ก็ไปที่โบสถ์ ผู้ถือศาสนาอิสลามก็ไปที่มัสยิด ผู้ถือศาสนาพราหมณ์ ศาสนาฮินดูก็ไปที่วิหารเทวาลัย ถ้าไม่สะดวกที่จะไปก็ประพฤติปฏิบัติอยู่ที่บ้าน ยกเลิกการงานภายนอก ยกเลิกดูหนังฟังเพลงแต่งเนื้อแต่งตัว ถือศีลอุโบสถ เพราะบ้านของเราก็สะดวกสบาย
พูดถึงวัดนี้ก็หมายถึงข้อวัตรข้อปฏิบัติ ที่อยู่กับกายวาจากิริยามารยาทและใจ มันก็อยู่ที่เรานี้เอง วัดนี้ก็หมายถึงข้อวัตรกิจวัตร หมายถึงข้อวัตรปฏิบัติ
ให้เรารู้วัดรู้ข้อวัตรปฏิบัติ เพื่อเข้าสู่ความเป็นมาตรฐานทางกายวาจาทางกิริยามารยาททั้งทางใจ เพื่อเข้าสู่ความเป็นมาตรฐานเข้าสู่ มอก.
นายช่างที่ปลูกบ้านสร้างเรือนเค้ามีเครื่องวัดระยะยาวระยะสั้น วัดน้ำหนักเพื่อเข้าสู่มาตรฐาน เข้าสู่ มอก. เข้าสู่ความเพียงพอ เข้าสู่ความพอดี
เราทั้งหลายต้องรู้ดีรู้ชั่ว รู้ผิดรู้ถูก เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เพื่อเราจะได้อยู่กับความสงบอยู่กับปัญญา อยู่กับความพอดีความพอเพียงเพียงพอ
เราทั้งหลายน่ะถึงจะได้รู้ข้อวัตรข้อปฏิบัติ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
ถ้าเราไม่เข้าใจ เราก็ไปตามสิ่งแวดล้อม คนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจไปตามสิ่งแวดล้อม นั้นคือบุคคลที่ไม่รู้ผิดรู้ถูก รู้ดีรู้ชั่ว คือบุคคลที่ไม่รู้นิติภาวะนะ ถึงจะเรียนศึกษา จบปริญญาทางวิทยาศาสตร์ทางศาสนา เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง รู้ไหมคือบุคคลที่ไม่บรรลุนิติภาวะ เอาความไม่เข้าใจไม่ถูกต้องนำชีวิต ชีวิตของเรามันจะพังทลาย เพราะมันไม่ถูกต้อง เราคิดดูดี ๆ นะ เดี๋ยวมันจะพังทลายเหมือนตึก สตง.
เราพากันคิดดูดี ๆ นะ เราทั้งหลายต้องเข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา เข้าถึงปัญญาเข้าถึงความสงบ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ถึงจะมีการปฏิบัติถูกต้องด้วยความรู้ความเข้าใจ
ท่านพุทธทาสภิกขุเป็นพระดีของเมืองไทย ท่านเข้าใจเรื่องวิทยาศาสตร์และเข้าใจเรื่องจิตเรื่องใจ ว่ามนุษย์เราต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต ประชาธิปไตยก็ต้องพัฒนาเข้าสู่ธรรมนูญ สังคมนิยมก็พัฒนาเข้าสู่ธรรมนูญ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ในการประพฤติการปฏิบัติ
เป็นมนุษย์ เป็นได้ เพราะใจสูง เหมือนหนึ่งยูง มีดี ที่แววขน
ถ้าใจต่ำ เป็นได้ แต่เพียงคน ย่อมเสียที ที่ตน ได้เกิดมา
ใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ ถ้ามีครบ ควรเรียก มนุสสา
เพราะทำถูก พูดถูก ทุกเวลา เปรมปรีดา คืนวัน ศุขสันติ์จริง
ใจสกปรก มืดมัว และร้อนเร่า ใครมีเข้า ควรเรียก ว่าผีสิง
เพราะพูดผิด ทำผิด จิตประวิง แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย
คิดดูเถิด ถ้าใคร ไม่อยากตก จงรีบยก ใจตน รีบขวนขวาย
ให้ใจสูง เสียได้ ก่อนตัวตาย ก็สมหมาย ที่เกิดมา อย่าเชือน เอย ฯ
--------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้นำมาบรรยายในเช้าวันศุกร์ที่ ๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา