๒๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ของศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ของศาสนาอิสลาม
การดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ ปกครองตนเองปกครองคนอื่น เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เพื่อเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต เป็นการพัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน นี้เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม
ให้พวกเราทั้งหลายเข้าใจ ประชากรของโลกปัจจุบันนี้มีอยู่แปดพันกว่าล้านคน ใช้หลักการนี้ อุดมการณ์นี้เพื่อเข้าสู่อุดมธรรม เน้นมาที่ตัวของเราทุก ๆ คน
เราจะเป็นใครที่ไหนก็เน้นมาที่ตัวเรา เพื่อบริสุทธิคุณทางกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ เน้นที่ใจ เน้นที่บริสุทธิคุณ หมายถึงเรามาเน้นที่ตัวของเรานี้เอง เน้นที่เจตนา ถึงจะนำตัวเองได้ ถึงจะนำผู้อื่นได้ เราทั้งหลายถึงจะเป็นมนุษย์ ถึงจะเป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวช
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านส่งพระอรหันต์ออกไปเผยแผ่ธรรมะ เผยแผ่ธรรมนูญ เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ใหม่ ๆ ทรัพยากรของพระอรหันต์นั้นมีน้อย ท่านให้ไปทางละรูปเดียว ไม่ต้องไปหลายรูป
ท่านได้สอบทานในการไปเผยแผ่ธรรมะ
ท่านมีคำถาม พระอรหันต์ที่จะไปเผยแผ่น่ะ
ถ้าเค้าว่าให้เรา เราจะทำอย่างไร พระอรหันต์ก็ตอบว่ายังดีกว่าเค้าตีเรา
เมื่อเค้าตีเราเราจะทำอย่างไร ก็ดีกว่าเค้าฆ่าเรา
เค้าฆ่าเราเราจะทำอย่างไร ก็ดีกว่าเราไปฆ่าเค้า
นี้พูดย่อ ๆ เพื่อให้เข้าใจ
เราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจ ประชาธิปไตยก็ต้องปรับเข้าหาธรรมนูญ รัฐธรรมนูญ สังคมนิยมคนหมู่มาก มหาชนหมู่มากนิยม ก็ต้องปรับเข้าหาธรรมนูญ รัฐธรรมนูญ
การประพฤติการปฏิบัตินี้ พวกเราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจ เราไม่ต้องไปเน้นที่ใครหรอก เราไม่ต้องไปแก้ไขที่ใคร เน้นที่เรา แก้ไขที่เรา ปฏิบัติที่ตัวเรา เพื่อเราจะได้เข้าถึงบริสุทธิคุณทั้งทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ ยกเลิกสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน ที่มีความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นเขา เป็นสัตว์เป็นบุคคลตัวตน ต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต
ให้เข้าใจ ถึงประชากรของโลกจะมีมากถึงแปดพันกว่าล้านก็ไม่เป็นไร ให้เข้าใจนี้เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์และอุดมธรรม ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านส่งพระอรหันต์สาวกออกไปเผยแผ่ธรรมะ เพื่อเป็นหลักการของมนุษย์ เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม
สมมติสัจจะทั้งหลายในโลกนี้มีหลายล้านสมมติ ชี้ให้เห็นแง่มุมทั้งหลายทั้งผิดทั้งถูกทั้งดีทั้งชั่ว
เราทั้งหลายต้องพากันรู้พากันเข้าใจในความสำคัญของสมมติ สมมตินั้นคือการแต่งตั้ง เพื่อเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม
ให้ทุกคนเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะนี้มันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม เราต้องรู้เรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม
เราทั้งหลายอย่าพากันประมาท อย่าเพลิดเพลินอย่าประมาท ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญแห่งชาติ เพราะทุกอย่างจะก้าวไปด้วยกรรมด้วยการกระทำ ทั้งทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพและทางใจ
เราทั้งหลายต้องมีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต ถึงจะสมบูรณ์ทุกแง่ทุกมุมด้วยปัญญาบริสุทธิคุณ
เราทั้งหลายพากันเน้นที่ปัจจุบันให้เต็มที่ ตั้งใจตั้งเจตนา กายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้เป็นเพียงอุปกรณ์ของใจ ใจของเราต้องมีปัญญา ต้องเอาธรรมนูญนำชีวิต อย่าเอาความรู้สึกนำชีวิต อย่าเอาสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตนนำชีวิต เอาความชอบความไม่ชอบ ลักษณะอย่างนี้เค้าเรียกว่าสัญชาตญาณ มันเป็นนิติบุคคลตัวตน
เราทั้งหลายต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราอย่าไปเอาความชอบความไม่ชอบ ให้เราทั้งหลายรู้เข้าใจว่า ความชอบไม่ชอบนี้มันเป็นสัญชาตญาณ สัญชาตญาณมันจะรักสุขเกลียดทุกข์ระแวงภัย นี้ให้เข้าใจ
ความชอบไม่ชอบนี้เป็นทางที่เราจะต้องเดินผ่านไป
ให้พวกเรารู้เข้าใจเรื่องธาตุ ทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ อายตนะภายนอกมีอยู่ ๖ อายตนะภายในมีอยู่ ๖ อายตนะภายนอกก็ได้แก่ รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์นี้เป็นอายตนะภายนอก อายตนะภายในก็ได้แก่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ อายตนะภายในคือของเก่า อายตนะภายนอกคือของใหม่
เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราก็จะไปตามผัสสะไปตามสิ่งแวดล้อมที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราจะไปเอาความรู้สึกนำชีวิต เอาความชอบไม่ชอบนำชีวิต
เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ จะไม่ได้ไปตามผัสสะทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราทั้งหลายถึงจะเป็นผู้มีศีล ศิลปะแห่งชีวิตน่ะ เราทั้งหลายถึงจะเป็นผู้มีสมาธิ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เราทั้งหลายถึงจะเป็นผู้มีปัญญา รู้ทั้งทางวิทยาศาสตร์และรู้ทางจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เราทั้งหลายจะเข้าถึงความเป็นพระกัน
พระก็คือผู้ที่มีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต นั่นแหละเค้าเรียกว่าพระ ไม่เอาสัญชาตญาณนำชีวิต เป็นผู้วางภาระเสียแล้ว เป็นผู้ไม่แบกของหนักพาไป
ความรู้ความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญ เราเรียนหนังสือเพื่อความรู้ความเข้าใจค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ก็เพื่อความรู้ความเข้าใจ ฟังการบรรยายก็เพื่อความรู้ความเข้าใจ เมื่อเรารู้เข้าใจว่ามนุษย์เรานี้ต้องพัฒนาทั้งทางวิทยาศาสตร์พัฒนาทั้งใจ ไปพร้อม ๆ กัน
เพื่อให้เข้าใจง่าย เราจะได้เข้าใจเรื่องหลักการบริหารตนเองและบริหารผู้อื่น
ให้ถือหลักความถูกต้อง ความถูกต้องก็ให้เป็นความถูกต้อง ความถูกต้องนั้นไม่เป็นพี่เป็นน้องกับใคร ความถูกต้องคือความถูกต้อง
การบริหารตัวเองต้องเอาความถูกต้อง การบริหารคนอื่นก็เอาความถูกต้อง
การจะเป็นข้าราชการมันไม่ยาก เป็นนักการเมืองมันไม่ยาก เป็นนักบวชนี้ไม่ยาก การที่เป็นตัวตนต่างหากเป็นของยาก
เราไม่รู้ไม่เข้าใจไปเรียนก็เพื่อจะให้เรามีตัวมีตน การไปทำงานก็เพื่อจะให้มีตัวมีตน การเป็นข้าราชการนักการเมืองหรือเป็นนักบวชก็เพื่อให้มีตัวมีตน ตัวตนคือของยากคือความยุ่งยาก
การที่จะเป็นข้าราชการนักการเมือง เป็นนักบวชนี้ไม่ใช่เป็นของยาก เพียงแต่เรา รู้เข้าใจ พากันมีปิติมีความสุขมีอักคคตาในการทำหน้าที่ ต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ
สัมมาสมาธิต้องตั่งมั่น อย่าใจอ่อนตามสิ่งแวดล้อม อย่าไปใจอ่อนตามตาหูจมูก ลิ้นกายใจ อย่าไปใจอ่อน สัมมาสมาธิความตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน ต้องมีความตั้งมั่น อะไรจะเกิดขึ้น อะไรจะตั้งอยู่ อะไรจะดับไปก็ปฏิบัติไป นี้ถึงจะเป็นความดี นี้ถึงจะเป็นบารมี ๑๐ ทัศ ๒๐ ทัศ ๓๐ ทัศ อย่างต้น อย่างกลาง อย่างละเอียด
ตำแหน่งที่เค้าแต่งตั้งถูกต้องตามกฎหมายมีลายเซ็นต์เป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติ
ให้เราภูมิใจเพื่อทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ เพราะเอาความถูกต้องนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต ต้องมีปิติมีสุขมีเอกัคคตา ถ้าเราไม่มีปิติไม่มีสุขไม่มีเอกัคคตาเราก็จะมีความทุกข์น่ะ ความทุกข์กับโรคซึมเศร้าก็คืออันเดียวกัน
ให้พวกเราเข้าใจนะ อดีตที่ผ่านมาทั้งหมดน่ะ ให้เราลบจากใจของเรา ถ้าเราไม่ลบอดีตที่ผ่านมาทั้งหมดออกจากใจของเรา ชื่อว่าเรามีหนี้มีสินนะ จะผิดจะถูกจะดีจะชั่วเราก็ต้องลบออกเป็นเลขศูนย์น่ะ ถ้าเราไม่ลบอดีต เราก็จะหยุดสัญชาตญาณของตัวเองไม่ได้ เราก็เข้าถึงสัมมาสมาธิไม่ได้ เพราะมันเป็นนิติบุคคลตัวตน เราจะบริโภคตัวตน ชื่อว่าเราบริโภคความหลงหรือบริโภคของเก่าอยู่ เรายังไม่เข้าถึงธรรมไม่เข้าถึงปัจจุบันธรรมนะ
เราต้องอยู่กับปัจจุบันอยู่กับความสงบ อยู่กับความพอดีความพอเพียงเพียงพอ เพื่อการประพฤติการปฏิบัติของเราจะได้ติดต่อต่อเนื่องกัน เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี อยู่ตรงกลางอยู่กับความว่างจากตัวตน
สัมมาสมาธิน่ะถึงเป็นความว่างจากอดีต ว่างจากอนาคต ปัจจุบันก็ว่างจากตัวตน ไม่มีนิวรณ์ทั้ง ๕ ไม่มีอคติทั้ง ๔ เป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นปัญญาเป็นความสงบเป็นความว่าง เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม
เราทั้งหลายต้องพากันลบเรื่องอดีตออกจากใจของเรา เราทั้งหลายถึงจะได้บริโภคทุกอย่างด้วยความว่าง เราทั้งหลายถึงจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่
ความรู้ความเข้าใจนี้แหละมันจะเป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราก็อยากให้มันว่างจากสิ่งที่ไม่มี ว่างจากสิ่งที่ไม่มีน่ะมันจะมีประโยชน์อะไร เพราะปกติทุกอย่างมันก็ว่างอยู่แล้ว
เรามีตามันถึงมีรูป ถ้าเราไม่มีตามันก็ไม่มีรูป เพราะทุกอย่างมันว่างอยู่แล้ว เรามีหูมันก็มีเสียง ถ้าเราไม่มีหูเสียงไม่มีเลย เราต้องเข้าใจความว่างอย่างนี้ เมื่อเรารู้เราเข้าใจอย่างนี้เราจะมีปัญญามีสมาธิมีศีล
เราทั้งหลายน่ะให้รู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจก็จะไม่รู้จักการประพฤติการปฏิบัติ จะไปหาความสงบจากตาไม่เห็นรูป หูไม่ได้ยินเสียง จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่ได้ลิ้มรส ใจไม่ได้สัมผัส อย่างนั้นมันจะมีประโยชน์อะไร
พระนิพพานบ้านของเรามันต้องว่างจากสิ่งที่มีอยู่
เราทั้งหลายต้องรู้โจทย์รู้ข้อสอบ เพื่อเอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญามาทำงาน มาเป็นอุปกรณ์เป็นกรรมกรในการประพฤติการปฏิบัติ
เราไม่ได้เอาธรรมนูญนำชีวิตมันไปไม่ได้ เราต้องเอาธรรมนูญนำชีวิตมันถึงจะไปได้ ธรรมนูญรัฐธรรมนูญถึงเป็นทางออกที่ดีที่ประกอบด้วยปัญญา ไม่ใช่ความวกวน อยู่ในที่เก่าไปไหนไม่ได้ เป็นวงกลมเป็น Cycle of life ไปไหนไม่ได้
เราเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ ได้รับทรัพยากรอันประเสริฐ ต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต เราเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลักเป็นตัวอย่างแบบอย่าง
ศาสนาพุทธก็เอาพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างแบบอย่าง ศาสนาคริสต์ก็เอาคริสต์จักรนำชีวิต เอาปัญญาบริสุทธิคุณนำชีวิต เป็นตัวอย่างแบบอย่าง ศาสนาอิสลามก็ต้องเอาพระศาสานานำชีวิต เพราะว่าพระศาสนาเป็นบริสุทธิคุณ ทั้งกายวาจากิริยามารยาทเป็นบริสุทธิคุณ
เราจะเอาตัวเอาตนนำชีวิตได้อย่างไร เพราะมันไม่ถูกต้อง เพราะความถูกต้องมันเป็นสิ่งที่มีอยู่ หนทางเป็นสิ่งที่มีอยู่ หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมเป็นสิ่งที่มีอยู่
เราทั้งหลายต้องมารู้มาเข้าใจการประพฤติการปฏิบัติที่เอาธรรมนูญนำชีวิต ไม่ใช่ของยาก ที่มันยากเพราะเราเอาตัวตนนำชีวิต ตัวตนนั้นคือความไม่ถูกต้อง ตัวตนนั้นมันคือความเสียหาย คือความพินาศ ตัวตนนั้นมันพังทะลายเหมือนตึก สตง. ตัวตนนั้นแหละมันพังทลายเหมือนตึก สตง. ให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเรารู้เข้าใจทุกอย่างจะไม่มีปัญหาในการบริหารตัวเอง ในการบริหารบุคคลอื่น
เรามีลมปราณได้มีโอกาสพิเศษเป็นผู้นำตัวเองและเป็นผู้นำบุคคลอื่น เราต้องเอาหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เราทั้งหลายจะได้พากันพัฒนาใจ พัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน
เหมือนท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านกล่าวออกมาจากใจจากพระนิพพานว่า เราเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐ ต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต
เป็นมนุษย์ เป็นได้ เพราะใจสูง เหมือนหนึ่งยูง มีดี ที่แววขน
ถ้าใจต่ำ เป็นได้ แต่เพียงคน ย่อมเสียที ที่ตน ได้เกิดมา
ใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ ถ้ามีครบ ควรเรียก มนุสสา
เพราะทำถูก พูดถูก ทุกเวลา เปรมปรีดา คืนวัน ศุขสันติ์จริง
ใจสกปรก มืดมัว และร้อนเร่า ใครมีเข้า ควรเรียก ว่าผีสิง
เพราะพูดผิด ทำผิด จิตประวิง แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย
คิดดูเถิด ถ้าใคร ไม่อยากตก จงรีบยก ใจตน รีบขวนขวาย
ให้ใจสูง เสียได้ ก่อนตัวตาย ก็สมหมาย ที่เกิดมา อย่าเชือน เอย ฯ
----------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้นำมาบรรยายในเช้าวันอาทิตย์ที่ ๒๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา