๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ของศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ของศาสนาอิสลาม

 

ให้พวกเราทั้งหลายพากันมีปัญญาสัมมาทิฐิ เพื่อจะได้เอาธรรมนำชีวิตเอาความถูกต้องนำชีวิต ชีวิตของเราต้องเอาธรรมนำชีวิต

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกพวกเราทั้งหลายให้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เห็นภัยในความเพลิดเพลิน เห็นภัยในความประมาท เดี๋ยวจะทำให้เราพลาดโอกาส พลาดเวลา เสียเวลาในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ

 

การประพฤติการปฏิบัติธรรม นี้มันเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์และอุดมธรรม เราทั้งหลายต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร อย่าตั้งอยู่ในความประมาท

 

 เราอย่าไปตามสิ่งแวดล้อม ชีวิตของเราจะได้ก้าวไปความสงบด้วยปัญญาการดำรงชีพ ดำรงธาตุ ดำรงขันธ์ ดำรงอายตนะมันเป็นการชิงแชมป์โลกนะ มันเป็นชิงแชมป์ระหว่างโลกธรรมกับโลกุตตรธรรม

 

เราต้องรู้ต้องเข้าใจ จะได้เห็นความสำคัญในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ เพื่อจะได้มีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม

 

เราทั้งหลายอาศัยหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อเป็นหลักการเป็นจุดยืนไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราเลยไปตามสิ่งแวดล้อม สัมผัสกับอะไรก็ไปตามสิ่งนั้น ๆ

 

ให้รู้ให้เข้าใจ การปฏิบัติมันต้องไม่ไปตามผัสสะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เราจะหยุดสิ่งแวดล้อมด้วยความรู้ความเข้าใจ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ

 

 

ไม่ไปตามผัสสะ รู้เข้าใจในเรื่องผัสสะ เรื่องผัสสนี้ให้เรารู้เราเข้าใจนะ

เรามีตามันก็ต้องมีรูปเราจะตามผัสสะไปทำไม ถ้าเราไม่มีตามันก็ไม่มีรูปต้องเข้าใจอย่างนี้

เรามีหูก็ต้องมีเสียง ถ้าไม่มีหูก็ไม่มีเสียง เรารู้เข้าใจอย่างนี้ เราจะไม่ได้ตามเสียงไป

เรามีจมูกมันก็มีกลิ่น ถ้าเราไม่มีจมูกมันก็ไม่มีกลิ่น เราอย่าไปตามผัสสะไป

เรามีลิ้นมันก็ต้องมีรส ถ้าเราไม่มีลิ้นมันก็ไม่มีรส เราอย่าได้ตามผัสสะไป

เรามีกายมันก็มีผัสสะ ถ้าเราไม่มีกายน่ะไม่มีผัสสะ เราต้องรู้ต้องเข้าใจ

เรามีใจมันก็ถึงมีเรื่องจิตเรื่องใจ เราจะไปตามความคิดตามอารมณ์ไปไม่ได้

 

เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้รู้จุด เราจะได้ตอบด้วยความรู้ความเข้าใจ ความรู้ถึงเป็นคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจนะ เราทั้งหลายถึงจะเป็นผู้มีศีลมีสมาธิมีปัญญาไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม

 

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้เมตตาบอกสอนเราทั้งหลายว่า เธอทั้งหลายอย่าพากันประมาทอย่าพากันเพลิดเพลิน ต้องพากันรู้เข้าใจในวัฏฏสงสาร ในสังสารวัฏ เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามความหลง ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม

 

 การประพฤติการปฏิบัติถึงเป็นวาระแห่งชาติ ให้เข้าใจนะ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้ให้ถือว่าเป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราจะได้รู้ว่าการประพฤติการปฏิบัติคือการชิงแชมป์โลกน่ะ เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราจะพากันเสียแชมป์นะ แชมป์ระหว่างโลกธรรมกับโลกุตตรธรรม

 

 เราทั้งหลายจะได้หยุดอวิชชา หยุดบริโภคความหลง ความหลงนั้นแหละมันเป็นอาคันตุกะที่จรไปจรมา มันจรไปจรมาทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ มันจรไปจรมามันเป็นอาคันตุกะ

 

ให้เรารู้เข้าใจในเรื่องการจรไปจรมามันเป็นอาคันตุกะ ความว่างเปล่านั้นเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม สิ่งที่จรไปจรมาทางตาหูจมูกลิ้นกายใจมันเป็นสิ่งที่จรไปจรมา เราต้องรู้เข้าใจเรื่องอาคันตุกะที่จรไปจรมา

 

เราจะได้พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ เราจะได้พัฒนาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน เรื่องใจกับเรื่องวิทยาศาสตร์ต้องไปพร้อม ๆ กัน เพื่อจะได้เป็นของใหม่ของสด เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ใช่ของใหม่ของสดนะ ตัวตนคือบริโภคของเก่านะ

 

การพัฒนาการเรียนการศึกษา การพัฒนาวิทยาศาสตร์เพื่อตัวเพื่อตนน่ะ เราต้องเข้าใจนะว่าคือบุคคลที่บริโภคของเก่า ที่อยู่ในเส้นทางแห่งโลกธรรมโลกียธรรมนี้มันเป็นสังสารวัฏนะ มันเป็นการเวียนว่ายตายเกิด

 

การปฏิบัติเราต้องมีสติมีสัมปชัญญะดี ๆ ในปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติ อย่างเราเขียนหนังสือนี้ การเขียนหนังสือถึงจะไม่ผิดก็ต้องใจอยู่กับเนื้อกับตัว ใจอยู่กับความสงบ ใจอยู่กับปัญญา ผู้ที่จะเรียนหนังสือถูกต้องทุกตัวอักษร ต้องมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ บุคคลนั้นใจต้องอยู่กับเนื้อกับตัวอยู่กับความพอเพียงเพียงพอ อยู่กับความพอดี

 

คนรุ่นเก่าเค้าคัดลายมือความสวยของตัวอักษร เค้าต้องตั้งใจ เพื่อตัวอักษร จะได้ออกมาเหมือนตัวพิมพ์ สวยทุกตัวเลย การเรียนหนังสือสมัยโบราณหลายสิบปีเค้าพากันทำอย่างนี้ ไม่เหมือนคนหัวดีสมัยใหม่ เขียนแล้วน่ะตัวเองก็ยังอ่านของตัวเองไม่ได้

 

การประพฤติการปฏิบัติน่ะถึงมีความสงบ ถึงมีปัญญาติดต่อต่อเนื่องกันเพื่อจะไม่ให้เขียนผิด อักขระอักษรผิดพร้อมทั้งได้ความสวยงามไปพร้อม ๆ กัน ถ้ามีอารมณ์อะไรมันผุดขึ้นมาในใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ ช่วงที่อารมณ์มันเกิดขึ้น มันจะทำให้เราเขียนหนังสือผิดน่ะ ตัวลายลักษณ์อักษรไม่สมบูรณ์

 

พวกเรานี้ไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เลยพากันไปตามอารมณ์ตามสิ่งแวดล้อม นี้คือคนไม่มีหลักการไม่มีอุดมการณ์ไม่มีอุดมธรรมนะ ตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินความประมาท ไปตามสิ่งแวดล้อม เรียกว่าคนไม่มีสัมมาสมาธิเป็นคนสมาธิสั้น ไปตามสิ่งแวดล้อมทางตาหูจมูกลิ้นกายใจเรียกว่าเป็นคนสมาธิสั้นนะ

 

ศีลสมาธิปัญญานั้นมันจะขาดสะบั้นด้วยการที่เราไปผัสสะไปตามอารมณ์ไปตามสิ่งแวดล้อม นี้ทำให้ศีลเราขาดศีลเราด่างศีลเราพร้อย มันเป็นการไปไหนไม่ได้ มันย่ำต๊อกอยู่ในความหลงนั่นแหละ มันไปไหนไม่ได้

 

ถึงมีศัพท์ว่าวัฏฏสงสาร หรือมีศัพท์ว่าคน “คนคนคน” มันไปไหนไม่ได้ เพราะไม่รู้หลักการไม่มีอุดมการณ์ไม่รู้อุดมธรรมในการประพฤติการปฏิบัติ

 

การประพฤติการปฏิบัติน่ะต้องตั้งใจดี ๆ ตั้งเจตนาดี ๆ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ไม่เพลิดเพลินไม่ประมาท มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อหยุดกรรมหยุดเวรหยุดภัยหยุดอันตราย มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติมันเป็นชิงแชมป์เปี้ยนโลก เพื่อเข้าสู่ธรรมเข้าสู่ปัจจุบันธรรมน่ะ ชีวิตของเรามันจะก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

การปฏิบัติธรรมถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ต้องตั้งใจตั้งเจตนา ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ถ้ามีต่อหน้าลับหลังคือมันผิดนะ ไม่ถูกต้องนะ

 

การเรียนหนังสือเพื่อตัวเพื่อตน การทำงานเพื่อตัวเพื่อตน การรับราชการเป็นนักการเมืองเพื่อตัวเพื่อตน การมาบวชมาเป็นพระศาสนาเพื่อตัวเพื่อตน ทำอย่างนี้ไม่ได้นะ มันได้อยู่แต่ว่าเป็นวัฏฏสงสาร ให้เข้าใจ เดี๋ยวเราจะไปไหนไม่ได้ เราจะย่ำต๊อกอยู่ที่เก่า

 

เราต้องคิดดูดี ๆ นะ เราไม่เข้าใจคือบุคคลที่ไม่รู้นิมิต หรือว่าไม่รู้จุดหมายปลายทางที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าอย่าหลงผิดว่าเป็นถูก อย่าหลงนิมิต นิมิตก็หมายถึงสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมที่มันเกิดขึ้นกับเราทางตาหูจมูกลิ้นกายใจมันคือนิมิต

 

เราอย่าหลงนิมิต อะไรเกิดขึ้นทางตาหูจมูกลิ้นกายใจก็ให้เข้าใจ เราจะได้ปล่อยวางไป เราจะไม่ได้ตามผัสสะ เราจะได้เข้าถึงสักแต่ว่าสักแต่ว่าสักแต่ว่ามันเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป

 

เรารู้และเข้าใจเรื่องอาคันตุกะ เราทั้งหลายถึงจะได้มีสติไม่ตามนิมิตไปไม่ตามสิ่งแวดล้อมไป เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ รู้ว่ารูปมันเกิดขึ้น รูปมันตั้งอยู่ รูปมันดับไป เรามองไปทางไหนก็เห็นในสิ่งนั้น เราหยุดมองเราก็ไม่เห็นน่ะ

 

เราต้องรู้เข้าใจเราจะได้รู้จักการชิงแชมป์ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจให้เข้าใจนะเราจะได้มีความสุขที่สุดในโลก เพราะตามนิมิต ตามอารมณ์ ตามผัสสะ มันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป เพราะว่ามันไม่ถูกต้องมันเป็นตัณหา มันหาเรื่องหาราวให้กับตัวเราและหาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น

 

เราต้องรู้เข้าใจเราทั้งหลายอย่าไปตามผัสสะ อย่าไปตามนิมิต

 

เราทุกคนพากันปฏิบัติได้ทั้งหมด คนที่ปฏิบัติไม่ได้ก็คือคนตายคนบ้าน่ะ เค้าถึงไม่เอาเรื่องเอาราวกับคนที่ตายไปแล้ว ไม่เอาเรื่องคนที่เป็นบ้าเป็นผีบ้าไม่เอาเรื่องเอาราว ทางส่วนราชการก็ไม่เอาเรื่องกับคนบ้า คนฝ่ายพระศาสนาก็ไม่เอาเรื่องกับคนบ้า เพราะถือว่าไม่มีประโยชน์อะไร

 

เราทั้งหลายจะได้บริโภคพระนิพพาน พระนิพพานมันเป็นความรู้ความเข้าใจมันจะเป็นบริสุทธิคุณในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ บริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพทั้งใจน่ะ

 

เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความว่างเข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน พระนิพพานนั้นไม่ใช่ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญนะ พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบัน เพราะปัจจุบันนี้มันเป็นฐานของอนาคต

 

อดีตที่ผ่านมาแล้วพวกเราก็ต้องรู้เข้าใจ มันต้องอยู่ที่ปัจจุบัน เราจะได้หยุดเรื่องเก่าหยุดกรรมเก่า เราจะได้หยุดหนี้หยุดสิน จะไม่ได้มีหนี้มีสิน เราต้องหยุดด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

ส่วนกรรมใหม่ก็ต้องเอาธรรมนำชีวิต มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการเอาธรรมนำชีวิต เพราะอันนี้มันดีมากเพอร์เฟคมาก มันต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราทั้งหลายถึงต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาพระธรรมเป็นหลักเอาพระอริยสงฆ์ขีณาสพเป็นหลักน่ะ ไม่เอาตัวตนเป็นหลัก

 

หยุดด้วยความรู้ความเข้าใจ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายต้องหยุดก่อน ยกเลิกแคนเซิล เอาปัจจุบันนี้แหละเป็นการประพฤติการปฏิบัติ

 

การพัฒนาวิทยาศาสตร์มันดีมันถูกต้องเพอร์เฟคเราต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ควบคู่กันไป ต้องเข้าใจอย่างนี้

 

มนุษย์เราน่ะถ้ามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตามันก็เป็นการต่อวีซ่าแห่งความเป็นมนุษย์มันก็มีความสุข เพราะมันหยุด เรื่องมากน้อยลง สำหรับพระโสดาบันความทุกข์ก็น้อยลง สำหรับพระสกิทาคาก็ยิ่งน้อยลงอีก พระอนาคามีก็ยิ่งน้อยลงอีก พระอรหันต์คือบุคคลที่ไม่มีความทุกข์เลย พระอรหันต์นี้หมายถึงหยุดกาลหยุดเวลาหยุดโลก ไม่ให้โลกธรรมมาครองเรา เรียกว่าหยุดโลกไม่ให้โลกมาทำเรา

 

พระพุทธเจ้าให้เราเข้าใจอย่างนี้นะ อย่าไปเข้าใจอย่างอื่น

 

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านส่งพระอรหันต์ขีณาสพไปบอกประชาชนทั้งหลายว่า ให้เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต

 

ประชาธิปไตยก็ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมนูญ สังคมนิยมก็ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมนูญ จะเป็นใครที่ไหนก็ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมนูญ

 

ถ้าเราไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติก็ไม่มีใครปฏิบัติให้เราได้

 

เหมือนประเทศไทยเรานี้แหละ เอาความหลงนำชีวิต เอาโลกธรรมนำชีวิต ไม่ได้เอาธรรมนูญนำชีวิต เค้าเรียกว่าเอาทุจริจนำชีวิต ชีวิตนั้นถึงเวียนว่ายตายเกิดเป็นวงจรเป็นวงกลมเป็น Cycle of life วนไปวนมา ชีวิตนี้จึงพังทลายเหมือนตึก สตง.

 

ให้เข้าใจนะ ทำไมตึก สตง.มันถึงพังล่ะ เพราะไปพัฒนาวิทยาศาสตร์ ไปพัฒนาตัวตน ไปบอกไปจัดการคนอื่นแต่ตัวเองไม่ได้จัดการ ชีวิตนี้เลยพังทลาย

 

ให้เรารู้เราเห็นนะ เพราะเป็นประจักษ์เป็นพยาน ความทุจริตน่ะที่มันเป็นตัวเป็นตน มันพังทลายเหมือนตึก สตง.

 

ไม่มีใครเก่งกว่ากรรมกฎแห่งกรรมผลของกรรมนะ

 

เราทั้งหลายจะไปโทษใครล่ะ เราไม่รู้เข้าใจเราก็ไปโทษคนอื่น

 

เราคิดดูดี ๆ นะ เราไปโทษลูกโทษหลานโทษรัฐบาลดินฟ้าอากาศสารพัดโทษน่ะ

 

เราคิดดูดี ๆ นะ ถ้าเรารู้เรื่องโลกเรื่องวัฏฏสงสาร เราเอาธรรมนำชีวิตตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ไม่หลงในความอร่อยความแซบความลำความนัวความหรอยนะ

 

ต้องใจเข้มแข็ง ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะไม่ได้ไปจัดการแต่ภายนอกมันต้องจัดการตัวเองก่อน

 

เหมือนพระพุทธเจ้าน่ะ พระพุทธเจ้าท่านก็เน้นที่พระพุทธเจ้า

 

พระอรหันต์ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าท่านก็เน้นที่พระอรหันต์น่ะ

 

ต้องรู้เข้าใจว่าเราทุกคนจะเป็นใครที่ไหนก็ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์เพราะการประพฤติการปฏิบัติมันเป็นการชิงแชมป์ระหว่างโลกกับธรรมนะ

 

ให้รู้เข้าใจ ต้องเน้นที่ตัวเราน่ะ ถ้าไม่เน้นที่ตัวเรา เราคิดดูดี ๆ สิ มันพังทลายเหมือนตึก สตง.

 

หลายสิบปีที่ผ่านมา ที่เรามองเห็นด้วยตานี้ เรื่องโครงการสวมหมวกกันน็อคของเมืองไทย เป็นเวลาเกือบห้าสิบปีแล้วยังทำอะไรไม่ได้ เพราะเอาความรู้สึกนำชีวิตเอาโลกธรรมนำชีวิตไม่เอาธรรมนูญนำชีวิต

 

ถ้าเราเป็นผู้นำตัวเองเป็นผู้นำคนอื่นแล้วไม่เข้มแข็งนี้ไม่ได้นะ ผู้ที่จะเป็นผู้นำตนเอง นำคนอื่น ต้องรู้จักโลกรู้จักธรรม เราทั้งหลายจะได้เข้าสู่หลักการเข้าสู่อุดมการณ์อุดมธรรมน่ะ ถ้าไม่อย่างนั้นน่ะมันต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นะ

 

ตัวตนนี้มันมีเหตุผลมากนะ ธรรมะมันเหนือเหตุเหนือผลนะ วิทยาศาสตร์มันมีเหตุมีผลนะ ธรรมะหรือว่าเรื่องจิตใจ มันนอกเหตุเหนือผลนะ มันหยุดปรุงแต่งนะ มันหยุดความเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ มันจะเป็นความพอดี เราคิดดูดี ๆ นะ

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช ท่านบอกพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกว่า เราต้องเข้าถึงความพอเพียงความพอดี ของมันมีเท่านี้เราอยากให้มากมันไม่มากหรอกมันเป็นทุกข์เปล่า ๆ เราอยากให้น้อยมันก็ไม่น้อยหรอก มันเป็นทุกข์เปล่า ๆ เราต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี

 

เราต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายน่ะต้องมีความสุขมาก ๆ มีปิติมีความสุขเอกัคคตาในการเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต เพราะการดำเนินชีวิตของเราต้องทำอย่างนี้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ เราเอาความหลงนำชีวิตมันเป็นโรคซึมเศร้า เพราะความหลงคือโรคซึมเศร้านะ เพราะความหลงนั้นมันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มี

 

เราทั้งหลายน่ะมีอิสรภาพเป็นตัวของตัวเอง เราพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งยิ่งพัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาเทคโนโลยีถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะพักผ่อนไม่เพียงพอนะ การนอนการพักผ่อนมันเป็นความสงบคู่กับปัญญา ปัญญาคู่กับความสงบน่ะ

 

ความรู้ความเข้าใจมันจะไม่ไปตามผัสสะไม่ตามสิ่งแวดล้อม มันจะเป็นการพักผ่อน เป็นความรู้เรื่องอาคันตุกะ สิ่งที่มันจรไปจรมา

 

ชีวิตของเราในปัจจุบันมันจะมีศิลปะแห่งชีวิต เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นความตั้งมั่นด้วยปัญญา

 

เราทั้งหลายน่ะอย่าไปสนใจความชอบ อย่าไปสนใจความชังนะ เพราะมันชอบมันเป็นตัวตน ความชังมันก็เป็นตัวตน

 

ให้รู้เข้าใจ เราจะได้เอาธรรมนูญนำชีวิต จะได้เอาธรรมนำชีวิต

 

เราไม่ต้องกลัวนะ รู้มั๊ยความกลัว ตัวตนมันกลัวนะ ตัวตนนั่นแหละคือเอาโลกธรรมนำชีวิต ความกลัวนั่นแหละคือเป็นผู้ที่มีความทุกข์เพราะไม่มีน่ะ เป็นความทุกข์เพราะไม่รู้จักพอ ชีวิตของเรามันจะตั้งอยู่ใต้อสุรกายความกลัวนะ

 

ความกลัวมันไม่เข้าใจมันกลัวน่ะ กลัวจะร้อนจะหนาว กลัวจะทุกข์กลัวจะอะไร

 

เหมือนท่านพระอาจารย์ชา สุภัทโท ท่านตรัสว่า ความกลัวนี้มันกลัวจะหมดรสหมดชาติ “แบกวัตถุมันก็ยังหนัก แบกความหลงมันหนักกว่าวัตถุนะ”

 

ความหลงน่ะเป็นของหนัก ทุกคนก็ไม่อยากปล่อยไม่อยากวาง กลัวมันไม่มีรสไม่มีชาติ เราจะเอารสมันทำไม จะเอาชาติไปทำไม เราต้องรู้เข้าใจ ถ้ามีรสมันก็มีชาติ มันก็มีธาตุมีขันธ์มีอายตนะ

 

ให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเราปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาพระธรรมเป็นหลัก เอาอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีประกอบด้วยปัญญาเป็นหลัก มันก็จะก้าวไปในปัจจุบันนี้แหละ นี้นะนี้มันเป็นบารมีความดีนะ เป็นบารมี ๑๐ ทัศเบื้องต้น ท่ามกลาง ๒๐ สูงสุด ก็ ๓๐ น่ะ

 

การบำเพ็ญบารมีต้องเอาความดีที่ประกอบด้วยปัญญา อย่าไปทำความดีเพื่อความหลงนะ อย่าไปทำความดีเพื่อตัวเพื่อตนน่ะ ต้องทำความดีเพื่อความรู้ความเข้าใจ ว่าเราทั้งหลายเกิดมาเพื่อมารู้แจ้งโลกรู้แจ้งธรรม มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เมื่อมันผ่านไปแล้วมันเกษียณไปแล้วมันเอากลับคืนมาไม่ได้ก็ปล่อยวาง ถึงมีศัพท์ว่าอย่าไปยึดมั่นถือมั่นให้ปล่อยให้วาง ถ้าเราไม่ปล่อยวางมันก็เป็นหนี้เป็นสินทางจิตใจ

 

ด้วยความรู้ความเข้าใจ สิ่งที่ผ่านไปแล้วเราต้องปล่อยต้องวาง อย่าให้สิ่งที่เป็นอดีตมาปรุงแต่งเราได้

 

ถ้าปัจจุบันเราคิดดี ๆ น่ะ ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยมีทั้งสติทั้งความสงบ สิ่งที่เป็นอดีตมันก็ตามเราไม่ได้ เพราะการชิงแชมป์นั่นน่ะด้วยความรู้ความเข้าใจมันเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจมันอยู่ที่ปัจจุบัน

 

ถ้าเราปัจจุบันเราเอาธรรมนำชีวิตมันก็ไม่ใช่อดีต มันเป็นปัจจุบัน ปัจจุบันต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราต้องรู้จักการปล่อยวางนะ การปล่อยวางกับปล่อยปะละเลยนั้นไม่เหมือนกันนะ เราต้องปล่อยวางเรื่องอดีต อดีตทั้งหลายเราต้องปล่อยวาง อย่าให้อดีตมันปรุงแต่งเราได้ พ่อแม่เราตายไปแล้วน่ะมันจะพื้นขึ้นมาได้อย่างไร อดีตที่ผ่านมาแล้วมันจะกลับคืนมาได้อย่างไร เราก็ต้องปล่อยต้องวาง อนาคตยังไม่มาถึงเราก็ไม่ต้องทุกข์ร้อนอะไรไม่ต้องวิตกกังวล ปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเป็นการชิงแชมป์โลกเลยทีเดียวนะ

 

ให้รู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องหยุดความเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่หยุดความเป็นตัวตนนะ ความเป็นตัวเป็นตน หรือเรียกว่าเป็นโจรก็ได้ เป็นแก๊งค์ก็ได้ อย่าให้ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันกำเริบเสิบสานมันตั้งแก๊งค์อยู่ที่เรา ตั้งแก๊งค์อยู่ที่กายวาจากิริยามารยาทอาชีพ

 

ตัวตนนั้นมันเป็นแก๊งค์นะ แก๊งค์ของโจรแก๊งค์มหาโจรนะ

เราทั้งหลายอย่าไปเลี้ยงโจรอย่าไปเลี้ยงมหาโจรอย่าไปตั้งก๊กตั้งแก๊งค์นะ

เราทั้งหลายต้องสลายโจรสลายก๊กสลายแก๊งค์ด้วยความรู้ความเข้าใจ

การปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องด้วยเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต

พวกโจรพวกแก๊งค์มันไม่มีอาหารมันก็ตายไปเองต้องรู้เข้าใจ

 

อย่าไปอาลัยอาวรณ์ ถึงเราจะท่องเที่ยวในวัฏฏสงสารหลายชาติหลายปี หลายล้านชาติก็ช่างหัวมัน เพราะเราคิดดูดี ๆ มันไม่จบนะ รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์มันเป็นเรื่องไม่จบน่ะ มันต้องจบด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง ทางวิทยาศาสตร์ก็ติดต่อต่อเนื่อง ทางจิตใจก็ติดต่อต่อเนื่องน่ะ

 

เอาอดีตที่ผ่านมามาเทียบเคียงดู เราไม่ต้องผิดแล้วผิดเล่า ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร สัมมาสมาธิจึงเป็นความเข้มแข็ง เป็นความตั้งมั่นด้วยปัญญา รู้ตามเป็นจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นอาคันตุกะจรไปจรมา

 

เราต้องหนักแน่น หนักแน่นในความอร่อยความแซบความนัวควมหรอยต้องหนักแน่น ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม ตามหลักวิทยาศาสตร์มันเป็นไปอย่างนี้     

           

เหนือวิทยาศาสตร์ทำความดีก็เพื่อบริสุทธิคุณ การทำงานก็เพื่อบริสุทธิคุณ การเรียนหนังสือก็เพื่อบริสุทธิคุณ อย่างนี้มันถึงจะเป็นการพัฒนาวิทยาศาสตร์ไม่ให้มีโทษ การพัฒนาวิทยาศาสตร์ไม่ได้เป็นไปเพื่อตัวเพื่อตน ด้วยความรู้ความเข้าใจ ทางวิทยาศาสตร์กับทางใจต้องไปพร้อม ๆ กัน มันจะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นพระนิพพานให้เข้าใจอย่างนี้

 

ต้องเข้าใจอย่างนี้ มันจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ มันจะเข้าถึงความพอดี              

 

เราทั้งหลายต้องหยุดตัวเองด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา ถึงจะเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะเป็นอุดมหลงนะ เดี๋ยวมันต้องพังทลายแน่นอนเหมือนตึก สตง.นี้

 

เราทั้งหลายอย่าไปคิดที่จะแก้ไขคนอื่น พากันแก้ที่ตัวเองน่ะ ทำหน้าที่ในการแก้ไขของตัวเอง

 

เหมือนท่านพระอาจารย์ชา สุภัทโทแห่งวัดหนองป่าพง เรียนหนังสือนักธรรมตรีโทเอกบวชตามประเพณีของประเทศไทย ประเทศไทยมีการบวชตามประเพณีเพื่อเอาหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมน่ะ

 

เมื่อโยมพ่อป่วยอาพาธ โยมพ่อได้บอกท่านอาจารย์ชาว่า พระอย่าสึกนะ ให้บวชเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า เพราะชีวิตนี้มันไม่มีอะไร มันเป็นวัฏฏสงสารให้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ให้บวชไม่สึก ตั้งใจเพื่อหยุดวัฏฏสงสารเพื่อพระนิพพาน พระนิพพานคือจุดหมายปลายทางของชีวิตนะ

 

ท่านพระอาจารย์ชารู้เข้าใจเป็นผู้กตัญญูกตเวทีเป็นผู้เอาพระพุทธเจ้านำชีวิตได้บอกกับโยมบิดาว่า บวชไม่สึกน่ะ

 

เมื่อบวชไม่สึกก็แสวงหาครูบาอาจารย์ ได้ไปฟังพระธรรมเทศนาของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

 

ตามประวัติ ๓ วันน่ะ ฟังพระธรรมคำสั่งสอนของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เข้าใจเรื่องกระบวนการของโลกธรรมรู้กระบวนการของโลกธรรม

 

ความรู้ความเข้าใจนี้ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

การเรียนหนังสือจุดมุ่งหมายของการเรียนหนังสือก็เพื่อความรู้ความเข้าใจ การพัฒนาวิทยาศาสตร์ทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น แห้งแล้งก็ทำให้ไม่แห้งแล้งน้ำท่วมก็ทำให้น้ำไม่ท่วม ทำทุกอย่างรู้เข้าใจแล้วก็พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อไม่ให้หลงในวิทยาศาสตร์

 

ท่านพระอาจารย์ชารู้เข้าใจในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตสั่งสอน ท่านก็กลับมาประพฤติปฏิบัติอยู่ที่วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

 

ท่านบอกพระบอกประชาชนว่า ท่านรู้เข้าใจแล้วได้ปฏิบัติตัวเองทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพทั้งใจร้อยเปอร์เซ็นต์ บอกสอนพระบอกสอนประชาชนเพียงห้าเปอร์เซ็นต์เท่านั้นนะชีวิตนี้ถึงพอไปได้ มันเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี

 

การประพฤติการปฏิบัติเราทุกคนถึงมาเน้นที่ตัวเราน่ะ ถ้าเราไปเน้นที่คนอื่นมันไม่ถูกต้องนะ ไปเน้นที่ผู้อื่นมันต้องพังทลายเหมือนตึกสตง.แน่ แน่นอนนอนแน่ พังทลายแน่

 

เดือนมิถุนายนนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติเค้ามีโครงการมีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมเพื่อให้ประชากรของประเทศไทยพากันสวมหมวกกันน็อคทุก ๆ คน ถ้าใครไม่สวมหมวกกันน็อคจะปรับไหมคนละสองพันบาท

 

ให้ทุกคนพากันดีใจนะ เราทั้งหลายน่ะจะได้หยุดตัวเอง จะได้ยกเลิกเหตุผลต่าง ๆ นานาที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน เราทั้งหลายจะได้หยุดตัวเอง จะได้เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต

 

ความจริงก็คือความจริง ความจริงคือธรรมะ สิ่งที่สัญจรไปมามันชั่วคราวมันคือตัวตนให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจมันก็จะไปของมันเรื่อย

 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังจะทำความดีกัน เราทั้งหลายต้องยินดีที่ตำรวจ จะได้ทำหน้าที่ของตำรวจ เห็นความสำคัญในความถูกต้อง

 

เราทั้งหลายทุกคนต้องพากันพร้อมเพรียงกันนะ เดินไปทางเดียวกันด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

ถึงใจของเราไม่สงบ ก็ให้กายของเราสงบนะ ให้เข้าใจอย่างนี้

ถึงใจของเราไม่สงบ กิริยามารยาทของเราก็ต้องสงบ ไม่คึกไม่คะนอง มันต้องสงบ

ถึงใจเรามันโลภมันโกรธมันหลงอย่างนี้ อาชีพของเรามันต้องสงบ อาชีพของเราต้องถูกต้องน่ะ เพื่อเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต

 

เราทั้งหลายต้องรู้ว่านี้มันคือความสุขนะ มันหยุดความทุกข์หยุดความหลงนะ  เราอย่าเอาความสุขจากความหลงนะ เอาความสุขจากความหลงมันไม่ได้หรอก มันเป็นความหลงมันเป็นความไม่ถูกต้องมันเป็นความเสียหายทั้งส่วนตัวส่วนรวม

 

เราทั้งหลายต้องมีความสุขในอริยมรรคในการดำเนินชีวิต กายไม่สงบก็ให้วาจาสงบกิริยามารยาทอาชีพสงบ ไม่เบีดเบียนคนอื่น ไม่เพิ่มความหลงให้กับตัวเองไม่เบียดเบียนคนอื่น

 

ต้องสงบ... ความสงบมันคือความหยุดนะ ความสงบคือสมถะ สมถะประกอบด้วยปัญญา เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นสัมมาทิฐินะ

 

เราต้องรู้เข้าใจ ต้องสงบกายวาจากิริยามารยาทเดี๋ยวใจมันก็สงบเอง เพราะมันอยู่ในเซทเดียวกัน

 

การฝึกใจเค้าก็ต้องฝึกกายฝึกกิริยามารยาทอาชีพนี้แหละ เพื่อเข้าถึงเจตนาเข้าถึงบริสุทธิคุณ ถ้าอย่างนั้นมันก็เป็นได้แต่เพียงสมาธิเพียงสมาบัติ

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราจะเอาสมาธิกับปัญญาคู่การประพฤติการปฏิบัติ เราจะไม่ได้หลงในผัสสะในอารมณ์ในนิมิต ชีวิตของเราจะได้เป็นศีลสมาธิปัญญา ก้าวไปด้วยปิติสุขเอกัคคตา เมื่อผ่านไปแล้วก็ปล่อยวาง ชีวิตแบบนี้เป็นชีวิตสมัยใหม่ ที่ทันโลกทันสมัยนะ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในสิ่งที่เป็นคุณ ที่การพัฒนาวิทยาศาสตร์ต้องพัฒนาให้เป็นคุณนะอย่าพัฒนาให้เป็นโทษ ตัวตนนั้นเป็นโทษนะ ความสุขก็เป็นคุณ ปิติสุขเอกัคคตาต้องเป็นคุณน่ะ ไม่ใช่เป็นตัวตน ตัวตนนั้นคือโทษนะ

 

ให้เข้าใจวันเกิดนะ วันเกิดนี้ต้องเกิดเป็นพุทธะนะ อย่าให้มันเกิดเป็นอวิชชาเกิดเป็นความหลงนะ นี้มันเป็นการชิงแชมป์ระหว่างโลกธรรมกับโลกุตตรธรรมนะ

 

เราต้องรู้เข้าใจว่าเรากำลังชิงแชมป์นะถือว่าเป็นไฟต์สำคัญของชีวิตนะเราทั้งหลายจะได้มีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรม อุดมธรรมด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบันนี้แหละ

 

เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบันในการบำเพ็ญพุทธบารมีหลายล้านชาติหลายอสงไขย ชาติสุดท้ายอายุ ๓๕ ปี ท่านเข้าถึงความเต็ม ๆ ๆ ๆ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติก็วันเพ็ญ วันเพ็ญมันเต็ม ๆ ๆ พระจันทร์มันเต็มดวง ตรัสรู้ก็พระจันทร์วันเพ็ญเหมือนกันมันเป็นความเต็ม มันเป็นความพอเพียงเพียงพอนะ มันพอดี ไม่มากเกินไม่น้อยเกิน ไม่ยิ่งหย่อนเกิน เหมือนสายพิณ สายกีต้าร์ถ้าตึงเกินไปมันก็จะขาด ถ้าหย่อนเกินไปมันก็ไม่ไพเราะ

 

การแสดงพระธรรมเทศนาก็เพื่อโลกจะได้รู้เข้าใจ จะได้โลกก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ จะได้เอาธรรมนูญนำชีวิต มันเป็นความเต็มเป็นความพอดีเป็นประวัติศาสตร์ มันเป็นความเต็มของความพอเพียงเพียงพอ เหมือนกับพระจันทร์วันเพ็ญเหมือนวันพระจันทร์เต็มดวง ท่านแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรกก็วันพระจันทร์วันเพ็ญเหมือนกันน่ะ

 

บอกกล่าวว่าอีกข้างหน้าพระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ มันเป็นความเต็มเป็นความพอเพียงเพียงพอ

 

พระพุทธเจ้าท่านไม่เอาพระนิพพานเมื่อตายแล้วนะ นั้นมันเป็นเรื่องของกาย พระนิพพานเป็นเรื่องจิตเรื่องใจ กายนี้แหละมันเป็นอุปกรณ์เป็นกรรมกร กายวาจากิริยามารยาทออาชีพเป็นอุปกรณ์เป็นกรรมกร

 

กรรมทางกาย กรรมทางวาจา กรรมทางกิริยามารยาทต้องมามจบลงที่ใจ ด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อเราจะได้หยุดเวรหยุดภัย เราจะได้พระนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตาย ปัจุบันยังไม่ได้พระนิพพานอนาคตจะได้อย่างไร

 

ชีวิตของเรามันก็เป็นอย่างนี้แหละ วิ่งตามความหลงเดินตามความหลงมันไม่จบ เราทั้งหลายต้องพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาเข้าถึงพระนิพพานด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายต้องรู้อริยสัจสี่อย่างนี้รู้ความจริงอย่างนี้ เราอย่าเอาความอยากนำชีวิตเอาความหลงนำชีวิต เราจะไม่เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นเวลา ๔๕ พรรษาเพื่อเสียสละ ชีวิตของเราน่ะถ้ามันเป็นชีวิตที่พุทธะ เป็นชีวิตที่เสียสละ เป็นชีวิตที่เป็นธรรมปัจจุบัน เพอร์เฟคด้วยปิติสุขเอกัคตาก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราทั้งหลายพากันรู้เข้าใจทุกคนก็เป็นพระอริยเจ้าได้เหมือนกันหมดทุก ๆ คนนะ ไม่ใช่เป็นพระอริยเจ้าได้ตั้งแต่ผู้ที่มาบวช หรือผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถ้าผู้ใดรู้เข้าใจ เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต เข้าถึงความเป็นพระได้เหมือนกันหมดทุกคนไม่มีใครยกเว้น ยกเว้นตั้งแต่คนตายกับคนบ้า คนเอาโลกธรรมนำชีวิต พวกนี้เป็นพระศาสนาไม่ได้ เป็นพระไม่ได้ เป็นได้แต่ความหลง

 

ไม่มีใครเป็นพระไม่ได้นะ ให้รู้เข้าใจ ศาสนาพุทธก็เป็นพระได้ ศาสนาคริสต์ก็เป็นพระได้ ศาสนาอิสลามก็เป็นพระได้ ศาสนาพราหมณ์ฮินดูซิกส์ก็เป็นพระได้ เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองก็เป็นพระได้ เป็นพ่อค้าประชาชนก็เป็นพระได้ เป็นนักบวชก็พากันเป็นพระได้

 

ให้พวกเราพากันรู้พากันเข้าใจเรื่องความเป็นพระ ว่าความเป็นพระอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจการประพฤติการปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัตินี้เอง

 

เราต้องรู้พระภายนอกแล้วก็ได้พระแต่งตั้งน่ะ พระภายในก็คือตัวเรานี้เอง

 

พระพุทธเจ้าให้พวกเราเข้าใจอย่างนี้นะ เมื่อเข้าใจแล้วก็เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราก็จะเป็นสุปฏิปันโน คือผู้ปฏิบัติดี

 

อุชุปฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติชอบ

ญายะปฏิปันโน คือผู้ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์

 

สามีจิปฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติสมควรกับผู้อื่นที่เอาเป็นตัวอย่างแบบอย่างเป็นผู้ที่ทรงเกียรติ ไม่ทรงความหลง เป็นผู้ที่ทุกคนควรเคารพบูชา เพราะบุคคลนั้น ได้เข้าถึงธรรมถึงสภาวธรรม เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต

 

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายเป็นผู้ประเสริฐเป็นผู้มีลมปราณ ให้ถือความประเสริฐนี้ พากันมีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ จะได้เป็นผู้ปฏิบัติดีประกอบด้วยปัญญา ปฏิบัติชอบประกอบด้วยปัญญาปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ประกอบด้วยปัญญา ปฏิบัติสมควรในการส่งดีเอ็นเอให้กับลูกกับหลานเป็นปูชนียบุคคล เป็นดีเอ็นเอแห่งความดีและปัญญา เป็นบุคคลที่หาได้ยาก ให้รู้เข้าใจอย่างนี้

 

เราทั้งหลายทุกคนพากันทำได้ปฏิบัติได้ให้ทุกคนเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ถึงบอกให้รู้ให้เข้าใจนะ

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอน

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืน

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรม ความดีเท่านั้น

 

--------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้นำมาบรรยายในเช้าวันอังคารที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

 

 

 

Visitors: 94,420