๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๑๐ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม
คำว่าพรหมจรรย์หมายถึงธรรมนูญ ศีลถึงเป็นพรหมจรรย์ สมาธิถึงเป็นพรหมจรรย์ ปัญญาเป็นพรหมจรรย์ ศีลถึงเป็นพระนิพพาน สมาธิถึงเป็นพระนิพพาน ปัญญาถึงเป็นพระนิพพาน พระนิพพานถึงเป็นธรรมนูญที่เราปกครองตัวเอง ถ้าปกครองคนอื่นเรียกว่ารัฐธรรมนูญ
พระนิพพานนี้เป็นสัมมาทิฐิ เป็นปัญญาสัมมาทิฐิ เป็นความรู้เรื่องความเกิด เป็นความรู้เรื่องหยุดความเกิด สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันคือเหตุคือปัจจัย การประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญ ที่มันเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรม เป็นผลของกรรม ที่เราแก่เราเจ็บเราตายเราพลัดพรากนี้มันคือผลของกรรม
การประพฤติการปฏิบัติถึงเอาปัจจุบันเป็นหลัก เอาความสงบกับปัญญาเป็นหลัก
ให้พวกเรามนุษย์ทั้งหลายพากันเข้าใจเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา ปัญญากับความสงบต้องควบคู่กันไป เพื่อเข้าถึงความพอดี ไม่มากเกินไม่น้อยเกินเข้าถึงความพอดี
การประพฤติการปฏิบัตินั้นให้เข้าใจ ไม่มีใครปฏิบัติให้กันและกัน เพราะกรรมมันเป็นเรื่องเฉพาะตน ศีลนี้ถึงเป็นสิ่งที่มาหยุดกรรม สมาธิถึงเป็นสิ่งที่หยุดกรรม ปัญญาเป็นสิ่งที่มาหยุดกรรม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้พวกเราทั้งหลายอย่าไปตั้งอยู่ในความเพลิดเพลิน อย่าไปตั้งอยู่ในความประมาท เพราะนี้คือกรรม นี้คือกฎแห่งกรรมนี้คือผลของกรรม ต้องรู้ต้องเข้าใจ ในการดำเนินชีวิตของตัวเอง เพื่อเป็นความดี ความถูกต้องที่ประกอบด้วยปัญญาบริสุทธิคุณ เพื่อเราทั้งหลายน่ะจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เพราะสิ่งต่าง ๆ นั้นมันเป็นเพียงการสัญจรไปมา เช่น เรามีตาถึงมีรูป เรามีหูถึงมีเสียง เรามีจมูกถึงมีกลิ่น เรามีลิ้นถึงมีรส เรามีกายถึงมีสัมผัส เรามีใจถึงมีเรื่องจิตเรื่องใจมีอารมณ์ อันนี้มันเป็นเพียงผัสสะที่สัญจรไปมา
ให้รู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้หยุดตัวเองด้วยความรู้ความเข้าใจ แล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพื่อเป็นหลัก การที่เรารู้เข้าใจ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกพวกเราทั้งหลายว่า เธอทั้งหลายจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด เพื่อเอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญานำชีวิต เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อมไม่ไปตามผัสสะ เน้นที่รู้เข้าใจ เน้นที่เจตนา
การปฏิบัติธรรมะถึงเน้นที่ตัวเรา การปฏิบัติไม่มีต่อหน้าและลับหลัง เป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เห็นภัยในความเพลิดเพลิน เห็นภัยในความประมาท ให้มีความสุขในพรหมจรรย์ ให้มีความสุขในศีล ให้มีความสุขในสมาธิ ให้มีความสุขในปัญญา
เราทั้งหลายจะก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา ศีลสมาธิปัญญาเท่านั้นถึงจะดับทุกข์ได้ถึงจะหยุดได้ ทางวิทยาศาสตร์นั้นช่วยเราได้ถึงเมื่อเราหมดอายุขัย เมื่อเราหมดลมหายใจ สัมมาทิฐิทางวิทยาศาสตร์ เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้มีความสุขในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เช่น เราเรียนหนังสืออย่างนี้ เราก็ต้องมีความสุขในการเรียนหนังสือ เราจะได้ทั้งความรู้ทั้งทางจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อการเรียนหนังสือนั้นเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นพรหมจรรย์ เป็นธรรมนูญแห่งชีวิต
การทำงานก็เช่นเดียวกัน การทำงานก็ต้องมีความสุขในการทำงาน มนุษย์เราต้องมีความสุขในการทำงาน มนุษย์เราไม่ใช่คิดเพียงว่าเรามีความจำเป็นที่จะต้องทำงาน เพราะเรามีร่างกาย ความคิดอย่างนี้มันอยู่ในระดับเหตุระดับผลของนักวิทยาศาสตร์ มันยังมีความปรุงแต่ง มันยังมีตัวมีตนอยู่
การทำงานก็เพื่อมีความสุขในการทำงาน เพื่อเสียสละ ถ้าเราไม่ทำงานเราก็ไม่ได้เสียสละ คนไม่เสียสละนี้มันจะมีความสุขได้อย่างไร เพราะผู้ที่ไม่เสียสละ ก็ถือว่าเป็นผู้ที่ติดอยู่หลงอยู่
เราดูตัวอย่างแบบอย่างอย่างพระพุทธเจ้า ทรงพักผ่อนบรรทมวันละ ๔ ชั่วโมง เสียสละเพื่อหมู่มวลมนุษย์เทพเทวาสรรพสัตว์ทั้งหลายวันละ ๒๐ ชั่วโมง
มนุษย์เราคือผู้ที่เสียสละ เสียสละโดยไม่หวังอะไรตอบแทน ถ้าเราหวังอะไรตอบแทนก็ชื่อว่าเราเป็นบุคคลรับจ้างน่ะ รับจ้างมาเกิดอันเดียวกัน เราเป็นพระรับจ้าง เป็นเณรรับจ้าง เป็นข้าราชการนักการเมืองรับจ้าง เป็นอะไร ๆ รับจ้างน่ะ ผู้ที่เข้าใจในสัมมาทิฐิไม่หวังอะไรตอบแทน รายรับรายจ่ายที่รับมาแล้วก็ให้คืนอย่างนี้ มันจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี มันถึงจะหยุดความปรุงแต่งได้ ถ้าเรายังต้องการผลประโยชน์มันก็ยังมีความปรุงแต่งอยู่ เพราะเรายังต้องการ ความคิดอย่างนั้นเรียกว่ายังไม่หยุดกาลหยุดเวลา ยังเป็นนิติบุคคลตัวตน
ให้รู้เข้าใจ ศีลสมาธิปัญญามันเป็นความรู้ความเข้าใจ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติด้วยการหยุดกาลหยุดเวลา หยุดวัฏฏสงสาร หยุดการเวียนว่ายตายเกิด เราทั้งหลายต้องพากันรู้พากันเข้าใจในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง เพื่อหยุดความไม่ถูกต้อง เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
พระพุทธเจ้าน่ะ ประสูติก็วันเพ็ญ ตรัสรู้ก็วันเพ็ญ แสดงธรรมจักกัปปวัตนสูตร ครั้งแรกก็วันเพ็ญ ปลงสังขารว่าอีก ๓ เดือนข้างหน้าพระตถาคตเจ้าจะปรินิพพานก็วันเพ็ญ เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ วันเพ็ญหมายถึงความเต็ม ๆ ๆ เป็นความพอเพียงเพียงพอเป็นความบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทนี้เป็นพรหมจรรย์ เป็นธรรมนูญที่ไม่หวังอะไรตอบแทน
มนุษย์เราทั้งหลายให้รู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้มีปิติมีความสุขในการประพฤติ การปฏิบัติเพื่อประพฤติพรหมจรรย์หรือปฏิบัติในธรรมนูญ
เราอาศัยรูปแบบ... ศาสนาพุทธก็อาศัยรูปแบบของศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ก็อาศัยรูปแบบของศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามก็อาศัยรูปแบบของศาสนาอิสลาม ศาสนาพรหมณ์ฮินดูก็อาศัยรูปแบบของศาสนามพราหมณ์ฮินดู คำว่าศาสนาก็ได้แก่พรหมจรรย์ ได้แก่ธรรมนูญก็คืออันเดียวกันเป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ ทั้งใจที่ประกอบด้วยปัญญา ความหมายของศาสนามันเป็นอย่างนี้
เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ รู้เข้าใจแล้วก็ต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงความเต็ม ๆ ๆ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ รู้จักธรรมรู้จักสภาวธรรม รู้จักความเป็นประภัสสรของทุกสิ่งทุกอย่าง
เราจะไปลิดรอนสิ่งต่าง ๆ นั้นไม่ได้ เพราะทุกอย่างนั้นเค้าก็เป็นอยู่เช่นนั้นเอง ถ้ามีเหตุมีปัจจัยเค้าก็เป็นอย่างนั้นเองเป็นเช่นนั้นเอง มันจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้
เราทั้งหลายน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงไม่ให้ประมาท ไปตามสิ่งแวดล้อม เราปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกันด้วยความรู้ความเข้าใจ ชีวิตของเราก็จะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นพรหมจรรย์
เราอาศัยรูปแบบ พระธรรมพระวินัยในพระพุทธศาสนา แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ เป็นรูปแบบเป็นแบบเป็นพิมพ์ เป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ เป็นรูปแบบ เป็นบริสุทธิคุณ ให้เราเข้าสู่กรรม เข้าสู่กฎแห่งกรรม เข้าสู่ผลของกรรมน่ะ เพราะอันนี้มันเป็นกรรมน่ะ กายวาจากิริยามารยาทใจมันเป็นกรรม มีกรรมเป็นฐานเป็นพื้นฐาน
การประพฤติการปฏิบัติถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ มันเป็นไฟต์มันเป็นการชิงแชมป์ ชิงแชมป์ระหว่างธรรมกับโลก ระหว่างหยุดกับไป เพื่อจะเข้าสู่สันติภาพ ยกเลิกน่ะ คือสันติ สันติภาพ ศีลที่เป็นสัมมาทิฐิถึงเป็นพระนิพพาน สมาธิที่เป็นสัมมาทิฐิถึงเป็นพระนิพพาน ปัญญาที่เป็นสัมมาทิฐิถึงเป็นพระนิพพาน มันอยู่เหนือความปรุงแต่ง ศีลเพื่อหยุดความปรุงแต่ง สมาธิเพื่อหยุดความปรุงแต่ง ปัญญาเพื่อหยุดความปรุงแต่ง เป็นการพัฒนาวิทยาศาสตร์ที่มีความสุขด้วยปัญญาสัมมาทิฐิ เพื่อความสงบเพื่อสันติภาพ
การประพฤติการปฏิบัติ ปฏิบัติที่ปัจจุบัน เพราะอดีตมันก็มาอยู่ที่ปัจจุบันอนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าให้เอาปัจจุบันดี ๆ นะ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ให้การประพฤติการปฏิบัติมันเป็นพรหมจรรย์เป็นธรรมนูญ ให้เป็นพระนิพพาน ให้เป็นความดีเป็นบารมีเพิ่มพูนขึ้นไป ก้าวไป
เราอาศัยพระธรรมอาศัยพระวินัย อาศัยรูปแบบเพื่อความสมบูรณ์ ความมาตรฐาน ที่ มอก. รูปแบบที่เราเป็นข้าราชการทุกหมู่เหล่า ที่เราเป็นนักการเมืองเป็นนักบวชนี้คือรูปแบบ คือสมมติสัจจะ
สมมติทั้งหลายในโลกนี้มีหลายล้านสมมติ ชี้ให้เห็นแง่มุมผิดถูกดีชั่ว ไม่ผิดไม่ถูก ไม่ดีไม่ชั่ว นี้เป็นรูปแบบ การประพฤติการปฏิบัติต้องให้เข้าถึงความสมบูรณ์เข้าถึงความพอดี ให้ครบวงจรทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพทั้งใจต้องครบวงจร เพื่อเป็นธรรมเพื่อเป็นพรหมจรรย์ เพื่อเป็นธรรมนูญที่ต้องสมบูรณ์ด้วยทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ อย่างเรามีรูปแบบ รูปแบบของความเป็นพระศาสนา แต่เราไม่ได้ปฏิบัติพระศาสนา เราเอาพระศาสนาหาอยู่หาบริโภคอย่างนี้แหละ อย่างนี้ก็ไม่ไปตามรูปแบบนะ เราเอารูปแบบไปหลอกไปลวง เอาพระศาสนาเป็นเครื่องแบบเพื่อหาอยู่หาหลง การเป็นพระศาสนาก็ต้องเป็นทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นทั้งใจด้วยความตั้งใจตั้งใจเจตนา ให้มีปิติมีความสุขในการเป็นพระศาสนา
การเป็นข้าราชนักการเมืองก็เหมือนกันเราทั้งหลายจะได้เข้าสู่รูปแบบ ถ้าเราไม่เข้าสู่รูปแบบ เห็นมั๊ย ตึกสตง.ของเมืองไทยมันพังทลายเพราะมีรูปแบบแล้วไม่ทำตามรูปแบบ เอาความหลงนำชีวิตเอาทุจริตนำชีวิต มันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. เราต้องเข้าใจนะ
การที่เราเอารูปแบบมาหาอยู่หากินหาหลงนี้มันไม่ถูกต้อง นี้ไม่ใช่ศีลไม่ใช่สมาธิไม่ใช่ธรรมนูญรัฐธรรมนูญ
เราทั้งหลายต้องเอาความถูกต้องนำชีวิตนะ เอาบริสุทธิคุณนำชีวิต เอาความสงบนำชีวิต เอาปัญญาที่เรายกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้องนำชีวิต
เราทั้งหลายน่ะจะเอาพระศาสนาหาอยู่หาอยู่หากินนั้นไม่ได้ เราจะเอาตำแหน่งข้าราชการนักการเมืองมาหาอยู่หากินนั้นไม่ได้
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ คนอื่นก็เดือดร้อน ตัวเราก็เดือดร้อน
ตัวเราเดือดร้อนอะไร..? มันก็เดือดร้อนสิ เพราะมันหลงไปเรื่อย เห็นรูปสวย ๆ ก็ร้องโอย ๆ ๆ ไป ได้ยินเสียงเพราะ ๆ ก็ร้อง โอย ๆ ๆ ได้กินอาหารอร่อย ๆ ก็ร้อง โอย ๆ ๆ ได้กลิ่นหอม ๆ กลิ่นดี ๆ ก็ร้องโอย ๆ ๆ ไป สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่นิ่มนวล สิ่งที่พอดีก็ร้องโอย ๆ ๆ ไป ใจนั้นมันผัสสะอารมณ์อร่อยไปเรื่อยน่ะ ปรุงแต่งจนนอนไม่หลับ มันมีแต่โอยกับโอยนะ เราต้องรู้ต้องเข้าใจนะ
เราทั้งหลายอย่าไปเอารูปแบบนั้นมาทุจริตหรือว่าไปทุจริต
ความชอบความไม่ชอบเราต้องรู้เข้าใจ ชีวิตของเราจะได้ผ่านไป เราต้องรู้ความชอบหรือไม่ชอบมันก็เป็นเพียงอารมณ์ เราทั้งหลายต้องผ่านไป เราจะได้เป็นบุคคลบรรลุนิติภาวะ เราจะได้เอาศีลเป็นหลักเอาสมาธิเป็นหลัก เอาปัญญาเป็นหลัก เราจะผ่านความชอบความไม่ชอบ เราทั้งหลายจะได้ผ่านความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากด้วยความรู้ความเข้าใจ เพราะอันนี้ถือว่าเป็นข้อสอบ เราก็ตอบด้วยความรู้ความเข้าใจ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ
เราต้องผ่านไปด้วยความรู้ เราถึงจะเป็นบุคคลผู้บรรลุนิติภาวะ เราจะได้ผ่านนิมิตไป ผ่านความรู้สึกไป ผ่านอารมณ์ไป ผ่านความชอบไม่ชอบไป
เราทุกคนพากันเข้าใจนะ เข้าใจในเกมส์ของชีวิต
เรานอนเราพักผ่อนให้เพียงพอ มนุษย์เราต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ อยู่ในกรุงเทพมหานคร อยู่ในปริมณฑลเมืองหลวงน่ะ เค้าต้องพักผ่อนวันละ ๖-๘ ชั่วโมงเพราะค่าพีเอ็มของอากาศมันไม่ดี เพราะกรุงเทพมหานครปริมณฑล คนเค้าไปรวมกันอยู่ที่นั่นมาก ออกซิเจนไม่ดี อากาศไม่ดี ต้องนอนพักผ่อนให้พอ การนอนการพักผ่อนนี้คือการปฏิบัติธรรมนะ การทำงานมีความสุขในการทำงานมีความสุขในการเสียสละในการทำงานอย่างนี้คือการปฏิบัติธรรม
การนอนการพักผ่อนเราก็ต้องมีความสุขในการนอนการพักผ่อน นี้คือการปฏิบัติธรรม ถ้าเรานอนเราพักผ่อนไม่เพียงพอ ชีวิตของเรามันก็ไม่สมดุล สมองของเรามันก็เซ่อ ๆ เบลอ ๆ งง ๆ ให้เข้าใจนะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เข้าใจ อริยมรรคมีองค์แปด กายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจน่ะ มันต้องสมบูรณ์ทุกแง่ทุกมุม มันถึงจะไม่มีปัญหา ถ้าเราประมาท ไม่เห็นความสำคัญมันก็ต้องมีปัญหา ทุกอย่างนั้นมันแก้ได้ ภายนอกก็ต้องแก้ด้วยเหตุด้วยผลทางวิทยาศาสตร์
ทางใจน่ะ แก้ภายนอกไม่ได้ก็ต้องแก้ที่ใจ เราทั้งหลายน่ะไม่ต้องไปโทษสิ่งภายนอก ให้ขอบใจสิ่งภายนอก เพราะสิ่งภายนอกมันคือข้อสอบเป็นโจทย์ ให้เราได้สร้างบารมี สร้างความดีเพื่อเป็นบารมีที่ก้าวไปด้วยความดีด้วยบารมี เพื่อเราทั้งหลายน่ะจะได้พากันว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่มันจะมีประโยชน์อะไร มันก็ค่าเท่ากับคนตาย มันจะมีประโยชน์อะไร คนตาบอดหูหนวกอัมพฤกษ์อัมพาตพิการ คนสมองเสียมันจะมีประโยชน์อะไร อันนี้ให้เราถือว่าปัญญาบริสุทธิคุณที่มันว่างจากสิ่งที่มีอยู่ เราจะได้รู้ว่าสิ่งมันสัญจรไปมา เกิดแก่เจ็บตายพลัดพราก ตาหูจมูกลิ้นกายใจมันเป็นเพียงสิ่งที่สัญจรไปมาเท่านั้น
เราคิดดูดี ๆ สิ บุคคลนี้เกิดขึ้น ส่วนใหญ่อายุขัยก็ไม่เกินศตวรรษหนึ่งหรือว่าร้อยปีก็ต้องจากไป มันเกิดขึ้นทางตาหูจมูกลิ้นกายมันก็ล้วนแต่จากไปทั้งนั้น มันเป็นอาคันตุกะที่จรไปจรมา
ให้เรารู้ให้เข้าใจนะ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่
เราทั้งหลายน่ะกำลังแสวงหาความหลงนะ กำลังแสวงหาความว่างจากสิ่งที่ไม่มี มันไม่ได้น่ะ มันระดับนักวิทยาศาสตร์นะ นักวิทยาศาสตร์จะพัฒนาตั้งแต่วัตถุ ที่เอาวัตถุเป็นนิติบุคคลตัวตน นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายผู้มีปัญญาทั้งหลาย ผู้คงแก่เรียนทั้งหลายถึงพากันเป็นโรคจิตโรคประสาทโรคซึมเศร้าโรคไบโพล่า
พวกที่รวย พวกที่ไม่รู้จักพอ นี้คือความไม่ถูกต้อง พระศาสนาน่ะถึงควบคู่กับวิทยาศาสตร์เพื่อพระนิพพานหรือว่าพระสันติภาพ เพื่ออุดมการณ์อุดมธรรม
ผู้ที่อยู่ต่างจังหวัด ผู้ที่อยู่ในที่ไม่แออัดก็พากันนอนพากันพักผ่อน ๕,๖ ชั่วโมงก็เพียงพอ เพราะการดำเนินชีวิตของเรา ถ้าเราเอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญา เอาบริสุทธิคุณนำชีวิตแล้วมันมีความสุขไม่มีความทุกข์อะไร มันจะเป็นการทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ ด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา ด้วยความรู้ความเข้าใจ
การปฏิบัติของเราถึงให้เรารู้เข้าใจ ให้เป็นทีมเวิร์คด้วยความสมัครสมานสามัคคีกัน ไปในทางอันหนึ่งอันเดียวกัน จะไม่ได้ไปคนละทิศละทาง เพื่อเข้าสู่หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อจะไม่ได้อาศัยรูปแบบหาอยู่หากินหาหลง ให้ทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเอง นี้คือข้อวัตรกิจวัตรที่เป็นศิลปะแห่งชีวิต ที่มีความตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธินี้เป็นปัญญาบริสุทธิคุณ เป็นบริสุทธิคุณ เป็นพรหมจรรย์ เป็นธรรมนูญรัฐธรรมนูญ
ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เป็นผู้เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เป็นผู้เห็นภัยในความประมาทเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นสิ่งที่หยุดกรรมหยุดเวรหยุดภัย หยุดอันตราย ถ้าเราไม่ละอายต่อบาปไม่เกรงกลัวต่อบาป ไม่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ชีวิตของเราก็ว่างจากความถูกต้อง ว่างจากพระนิพพาน เป็นผู้ว่างจากความดีจากปัญญา ดำเนินชีวิตชีวาด้วยความหลง ด้วยไสยศาสตร์ ด้วยการหลงงมงาย
เราไม่รู้ไม่เข้าใจ มันเลยก้าวไปไม่ได้ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นทำให้ศีลของเราขาด ศีลของเราพร้อย หัวใจของเรามันเลยเป็นหัวใจแห่งความหลง หัวใจของเราอยู่ที่เก่า มันไปไหนไม่ได้ จะเรียกบุคคลผู้นั้นว่าหัวใจปาราชิกก็ได้ หัวใจปาราชิกคือหัวใจว่างจากมรรคผลพระนิพพาน คือบุคคลที่ไม่ละอายต่อบาปไม่เกรงกลัวต่อบาป บุคคลที่ไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป คือบุคคลที่กายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจที่ว่างจากมรรคผลนิพพาน เป็นกายวาจากิริยามารยาทเป็นวัฏฏสงสาร ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ คำว่าพระถึงแปลว่าผู้เสียสละ
พระนี้คือผู้ที่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เห็นภัยในการเวียนว่ายตายเกิด เพราะรู้เหตุปัจจัย ทุกอย่างมันมีเหตุมีปัจจัย แล้วก็เห็นภัยในความเกิด
เช่น พระสารีบุตรได้บำเพ็ญสาวกบารมีมาหลายอสงไขย เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ มาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสารีบุตรผู้ที่บำเพ็ญบารมีร่วมกันมา ก็ต้องมาตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ
เมื่อยังไม่ได้บรรพชาอุปสมบทเป็นพระในพระพุทธศาสนาได้แสวงหาพระนิพพานคือความดับทุกข์ ไปพบพระอรหันต์ขีณาสพ พระอรหันต์ใหม่น่ะ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านส่งไปให้เผยแผ่ ให้ไปคนละทางคนละทิศไม่ให้ไปทางละหลายรูป ได้เห็นด้วยตา สัมผัสด้วยตา มีความเลื่อมใสว่าทำไมถึงสวยสดงดงามสง่างาม มองดูแล้วมันเป็นความพอดี เป็นความพอเพียงเพียงพอ ถึงได้สะกดรอยตาม ยังไม่ถามทันที สะกดรอยตามไป เพราะว่าพระอัสสชิกำลังบิณฑบาตอยู่ รับบิณฑบาตจากประชาชนในเวลาตอนเช้าน่ะ
พระสารีบุตรผู้มีปัญญามากก็ต้องรอกาลเวลา เมื่อพระเถระเจ้าฉันอาหารเสร็จ พระสารีบุตรก็เข้าไปกราบถามว่า ท่านทำไมรัศมีเปล่งปลั่ง กิริยามารยาทสวยสดงดงาม ท่านมีธรรมอะไรเป็นเครื่องอยู่
พระอัสสชิท่านตอบว่า มีพรหมจรรย์เป็นเครื่องอยู่ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ยกเลิกความรู้สึกที่เป็นนิติบุคคลตัวตน เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต
พระสารีบุตรก็ถามว่า ใครเป็นครูเป็นอาจารย์ของท่าน
พระอัสสชิก็ตอบว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ใหม่ ๆ เป็นครู เป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า
พระสารีบุตรถามต่อว่า ครูบาอาจารย์ของท่านสอนอะไร
พระอัสสชิก็ตอบว่า ข้าพเจ้าเพิ่งบวชมาใหม่ ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจ ปฏิภาณโวหารกว้างขวาง
พระสารีบุตรก็พูดว่ากล่าวว่า เอาพอสังเขป พอเข้าใจในหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม
พระอัสสชิก็พูดให้ฟังคร่าว ๆ ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างน่ะมาจากเหตุมาจากปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี เราต้องรู้เหตุรู้ปัจจัย เราจะได้หยุดวัฏฏสงสาร ด้วยหลักการและอุดมการณ์อุดมธรรม
พระสารีบุตรผู้มีปัญญาได้ยินได้ฟัง รู้เข้าใจในกระบวนการของปฏิจจสมุปบาทได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
เราทั้งหลายน่ะต้องพากันเข้าใจนะ เราไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนเพื่ออ่านออกเขียนได้ บวกลบคูณหาร อ่านออกเขียนได้ทุกอย่างทุกประการ ความรู้ความเข้าใจนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ การพัฒนาวิทยาศาสตร์จะพัฒนาเป็นทีมเวิร์คหรือคนเดียวก็เพื่อความรู้ความเข้าใจ การฟังการบรรยายก็เพื่อความรู้ความเข้าใจ จะบรรยายเรื่องอะไรก็ตั้งใจฟัง
ความรู้ความเข้าใจนี้มันไม่ใช่ความจำนะมันเป็นความเข้าใจ ถ้าความจำนี้มันลืม ถ้าความรู้ความเข้าใจนี้มันไม่ลืม ความรู้ความเข้าใจนี้มันก็เป็นเหมือนกลางวันมันสว่าง มันสว่างก็เป็นกลางวันน่ะ ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็เป็นเหมือนกลางคืนมันไม่มีแสงสว่างทางดวงอาทิตย์ ไม่มีแสงสว่างทางดวงจันทร์มันก็มืด ความรู้ความเข้าใจมันเป็นอย่างนั้น
มนุษย์เราถึงมีการเรียนการศึกษาต่างจากสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายไปตามสัญชาตญาณไปตามสิ่งแวดล้อม มนุษย์เราถึงมีการเรียนการศึกษา ความรู้ความเข้าใจนี้มันจะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม มันจะรู้สิ่งแวดล้อมว่า นี้มันเกิดขึ้น นี้มันตั้งอยู่ เดี๋ยวมันก็จากไปไม่มีอะไรมากกว่านั้น ความรู้ความเข้าใจนี้มันจะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม
ให้พวกเรารู้เข้าใจ ต้องจับหลักให้ได้จับประเด็นให้ได้ ต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้ามันผ่านไปแล้วเป็นอดีตไปแล้ว เกษียณไปแล้วก็ปล่อยวาง อนาคตยังมาไม่ถึง อนาคตมันก็อยู่ที่ปัจจุบัน เหมือนพระอัสสชิว่า เพระสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี เป็นกระบวนการของปฏิจจสมุปบาท เป็นกระบวนการของตาหูจมูกลิ้นกายใจ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจนะ ถ้าไม่รู้เข้าใจมันต้องพังทลายแน่ แน่นอน
เห็นมั๊ยตึกสตง.มันพังทลาย เพราะเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต เอาทุจริตนำชีวิตมันถึงต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.ของเมืองไทย
ตึก สตง.ที่อยู่กรุงเทพมหานครอยู่เมืองหลวงอยู่เมืองกรุง เป็นศูนย์รวมของประเทศ เหมือนสมองเป็นศูนย์รวมของร่างกาย เหมือนหัวใจเป็นศูนย์รวมของสรีระร่างกาย
สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่บริหารประเทศ บริหารแผ่นดินไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เอาแต่ความรู้เอาแต่วิทยาศาสตร์เอาแต่ตัวเอาแต่ตน ไปแก้แต่สิ่งภายนอก ไม่ได้แก้ตัวเองไปพร้อม ๆ กัน
การพัฒนาวิทยาศาสตร์มันต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันมันถึงถูกต้องนะ พัฒนาทั้งภายนอกภายในด้วยความรู้ความเข้าใจให้ครบวงจร อริยมรรคองค์แปดถึงเป็นความรู้ความเข้าใจ เพื่อการประพฤติการปฏิบัติมันจะได้สมบูรณ์ สมบูรณ์ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพด้วยความถูกต้อง
มันต้องรู้ธรรมรู้ปัจจุบันธรรม รู้ธรรมธรรมนูญน่ะ ถ้าเราไปจัดการแต่สิ่งภายนอก เราไม่ได้จัดการตัวเองมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้นะ
การบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่น มันต้องรู้เข้าใจแล้วมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์
ถ้าเรามีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติมันก็ไม่มีความทุกข์อยู่แล้ว ด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติ ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพ เราต้องเน้นมาที่ตัวเราในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองให้มันสมบูรณ์ เราทั้งหลายจะไม่ได้พังทลายเหมือนตึก สตง.
ถ้าใครมีตัวมีตนบุคคลนั้นคือทุจริตนะ เราทั้งหลายจะได้รู้ว่าทุจริตนั้นคือตัวตนน่ะ ใครเอาตัวตนนำชีวิตบุคคลนั้นคือบุคคลที่ทุจริต เราต้องรู้จักธรรมรู้จักธรรมนูญ ปัญหาต่าง ๆ นั้นมันอยู่ที่ทุจริตนะ
การที่จะบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่นต้องยกเลิกทุจริต ถึงจะเป็นนักบริหารตัวเองนักบริหารคนอื่นด้วยการรู้เข้าใจในการบริหารในการปฏิบัติ
ตำแหน่งที่เค้าแต่งให้เราเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นตำแหน่งที่ให้เรามาเสียสละ มารับผิดชอบโฟกัสในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ใช่ตำแหน่งที่ให้พวกเราทั้งหลายมาทุจริตนะ
ให้ถือว่ามันเป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติมีเกียรติมีศักดิ์ศรี เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันจะมีเกียรติมีศักดิ์ศรีได้อย่างไร ถึงพวกเราทั้งหลายจะพากันใส่สูทผูกเนคไท เป็นผู้ทรงเกียรติมันก็ไม่เป็นผู้ทรงเกียรตินะ มันเป็นผู้ทรงความหลงต่างหาก ทรงความโง่ความหลงงมงายต่างหากล่ะ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะเข้าถึงบริสุทธิคุณ เข้าถึงธรรมนูญเข้าถึงรัฐธรรมนูญไม่ได้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเป็นอบายมุขอบายภูมินะ มันตกอยู่ในภพภูมิของ ๓๑ ภพภูมิ
ในภพภูมิของวัฏฏสงสารนี้มีอยู่ ๓๑ ภพภูมิ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะอยู่ในระนาบของ ๓๑ ภพภูมินี้แหละ
เค้าถึงมีศัพท์ว่าคน คนนี้หมายถึงตัวถึงตน หมายถึง ๓๑ ภพภูมินี้แหละ ภพภูมิที่เวียนว่ายตายเกิดมีทั้งหมด ๓๑ ภพภูมิ
เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ประพฤติปฏิบัติ เราจะไม่ได้ย่ำต๊อกกับความหลงที่มีศัพท์ว่า “คน” คนนี้ความหมายหมายถึงความไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้น มันจะวกวนอยู่ที่เก่า มันจะเป็นผู้ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา สัมผัสกับอะไรก็ไปกับสิ่งนั้น ๆ อยู่ในภพภูมินั้น ๆ
เรารู้เราเข้าใจเราจะได้หยุดภพภูมินั้น ๆ ด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ด้วยความเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเค้าเรียกว่ามันหลง มันวกวนในความหลงอย่างนั้น จิตใจวกวนอย่างนั้นมันจะไปไหนไม่ได้ มันจะเป็นได้แต่เพียงคนเป็นได้แต่เพียงความหลง หัวใจของบุคคลนั้นมันจะอยู่ในระนาบแห่งความหลงหรือว่าหัวใจบ่อนคาสิโน เอาตัวตนเป็นที่ตั้งคือหัวใจบ่อนคาสิโน หัวใจบ่อนทำลายความถูกต้อง หัวใจบ่อนความหลง
ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้เห็นภัยในความไม่ถูกต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารด้วยปัญญาบริสุทธิคุณ ด้วยเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ พอใจยินดีมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิตหัวใจของเราทั้งหลายจะได้หยุดอบายมุขอบายภูมิ
เราทั้งหลายถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายจะพากันคิดว่า ความสุขทั้งหลายได้มาจากสิ่งที่อำนวยความสุขความสะดวกความสบายด้วยการพัฒนาวิทยาศาสตร์ อันนี้จริงอันนี้ถูกต้อง ความสุขทั้งหลายมันอยู่พัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์
เราทั้งหลายต้องมีสัมมาทิฐิเราต้องมีความรู้ความเข้าใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ก็ต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ถ้าเราพัฒนาวิทยาศาสตร์มันก็ยังเป็นนิติบุคคลตัวตนอยู่
เราต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันด้วยความรู้ความเข้าใจเราทั้งหลายน่ะ ถึงเป็นการพัฒนาครบวงจรด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็จะเอาความหลงนำชีวิตเอาวิทยาศาสตร์นำชีวิต
เราต้องเอาทั้งวิทยาศาสตร์เอาทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กันนะ
เราอย่าไปคิดว่าประเทศสิงคโปร์นั้นน่ะประเทศเล็ก ๆ เท่าอำเภอหนึ่งของเมืองไทยก็ไม่ได้ เค้าพัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์เป็นหนึ่งของเอเชียเพราะเค้าตั้งบ่อนคาสิโน มาเก๊าส่วนหนึ่งของประเทศจีนเค้าก็รวยเพราะเค้าพัฒนาตามหลักเหตุตามหลักวิทยาศาสตร์
พวกเราทั้งหลายเมื่อมีปัญญาแล้วต้องรอบคอบนะ มีปัญญาแล้วต้องรอบคอบ อย่าลืมว่าชีวิตของเรามันเป็นรายรับรายจ่ายนะ เราไปจับหางงูเดี๋ยวงูมันจะมากัดเรา งูพิษมันจะมากัดเรานะ การที่เราเอาหลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องแล้ว เราต้องมีหลักการมีอุดมการณ์แล้วก็มีอุดมธรรมนะ หลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์น่ะ แต่ต้องไม่ทิ้งอุดมธรรมนะ
เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเอาความรู้สึกที่เอาตัวเป็นที่ตั้งมันเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์แล้วอุดมด้วยความหลงนะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราเอาทั้งหลักการอุดมการณ์แล้วก็ยกเลิกอุดมหลงนะ
ให้เอาอุดมธรรมให้เอาธรรมเอาธรรมนูญมันถึงจะสมบูรณ์เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี เราอยากได้มากมันก็ไม่มาก เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อย เราต้องรู้จักความพอดีเข้าสู่ความสมดุลทั้งรายรับรายจ่าย
เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี การประสูติของพระพุทธเจ้าถึงเป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็เป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ
เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้รู้หลักการ รู้อุดมการณ์แล้วก็อุดมธรรม เราอยู่ที่ไหนก็พากันปฏิบัติได้ เมื่อเรามีลมปราณมีอายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ มีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้
ให้รู้เข้าใจมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
อย่าไปคิดด้วยอวิชชาความหลงเอาแต่หลักการอุดมการณ์เอาแต่วิทยาศาสตร์น่ะ ถ้าเรารวย รวยความหลงมันไม่ดีนะ รวยความโง่หลงงมงายเรียกว่ารวยไสยศาสตร์มันไม่ดีนะ ไม่ใช่ความดีมันไม่ใช่บารมีไม่ใช่ปัญญาบริสุทธิคุณนะ มันเป็นความหลงนะ
ให้เรารู้เข้าใจ อย่าไปคิดว่าทำไมเราโง่ไปตั้งหลายปี ประเทศสิงคโปร์ประเทศเค้าเล็กนิดเดียวเค้าตั้งบ่อนคาสิโนเค้ารวยกัน ประเทศมาเก๊าก็เหมือนกันเค้ารวยกัน
ประเทศสิงคโปร์เค้ามีหลักเหตุผลมีหลักวิทยาศาสตร์น่ะ เค้าคิดว่าประเทศสิงคโปร์มันเล็กนิดเดียว จะทำเกษตรกรรมก็ไม่ได้ จะทำอุตสาหกรรมก็ไม่ได้ ถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโนด้วยหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์ก็รวยได้ เพราะคนในนี้โลกนี้ มันคนมีความไม่ฉลาด เอาความหลงนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิตมันมีมาก ถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโน เราสามารถรวยได้ทางวัตถุ ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เค้าถึงพากันตั้งบ่อนคาสิโน จะเรียกบ่อนคาสิโนก็ได้หรือเรียกบ่อนแห่งความหลงก็ได้ มันคืออันเดียวกัน
ให้เรารู้เข้าใจ ประเทศไทยเราแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลเราต้องรู้เข้าใจว่า เราทั้งหลายอย่ายินดีในการเอาความหลงนำชีวิต อย่าไปยินดีในการเอาบ่อนคาสิโน นำชีวิตนะ
พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ศาสดาทุกศาสนาเค้ามายกเลิกบ่อนคาสิโน มายกเลิกอบายมุขอบายภูมิ ให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเรารู้เข้าใจ ทุกอย่างน่ะไม่มีปัญหา ปัญหาอยู่ที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจนะ
การประพฤติการปฏิบัติให้รู้ให้เข้าใจ แล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเป็นห่วงเรา ว่าเราจะมาหลงมาเพลิดเพลินตั้งอยู่ในความประมาท จะเป็นผู้ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญาไปกับสิ่งแวดล้อม ท่านถึงตรัสโอวาทครั้งสุดท้ายก่อนที่จะท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ”
“สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเมตตาตรัสโอวาทไว้ว่า
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอน
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืน
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเท่านั้น
ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะ ท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่ประเสริฐ เป็นผู้ที่มีลมปราณมีโอกาสพิเศษเท่าอายุขัยของตนเอง เราต้องรู้เข้าใจเราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม เรารู้สิ่งแวดล้อมว่าเพียงสัญจรไปมา สิ่งที่เป็นความรู้ความเข้าใจนี้จะได้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นการหยุดวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจ นั่นแหละคือพระนิพพานบ้านของเรา ให้เรารู้เข้าใจนะ
--------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอังคารที่ ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา