๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๒๔ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม
ความเคารพกับความสงบกับความซื่อสัตย์สุจริตนี้มันคือขบวนการอันเดียวกัน มันเป็นสิ่งที่เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ มันจะเกิดความสงบเกิดปัญญา เกิดปัญญาเกิดความสงบ
การประพฤติการปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายถึงโฟกัสลงที่ปัจจุบัน เพราะปัจจุบันนั้นเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ เน้นลงที่ใจ เน้นลงที่เจตนา การประพฤติการปฏิบัติถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ความสงบ ความเคารพ ความซื่อสัตย์สุจริตถึงเป็นกระบวนการของมรรคผลพระนิพพาน
ปัจจุบันต้องเข้าถึงความเป็นธรรม ความเป็นธรรมก็ได้แก่ความเป็นประภัสสร ความเป็นประภัสสรก็ได้แก่ความสงบ ได้แก่ความเคารพ ความซื่อสัตย์ สุจริตเป็นบริสุทธิคุณทั้งต่อหน้าและลับหลัง เป็นกรรมกรเป็นอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ การดำเนินชีวิตเอาความสงบกับปัญญาร่วมกัน เพื่อเป็นอริยมรรคเป็นอริยมรรคทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ รวมลงที่ใจ ลงที่เจตนา ถึงจะเป็นทางสายกลาง เป็นความพอดี ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเปรียบเสมือนสายพิณ สายกีต้าร์ ถ้าตึงเกินไปสายพิณนั้นก็จะขาด ถ้าหย่อนเกินไปเสียงก็จะไม่เพราะ
ความรู้ความเข้าใจที่เป็นปัญญาสัมมาทิฐิ มันจะเป็นการพัฒนาระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับการพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ จะเข้าถึงความพอดี เข้าถึงความพอเพียง ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป มันจะเป็นกรรมเป็นกฎของกรรมเป็นกฎแห่งกรรมมันจะเป็นพื้นเป็นฐาน เรียกว่าเป็นกรรมฐาน
กรรมนั้นจะบันทึกไว้เหมือนกล้องวงจรปิดน่ะ กล้องวงจรปิดที่เค้ากำลังพัฒนากล้องวงจรปิดมาทดแทนบุคลากรส่วนบุคคล กล้องวงจรปิดมันไม่มีนิวรณ์ทั้ง ๕ ไม่มีอคติทั้ง ๔
ความสงบกับปัญญามันก็จะเหมือนกับกล้องวงจรปิดที่เอาติดเรื่องกรรมเรื่องพฤติกรรม เพื่อเป็นหลักฐาน
สมมติบัญญัติทั้งหลายในโลกนี้มีหลายล้านสมมติ ให้เราเข้าใจ มีทั้งผิดทั้งถูกทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งไม่ผิดไม่ถูก ไม่ดีไม่ชั่ว ให้เราเข้าใจ กรรมคือการกระทำของเรา
เราทั้งหลายต้องมีปัญญาสัมมาทิฐิ ถ้าเราไม่มีปัญญาสัมมาทิฏฐินั้นเราจะไม่เข้าใจชีวิตของเราว่า เราเกิดมาทำไม เราเรียนหนังสือทำไม เราทำงานทำไม เป็นข้าราชการเป็นนักบวชทำไม ปัญญาสัมมาทิฏฐิมันเป็นความรู้ความเข้าใจ เราจะสงบได้ด้วยความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ
มนุษย์เราถึงต้องพากันรู้อริยสัจสี่ รู้เหตุรู้ปัจจัย ถึงมาเน้นที่ใจที่เจตนา มีความสุขมีปิติมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ชีวิตของเราจะไม่สะเปะสะปะ วกไปวนมา สะเปะสะปะ ถึงได้ตรัสว่านี้ไม่ใช่มนุษย์ เป็นได้แต่เพียงคน เป็นได้แต่ความหลง
มนุษย์เราต้องมีสัมมาทิฏฐิ เพื่อจะได้ผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยข้อวัตรข้อปฏิบัติด้วยสมมติสัจจะ
ที่องค์พระสารีบุตรเมื่อยังไม่ได้บวชในพระพุทธศาสนา ได้ไปพบไปเห็นพระอัสสชิมีความสง่างาม ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจมีความสง่างาม
พระสารีบุตรได้ตรัสถามพระอัสสชิว่า ใครเป็นครูบาอาจารย์ของท่านครูบาอาจารย์ของท่านตรัสสอนอะไร พระอัสสชิได้ตอบว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี พูดเพียงเท่านี้พระสารีบุตรผู้บำเพ็ญสาวกบารมีมา รู้เข้าใจ ได้บรรลุเป็นพระอริยเจ้าเป็นพระโสดาบัน
เราทั้งหลายต้องพากันมารู้มาเข้าใจ จะได้พากันทำถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง จะไม่ได้ไปตามความไม่รู้ไม่เข้าใจ จะไม่ได้ไปตามผัสสะ ไปตามสิ่งแวดล้อม จะไม่ได้ไปตามธาตุตามขันธ์ตามอายตนะ
เราต้องรู้เข้าใจเรื่องเหตุเรื่องปัจจัยเหมือนท่านพระสารีบุตรเข้าใจ
เราต้องเข้าใจ ตนเป็นที่พึ่งของตน ของอย่างนี้แหละสิ่งเหล่านี้แหละ ไม่มีใครปฏิบัติแทนกันได้ ต้องเข้าสู่ความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นคือเหตุคือปัจจัย
สิ่งทั้งหลายนั้นคือไฟต์แห่งการประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายจะได้รู้ว่าเราเกิดมาเพื่อมาหยุดปัญหา ไม่มาสร้างปัญหา ไม่มาหาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง ไม่หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น
ทุก ๆ คนถือว่าเป็นคนก็แล้วกัน ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้งถือว่าทุก ๆ คน ให้เข้าใจอย่างนี้ พากันมาเป็นมนุษย์ พากันมาเอาปัญญาสัมมาทิฏฐินำชีวิต เอาความสงบนำชีวิต เอาทั้งปัญญาเอาทั้งความสงบเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้หยุดความเป็นคน
เราต้องรู้ทั้งเรื่องวิทยาศาสตร์รู้ทั้งใจ เราเอาวิทยาศาสตร์เอาทั้งใจมาประพฤติปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน
เหมือนท่านพุทธทาสภิกขุรู้เรื่องทางวิทยาศาสตร์ รู้เรื่องทางวัตถุ รู้เรื่องจิตเรื่องใจ เป็นพระดีของเมืองไทย เป็นพระมีปัญญาของเมืองไทย ท่านได้พูดจากความถูกต้อง พูดจากปัญญาสัมมาทิฏฐิ จะได้เข้าสู่ความหมายแห่งความเป็นมนุษย์ ยกเลิกความเป็นคน เราต้องเข้าสู่ขบวนการแห่งการประพฤติการปฏิบัติ ท่านตรัสว่า
เป็นมนุษย์ เป็นได้ เพราะใจสูง เหมือนหนึ่งยูง มีดี ที่แววขน
ถ้าใจต่ำ เป็นได้ แต่เพียงคน ย่อมเสียที ที่ตน ได้เกิดมา
ใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ ถ้ามีครบ ควรเรียก มนุสสา
เพราะทำถูก พูดถูก ทุกเวลา เปรมปรีดา คืนวัน ศุขสันติ์จริง
ใจสกปรก มืดมัว และร้อนเร่า ใครมีเข้า ควรเรียก ว่าผีสิง
เพราะพูดผิด ทำผิด จิตประวิง แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย
คิดดูเถิด ถ้าใคร ไม่อยากตก จงรีบยก ใจตน รีบขวนขวาย
ให้ใจสูง เสียได้ ก่อนตัวตาย ก็สมหมาย ที่เกิดมา อย่าเชือน เอย ฯ
เราทั้งหลายต้องยกเลิกสังสารวัฏ เราทั้งหลายต้องพากันมาเสียสละ เสียสละวัฏฏสงสารที่ท่องเที่ยวมานาน มารู้ทางวัตถุมารู้เรื่องทางใจ มาปฏิบัติที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อเข้าถึงหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม
ที่มีผู้ทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าน่ะเป็นใหญ่เป็นเบอร์ ๑ ของโลก พระพุทธเจ้าน่ะเคารพอะไร...
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคารพในธรรม เพราะรู้แจ้งเห็นจริงว่า ทุกอย่างนั้นเป็นประภัสสร ไม่ลิดรอนสิทธิ ไม่ลิดรอนความเป็นประภัสสรของทุกอย่าง จึงเคารพในธรรมะ
คำว่าเคารพนี้ก็คือความสงบนั่นแหละ ความสงบก็คือความเคารพนั่นแหละ ถ้าใครเอาตัวเอาตนนำชีวิต เอาความรู้สึกนำชีวิต เอาธาตุเอาขันธ์เอาอายตนะนำชีวิต นั่นแสดงถึงความไม่สงบนะ ความสงบกับปัญญาถึงเป็นความพอดีความเพียงพอ เหมือนสายพิณนี้แหละ สายพิณสายกีต้าร์
การบำเพ็ญบารมีน่ะ ความดีกับปัญญามันควบคู่กันไปตีคู่กันไป
เราทุกคนต้องเป็นคนดีทั้งคนฉลาดไปพร้อม ๆ กัน ความสงบคือความตั้งมั่น ศีลกับสมาธิที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ มันเป็นความสงบเป็นความตั้งมั่นที่ติดต่อต่อเนื่องด้วยความตั้งใจตั้งเจตนาที่ไม่ด่างไม่พร้อยไม่ขาดสาย มันจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มันไม่แยกกัน
อริยมรรคมีองค์แปดนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสว่า มันเป็นการดำเนินชีวิตที่เป็นประภัสสร ด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ
เรารู้เข้าใจว่าเราเกิดมาทำไม เราเรียนหนังสือทำไม เราทำงานทำไม เป็นข้าราชนักการเมืองทำไม เป็นนักบวชเป็นศาสนาทำไม
เรามาคิดดูดี ๆ อริยมรรคมีองค์ ๘ เราก็มองเห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้นไม้ต้นนั้นได้อาหารของต้นไม้มาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้นะ ไม่ใช่ต้นไม้ต้นนั้นได้อาหารมาจากทางรากอย่างเดียว ต้นไม้ต้นนั้นได้อาหารมาจากทางใบทางกิ่งก้านสาขาทางยอดตลอดปริมณฑลได้มาจากทุกทิศทุกทางเลย ได้มาจากแสงแดดอากาศออกซิเจน ต้นไม้ต้นนั้นถึงจะงดงามสง่างาม
ความรู้ความเข้าใจมันจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดีในธรรม ในปัจจุบันธรรม ความรู้ความเข้าใจนี้จะเอามาใช้เอามาปฏิบัติ
มันจะโฟกัสเหมือนแพทย์ผ่าตัดสมอง หรือแพทย์ผ่าตัดหัวใจ แพทย์จะผ่าสมอง ผ่าหัวใจ แพทย์จะต้องมีวิชาความรู้พร้อมกับมีความสงบมันถึงจะเข้าถึงความพอดีความพอเพียงความปลอดภัย
หรือเราจะพูดให้รู้เข้าใจ สมัยโบราณเค้ามีเข็ม เข็มเล็ก ๆ แล้วรูเข็มก็เล็กลงไปอีก เราจะเย็บผ้าให้ติดกันเป็นขบวนการ เสื้อผ้าอาภรณ์ เราต้องเย็บให้ติดต่อกัน รูเข็มเล็กนิดเดียวด้านก็เล็ก มันก็ต้องมีทั้งความสงบมีทั้งปัญญา มีทั้งปัญญามีทั้งความสงบ มันถึงจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
การที่เราทุกคนจะมีปัญญา คนจะมีปัญญามันก็ต้องสมบูรณ์ด้วยมรรคด้วยอริยมรรคนะ เพราะว่าอริยมรรคมันเป็นความสงบกับเป็นปัญญา อริยมรรค มันจะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม มันจะเป็นความพอเพียงเพียงพอ จะเป็นความพอดี มันจะรู้เข้าใจด้วยปัญญา มันจะเห็นภัยในวัฏฏสงสาร รู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัติถึงจะไม่มีโทษ มีแต่คุณ มันจะผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยเอาวัตถุเอาจิตใจไปพร้อม ๆ กัน มีแต่คุณไม่มีโทษ เพราะสิ่งต่าง ๆ ในปัจจุบันถือว่าเป็นข้อสอบและข้อตอบ
เราทั้งหลายเราอย่าไปกลัว เพราะความกลัวคือความไม่ถูกต้องนะ ที่เรากลัว แสดงถึงเรามีตัวมีตนนะ ความเป็นประภัสสรู้เข้าใจจะไม่กลัวอะไร จะไม่กลัวความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก
ไปกลัวได้อย่างไร เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติเป็นประภัสสร
เรากลัวแก่มันก็ต้องแก่อยู่แล้ว เราจะไปกลัวให้มันเป็นทุกข์ทำไม ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากเราจะไปกลัวทำไม กลัวก็เป็นทุกข์ใจเปล่า ๆ
เราต้องรู้จักใจของเรา ให้ใจของเราสงบมีปัญญา ไม่ต้องกลัวร้อนกลัวหนาว กลัวทุกข์อะไร ต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราต้องขอบใจสิ่งเหล่านี้ต่างหาก ขอบใจความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก อากาศร้อนอากาศหนาวทุกอย่างเราต้องขอบใจ ๆ ๆ เพราะทุกอย่างให้เราได้ประพฤติให้เราได้ปฏิบัติ
ถ้าไม่มีความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก เราก็ไม่มีข้อวัตร ข้อปฏิบัติ เราก็ไม่มีข้อสอบ เราก็ไม่มีไฟต์ในการประพฤติการปฏิบัติ
เราต้องรู้เข้าใจ อย่าไปกลัวอะไร มีปิติมีเอกัคคตาพร้อมที่จะเผชิญหน้าในการประพฤติการปฏิบัติ อย่าไปกลัวในข้อวัตรกิจวัตร อย่าไปกลัวในศีลในสมาธิในปัญญา เราต้องเห็นภัยในความไม่ถูกต้อง เห็นภัยในวัฏฏสงสาร
ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันจะทำให้เราทั้งหลายนี้กลัวนะ กลัวรักษาศีล ๕ กลัวรักษาศีล ๘ กลัวรักษาศีล ๒๒๗ กลัวรักษาศีล ๓๐๐ กว่า ภิกษุณีศีล ๓๐๐ กว่าน่ะมันกลัว ไม่ต้องกลัวอะไร เราเกิดมาถือว่ามายกเลิกความกลัวก็แล้วกัน อย่าให้สิ่งเหล่านี้มาระคายเคืองเรา
ถ้าเราทั้งหลายพากันประพฤติพากันปฏิบัติ คนไม่ดี คนสมองไม่ดี ถ้าทำติดต่อต่อเนื่องมันจะค่อย ๆ ดีขึ้น ถ้าคนหัวดีเอาความหลงนำชีวิต เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต หัวดี ๆ สมองดี ๆ ต่อไปสมองมันจะเสียนะ
เราอย่าไปกลัวข้อวัตรกิจวัตร อย่าไปกลัวพระธรรมพระวินัย นี้มันเป็นความดีนี้มันเป็นปัญญาจะไปกลัวมันทำไม นี้มันเป็นไฟต์ในการประพฤติการปฏิบัติ
ให้เรามีความสงบเพียงพอ อย่าไปกลัว
เราตั้งทัพดี ๆ ตั้งฐานดี ๆ ไม่เป็นไรน่ะ ถ้าใจไม่สงบก็ให้กายมันสงบก่อน ถ้าใจไม่สงบก็ให้วาจากิริยามารยาทสงบก่อนน่ะ ถ้าใจไม่สงบก็ให้อาชีพสงบ อาชีพไม่เบียดเบียนคนอื่นไม่เอาของผู้อื่น เป็นผู้ให้เป็นผู้ที่เสียสละ เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าที่ว่าเคารพในธรรมในคารวธรรม ท่านเป็นผู้ให้ผู้เสียสละแก่ร่างกาย วันหนึ่งคืนหนึ่งเสียสละให้ธาตุให้ขันธ์ให้ร่างกายวันละ ๔ ชั่วโมง เสียสละให้หมู่มวลมนุษย์ สรรพสัตว์ เทพเทวาทั้งหลายวันละ ๒๐ ชั่วโมงนะ
เราทั้งหลายไม่ต้องกลัว เราทั้งหลายต้องเอาบริสุทธิคุณ อย่าเอาตัวตนนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิตมันกลัว มันวิตกกังวล มันฟุ้งซ่าน มันอคติ
เราทั้งหลายต้องเน้นสติสัมปชัญญะ พากันมาเสียสละ ถ้าไม่เสียสละ มันจะมีปัญญาได้อย่างไร มันต้องเสียสละมันถึงจะมีปัญญา
เราคิดดูดี ๆ น่ะ
ไม่เสียสละมันจะมีศีลมั๊ย... ไม่มี
เราไม่เสียสละจะมีสมาธิมั๊ย... ไม่มี
เราไม่เสียสละจะมีปัญญามั๊ย... ไม่มี
เราไม่เสียสละมันจะสงบมั๊ย... มันไม่สงบน่ะ
เราพากันมาประพฤติปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง การทำอะไรติดต่อต่อเนื่อง มันถึงจะได้ผลน่ะ
ทรายเม็ดเล็ก ๆ หรือว่าดินเล็ก ๆ เป็นฝุ่น เอามารวมกันก็เป็นผืนแผ่นดินนะ
น้ำน่ะ น้ำฝนเม็ดเล็ก ๆ เอามารวมกัน ฝนตกเรื่อย ๆ มันก็เป็นทะเลเป็นมหาสมุทร
ต้องรู้เข้าใจ เรามีความสงบมันต้องมีความเคารพมันถึงจะมีปัญญา
เราคิดดูดี ๆ สิถ้าใครทำอะไรตามใจตามอารมณ์ตามความหลง เรามองดูแล้วคนนั้นน่ะ กาลเวลาจะเห็นปรากฏการณ์ เห็นเป็นโรคจิตโรคประสาทมากขึ้น หรือมองเห็นเป็นความยากจนด้วยวิบากกรรมอะไรต่าง ๆ
ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันไม่สงบไม่มีปัญญา มันไม่รู้ไม่เข้าใจ
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นความหยุด เป็นความสงบ เป็นความวิเวก สงบด้วยความรู้ความเข้าใจ สงบด้วยข้อวัตรกิจวัตร ด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา มันเป็นความว่างจากที่ความรู้ความเข้าใจ เป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่สิ่งนั้นไม่มี ธาตุก็มี ขันธ์ก็มี อายตนะภายนอกภายในก็มี เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่
เรามีตาเนื้อตาหนังตาจักขุเราก็ต้องมีตาปัญญาควบคู่กันไป ความสงบกับปัญญามันต้องควบคู่กันไป ศีลนั้นแหละคือความสงบ สมาธินั้นแหละคือความสงบ สงบด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ
เราทั้งหลายพากันรู้นะ รู้เข้าใจ เราอย่าไปเอาของใครนะ เราต้องเป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละ
ไม่เข้าใจก็เหมือนพระเจ้าสุทโธทนะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เสด็จมาเพื่อโปรดพระบิดามารดา มาถึงบ้านถึงเมืองเวลาเช้าออกภิกขาจารบิณฑบาตเป็นขอทาน ขออาหารจากประชาชนจากมหาชน
พระเจ้าสุทโธทนะ ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเสียสละท่านไม่เอาอะไร มีชีวิตอยู่ด้วยไม่มีไม่เป็น ไม่เอาอะไร มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา ท่านออกภิกขาจารบิณฑบาต
พระเจ้าสุทโธทนะเป็นแต่ผู้เอา คิดไปคนละอย่าง ได้กราบถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าไม่ต้องไปภิกขารจารหรอก ของเรามีเยอะ อาหารเรามีเยอะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พูดให้รู้เข้าใจ นี้เป็นประเพณีของพระพุทธเจ้า ต้องเสียสละ ธรรมะที่ทำให้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าคือการเสียสละถึงจะมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ มันเป็นการยกเลิกสังสารวัฏ ยกเลิกการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อเรายกเลิกตัวตนแล้วเราก็จะมีความสงบมีปัญญา กายวาจากิริยามารยาท หัวใจของเราน่ะมันจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี มันจะสงบเย็นเป็นพระนิพพานทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพใจ มันจะเย็น เย็นออกมาจากใจจากพระนิพพานออกจากเจตนาด้วยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ
พระเจ้าสุทโธทธนะรู้เข้าใจได้บรรลุธรรม เอาความหลงออกไป เอาธรรมนำชีวิตไม่เอาความหลงนำชีวิตเรียกว่าบรรลุธรรมน่ะ ธรรมนำไปไม่ใช่ตัวตนนำไป
เพราะสิ่งต่าง ๆ นั้นน่ะเราต้องผ่านด่านไป ผ่านด่านทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ผ่านด่านรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยความสงบ ด้วยความเสียสละ ด้วยปัญญา
เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ทุกท่านทุกคนต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง
คนโบราณนี้เค้าไม่ทันสมัยเหมือนคนสมัยใหม่ เค้าก่อไฟเค้ามีเหล็กมีหินตีกันออกเป็นแสง แสงเหมือนช่างเชื่อมเชื่อมเหล็กออกเป็นแสงอย่างนั้น เค้ามีนุ่นมีสำลีหรือขูดเอาไม้แห้งแสงนั้นก็จะติดเป็นไฟ หรือว่าเค้าเอาไม้ไผ่สองอันมาผ่าลงนิดหน่อยแล้วก็ถูไปถูมาสม่ำเสมอ ไม่นานไม่กี่นาทีก็ติดลุกเป็นไฟได้
การประพฤติการปฏิบัติ รู้เข้าใจ ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกัน การทำอะไรด้วยความรู้ความเข้าใจมันก็เหมือนกับเอาดินเม็ดเล็ก ๆ มาถมน่ะ ถมพื้นที่ หรือว่าเอาดินนั้นมาทำเขื่อน มันต้องติดต่อต่อเนื่องกัน
ความรู้ความเข้าใจนี้มันจะเป็นความสงบเป็นปัญญาที่ติดต่อต่อเนื่องกัน มันจะเป็นชิฟฝังอยู่ในธาตุในขันธ์ในสัญญาขันธ์ มันบันทึกไว้เหมือนกล้องวงจรปิดนี้แหละ
กล้องวงจรปิดที่ประเทศที่เค้าเจริญเค้าใช้กล้องวงจรปิด ไม่ต้องใช้ตำรวจทหาร ตำรวจทหารบางครั้งบางคราวก็อาจจะนอนหลับ แต่กล้องวงจรปิดเป็นอุปกรณ์อย่างดีไม่นอนหลับไม่ขี้เกียจขี้คร้าน ตัวตนมันขี้เกียจขี้คร้านมันนอนหลับ ตัวตนมันขี้เกียจขี้คร้าน ประเทศที่เค้าเจริญแล้วเค้าใช้วงจรปิด ถึงไม่เห็นตำรวจทหารตามถนนหนทางในที่ต่าง ๆ
ให้เราเข้าใจนะ ความสงบเป็นปัญญานะ มันจะเป็นความพอดีเป็นความพอเพียงมันจะบันทึกความติดต่อต่อเนื่องเหมือนสถาปนิกกับวิศวกรทำเขื่อน ต้องให้ได้มาตรฐานให้ได้ มอก. ทำติดต่อต่อเนื่องกัน ถึงจะเก็บน้ำเพื่อเอาไปบริโภคทำเกษตรกรรม เกษตรกร
ทุกอย่างน่ะแก้ปัญหาได้ ความรู้ความเข้าใจนี้ หลายพันกิโลก็เอาน้ำมาได้ เพราะเป็นขบวนการ ถนนหนทางไม่ดีก็ทำได้ หรือไม่ทำถนนก็ใช้เครื่องบินบินบนอากาศก็ได้ อย่างนี้แหละ เพราะเราต้องเอาวิทยาศาสตร์เอาใจมาใช้มาทำงาน
เราทั้งหลายอย่าพากันไปย่ำต๊อกในอวิชชา ย่ำต๊อกในความหลงเป็นได้แต่อวิชชาเป็นได้แต่ความหลงทำไม เพราะอันนี้คือความไม่ถูกต้อง ความไม่ถูกต้องนั่นแหละ คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ชีวิตนี้แหละมันจะพังทลายเหมือนตึก สตง.ของเมืองไทย
เห็นมั๊ย ตึกสตง.ของเมืองไทย สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ไปตรวจคนอื่น ไปจัดการแต่ละคนอื่นแต่ไม่ได้ดูตัวเองไม่มีความสงบไม่มีปัญญามีแต่ความฟุ้งซ่าน ชีวิตของเราก็เหมือนกัน ผลลัพธ์มันก็พังทลายเหมือนตึก สตง.
เราต้องรู้เข้าใจ ต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก อย่าเอาตัวเราเป็นหลัก เพราะตัวเรานั้นคือความฟุ้งซ่าน เพราะตัวเรานั้นคือวัฏฏสงสาร เพราะตัวเรานั้นคือความไม่สงบ เพราะตัวเรานั้นคือไม่มีปัญญา ต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้เข้าใจมันก็ทำไม่ถูกต้องไปเรื่อย
เหมือนประเทศไทยเรานี้แหละ โครงการเรื่องเหล้าเรื่องเบียร์เรื่องยาเสพติดมันมีมาแล้วร่วมร้อยปี มันแก้ปัญหาไม่ได้ มีแต่มากทวีคูณขึ้น เพราะไม่รู้อริยสัจสี่ไม่รู้ความจริง ไม่ได้เอากฎหมายมาใช้ ไม่ได้เอากฎหมายมาประพฤติมาปฏิบัติไม่รู้หลักการไม่รู้อุดมการณ์ไม่รู้อุดมธรรม เลยมีแต่ความไม่รู้ไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ
การปกครองตนเองปกครองคนอื่นเค้าต้องเอาธรรมนำชีวิตเอานูญนำชีวิต ไม่ใช่เอาความหลงเอาตัวตนนำชีวิต
กฎหมายเค้าถึงต้องมีการปรับไหม เท่านี้พันเท่านี้หมื่นเท่านี้แสนเท่านี้ล้าน กฎหมายเค้าถึงต้องมีการจำคุกติดต่อ กฎหมายเค้าถึงมีการประหารชีวิต
เราต้องรู้เข้าใจเรื่องกฎหมาย เพราะกฎหมายเป็นธรรมเป็นธรรมนูญ เพราะกฎหมายคือหยุดกฎแห่งกรรมที่ไม่ถูกต้อง เพื่อเราจะได้เอาความถูกต้องนำชีวิต
กฎหมายมันเป็นภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ มันถึงจะหยุดทุจริตได้ หยุดการพังทลายเหมือนตึก สตง. ของเมืองไทยได้
ในพระศาสนาก็มีการปรับอาบัติ มีการขังคุกหรือว่าอยู่กรรมอยู่ปริวาสกรรม ในพระศาสนานี้ก็ประหารชีวิตเหมือนกัน ประหารชีวิตหมายถึงไม่ให้บวชเป็นพระ ไม่ให้โกนหัวเหมือนพระพุทธเจ้า ไม่ให้ใส่ผ้าจีวรเหมือนพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม ให้เรารู้เข้าใจ มันถึงจะเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นปัญญาเป็นความสงบ
เราทั้งหลายถึงไม่มีสิทธิที่จะทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยนะ
เราเกิดมาเพื่อเอาธรรมนูญนำชีวิตเอาความถูกต้องนำชีวิตไม่มีสิทธิพิเศษที่จะได้ทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย
เราต้องรู้เข้าใจเราจะได้ไม่เอาความหลงนำชีวิต
พวกเรานี้ไม่ใช่คนรักตัวเองนะ เป็นคนหลงตัวเองหลงตัวเองว่าตัวเองเป็นผู้หญิงผู้ชาย เป็นคนหนุ่มคนสาวเป็นคนแก่คนเฒ่าคนชรา เป็นคนดีกว่าเค้าเก่งกว่าเค้า มีปัญญามากกว่า เค้ามีเพาเวอร์มากกว่าเค้า อะไรก็เค้าอะไรก็เรา หรือว่าปฏิบัติพอ ๆ กันนั่นแหละ หรือว่าสู้เขาไม่ได้
เราต้องรู้เข้าใจการปฏิบัติคือความสงบคือปัญญา ไม่มีใครเก่งใครไม่เก่งเราต้องรู้เข้าใจ ความเก่งไม่เก่งนั้นคือความปรุงแต่ง ตัวตนนั้นคือความปรุงแต่ง
ต้องรู้เข้าใจจะมาเก่งไม่เก่งไม่ได้ ไม่มีใครเหนือความถูกต้อง เหนือความเป็นประภัสสรไปไม่ได้ เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจก็จะปล่อยไปเรื่อย
เหมือนเรื่องสวมหมวกกันน็อคนี้แหละ เมืองไทยของเราตั้งแต่รถจักรยานยนต์ เข้ามาในเมืองไทยก็มีกฎหมายเรื่องผู้ขับขี่จักรยานต้องสวมหมวกกันน็อคเพราะการขับขี่จักรยานยนต์มันเร็วก็ต้องสวมหมวกกันน็อค เพราะถ้ามีอุบัติเหตุหัวมันจะไม่น็อคพื้น กันไว้ก่อนกันกระแทกไว้ก่อน
เหตุการณ์ที่ผ่านมา กฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษรตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๒๒ ขณะนี้แหละปีพุทธศักราช ๒๕๖๘ มันก็เป็นเวลาผ่านไปแล้วก็ ๔๖ ปีแล้วก็ทำไม่ได้ เพราะคิดว่าไม่สำคัญ
ปีนี้แหละ ทางรัฐบาลได้เห็นตัวอย่างแบบอย่างความไม่ถูกต้อง ได้เห็นตึกสตง. มันพังทลาย เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งมันพังทลาย ต้องเอากฎหมายเอาธรรมนูญนำชีวิตมันถึงไม่พังทลาย ถึงประกาศเป็นทางการว่า ประเทศไทยเราไม่มีใครยกเว้น ใครขับขี่จักรยานยนต์จะใกล้หรือไกลในทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงชนบท ในหมู่บ้าน ต้องสวมหมวกกันน็อค ถ้าไม่สวมหมวกกันน็อคจะถูกปรับ
เมืองนอกเมืองที่เค้าเจริญเค้าปรับหลายพันนะ ครั้งต่อไปก็เป็นหมื่น ๆ ไม่ใช่หลักพันนะ ครั้งต่อไปอีกก็ยึดใบขับขี่เลย ชาตินี้ทั้งชาติไม่สวมควรที่จะให้ขับขี่ เพราะเป็นคนไม่เอาความถูกต้องนำชีวิต เป็นคนที่ไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปไม่เคารพในความเป็นประภัสสรในธรรมในธรรมนูญในความถูกต้อง เพราะธรรมะมันก็ต้องเป็นธรรมะ มันจะเป็นตัวเป็นตนได้อย่างไร เวลาก็คือเวลาเป็นความถูกต้อง เราจะได้ปรับตัวเองเข้าหาเวลาเข้าหาธรรมะเข้าหากฎหมายบ้านเมือง
ความไม่มีทุกข์อยู่ที่เรารู้เข้าใจเราก็มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อจะได้หยุดอุบัติเหตุ อุบัตเหตุทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีเลย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มีแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มี เพราะมันเป็นวัฏฏสงสารเป็นสังสารวัฏ เราต้องรู้เข้าใจสิ่งเหล่านี้ เราจะให้มันไม่มีมันเป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อเรามีตาก็มีรูปมีหูก็มีเสียง มีจมูกก็มีกลิ่น เรามีลิ้นก็มีรส เรามีกายก็มีสัมผัส เรามีใจก็มีเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องอารมณ์ เราทั้งหลายจะได้มารู้แจ้งเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องวิทยาศาสตร์
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องปฏิจจสมุปบาท ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงระลึกถึงการดำเนินชีวิตเปรียบเสมือนสายพิณ ถ้าตึงเกินไปมันก็จะขาด ถ้าหย่อนเกินไปเสียงมันก็ไม่เพราะ ท่านได้กลับมาหาความพอเพียงเพียงพอ เสวยข้าวมัทธุปายาสของนางสุชาดา
(ให้ผู้แสดงธรรมเล่าเรื่องของนางสุชาดาถวายข้าวมัทธุปายาสจนไปถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสวยวิมุติสุข)
ธรรมะมันเป็นความรู้ความเข้าใจ มันเป็นสัมมาทิฏฐิ เน้นที่ปัจจุบันเป็นธรรมเป็นคารวธรรม
พวกเราต้องพากันรู้เข้าใจ เราทั้งหลายถึงจะเข้าถึงความสงบความพอเพียงเพียงพอ ที่เป็นปัญญาบริสุทธิคุณ ก้าวไปด้วยเหตุด้วยปัจจัยที่เป็นกระบวนการของเหตุของปัจจัย ด้วยพระธรรมพระวินัย เป็นกระบวนการของปฏิจจสมุปบาท
ให้หมู่มวลมนุษย์ที่เป็นประชากรของโลกพากันเข้าใจนะ ใช้ได้ทุกชาติทุกศาสนา ธรรมชาตินั้นไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ เพราะธรรมชาติเป็นประภัสสร
ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายที่เป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐเป็นผู้มีลมปราณ เราทั้งหลายต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ ปฏิบัติสมควรที่จะเคารพกราบไว้ทั้งตนเองและผู้อื่นด้วย “สุคะโต โลกะวิทู”
ด้วยบริสุทธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านได้ตรัสปัจฉิมโอวาทไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
เราต้องเข้าสู่ความไม่ประมาทด้วยสติคือความสงบ สัมปชัญญะตัวปัญญา ณ โอกาสนี้ด้วยกันทุกท่านทุกคน
-----------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอังคารที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา