๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๘ (คุณแม่ชีวรรณี)
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๑๘ เดือน ๘ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ตรงเลข ๘ เป็นอริยมรรคมีองค์ ๘
คุณแม่ชีวรรณี วงศ์ใหญ่ เกิดเมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๔๙๗ ที่อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ได้ละสังขารวายชนม์เมื่อหลังเที่ยงคืนของวันที่ ๑๗ สิริอายุขัย ๗๑ ปี ท่านเป็นแม่ชีที่ดีมาก เป็นผู้มีปัญญามาก เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เอาธรรมนำชีวิต รู้ธรรมเข้าใจในธรรมในสภาวธรรม ว่าพระธรรมพระวินัยมันเป็นเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม ได้รับโอวาทธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าจากท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี ท่านเอาพระธรรม เอาอริยมรรคมีองค์แปดนำชีวิต
อริยมรรคมีองค์แปดก็เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งนี้แหละ ต้นไม้ต้นนั้นได้อาหารมาจากทางกิ่งทางใบทางยอดทางกิ่งก้านสาขาตลอดปริมณฑล ทั้งแสงแดดอากาศออกซิเจนต่าง ๆ เพื่อเป็นวิตามินโปรตีนเกลือแร่แร่ธาตุที่สมบูรณ์ของต้นไม้นั้น
ธรรมะคือสิ่งที่รู้เข้าใจเป็นอริยมรรคมีองค์แปดครบวงจรของชีวิตทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งใจ ทำอะไรก็ตั้งอยู่ในธรรมในปัจจุบันธรรม เพราะรู้ว่าทุกอย่างคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม รู้ความเกิดมันมาจาเกิดจากปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี
พวกเราทั้งหลายที่มีชีวิตอยู่ให้พากันรู้เข้าใจนะ ว่าทุกคนน่ะคือเหตุคือปัจจัย เราต้องรู้เหตุรู้ปัจจัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสบอกพวกเราทั้งหลายว่า เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อจะหยุดกรรมหยุดกฎแห่งกรรมหยุดผลของกรรม เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพราะความประมาทนั้นคือความผิดพลาดคือความด่างความพร้อยความทะลุความเศร้าหมอง
เราทุกคนให้พากันรู้เข้าใจ จะได้เห็นคุณเห็นประโยชน์เห็นโทษ รู้จักเรื่องเกิด รู้จักเรื่องหยุดเกิด
เราทั้งหลายเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐ อายุขัยของมนุษย์ปัจจุบันนี้แหละ อยู่ได้ ๑ ศตวรรษคือร้อยปี เอาธรรมนำชีวิตมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ อยู่ได้มากกว่าร้อยปีนะ
สิ่งที่เป็นความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากนี้มันเป็นผลของกรรมนะ ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้งภายใน ๖ ภายนอก ๖ รวมกันเป็น ๑๒ นี้เป็นกรรมเป็นผลของกรรมเป็นกฎแห่งกรรมที่ท่านตรัสว่า มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นผู้ให้ผล นี้คือผลของกรรม เราทั้งหลายต้องรู้กรรม อันนี้เป็นปลายเหตุเราต้องรู้น่ะ ก่อนที่เรายังไม่ได้ทำไม่ได้คิด ไม่ได้พูด ไม่ได้ทำ ยังไม่ได้ประกอบอาชีพ เรานั้นคือผู้ไม่มีกรรมไม่มีเวรนะ
จิตเดิมแท้นั้นเป็นประภัสสรนะ สิ่งที่มันสัญจรไปมาในธาตุขันธ์ ในขันธ์ ในอายตนะนี้มันสัญจรไปมาทางตาหูจมูกลิ้นกายใจอะไรต่าง ๆ เหล่านี้มันเป็นเพียงอาคันตุกะที่จรไปจรมา มันจรไปจรมาทางธาตุทางขันธ์ทางอายตนะ ให้พวกเราเข้าใจอย่างนี้ สิ่งเหล่านั้นคือความว่างจากสิ่งปราศจากตัวตนนะ
เรารู้เข้าใจ เรามีตารูปมันถึงมี เรามีหูมันถึงมีเสียง เรามีจมูกมันถึงมีกลิ่น เรามีลิ้นถึงมีรส มีกายถึงมีสัมผัส มีใจถึงมีเรื่องจิตเรื่องใจมีความนึกคิดมีอารมณ์ อันนี้เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้รู้ว่าธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ มันเพียงสัญจรไปมา
เราทั้งหลายเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ เราต้องมารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้สร้างความดี สร้างปัญญา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเมตตาบอกพวกเราทั้งหลายว่า เธอทั้งหลายน่ะต้องรู้เข้าใจ อย่าได้ประมาท อย่าได้หลง อย่าได้เพลิดเพลินไปตามสิ่งที่สัญจรไปมา ทางธาตุทางขันธ์ทางอายตนะ เราอย่าได้ไปประมาท ให้ถือว่าสิ่งต่าง ๆ นั้นเป็นโอกาสที่ให้เราได้ประพฤติได้ปฏิบัติ เราจะได้หยุดวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยมากมายก่ายกองแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ เป็นสิ่งที่จะมาหยุดจะมายกเลิกมาแคนเซิลให้เรารู้เข้าใจ
เราจะเดินทางไกลเราต้องอาศัยปลีแข้งของเราสองขานี้ก้าวไปทั้งซ้ายทั้งขวา มนุษย์สมัยใหม่นี้ต้องก้าวไปด้วยรถด้วยเครื่องบินด้วยเรือ เพราะในโลกที่เราอยู่นี้ มันมีน้ำ ๓ ส่วน มีดินส่วนหนึ่ง โลกกลม ๆ นี้นะ โลกที่หมุนรอบตัวเองหมุนรอบดวงอาทิตย์มันเป็นวงกลมหมุนรอบตัวเอง มีกลางวัน ๑๒ ชั่วโมง กลางคืน ๑๒ ชั่วโมง
เราคิดดูดี ๆ นะ อันหนึ่งก็ความสงบอันหนึ่งก็ปัญญา มันเป็นความพอดีความพอเพียง ชีวิตนี้ถึงมีความสงบมีปัญญา ชีวิตนี้ถึงต้องมีทั้งความสงบทั้งปัญญา เรียกว่าเอาทั้งสมถะวิปัสสนาไปพร้อม ๆ กัน เพราะอันนี้คือกรรม คือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เอาหลักการที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านได้บำเพ็ญพุทธบารมีหลายล้านชาติหลายอสงไขย
ให้รู้เข้าใจนะ ทุกคนจะเหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรมนั้นไม่ได้ เขาถึงเรียกว่ากรรมฐาน มีกรรมเป็นพื้นฐาน
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจจะได้เอาความถูกต้องนำชีวิต เป็นการพัฒนาเรื่องจิต/เรื่องใจเป็นการพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน ถ้าเราจะเอาแต่เรื่องจิตเรื่องใจก็ไม่ได้เพราะเรามีร่างกาย เราจะเอาแต่ร่างกายแต่วัตถุก็ไม่ได้ เพราะเรามีเรื่องจิต เรื่องใจ ต้องเข้าสู่ทางสายกลาง เอาความสงบเอาปัญญาเป็นปฏิปทา ก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา
เราทั้งหลายเป็นผู้ที่ประเสริฐนะให้มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ชีวิตของเราจะได้มีทั้งตาเนื้อตาปัญญา ชีวิตของเราจะก้าวไปด้วยความสว่างไสวเรียกว่า ว้าว ว้าว ว้าวไปเลยทีเดียว ให้รู้เข้าใจ
การประพฤติการปฏิบัติให้เน้นมาที่ตัวเรา เพราะไม่มีใครปฏิบัติให้เราได้ พระพุทธเจ้าท่านก็ปฏิบัติของท่าน พระอรหันต์ได้ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็เน้นที่ตัวท่าน
เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องเน้นที่ตัวเรา เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าไม่มีปิติมีความสุขเอกัคคตามันก็มีความทุกข์ความทุกข์กับโรคซึมเศร้ามันก็คืออันเดียวกันให้รู้เข้าใจนะ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมตตาตรัสว่าอย่าไปประมาท ความประมาทมันเป็นความผิดพลาด มันเป็นความเสียหายเป็นสิ่งที่จะพังทลายนะ
เราคิดดูดี ๆ สิ ประเทศไทยของเราเกิดความเสียหายด้วยไม่มีความรู้ความเข้าใจ ในเรื่องทางวิทยาศาสตร์ในทางเรื่องจิตเรื่องใจ ผลที่เป็นประจักษ์พยานมันเสียหาย มันพังทลายก็คือตึก สตง.ของเมืองไทย ตึกอื่นก็มีมากมายหลายสิบตึกอย่างนี้แหละ เค้าก็ไม่พังทลาย เพราะความแข็งแรงความมาตรฐานเค้าพอจะทนแผ่นดินไหว แผ่นดินไหวอยู่ไกลอยู่ตั้งไกลอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ประเทศพม่า ห่างไกลกันตั้งพันกิโล ความไม่ถูกต้องมันพังทลายมันเสียหายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ
ให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจนะ อย่าไปประมาท ถ้าเราประมาทแล้ว มันก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายต้องพลัดพราก เพราะอันนี้เป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม เดี๋ยวกรรมมันจะเช็คบิลทุกคน ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากนี้คือกฎของกรรมนะให้รู้เข้าใจ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจว่าพระรัตนตรัยคือพระพุทธเจ้า คือพระธรรม คือพระอริยสงฆ์ พระพุทธเจ้าไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนนะ พระพุทธเจ้า คือความรู้ความเข้าใจแล้วมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ มีปิติมีความสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ พระพุทธเจ้าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน อย่างนี้ให้รู้เข้าใจ พระธรรมคือธรรมะ คือความสงบและปัญญาไม่ใช่ความปรุงแต่ง ตัวตนนั้นคือความปรุงแต่งนะ มันปรุงมันแต่ง
ให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เราต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี อยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่า เราจะไปปรุงแต่งมันทำไม อยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยจะไปคิดปรุงแต่งทำไม เราไม่อยากให้มันแก่มันเจ็บมันตาย มันก็แก่เจ็บตายเราจะไปปรุงแต่งให้ทุกข์ทำไม
เราต้องรู้เข้าใจเรื่องความสัญจรไปมาเรื่องธาตทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ มันก็มีอย่างนี้แหละเป็นประภัสสรอย่างนี้แหละ เราอย่าไปลิดรอนความจริงลิดรอนความถูกต้อง ลิดรอนความเป็นประภัสสร ทุกอย่างเค้าทำหน้าที่ของเค้า
เราทั้งหลายต้องมีความสงบมีปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านให้เข้าใจอย่างนี้นะ พระพุทธเจ้าคือปัญญาบริสุทธิคุณรู้เรื่องของกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรม เอาธรรมนำชีวิต เอาพระธรรมพระวินัย
ที่มีคนตรัสถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าท่านเคารพอะไร พระพุทธเจ้าบอกว่า พระพุทธเจ้าเคารพในธรรมคารวะในธรรม เพราะทุกอย่างคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม เราจะไปมีเรามีเขา มีช้ามีเร็ว มีแก่เจ็บตายพลัดพรากไม่ได้ เราจะไปปรุงแต่งไม่ได้ เรารู้เข้าใจเรียกว่าสงบในธรรม ความสงบกับความเคารพในมันคืออันเดียวกัน ถ้าเรามีความสงบเราก็มีความเคารพ ในสิทธิ ให้รู้เข้าใจ
เราทั้งหลายเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งมันจะสงบได้อย่างไร เพราะตัวตนนั้นมันไม่สงบ ตัวตนนั้นคือความวุ่นวายคือความขัดข้อง เหมือนพระยสะเป็นคนรวยเป็นคนดีเป็นเศรษฐี ถ้าเป็นอะไรก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น เพราะเป็นอะไรก็ไม่สงบทั้งนั้น
พระยสะก็บ่นในใจเดินไปเรื่อยจนไปถึงที่ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าที่นี่สงบ ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง เธอทั้งหลายจงมาที่นี่เถิด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็พูดให้ฟังให้รู้เข้าใจ เราจะไม่ได้เอาความหลงนำชีวิต ไม่เอาตัวตนนำชีวิต เป็นคนรวยมันก็ต้องมีความทุกข์เพราะมีตัวมีตน เพราะเป็นคนรวยไม่รู้จักอริยสัจสี่ ถ้าไม่รู้จักอริยสัจสี่ก็ไม่มีความพอ มันก็รวยแต่ภายนอก รวยแต่ตัวแต่ตน มันไม่รู้จักพอให้รู้เข้าใจ ความทุกข์นี้มันไม่ได้เกี่ยวกับรวยกับจนนะ เกี่ยวกับความรู้เข้าใจ แล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในความดับทุกข์ ความดับทุกข์มันมีได้กับเราทุก ๆ คนเพราะถือว่าความเป็นพระอริยเจ้ามีกับเราทุก ๆ คน เราจะเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่เป็นคนแก่คนเฒ่าคนชรา เป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวชหรือเป็นศาสนาต่าง ๆ มันดับทุกข์ได้เหมือนกันทุกคนไม่มีใครยกเว้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าไม่มีใครยกเว้น เพราะทุกข์มันก็เป็นสากล ความดับทุกข์ก็เป็นสากล
เรารู้เข้าใจ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เอาอริยมรรคมีองค์แปดนี้แหละ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติทุกข์จะมาจากไหน เพราะทุกอย่างมันอยู่ที่ธรรมที่ปัจจุบันธรรม เพราะวาจิตของเรามันคิดได้ทีละอย่างอันไหนไม่ดีก็ไม่ตรึกไม่นึกไม่คิด
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าไม่ให้เราทั้งหลายตรึกในกาม กามคือตัวตนคือความยึดมั่นถือมั่น ไม่ตรึกในพยาบาท ตัวตนคือพยาบาทรู้เข้าใจ สองอย่างนี้มันคือความปรุงแต่งเราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ปฏิบัติครบวงจรจากใจจากเจตนา
ให้พวกเรารู้เข้าใจ รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณน่ะมันเป็นอุปกรณ์ มันเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรมเราต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้เอาธาตุ เอาขันธ์เอาเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเป็นเรา เราต้องรู้เข้าใจความสงบกับปัญญาต้องก้าวไปอย่างนี้ เราทั้งหลายจะเป็นพระได้ เป็นพระได้ทุก ๆ คน ต้องรู้เข้าใจ เราอย่าไปหาพระที่ไหนไปหาพระที่อื่นไม่ได้ ไปหาพระที่อื่นมันจะพังทลายเหมือนตึก สตง. ต้องหาพระที่ตัวเรานี้แหละ
เราต้องมีหลักการมีอุดมการณ์อุดมธรรม ยกเลิกอุดมแห่งตัวตน อุดมแห่งความหลง มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
พระพุทธเจ้าเป็นอมตะ พระธรรมเป็นอมตะ พระอรหันต์ขีณาสพเป็นอมตะสิ่งที่จากไปเป็นเพียงแต่สรีระ เป็นแต่ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ ให้เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้โศรกเศร้าเสียใจในเรื่องไปเรื่องมา เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญาให้เข้าใจอย่างนี้นะ
คุณแม่ชีวรรณีท่านเป็นคนดีคนมี่ปัญญาอันนี้ก็เป็นเรื่องของท่านไม่ใช่เรื่องของเรา ท่านจากเราไปท่านก็จากไปแต่สรีระ ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ แต่ความเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมเป็นพระนิพพานก็อยู่กับเรานี้แหละ
พระนิพพานคือความสงบและปัญญา หยุดความปรุงแต่งหยุดความชอบไม่ชอบหยุดด้วยความรู้ความเข้าใจมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัติให้เรารู้เข้าใจ เอาปัจจุบันเป็นหลัก เพราะอดีตมันก็มารวมที่ปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตก็จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้แหละ ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันถึงเป็นไฟต์ เป็นไฟต์แห่งชีวิตเป็นไฟต์แห่งการประพฤติการปฏิบัติ เป็นไฟต์ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ มันเป็นไฟต์นะ มันเป็นการชิงแชมป์ ชิงแชมป์ระหว่างการเวียนว่ายตายเกิด และการหยุดการเวียนว่ายตายเกิด เป็นระหว่างโลกกับธรรมนะ
เราต้องรู้เข้าใจเราทั้งหลายให้พากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราอย่าไปลิดรอน ไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บไม่อยากตายนี้คือลิดรอนนะ นี้คือความปรุงแต่งนะ ไม่ใช่ความสงบปัญญา
เราทั้งหลายต้องก้าวไปด้วยความสงบด้วยปัญญาเรียกว่าเป็นศีลนะ เป็นศิลปะชีวิตนะ เป็นสมาธินะ มันว่างจากอดีตอนาคต ปัจจุบันก็มีแต่ความว่าง ยกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕ ยกเลิกอคติเอียงไปเอียงม าโยกไปโยกมา ที่เราคารพนอบน้อมต่อความหลงเหมือนพระเหมือนแม่ชีที่พากันอ่อนน้อมต่อความหลง นั่งโยกไปโยกมา เค้าเรียกว่าอ่อนน้อมต่อความหลง เราจะอ่อนน้อมต่อความหลงไม่ได้
เราต้องรู้เข้าใจว่าเราต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ
การประพฤติการปฏิบัติของเราน่ะ เราอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติที่นั่น การปฏิบัติก็เหมือนเงาตามตัวอย่างนี้ ไม่เลือกกาลสถานที่ เรามีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตะ ๑๒ คือการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ เราจะได้รู้จักว่าสิ่งที่สัญจรไปมาทางธาตุทางขันธ์ทางอายตนะมันเพียงสัญจรไปมา เราจะได้เข้าถึงความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากสิ่งไม่มีอยู่มันจะมีประโยชน์อะไร มันต้องว่างจากสิ่งที่มีอยู่ เราทั้งหลายจะได้รู้จักการประพฤติการปฏิบัติ
เราอยู่ในเมืองกรุงเราก็ต้องว่างจากสิ่งที่มีอยู่ อยู่ต่างจังหวัดว่างจากสิ่งที่มีอยู่อยู่ป่าอยู่เขาก็ต้องว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่มันจะมีประโยชน์อะไร
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้หยุดด้วยความรู้ความเข้าใจ หยุดด้วยสมถะ คือศีลคือพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่แปดหมื่นสี่พันธธรรมขันธ์ เน้นเรื่องจิตเรื่องใจเน้นเรื่องเจตนา การปฏิบัติถึงไม่มีต่อหน้าลับหลัง ถ้ามีต่อหน้าลับหลังนี้ไม่ถูกต้อง เราต้องเน้นที่ใจที่เจตนาไม่มีต่อหน้าและลับหลัง เพราะการปกปิดคนอื่นนี้ปกปิดได้แต่ปกปิดตัวเองนี้ปกปิดไม่ได้ เพราะตัวตนคือโจรคือมหาโจรคือความทุกข์ความจน คือความบกพร่อง เราเอาความบกพร่องนำชีวิตมันไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่ความซื่อสัตย์ มันมีต่อหน้าลับหลัง มันเป็นการเสแสร้ง มันเป็นการจัดฉาก มันมีตัวมีตน มันถึงมีต่อหน้าและลับหลัง พระธรรมพระวินัยถึงเป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร
คำว่าพระนี้ถึงตอบได้สองอย่าง พระนี้คือผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารไม่มีต่อหน้าและลับหลัง เพื่อเอาธรรมนำชีวิตเอาความสงบและปัญญานำชีวิต
พระอีกอย่างหนึ่งคือผู้ขอ ไม่เอาอะไรทั้งนั้น ทิ้งอดีตอนาคต เอาแต่ปัจุจบัน เอาแต่พระธรรมเป็นพระวินัย เป็นผู้ให้ผู้เสียสละ พระคือผู้ไม่เอาไม่มีไม่เป็น เป็นผู้ให้ เป็นผู้เสียสละ ไม่เอาอะไร เป็นผู้อยู่ด้วยไม่สะสมอะไร พระในพระธรรมพระวินัยนี้ ไม่เอาอะไร ปลงผมนุ่งห่มจีวร ฉันอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว
พระพุทธเจ้าฉันอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียวนะ พระพุทธเจ้าไม่ฉันเพล ฉันครั้งเดียวฉันเอกา พระพุทธเจ้าไม่ฉันเพลนะ ฉันในบาตรอะไรก็ใส่ลงในบาตรไม่ฉันในถ้วยโถโอจาน จานจีนจานฝรั่ง พระพุทธเจ้าไม่ฉันโต๊ะอะไรทั้งนั้น ฉันในบาตร ฉันครั้งเดียวมื้อเดียว
ทำไมพระในประเทศไทยเณรในประเทศไทย นักบวชหญิงบวชชาย พากันฉันหลายครั้ง ฉันทั้งโต๊ะไทยโต๊ะจีนโต๊ะฝรั่ง อันนั้นถือว่าไม่ถูกต้อง
พระที่แท้จริงไม่รับเงินรับสตางค์ไม่เก็บสังฆทานอะไรไว้ มีแต่ความสงบ มีแต่ปัญญา มีแต่ปิติมีแต่ความสุขมีแต่เอกัคคตา ชีวิตนี้มีความสุขน่ะ ชีวิตนี้ว้าว ว้าว ว้าว เพราะเรารู้อริยสัจสี่ เราไม่สะสมอะไร อยู่กับธรรมอยู่กับปัจจุบันธรรม เรามาบวชมาปฏิบัติเพื่อไม่มาเอาอะไรอย่างนี้
ถามว่ามาปฏิบัติธรรมได้อะไร มันก็ได้ปฏิบัติธรรมน่ะ เราจะมาเอามันก็เป็นตัวเป็นตนทุกอย่างมันเป็นอาคันตุกะสัญจรไปมา มันไม่มีใครได้ไม่มีใครเสียหรอก เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเรียกว่าคนบ้า คนผีบ้า คนเชื้อบ้า ให้รู้เข้าใจนะ
เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจ เราก็บอกลูกสอนหลานไม่ได้ บอกพระใหม่ เณรใหม่ไม่ได้ เพราะเราไม่รู้เข้าใจ ความไม่รู้เข้าใจก็เท่าเทียมกับคนบ้านั่นแหละ พวกที่มีเชื้อบ้านั่นแหละ ให้เข้าใจนะ ความเป็นพระเป็นอย่างนั้น ถ้าเราไม่รู้เข้าใจ เราบวชมาเราก็จะมาเอาเงินเอาสตางค์เอาสังฆทาน มาเอายศมาเอาตำแหน่ง มาเอาความหลงเค้าเรียกว่ามาเอาวัฏฏสสงสาร มันเป็นครอบครัว เป็นภพเป็นชาติ เค้าเรียกว่าบวชมายังไม่รู้ความหมายของการบวชบวช บวชอย่างนี้ไม่ใช่ว้าว ว้าว ว้าว ไม่ใช่สีขาวนะ เป็นสีกาสีดำสีสกปรกรกรุงรัง หลวงตามหาบัวตรัสว่า เราไม่รู้ไม่เข้าใจเป็นคนเอาความหลงนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิต มันแวววาวแต่ภายนอก แต่ภายในมันเหม็นนะ เหม็นข้างใน ไม่ใช่เหม็นธรรมดานะเหม็นหลายแดนโลกธาตุนะ ให้เรารู้เข้าใจ
คุณแม่วรรณดีจากเราไปท่านก็จากไปแต่ธาตุแต่ขันธ์แต่อายตนะ มันเป็นธรรมดาเพราะทุกอย่างมันสัญจรไปมา ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจมันเลยสัญจรไปมาในวัฏฏสงสาร ภพน้อยภพใหญ่ อย่างนี้แหละ เราต้องรู้เข้าใจ
เราทั้งหลายพากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เอาประสบการณ์ที่ผ่านมา อันไหนมันผิดเราก็เบรกตัวเองไว้ อันไหนมันถูกต้องเราก็ทำไป หัวใจของเราจะได้มีสมถะจะได้มีปัญญา หัวใจของเราจะได้มีความสงบและปัญญา ต้องรู้เข้าใจเพราะสิ่งที่ผ่านไปถือว่าเป็นประสบการณ์ เพื่อทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องให้หยุดลง เพราะถ้าเราไม่หยุดใครจะมาหยุดให้เรา เราทำสิ่งที่ดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จะได้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม จะไม่ได้เป็นตัวเป็นตน จะไม่ได้มีต่อหน้าและลับหลัง
เราก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกันไป
การปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องมันจะไม่ขาดไม่ด่างไม่ทะลุไม่ด่างไม่พร้อย มันต้องทำอย่างนี้แหละ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจ มันเดินไปก้าวหนึ่งแล้วถอยกลับมาก้าวหนึ่ง อย่างนี้มันก็อยู่ที่เก่านั่นแหละ ถึงมีศัพท์ว่าอันนี้คนนะ มันเดินไปแล้วถอยกลับมันอยู่ที่เก่า เค้าถึงเรียกว่าคน ศัพท์ว่าคนมีความหมายอย่างนี้
มนุษย์เราต้องเอาความถูกต้องนำชีวิต เหมือนท่านพุทธทาสภิกขุท่านตรัสว่า เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเรื่องวิทยาศาสตร์ เรื่องจิตใจ เราจะได้เอาธรรมนำชีวิต เอาความบริสุทธินำชีวิต เอาความถูกต้องนำชีวิต ถ้าอย่างนั้นไม่ได้ มันเดินไปแล้วถอยกลับมาอยู่ที่เก่า เราจะเป็นมนุษย์ได้ด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ
เป็นมนุษย์ เป็นได้ เพราะใจสูง เหมือนหนึ่งยูง มีดี ที่แววขน
ถ้าใจต่ำ เป็นได้ แต่เพียงคน ย่อมเสียที ที่ตน ได้เกิดมา
ใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ ถ้ามีครบ ควรเรียก มนุสสา
เพราะทำถูก พูดถูก ทุกเวลา เปรมปรีดา คืนวัน ศุขสันติ์จริง
ใจสกปรก มืดมัว และร้อนเร่า ใครมีเข้า ควรเรียก ว่าผีสิง
เพราะพูดผิด ทำผิด จิตประวิง แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย
คิดดูเถิด ถ้าใคร ไม่อยากตก จงรีบยก ใจตน รีบขวนขวาย
ให้ใจสูง เสียได้ ก่อนตัวตาย ก็สมหมาย ที่เกิดมา อย่าเชือน เอย ฯ
เราต้องพากันรู้เข้าใจอย่างนี้นะ สิ่งมันเป็นอดีตแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ ๙ ของเมืองไทยท่านตรัสว่า สิ่งมันผ่านไปแล้วมันแก้ไขไม่ได้ก็ช่างหัวเผือกช่างหัวมัน ปัจจุบันเราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เข้าถึงความสงบและปัญญา เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
มนุษย์เราถ้าเอาแต่วัตถุมันไปไม่ได้นะ เอาแต่วัตถุมันก็จะไปเอาแต่ของคนอื่นเอาแต่ความสุขภายนอกมันก็หลงไปเรื่อย เห็นรูปสวย ๆ ก็ร้องโอย ๆ ๆ เสียงเพราะ ๆ ก็ร้องโอย ๆ ๆ ทุกอย่างมีแต่โอยกับโอย ให้เรารู้เข้าใจ เพราะตัวตนน่ะมันเจ็บปวดนะ ตัวตนมันเป็นบาปนะ ตัวตนคือบาดแผล มันเป็นแผลในหัวใจบาปนี้คือบาดแผลนะ
พระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร ให้เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา เราจะได้มายกเลิกบาป ยกเลิกนิติบุคคลตัวตน ยกเลิกการเวียนว่ายตายเกิดเน้นที่ปัจจุบันนี้แหละ
เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจมันก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด มันก็จะสร้างปัญหา มันจะไม่ได้เป็นชาติเป็นศาสน์เป็นกษัตริย์ ชาติก็คือชาติไม่ถูกต้อง เรียกว่าชาติชั่วก็แล้วกัน ชาติชั่วชาติไม่ถูกต้อง ชาติมีความทุกข์ ชาติที่เกิดแก่เจ็บตายพลัดพราก เค้าเรียกว่าชาติไม่ถูกต้อง ชาติชั่ว ชาติไม่ดีอย่างแหละ ต้องเอาชาติที่บริสุทธิคุณที่เป็นชาติที่ว้าว ว้าว ว้าว อย่างนี้นะ
เราต้องรู้เข้าใจ พระธรรมพระวินัยที่บริสุทธิคุณมันจะเป็นชาติที่หยุดวัฏฏสงสารหยุดกรรม หยุดเวร หยุดภัย ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราเอาความหลงนำชีวิต เอาความประมาทนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต ชีวิตนี้น่ะมันก็ต้องล้มละลายแน่นอนนอนแน่ หงายหลังผึ่งเลย
เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายน่ะต้องมาหยุดมาวิรัติ เค้าเรียกวิรัติทางใจก่อนน่ะ เพราะกายวาจากิริยามารยาทอาชีพเค้าเรียกว่ามันเป็นลูกน้องความหลงทั้งนั้น เราต้องเอาพุทธะนำชีวิตเค้าเรียกว่าวิรัติ วิรัติจากการฆ่าสัตว์ วิรัติจากความโลภ วิรัติจากความหลง วิรัติจากความประมาท เราไม่ประมาท เราต้องรู้เข้าใจคำว่าวิรัติ
เราทั้งหลายน่ะมันไปไม่ได้นะ เอาความหลงนำชีวิต เราต้องเข้าใจว่าเราไปไม่ได้นะ เดี๋ยวนี้กรรมมันกำลังเช็คบิลเราทุกคน ความแก่มันมาเช็คบิลแล้ว ความเจ็บไข้ไม่สบายความป่วยไข้เจ็บออดแอด ๆ มันกำลังเช็คบิลแล้ว ความยากความจนมันทรมาน มันปากเท่ารูเข็ม ท้องใหญ่เท่าภูเขานะอย่างนี้ ตัวตนนั้นมันเป็นอย่างนั้นแหละ ความไม่ถูกต้องมันเป็นอย่างนั้นแหละ เราทั้งหลายต้องรู้เรื่องอย่างนี้
เดี๋ยวนี้แหละเรามองดูประเทศไทยของเรานี้ หรือมองดูหมู่มวลมนุษย์นี้ ไม่เอาความบริสุทธิไม่เอาความสงบปัญญานำชีวิต มันก็มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มี ทุกข์แล้วก็ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ
เหมือนกับโยมคนหนึ่ง ว่าคนหนึ่งก็แล้วกันมันคงหลายคนอยู่ มันบ่นเลย บ่นออกจากใจมันเป็นความทุกข์ บ่นให้รัฐบาล บ่นให้นักการเมือง บ่นให้ลูกให้อะไรอย่างนี้ บ่นอยู่นั่นแหละ ไม่เข้าใจว่าความทุกข์มันมาจากเราเอง อย่างนั้นแหละ สิ่งต่าง ๆ มันเป็นเพียงปรากฏการณ์จากบาปจากกรรมจากเวร
เราต้องมีปัญญา เราไม่ต้องไปบ่นให้อะไรต้องขอบใจต่างหากที่เราจะได้สำนึกตัวว่าเรามันโง่เองอย่างนี้ ถ้าเราไม่ไปเอาภรรยา ถ้าเราไม่ไปเอาผัวมันจะมีลูกมีหลานให้บ่นได้อย่างไร ให้เข้าใจนะ
เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้หยุดบ่นหยุดปรุงแต่ง เราจะได้มีความสงบมีปัญญามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาอย่างนี้ เรามาหยุดไม่ต้องตรึกในกามไม่ตรึกในพยาบาท เราต้องหยุดตรึกในกามหยุดตรึกในพยาบาท เราต้องรู้เข้าใจ ต้องมีปัญญา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน พระอานนท์น่ะเป็นพระโสดาบัน สติสัมปชัญญะยังไม่สมบูรณ์ ความสงบกับปัญญาไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สมองกับลมหายใจไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความโศรกเศร้าเสียใจว่าทำไมเรายังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงจากเราไป
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงบอกพระอานนท์น่ะ
อานนท์เอย อานนท์รู้เข้าใจ หลังจากตถาคตจากไปอย่างนี้ เราปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปดมีความสงบและปัญญา ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ อานนท์ก็จะมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
เราทั้งหลายอย่าพากันโศรกเศร้าในสิ่งที่เป็นอดีตนะ อย่าไปวิตกกังวลในเรื่องอนาคต ปัจจุบันนี้ถือว่าเป็นไฟต์ในการประพฤติการปฏิบัติของเรา เราอยู่ที่ไหนก็พากันทำที่นั่นปฏิบัติที่นั้น เพราะอันนี้คือกกรรมคือกฎแห่งกรรมผลของกรรม เราต้องเอาความถูกต้องนำชีวิต อย่าไปเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิตเพราะทุกอย่างมันไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เราอย่าไปสร้างปัญหา เราต้องหยุดปัญหา
เราทั้งหลายอย่าไปตามผัสสะตามสิ่งแวดล้อมตามอะไรต่าง ๆ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ อยู่ที่บ้านก็ปฏิบัติได้ อยู่ที่ทำงานก็ปฏิบัติได้ อยู่ในเมืองหลวงเมืองกรุงก็ปฏิบัติได้ เอาความรู้ความเข้าใจนี้ไปมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้เป็นผู้มีศีลมีสมาธิมีปัญญา
วันหนึ่งคืนหนึ่งเราต้องเอาอริยมรรคมีองค์แปดมาประพฤติปฏิบัติ
วันนี้วันที่ ๑๘ แล้วเดือน ๘ พ.ศ.๒๕๖๘ อริยมรรคมีองค์แปดจะได้ก้าวไปอย่างนี้ชีวิตของเราจะได้สมบูรณ์ สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ สมบูรณ์ทั้งกายวาจากิริยามารยาท เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งที่ได้อาหารมาจากทั้งทางรากทางใบทางกิ่งก้านสาขาตลอดปริมณฑล ชีวิตของเราจะได้มีแต่ความสุขความสงบ เราทั้งหลายจะได้พึ่งพาอาศัยกัลยาณมิตร กัลยาณมิตรก็คือศีลสมาธิปัญญานี้เป็นกัลยาณมิตร ไม่ใช่ตัวตนเป็นกัลยาณมิตรนะ ใจที่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เอาธรรมวินัย เอาข้อวัตรกิจวัตร มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติเค้าเรียกว่าเอากัลยาณมิตรที่ดี คบกัลยาณมิตรที่ดี ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อะเสวะนาจะพาลานัง ปัณฑิตานัญจะเสวนา เราต้องคบในสิ่งที่ดีประกอบด้วยปัญญา เอาพระพุทธเจ้ามาไว้ในใจ เอาพระธรรมมาไว้ในใจ เอาพระอริยสงฆ์มาไว้ในใจ ยังไม่พอนะ ต้องเอามาไว้ในกายวาจากิริยามารยาทอาชีพเราต้องรู้เข้าใจ นี้เป็นกัลยาณมิตรขอเรา
เราจะไปคบค้าสมาคมกับใครให้รู้เข้าใจนะ ถ้าอย่างนั้นเราไม่รู้เข้าใจ เราก็จะไปกับสิ่งนั้น ๆ ตาเราเห็นรูปก็จะไป หูฟังเสียงก็จะไป จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายสัมผัส ใจคิดอะไรก็ไปอย่างนั้นไม่ได้ เราต้องรู้เข้าใจเราจะได้มีความสงบมีปัญญา มีความมั่นคงในพระรัตนตรัยด้วยความรู้ความเข้าใจ
วันหนึ่งคืนหนึ่งน่ะ เราเป็นมนุษย์เป็นประชาชนเป็นนักบวชอยู่ต่างจังหวัดอยู่ชนบทก็พากันนอนพักผ่อนวันละ ๕,๖ ชั่วโมง ถ้าอยู่ในกรุงเทพฯมันอากาศไม่ดีมีมลภาวะ ออกซิเจนไม่ดีก็นอนอย่างน้อย ๖,๗ ชั่วโมง พวกที่เป็นนักบวชอยู่ในกรุงเทพฯ ต้องทำอย่างนี้ ถึงแม้กรุงเทพฯ จะพัฒนาเทคโนโลยีทางรถทางเรือทางเครื่องบินทางอะไร เพราะกรุงเทพฯมันเป็นศูนย์รวมผู้คน เพราะมันเป็นเมืองหลวงน่ะ เราต้องนอนพักผ่อนจำวัด ๖,๗ ชั่วโมงนะ สำหรับประชาชนคนที่อยู่กรุงเทพฯ อยู่เมืองหลวง พากันนอน ๗,๘ ชั่วโมงนั่นแหละ
เราอย่าพากันมัวเล่นโทรศัพท์ไลน์โทรศัพท์ เพลิดเพลินในแสงสีศิวิไลซ์ เพลิดเพลินในความหลง เราต้องเห็นภัยในความเพลิดเพลิน ในความหลง ในความประมาท เราต้องคอนโทรลตัวเอง ให้นอนพักผ่อน ๗,๘ ชั่วโมงอย่างนี้ มันถึงจะสุขภาพแข็งแรง
คนรุ่นใหม่สมัยใหม่ใช้สมองใช้คอมพิวเตอร์ต้องออกกำลังกายนะ ทำโยคะเล่นโยคะ บ้านเรามีห้องแอร์ทำโยคะเล่นโยคะ คนเราจะแข็งแรงไปไม่ได้ ถ้าพักผ่อน ไม่พอถ้าไม่ออกกำลังกาย ตัวตนมันจะขี้เกียจขี้คร้านมันไม่มีระเบียบวินัย ทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้หลักการหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายนะ มนุษย์เราทั้งหลายต้องมีหลักการมีอุดการณ์อุดมธรรม อย่างเช่นเดือนหนึ่ง คิดเป็นรวม ๆ ก็แล้วกัน เดือนหนึ่งก็มีอยู่ ๓๐ วัน วันพักผ่อนให้มีอยู่ ๘ วัน เช่น วันเสาร์วันอาทิตย์วันพักผ่อน เดือนหนึ่งก็มี ๘ วัน ครั้งพุทธกาลวันหยุดก็คือวันพระน้อยพระใหญ่ วันพระน้อยก็ได้แก่ ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ วันพระใหญ่ก็ได้แก่ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ
วันธรรมนี้ก็เป็นวันทำงานของมนุษย์ วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงาน การทำงานกับปฏิบัติธรรม ต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เรื่องวัตถุกับใจต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะไปแยกการทำงานจากการปฏิบัติธรรมนี้ไม่ได้ มันต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติต้อง ได้ทั้งงานได้ทั้งธรรม อย่าให้ยิ่งหย่อนกว่ากัน
ผู้มีปัญญามากก็ต้องมีความสงบ ผู้มีความสงบก็ต้องมีปัญญาไปพร้อม ๆ กัน ให้เอาการทำงานกับการปฏิบัติธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแยกกันไม่ได้ การประพฤติการปฏิบัตินี้เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจเราจะแยกการปฏิบัติธรรมออกจากการทำงานมันจะพังทลายเช่นเดียวกับ ตึก สตง.นะ ให้เรารู้ให้เข้าใจ
การทำงานก็ให้เรามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราอย่าไปคิดว่าเราทำงานก็เพราะจำเป็น เพราะมีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ ก็เพราะจำเป็น คิดอย่างนี้มันเป็นตัวเป็นตนนะ มันเป็นวิทยาศาสตร์เพื่อตัวเพื่อตน เรื่องจิตเรื่องใจ เราไม่ได้พัฒนา มันเป็นการพัฒนาเพื่อตัวเพื่อตน เป็นการพัฒนาการศึกษาเพื่อตัวเพื่อตน เรียกว่ามันไม่ถูกต้อง การทำงานเพื่อตัวเพื่อตนมันไม่ถูกต้อง เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องการงาน เอากายวาจากิริยามารยาทอาชีพมาประพฤติปฏิบัติธรรมไปพร้อมๆ กัน อย่างนี้ต้องรู้เข้าใจ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจนะ ถ้าไม่รู้เข้าใจ เราคิดว่าทำงานเพราะจำเป็นเรียนหนังสือเพราะจำเป็น เป็นข้าราชการนักการเมืองเพราะจำเป็น เป็นนักบวชเพราะจำเป็น
ทำไมเป็นนักบวชเพราะจำเป็นล่ะ เพราะเป็นนักบวชมันดีมันเพอร์เฟค บ้านก็ไม่ต้องเช่าข้าวก็ไม่ต้องซื้ออะไรก็ฟรีหมด แถมพวกที่เอาของมาให้ก็ยังมากราบมาไหว้ พวกนี้ถึงพากันมาบวชกันเยอะ เพราะมาใช้ของฟรี มาใช้ของฟรีแถมยังมีสตรีสตางค์ มียศมีตำแหน่ง มีความหลงเป็นรางวัล ขณะนี้เวลานี้ทำกันมาหลายปีหลายสิบปีแล้ว กรรมมันกำลังจะเช็คบิลแล้ว มันไม่ดีไม่ถูกต้อง มันไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา มันเป็นปัญหา เป็นการสร้างปัญหา เราไม่ได้พากันเป็นพระอะไรเลยพากันเป็นนักหลอกลวง
การเรียนการศึกษาของมนุษย์นี้มันมี ๑๘ ศาสตร์นะ ให้มนุษย์เราฉลาดน่ะ เราเอาการเรียนการศึกษา ๑๘ ศาสตร์มาเป็นตัวเป็นตน การทำงาน ๑๘ ศาสตร์นั้น มาเป็นตัวเป็นตน เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เอาปิติความสุขเอกัคคตา เพื่อเราจะได้มีความสงบมีปัญญาอย่างนี้ เราอย่าเอาความหลงไปปฏิบัติอย่างนี้แหละ
เราไม่รู้เข้าใจ เอา ๑๘ ศาสตร์มาเป็นเรา เค้าเรียกว่ามันเลยกลายเป็น ๑๘ มงกุฏ มงกุฏสุดยอด สุดยอดของตัวตน ถ้าเราเอาตัวตนมันกลายเป็น ๑๘ มงกุฏ เป็น ๑๘ ศาสตร์แห่งความทุกข์ ไม่ใช่ ๑๘ ศาสตร์แห่งความดับทุกข์ ให้รู้เข้าใจนะ เราจะไม่ได้เป็นคนรวยก็ทุกข์เพราะไม่รู้จักพอ เป็นคนจนก็ทุกข์เพราะไม่มี เราต้องรู้เข้าใจ ข้าราชการนักการเมืองนักบวชของเรานี้ไม่รู้เข้าใจเลยกลายเป็นนัก ๑๘ มงกุฏ มันเป็นผู้ว่างจากความถูกต้อง ว่างจากความดีที่เป็นปัญญาบริสุทธิคุณ เค้าเรียกว่า ว่างจากมรรคผลพระนิพพาน มันมีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความทุกข์ มีแต่ความขัดข้อง
เราทั้งหลายน่ะพากันรู้เข้าใจ เราเอาความทุกข์นำชีวิต เอาความวุ่นวายนำชีวิต เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตนี้มันผิดเป็นความผิดนำชีวิต ให้เรารู้เข้าใจ เพราะเรากำลังเห็นกรรมเห็นเวรเห็นภัยในสิ่งภายนอกที่เราได้เห็นด้วยตา ได้ฟังด้วยหู รู้ด้วยใจว่าเราทั้งหลายจะเอาความหลงนำชีวิต เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตนั้นไม่ได้ เพราะทุกอย่างมันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม เราต้องพากันรู้
วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงาน เน้นเรื่องประพฤติปฏิบัติธรรม เน้นเรื่องบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริรยามารยาทอาชีพ พากันไปที่วัด ศาสนาพุทธก็ไปที่วัด ศาสนาคริสต์ก็ไปที่โบสถ์ ศาสนาอิสลามก็ไปที่มัสยิด ศาสนาพราหมณ์ฮินดูก็เป็นเทวสถานเทวาลัย ไปทำไมล่ะ พากันไปประพฤติปฏิบัติธรรม ไปเจริญสติสัมปชัญญะไปเจริญสติปัฏฐาน ไปยกเลิกอดีตยกเลิกอนาคต ปัจจุบันก็อยู่กับความว่างจากตัวตน เพื่อให้ใจได้สัมผัสกับธรรมะ ให้ใจเป็นธรรมะเป็นความสงบเป็นปัญญาหยุดความปรุงแต่ง มีความสงบมีปัญญา นี้เป็นปฏิปทาของหมู่มวลมนุษย์นะ
ให้มนุษย์เรารู้หลักการรู้อุดมการณ์อุดมธรรมในการประพฤติการปฏิบัติ
ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายเพราะกรรม กฎแห่งกรรม ผลของกรรม มันจะพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ
ตึก สตง.อยู่ที่กรุงเทพมหานคร ตึก ๓๐ กว่าชั้น ตึก สตง.ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิตเอาทุจริตนำชีวิต ชีวิตมันเลยพังทลาย ชีวิตมันพังทลายนะ ตึกสตง.มันพังทลายด้วยนิติบุคคลตัวตนพังทลายด้วยทุจริตมันจะไปแก้ไขตั้งแต่ภายนอกมันจะไปพัฒนาตั้งแต่วิทยาศาสตร์จะไปเอาความสุขบนความหลง ชีวิตเลยพังทลายนะ
เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งน่ะ เราคิดดูดีๆ นะ ตึกใหญ่กว่าสูงกว่าตึก สตง.ตั้งหลายสิบตึกที่กรุงเทพมหานครที่ปริมณฑล เค้าไม่พังทลายเหมือนตึกสตง. เพราะพอที่จะรับน้ำหนักได้ ไม่ใช่ไม่โกงกินคอร์รัปชั่นนะ แต่เค้าโกงกินคอร์รัปชั่นน้อยพอที่จะรับแผ่นดินไหวจากมัณฑะเลย์ประเทศพม่า ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ประเทศพม่าห่างไกลกันตั้งนับพันกิโล
นี้ให้เรามองเห็นในแง่มุมความไม่ถูกต้องน่ะ ชีวิตที่เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ
เราทั้งหลายถึงต้องเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร รู้จักความคิดรู้จักอารมณ์เหมือนท่านพระอาจารย์ลี ธัมมธโร วัดอโศการาม สมุทรปราการ ท่านรู้จักความคิดการปรุงแต่งของตัวเอง ท่านรู้จักว่าความปรุงแต่งนี้มันคือวัฏฏสงสารนะ ท่านรู้จักความปรุงแต่ง เพราะความปรุงแต่งมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ชีวิตนี้ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. เพราะมันไม่ถูกต้อง มันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. นี้แหละ
ตึก สตง.ที่อยู่กรุงเทพมหานครอยู่เมืองหลวงอยู่เมืองกรุง เป็นศูนย์รวมของประเทศ เหมือนสมองเป็นศูนย์รวมของร่างกาย เหมือนหัวใจเป็นศูนย์รวมของสรีระร่างกาย
สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่บริหารประเทศ บริหารแผ่นดินไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เอาแต่ความรู้เอาแต่วิทยาศาสตร์เอาแต่ตัวเอาแต่ตน ไปแก้แต่สิ่งภายนอก ไม่ได้แก้ตัวเองไปพร้อม ๆ กัน
การพัฒนาวิทยาศาสตร์มันต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันมันถึงถูกต้องนะ พัฒนาทั้งภายนอกภายในด้วยความรู้ความเข้าใจให้ครบวงจร อริยมรรคองค์แปดถึงเป็นความรู้ความเข้าใจ เพื่อการประพฤติการปฏิบัติมันจะได้สมบูรณ์ สมบูรณ์ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพด้วยความถูกต้อง
มันต้องรู้ธรรมรู้ปัจจุบันธรรม รู้ธรรมธรรมนูญน่ะ ถ้าเราไปจัดการแต่สิ่งภายนอก เราไม่ได้จัดการตัวเองมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้นะ
การบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่น มันต้องรู้เข้าใจแล้วมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์
ถ้าเรามีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติมันก็ไม่มีความทุกข์อยู่แล้ว ด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติ ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพ เราต้องเน้นมาที่ตัวเราในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองให้มันสมบูรณ์ เราทั้งหลายจะไม่ได้พังทลายเหมือนตึก สตง.
ถ้าใครมีตัวมีตนบุคคลนั้นคือทุจริตนะ เราทั้งหลายจะได้รู้ว่าทุจริตนั้นคือตัวตนน่ะ ใครเอาตัวตนนำชีวิตบุคคลนั้นคือบุคคลที่ทุจริต เราต้องรู้จักธรรมรู้จักธรรมนูญ ปัญหาต่าง ๆ นั้นมันอยู่ที่ทุจริตนะ
การที่จะบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่นต้องยกเลิกทุจริต ถึงจะเป็นนักบริหารตัวเองนักบริหารคนอื่นด้วยการรู้เข้าใจในการบริหารในการปฏิบัติ
ตำแหน่งที่เค้าแต่งให้เราเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นตำแหน่งที่ให้เรามาเสียสละ มารับผิดชอบโฟกัสในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ใช่ตำแหน่งที่ให้พวกเราทั้งหลายมาทุจริตนะ
ให้ถือว่ามันเป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติมีเกียรติมีศักดิ์ศรี เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันจะมีเกียรติมีศักดิ์ศรีได้อย่างไร ถึงพวกเราทั้งหลายจะพากันใส่สูทผูกเนคไทห้อยเหรียญตรา เป็นผู้ทรงเกียรติมันก็ไม่เป็นผู้ทรงเกียรตินะ มันเป็นผู้ทรงความหลงต่างหาก ทรงความโง่ความหลงงมงายต่างหากล่ะ
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะเข้าถึงบริสุทธิคุณ เข้าถึงธรรมนูญเข้าถึงรัฐธรรมนูญไม่ได้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเป็นอบายมุขอบายภูมินะ มันตกอยู่ในภพภูมิของ ๓๑ ภพภูมิ
ในภพภูมิของวัฏฏสงสารนี้มีอยู่ ๓๑ ภพภูมิ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะอยู่ในระนาบของ ๓๑ ภพภูมินี้แหละ
เค้าถึงมีศัพท์ว่าคน คนนี้หมายถึงตัวถึงตน หมายถึง ๓๑ ภพภูมินี้แหละ ภพภูมิที่เวียนว่ายตายเกิดมีทั้งหมด ๓๑ ภพภูมิ
เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ประพฤติปฏิบัติ เราจะไม่ได้ย่ำต๊อกกับความหลงที่มีศัพท์ว่า “คน” คนนี้ความหมายหมายถึงความไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้น มันจะวกวนอยู่ที่เก่า มันจะเป็นผู้ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา สัมผัสกับอะไรก็ไปกับสิ่งนั้น ๆ อยู่ในภพภูมินั้น ๆ
เรารู้เราเข้าใจเราจะได้หยุดภพภูมินั้น ๆ ด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ด้วยความเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเค้าเรียกว่ามันหลง มันวกวนในความหลงอย่างนั้น จิตใจวกวน อย่างนั้นมันจะไปไหนไม่ได้ มันจะเป็นได้แต่เพียงคนเป็นได้แต่เพียงความหลง หัวใจของบุคคลนั้นมันจะอยู่ในระนาบแห่งความหลงหรือว่าหัวใจบ่อนคาสิโน เอาตัวตนเป็นที่ตั้งคือหัวใจบ่อนคาสิโน หัวใจบ่อนทำลายความถูกต้อง หัวใจบ่อนความหลง
ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้เห็นภัยในความไม่ถูกต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารด้วยปัญญาบริสุทธิคุณ ด้วยเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ พอใจยินดีมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิตหัวใจของเราทั้งหลายจะได้หยุดอบายมุขอบายภูมิ
เราทั้งหลายถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายจะพากันคิดว่า ความสุขทั้งหลายได้มาจากสิ่งที่อำนวยความสุขความสะดวกความสบายด้วยการพัฒนาวิทยาศาสตร์ อันนี้จริงอันนี้ถูกต้อง ความสุขทั้งหลายมันอยู่พัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์
เราทั้งหลายต้องมีสัมมาทิฐิเราต้องมีความรู้ความเข้าใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ก็ต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ถ้าเราพัฒนาวิทยาศาสตร์มันก็ยังเป็นนิติบุคคลตัวตนอยู่
เราต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันด้วยความรู้ความเข้าใจเราทั้งหลายน่ะ ถึงเป็นการพัฒนาครบวงจรด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็จะเอาความหลงนำชีวิตเอาวิทยาศาสตร์นำชีวิต
เราต้องเอาทั้งวิทยาศาสตร์เอาทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กันนะ
เราอย่าไปคิดว่าประเทศสิงคโปร์นั้นน่ะประเทศเล็ก ๆ เท่าอำเภอหนึ่งของเมืองไทยก็ไม่ได้ เค้าพัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์เป็นหนึ่งของเอเชียเพราะเค้าตั้งบ่อนคาสิโน มาเก๊าส่วนหนึ่งของประเทศจีนเค้าก็รวยเพราะเค้าพัฒนาตามหลักเหตุตามหลักวิทยาศาสตร์
พวกเราทั้งหลายเมื่อมีปัญญาแล้วต้องรอบคอบนะ มีปัญญาแล้วต้องรอบคอบ อย่าลืมว่าชีวิตของเรามันเป็นรายรับรายจ่ายนะ เราไปจับหางงูเดี๋ยวงูมันจะมากัดเรา งูพิษมันจะมากัดเรานะ การที่เราเอาหลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องแล้ว เราต้องมีหลักการมีอุดมการณ์แล้วก็มีอุดมธรรมนะ หลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์น่ะ แต่ต้องไม่ทิ้งอุดมธรรมนะ
เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเอาความรู้สึกที่เอาตัวเป็นที่ตั้งมันเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์แล้วอุดมด้วยความหลงนะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราเอาทั้งหลักการอุดมการณ์แล้วก็ยกเลิกอุดมหลงนะ
ให้เอาอุดมธรรมให้เอาธรรมเอาธรรมนูญมันถึงจะสมบูรณ์เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี เราอยากได้มากมันก็ไม่มาก เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อย เราต้องรู้จักความพอดีเข้าสู่ความสมดุลทั้งรายรับรายจ่าย
เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี การประสูติของพระพุทธเจ้าถึงเป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็เป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ
เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้รู้หลักการรู้อุดมการณ์แล้วก็อุดมธรรม เราอยู่ที่ไหนก็พากันปฏิบัติได้ เมื่อเรามีลมปราณ มีอายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ มีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้
ให้รู้เข้าใจมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ
อย่าไปคิดด้วยอวิชชาความหลงเอาแต่หลักการอุดมการณ์เอาแต่วิทยาศาสตร์น่ะ ถ้าเรารวย รวยความหลงมันไม่ดีนะ รวยความโง่หลงงมงายเรียกว่ารวยไสยศาสตร์มันไม่ดีนะ ไม่ใช่ความดีมันไม่ใช่บารมีไม่ใช่ปัญญาบริสุทธิคุณนะ มันเป็นความหลงนะ
ให้เรารู้เข้าใจ อย่าไปคิดว่าทำไมเราโง่ไปตั้งหลายปี ประเทศสิงคโปร์ประเทศ เค้าเล็กนิดเดียวเค้าตั้งบ่อนคาสิโนเค้ารวยกัน ประเทศมาเก๊าก็เหมือนกันเค้ารวยกัน
ประเทศสิงคโปร์เค้ามีหลักเหตุผลมีหลักวิทยาศาสตร์น่ะ เค้าคิดว่าประเทศสิงคโปร์มันเล็กนิดเดียว จะทำเกษตรกรรมก็ไม่ได้ จะทำอุตสาหกรรมก็ไม่ได้ ถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโนด้วยหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์ก็รวยได้ เพราะคนในนี้โลกนี้มันคนมีความไม่ฉลาด เอาความหลงนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิตมันมีมากถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโน เราสามารถรวยได้ทางวัตถุ ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์เค้าถึงพากันตั้งบ่อนคาสิโน จะเรียกบ่อนคาสิโนก็ได้หรือเรียกบ่อนแห่งความหลงก็ได้ มันคืออันเดียวกัน
ให้เรารู้เข้าใจ ประเทศไทยเราแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลเราต้องรู้เข้าใจว่า เราทั้งหลายอย่ายินดีในการเอาความหลงนำชีวิต อย่าไปยินดีในการเอาบ่อนคาสิโน นำชีวิตนะ
พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ศาสดาทุกศาสนาเค้ามายกเลิกบ่อนคาสิโน มายกเลิกอบายมุขอบายภูมิ ให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเรารู้เข้าใจ ทุกอย่างน่ะไม่มีปัญหา ปัญหาอยู่ที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจนะ
เหมือนประเทศไทยของเรานี้แหละ โครงการยกเลิกเหล้ายกเลิกเบียร์ ยกเลิกสิ่งเสพติดยาเสพติดที่มันเป็นอบายมุขแห่งชีวิต ที่มันเป็นอบายภูมิแห่งชีวิต
เกือบร้อยปีของโครงการพากันประพฤติปฏิบัติด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ ตั้งอยู่ในความประมาท เอาความหลงนำชีวิตเอาความประมาทนำชีวิตมันก็ปฏิบัติไม่ได้ มันก็ยิ่งมากกว่าเก่า ไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิต ความหลงก็เลยยิ่งใหญ่ใหญ่ยิ่ง
มันก็แก้ปัญหาไม่ได้ มันยิ่งมากทวีคูณ มันก็ไปของมันเรื่อย มากยิ่งกว่าเก่าทวีคูณยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก
อย่างการสวมหมวกกันน็อคอย่างนี้แหละ มอเตอร์ไซด์เข้ามาในเมืองไทย ประเทศไทย ไม่ต่ำกว่า ๖๐ ปี ขณะนี้เวลานี้ก็ยังทำไม่ได้ เรื่องสวมหมวกกันน็อคนี้ที่ให้ประชาชนผู้ขับขี่จักรยานยนต์เพื่อสะดวกในการสัญจรไปมา ได้ออกกฎหมายบังคับตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๒๕ ขณะนี้เวลานี้มันก็เป็นเวลาจวนจะ ๕๐ ปีแล้วก็ยังพากันทำไม่ได้
ถ้าเรารู้เข้าใจว่า การทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยนี้ไม่ได้ มันเป็นความเสียหายทั้งตัวเราและส่วนรวม มันไปไม่ได้ ชีวิตของเรามันไปไม่ได้นะ ชีวิตนี้มันพังทลายเหมือนตึก สตง.ของเมืองไทยนี้แหละ
เราต้องเข้าใจ ทุกคนต้องเข้าใจ ไม่ใช่เข้าใจเฉย ๆ ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าไม่อย่างนั้น มันก็จะไปของมันด้วยความไม่ถูกต้องอย่างนี้แหละ
พูดอย่างนี้ไม่ใช่คนบ้าจี้นะ ไม่ใช่คนผีบ้าจี้นะ นี้มันคนดีจี้ คนมีปัญญาจี้ นี้เป็นพระธรรมคำสั่งสอนที่เป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ อาชีพที่ถูกต้องเป็นมรรคเป็นอริยมรรค เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจในภัยทั้งทางกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ ภัยที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ เราไม่เห็นภัยก็ตั้งอยู่ในความประมาท เราจะเอาความประมาทนำชีวิตมันเป็นความไม่ถูกต้องนะ
เราได้สมัครสมานสามัคคีทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญาที่เอาพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ประชุมเพลิงคุณแม่วรรณดี ที่เป็นคุณแม่ชีที่ดีที่มีปัญญา เพื่อเอาพระพุทธเจ้านำชีวิต ให้ถือว่าเราได้ทำสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง ตามรอยบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายเป็นผู้ประเสริฐเป็นผู้มีลมปราณ เป็นผู้มีบุญมีวาสนามีโอกาสมีเวลาประพฤติปฏิบัติธรรม ให้ระลึกถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านตรัสโอวาทครั้งสุดท้ายว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
นึกถึงโอวาทธรรมคำสั่งสอนของหลวงปู่มั่นที่ตรัสไว้ว่า
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรม ความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะ
-----------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา