๗ กันยายน พุทธศํกราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๗ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘  ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นหลักการในการบริหารมนุษย์ มนุษย์เราก็ต้องเอาธรรมนำชีวิต พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันที่ทำธุรกิจหน้าที่การงาน การทำธุรกิจหน้าที่การงานก็ต้องเอาธรรมนำชีวิต ธรรมะที่เป็นบริสุทธิคุณ เป็นทางสายกลาง การทำธุรกิจหน้าที่การงานก็ต้องเอาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเราจะได้ทั้งธุรกิจหน้าที่การงานได้ทั้งเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กันเป็นทางสายกลาง ทั้งเรื่องจิตเรื่องใจทั้งวัตถุหรือว่าทางวิทยาศาสตร์ เป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ

 

ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ เพราะอดีตก็มารวมที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง ปัจจุบันเป็นอริยมรรค คำว่าอริยมรรคคือการเอาทั้งใจทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นธรรมนูญ ไม่ใช่เป็นนิติบุคคลตัวตนต้องเป็นธรรมนูญ ทางเรื่องจิตเรื่องใจ ถ้าเราไปเอาแต่เรื่องจิตเรื่องใจนั้นก็ไม่ได้ เพราะเรามีสรีระร่างกายที่มีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เราต้องเอาทางวัตถุทางวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน ถ้าเราจะไปเอาแต่ทางวัตถุทางวิทยาศาสตร์อย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะว่าวิทยาศาสตร์เป็นเพียงอุปกรณ์ในการดำเนินชีวิต กายวาจากิริยามารยาทเป็นเพียงอุปกรณ์ของจิตใจ ด้วยเหตุด้วยปัจจัยนี้เราถึงต้องปฏิบัติทั้งสองอย่างเพื่อเป็นทางสายกลาง

 

เราทุกคนใช้ทรัพยากรของมนุษย์ อายุขัยของมนุษย์ ปัจจุบันนี้แหละมีการพัฒนาใจพัฒนาวิทยาศาสตร์จะอยู่ได้ร่วมร้อยปี คือ ๑ ศตวรรษ ถ้าเราทำดี ๆ ปฏิบัติดี ๆ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาย่อมอยู่ได้มากกว่าร้อยปี

 

วันเสาร์วันอาทิตย์ เป็นวันหยุดทำงานของข้าราชการเพื่อพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ สมัยโบราณเอาวัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำเป็นวันพระน้อย ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ เป็นวันพระใหญ่ เดินหนึ่ง ๓๐ วัน มีวันหยุดทำธุรกิจหน้าที่การงาน ๘ วัน

 

ศาสนาในโลกมีหลายศาสนา แต่หลักการก็คืออันเดียวกัน คือได้แก่อริยมรรคมีองค์แปด เพื่อความดับทุกข์เพื่อความไม่มีทุกข์ มีความทุกข์ทางกายน้อยที่สุด แต่เรื่องจิตเรื่องใจนี้ไม่มีความทุกข์เลย ถ้าเรารู้เข้าใจ ความทุกข์นั้นจะดับลงได้เพียงผัสสะ เพราะเรารู้อริยสัจสี่

 

รู้อริยสัจสี่นี้รู้อย่างไรล่ะ รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นเพียงอาคันตุกะสัญจรไปมา เป็นการสัญจรไปมาของธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เป็นการสัญจรไปมาของรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ที่มาสัมผัสมาผัสสะ ผัสสะที่เกิดขึ้นกับเราทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ลาภยศสรรเสริญ สุขทุกข์นินทา ได้มาเสียไป ถ้าเรารู้เข้าใจในเรื่องผัสสะ ใจของเราก็จะหยุดความปรุงแต่ง ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพราะเรารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ถ้าเรามีความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องอย่างไม่ขาดสายก็จะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นความสงบและปัญญา

 

 เราทั้งหลายทุก ๆ ศาสนาต้องเข้าใจอย่างนี้ หลายคนมีความสงสัยว่า ศาสนาหลายศาสนา เวลาตกนรกจะไปอยู่ที่เดียวกันมั๊ย ถ้าขึ้นสวรรค์จะไปอยู่ที่เดียวกันมั๊ย มีความลังเลสงสัย

 

ให้เรารู้เข้าใจ เรื่องนรก สวรรค์ พรหม เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ตั้งแต่สรีระร่างกายยังมีชีวิตอยู่

 

เราคิดดูดี ๆ นะ ถ้าปัจจุบันไม่มีอนาคตจะมีได้อย่างไร เพราะอดีตก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตก็ไปจากปัจจุบัน เมื่อปัจจุบันเราไม่ได้เป็นมนุษย์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ไม่ได้เป็นเทวดาผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ไม่ได้เป็นพระพรหมผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ไม่ได้เป็นพระอริยเจ้าผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร อนาคตมันจะเป็นไปได้อย่างไร ธรรมะที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันถึงใช้ได้ในโลกนี้โลกหน้า

 

เราทั้งหลายต้องเข้าถึงความเป็นมนุษย์ที่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นเทวดาผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นพระพรหมผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นพระอริยเจ้าผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ต้องเข้าถึงตั้งแต่ในปัจจุบัน วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ พัฒนาเรื่องสติเรื่องปัญญา เพื่อให้สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ เพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เพราะเราทุกคนกำลังใช้ทรัพยากรแห่งความเป็นมนุษย์

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้เป็นผู้รู้จักประมาณในการบริโภค ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจก็จะเป็นเหมือนทะเลมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อเพลิง มันจะมีความขาดตกบกพร่องอยู่เป็นนิจ เป็นความไม่รู้ไม่เข้าใจในชีวิต เอาความผิดนำชีวิต ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันจะพังทลายด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ มันจะพังทลายเหมือนตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย เราไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายเช่นเดียวกันอย่างเดียวกันกับตึกสตง. เพราะว่าไปพัฒนาแต่วัตถุ เพราะว่าไปพัฒนาแต่เรื่องจิตเรื่องใจ

 

เราต้องเอาวัตถุ เอาทั้งใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นทางสายกลาง สิ่งที่เป็นอดีต เราแก้ไขไม่ได้ เพราะว่าได้ผ่านมาแล้ว ได้เกษียณแล้ว เราต้องประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำหน้าที่ด้วยความรู้ความเข้าใจไม่หวังอะไรตอบแทน เพียงแต่มีปิติมีความสุขในการทำงาน ในกายวาจากิริยามารยาทอาชีพธุรกิจหน้าที่การงาน

 

ทุก ๆ ศาสนาต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ เราต้องรู้เข้าใจ อย่าไปเอาพระศาสนาเป็นนิติบุคคลตัวตน พระศาสนานั้นไม่ใช่นิติบุคคลตัวตนเป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจ เพื่อให้สมดุลทั้งความสงบทั้งปัญญาที่เป็นอนัตตา มันจะหยุดความปรุงแต่ง มันจะลงตัว มันจะโอเค คำว่าโอเคคือไม่มากเกินไปไม่น้อยเกิน มันเป็นความพอดีเป็นความพอเพียงเพียงพอ

 

เราต้องรู้จักอาหารกายอาหารใจ เราต้องรู้เข้าใจ ทำไมเราถึงมีบ้าน มีที่ดิน มีที่ทำมาหากินหาเลี้ยงชีพ เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวช ที่ทำธุรกิจหน้าที่การงาน ก็เพื่อให้เราทุกคนได้เอาความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องให้อาหารกายอาหารใจ อย่างการเรียนหนังสือก็เพื่อแสวงหาอาหารนะ ที่ไปเรียนหนังสือทั้งในประเทศต่างประเทศนี้คือหลักการเพื่อแสวงหาอาหารเลี้ยงชีพ อย่างเราไปเรียนหนังสือที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เราไปเรียนหนังสือที่ประเทศอังกฤษฝรั่งเศสเยอรมันนี แคนาดา จีน อินเดีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลี สวีเดน เดนมาร์ค ตะวันออกกลาง หลาย ๆ ประเทศ นี้เป็นการไปแสวงอาหาร แสวงหาที่อยู่ที่อาศัย การไปเรียนไปศึกษาเพื่อให้เรารู้เข้าใจในหลักการอุดมการณ์ในการแสวงหาอาหาร ที่อยู่ที่อาศัย รักษาโรครักษาภัยในตัวเราและญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล

 

ทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็ก ๆ ต้องพากันเข้าใจนะ ไม่ได้ไปเพื่ออย่างอื่น ไปเพื่อปัจจัย ๔ แสวงหาปัจจัย ๔ การแสวงหาอาหารเราก็ต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ จิตใจของเราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ สิ่งเหล่านี้มันเป็นหน้าที่ของเราทุก ๆ คน ความรู้ความเข้าใจว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติต่อหน้าที่

 

ปัจจุบันเราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เพื่อเราจะไม่ได้ทุกข์ในเรื่องจิตเรื่องใจ เพราะถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องอริยสัจสี่ อริยสัจสี่คือไม่รู้เรื่องทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราก็คิดว่าไปเรียนหนังสือก็เพราะความจำเป็น ไปทำงานก็เพราะความจำเป็น เราต้องรู้ว่าธรรมะคือหน้าที่ของการประพฤติการปฏิบัติ คนอื่นนั้นทำแทนเราไม่ได้ คนอื่นนั้นทานอาหารให้เราไม่ได้ พักผ่อนให้เราไม่ได้ ออกกำลังกายให้เราไม่ได้ เราต้องทุกคนต้องรู้เข้าใจว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ

 

ความดับทุกข์นั้นให้รู้เข้าใจ มันอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องเห็นคุณเห็นประโยชน์ทั้งทางวัตถุทางจิตใจ ผู้ที่มีมากก็จะได้มีแต่คุณไม่มีโทษ ผู้มีน้อยหรือว่าไม่มีก็ให้รู้ให้เข้าใจ เราจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราอยากให้มากมันก็มันมากมันก็เท่าเก่า เราจะไปอยากมันทำไม เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเราต้องรู้เรื่องกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรม เมื่อมันปฏิบัติไม่ได้แก้ไขไม่ได้ทางภายนอก เราก็ต้องปฏิบัติแก้ไขที่ใจของเราเอง เราจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ทุกคนก็จะดับทุกข์ได้มีปัญหา มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา มีความสงบมีปัญญา

 

ความปรุงแต่งนี้ให้เรารู้เข้าใจนะ มันเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของความจริงตามความเป็นจริง เช่น เราไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บไม่อยากตายไม่ดพลักพรากนี้ ความปรุงแต่งนี้เป็นการลิดรอนสิทธินะ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมาตรัสรู้ รู้แจ้งทั้งธรรมรู้แจ้งทั้งโลก เรียกว่ารู้แจ้งโลกรู้แจ้งธรรม ท่านถึงคืนสิทธิเสรีภาพด้วยการระงับสังขารความปรุงแต่งที่มันลิดรอนสิทธิเสรีภาพ การมาตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเป็นการยกเลิกชาติชั้นวรรณะนิติบุคคลตัว ที่เราสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นคนแก่คนเฒ่าคนชราคนตายคนพลัดพราก ท่านมายกเลิกอย่างนี้ เพราะเข้าใจเรื่องสิทธิเสรีภาพ

 

ถ้าเราไม่รู้เข้าใจตัวของเราเองนี้ที่จะเป็นรัฐประหารตัวของเรา ที่เป็นโรคภูมิแพ้ แพ้ภูมิของตัวเอง มันเป็นโลกที่ทำร้ายธรรม ทำร้ายตัวของมันเอง เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เกิดความสงบเกิดปัญญา

 

เราเป็นมนุษย์เราใช้ทรัพยากรของความเป็นมนุษย์ มนุษย์นี้ต้องทำหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ เราต้องเข้าถึงความเป็นมนุษย์ในปัจจุบัน ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็เป็นได้แต่เพียงคน ไม่ได้เป็นมนุษย์

 

มนุษย์ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เอาทางสายกลางนำชีวิตพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องทางวัตถุไปพร้อม ๆ กันให้เป็นทางสายกลาง ท่านพุทธทาสภิกขุเป็นทั้งพระดีพระมีปัญญา ท่านถึงประพันธ์ไว้เป็นหลักการในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ เราต้องรู้เข้าใจ เราจะเป็นมนุษย์ได้เราต้องรู้เข้าใจ

 

เป็นมนุษย์  เป็นได้  เพราะใจสูง  เหมือนหนึ่งยูง  มีดี  ที่แววขน

ถ้าใจต่ำ  เป็นได้  แต่เพียงคน ย่อมเสียที  ที่ตน  ได้เกิดมา

ใจสะอาด  ใจสว่าง  ใจสงบ ถ้ามีครบ  ควรเรียก  มนุสสา

เพราะทำถูก  พูดถูก  ทุกเวลา เปรมปรีดา  คืนวัน  ศุขสันติ์จริง

ใจสกปรก  มืดมัว  และร้อนเร่า ใครมีเข้า ควรเรียก  ว่าผีสิง

เพราะพูดผิด  ทำผิด  จิตประวิง แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย

คิดดูเถิด  ถ้าใคร  ไม่อยากตก จงรีบยก  ใจตน รีบขวนขวาย

ให้ใจสูง  เสียได้  ก่อนตัวตาย ก็สมหมาย  ที่เกิดมา อย่าเชือน เอย ฯ

 

เราต้องรู้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมแห่งความเป็นมนุษย์ ต้องเอาทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจไปพร้อม ๆ กันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราต้องรู้หลักการอุดมการณ์อุดมธรรมของความเป็นเทวดา เป็นเทวดาก็ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ไม่ต้องมาหลงอยู่ในวิมานความสุขความสะดวกความสบายด้วยทิพย์วิมานต่าง ๆ เทวดาก็ต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิเห็นภัยในวัฏฏสงสาร มีหิริมีโอตตัปปะ

 

วันเสาร์วันอาทิตย์ถึงเป็นหลักการ พัฒนาใจ วัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำเป็นวันที่พัฒนาใจ เพราะเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราเป็นพระพรหมก็ต้องมีความสงบมีปัญญา จะไม่ได้หยุดไว้เพียงสมถะ พระพรหมก็ต้องมีสติมีปัญญา พระพรหมอย่าไปติดอยู่ในความสงบอย่าไปหลงอยู่ในความสงบ พระพรหมต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เอาความสงบกับปัญญามาเสียสละ เพื่อพิจารณาทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมิใช่นิติบุคคลตัวตน เรามีความสงบก็เพราะเรามีเหตุมีปัจจัย อย่าไปหลงอดีตความสงบ ผู้ที่มีความสงบก็ต้องเสียละ เพื่อศีลสมาธิปัญญาเสมอกันทั้งเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องวัตถุ

 

เราทุกคนน่ะชีวิตนี้น้อยนัก ชั่วครู่ชั่วคราวชั่วยาม ต้องเห็นคุณเห็นประโยชน์ เพื่อเอาความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน เราจะได้ใช้ทรัพยากรคุ้มค่า ชีวิตที่ผ่านมานี้ มันเป็นชีวิตที่รีไทร์นะ รีไทร์กับเกษียณก็อย่างเดียวกัน สิ่งที่ผ่านมาเรียกว่ารีไทร์ เหตุการณ์ที่ผ่านมาเรียกว่ารีไทร์ ปัจจุบันนี้ถึงเป็นวาระสำคัญ เพราะถ้าผ่านไปแล้วเกษียณไปแล้วนั้นคือชีวิตที่รีไทร์ รีไทร์กับตายก็คืออันดียวกัน คนตายไม่มีใครกลับคืนมาได้ เพราะมันได้รีไทร์ไปแล้ว

 

เราเป็นมนุษย์เราต้องเข้าใจ เป็นเทวดาเราต้องเข้าใจ เป็นพระพรหม ประพฤติพรหมจรรย์เราต้องเข้าใจ เป็นพระอริยเจ้าเป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารก็ดีแล้วถูกแล้ว เป็นพระอริยเจ้าที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ เอาอดีตที่ผ่านมามาปฏิบัติที่ปัจจุบันให้สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจ

 

การปฏิบัติธรรมเราต้องรู้เข้าใจ การปฏิบัติธรรมไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ไม่มีลับหลังและต่อหน้า ต้องตั้งใจตั้งเจตนา ถ้าเราปฏิบัติต่อหน้าก็อย่างหนึ่ง ลับหลังก็อย่างหนึ่งถือว่าทุจริต ไม่ใช่สุจริต ถือว่ามันเป็นความผิดไม่ใช่ความถูกต้อง ไม่ใช่ความสงบและปัญญา มันเป็นนิติบุคคลตัวตนเป็นสัญชาตญาณ

 

เราทั้งหลายจะพากันมาอยู่ลอย ๆ ยืนเดินนั่งนอนลอย ๆ ไม่ได้ เราต้องตั้งใจตั้งเจตนาให้รู้หน้าที่ เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราจะได้ใช้ทรัพยากร นี้ชีวิตของเราแต่ละคนก็รีไทร์มาหลายปีหลายสิบปี ยังเหลือเวลาเล็กน้อย บางคนเหลือเวลาอยู่เพียงเล็กน้อย

 

เราทั้งหลายในปัจจุบันในชีวิตประจำวัน เราต้องเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตาย โลกปัจจุบันนี้ก็ใช้ได้ โลกอนาคตก็ใช้ได้ เรื่องการปฏิบัติไม่ผิด มันเป็นความพอดีเป็นความพอเพียงเพียงพอ เราทั้งหลายต้องพากันรู้เรื่องในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะพากันมาอยู่กันลอย ๆ ได้อย่างไร เราต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ

 

การปฏิบัติธรรมนี้แหละไม่ใช่ไปปฏิบัติอยู่ที่วัดนะ ไปที่วัดนั้นน่ะไปเพื่อให้ทานเสียสละ ไปฟังพระธรรมเทศนาของพระบรมศาสดา เพราะผู้ที่จะเจริญก้าวหน้าก็ต้องไปหาพระบรมศาสนาดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไปหาพระอรหันต์ขีณาสพ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ขีณาสพนี้คือบัณฑิต บัณฑิตทั้งกายวาจากิริยามารยาท บัณฑิตทั้งเรื่องจิตเรื่องใจ การคบหาสมาคมกับบัณฑิต การเรียนหนังสือก็เพื่อให้เป็นบัณฑิต

 

ให้เข้าใจ การปฏิบัติของเราน่ะ เรารู้เข้าใจ อยู่ที่ไหนเราก็ปฏิบัติที่นั่น ไม่มีที่ไหนไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ ที่ไม่มีการประพฤติการปฏิบัติตั้งแต่คนตายนั้นแหละ คนตายนั้นไม่มีที่ประพฤติปฏิบัติ เพราะมันตายแล้วมันเกษียณแล้วมันเอากลับคืนมาไม่ได้ ถ้าเรายังไม่ตายเรามีลมปราณอยู่ที่ไหนเราก็ปฏิบัติที่นั่น คิดดี ๆ ประกอบด้วยปัญญา พูดดี ๆ ยกเลิกทุจริต ให้เข้าใจ เพราะการประพฤติการปฏิบัติมันเป็นเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องกายวาจากิริยามารยาท เรื่องใจของเรา เพราะการเรียนการศึกษามันเป็นการแสวงหาอาหาร

 

เราอย่าไปหลงประเด็นตั้งอยู่ในความประมาท เรามาเน้นประพฤติปฏิบัติที่ตัวเรานี้แหละ ใครเค้าจะดีจะชั่วจะผิดจะถูกให้เอาคติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ ๙ ของเมืองไทยท่านตรัสว่าอะไรก็ช่างหัวเผือกช่างหัวมัน ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เราก็ไม่ได้ทำจิตทำใจ

 

ให้เรารู้จักว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของชั่วครู่ชั่วยาม สิ่งภายนอกภายในสัมผัสกัน เราต้องรู้จักว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมาไม่จีรังยั่งยืน เราหันหน้าไปทางนี้ก็เห็นรูป เรามีหูอยู่ก็ได้ยินเสียง มีจมูกก็มีกลิ่น มันไม่มีอะไร เราจะได้มารู้แจ้งทางวัตถุรู้แจ้งทางจิตใจ เราจะได้มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เราต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราต้องรู้จักคำว่าวัด วัดนี้เป็นการวัดระยะสั้นระยะยาวระยะสูงระยะต่ำ วัดน้ำหนักวัดความเบา เค้าจะสร้างบ้านสร้างเมืองสร้างอะไรต่าง ๆ เค้าต้องมีเครื่องวัด เราต้องรู้ว่า เราต้องมีข้อวัตรข้อปฏิบัติ ทำหน้าที่ เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ สมบูรณ์แบบทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ เราจะเป็นผู้งามในเบื้องต้น ท่ามกลางที่สุดด้วยปฏิปทาของเราที่งดงามสง่างาม เราทั้งหลายต้องงามทั้งภายนอกภายใน งามทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพงามที่ใจ รู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้เป็นผู้งามทั้งส่วนร่างกายวาจากิริยามารยาทรวมลงที่ใจ

เราทั้งหลาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เรารู้จักข้อวัตรข้อปฏิบัติของตัวเอง ให้เน้นที่ตัวเรา ไม่ไปเน้นคนอื่น ต้องเน้นที่ตัวเรา คนอื่นก็เป็นเรื่องของคนอื่น เราจะได้เป็นมนุษย์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะได้เป็นเทวดาผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร จะได้เป็นพระพรหมผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะได้เป็นข้าราชการไม่ได้เป็นข้าราชการ เราจะได้เป็นนักการเมืองไม่ใช่นักกินเมือง

 

 เราอย่าให้เค้าว่าให้เรา เช่น อบต.นี้ เค้าว่าพวกนี้อมทุกบาททุกสตางค์เลย ไม่มีอะไรไม่อม ตัวตนนี้เรียกว่าอมในการใต้โต๊ะบนโต๊ะ มันไม่ใช่ความพอดีไม่ใช่ความพอเพียงเพียงพอ เราต้องให้เข้าถึงความพอดีความพอเพียง เพราะความดับทุกข์มันอยู่ที่ความพอเพียงเพียงพออยู่ที่ความสงบและปัญญา ความสงบและปัญญาให้เข้าใจนะ ความสงบและปัญญามันจะหยุดความปรุงแต่งมันจะเข้าถึงคำว่าโอเค ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป เป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ

 

ในชีวิตประจำวันเราต้องมีความสงบให้เพียงพอ มีปัญญาให้เพียงพอ การนอนการพักผ่อนคือความสงบ การที่ทำงานการที่เสียสละนี้คือปัญญา ความสงบและปัญญาต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราเป็นฆราวาสผู้ครองบ้านครองเมืองก็ต้องทำหน้าที่ของฆราวาส  เราเป็นฆราวาสก็ต้องเอาธรรมนำชีวิต ธรรมคือความพอดีพอเพียงเพียงพอ เป็นความสงบและปัญญา นั่นแหละ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ

 

เราเป็นนักบวช นักบวชก็ต้องทำหน้าที่ของนักบวช ถือพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ไม่ให้ขาดตกบกพร่องไม่ด่างไม่พร้อยไม่ทะลุ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เราทั้งหลายจะได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ในปัจจุบัน จะเป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวชนั้น ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ นั้นมาจากภาษีอากรของคนในประเทศนั้น ๆ ความเป็นอยู่เรื่องอาหารการบริโภคที่อยู่ที่อาศัยที่ประกอบอาชีพเค้าหักภาษีอากร ทุก ๆ คน ไม่มีใครยกเว้น เพื่อเอางบประมาณของแผ่นดินนี้มาบริหารข้าราชการนักการเมืองและนักบวช

 

ให้ข้าราชการนักการเมืองนักบวชพากันเข้าใจนะ นี้มันเป็นภาษีอากรของประชาชนของมหาชน มันมีที่มาที่ไปนะ เราต้องรู้ประเด็นอย่าไปหลงประเด็น เราทั้งหลายอย่าไปโกงกินคอร์รัปชั่น ใต้โต๊ะบนโต๊ะที่เป็นข่าวเป็นคราวเสียหายอยู่ทุก ๆ วัน ผู้ที่เค้าไม่ได้เป็นข้าราชการนักการเมือง ไม่ได้เป็นนักบวช เค้ามีความรู้สึกว่า ข้าราชการนักการเมืองนักบวชนี้พากันเอาความหลงนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต เรามองเห็นหน้าข้าราชการนักการเมืองนักบวช ใจมันก็เหมือนเห็นหน้าโจรมาปรากฎโดยอัตโนมัติเลยนะ เห็นหน้าข้าราชการนักการเมืองนักบวชความรู้สึกเหมือนเห็นหน้าโจรหน้ายักษ์หน้ามารหน้าสัตวเดรัจฉานนี้ ให้เรารู้เข้าใจนะ ถ้าเราไม่เข้าสู่หลักการอุดมการณ์ มันจะหยุดวัฏฏสงสารไม่ได้ ต้องเข้าสู่ภาคปฏิบัติภาคบำบัดมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ

 

วันเสาร์วันอาทิตย์เค้าถึงไปที่วัดไปที่โบสถ์ไปที่มัสยิดเพื่อเป็นทีมเวิร์ค ปฏิบัติพร้อม ๆ กันทุกคน เพราะทุกคนต้องรู้เรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรม

 

เราต้องรู้เข้าใจเรื่องอริยสัจสี่ เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ เรื่องข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราทั้งหลายต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ พิเศษก็หมายถึงยิ่ง ๆ ขึ้นไป รับผิดชอบ เป็นรถที่มีเบรก เป็นเครื่องบินที่มีเบรกเป็นเรือที่มีเบรก เป็นกายวาจากิริยามารยาทอาชีพที่มีเบรก เราจะได้เซฟตี้ตัวเองด้วยธรรมวินัย เราจะเดินไปก็มีเซฟตี้มีรองเท้าเพื่อป้องกันภัยอันตราย เค้าขับรถนั่งในรถเค้าก็ยังมีเบลล์ เข็มขัดนิรภัยรัดเพื่อความเซฟตี้ ธรรมะถึงมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์หาโทษมิได้เลย ตัวตนมีแต่โทษ มีแต่ความเสียหาย มีแต่พังทลายเช่นเดียวอย่างเดียวกับตึก สตง.

 

วันหนึ่งคืนหนึ่งเราอยู่ในกรุงเทพ เมืองกรุงปริมณฑลเราต้องนอนพักผ่อน ๗,๘ ชั่วโมง เพราะค่าพีเอ็มของอากาศไม่ดี ถึงจะพัฒนาเทคโนโลยี มีแอร์มีเครื่องฟอกอากาศ ธรรมชาติก็เป็นธรรมชาติ มันไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราต้องพักผ่อน ๗,๘ ชั่วโมงถึงจะเพียงพอนะ เราอย่าไปคอร์รัปชั่นเวลานอน เราต้องควบคุมตัวเองให้นอนแต่หัวค่ำ ตื่นตี ๔ เพื่อกราบพระไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิภาวนา หุงหาอาหาร เพื่อไปทำงาน เพื่อให้ลูกให้หลานไปโรงเรียนเรียนหนังสือ เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราทั้งหลายต้องคอนโทรลตัวเองให้อยู่ ต้องเข้าถึงความเป็นมนุษย์เทวดาพระพรหมพระอริยเจ้าผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ตั้งอยู่ในความไม่หลงไม่เพลิดเพลินไม่ประมาท ผู้ที่อยู่ต่างจังหวัด อากาศดีกว่า ออกซิเจนดีกว่า ค่าพีเอ็มต่ำ เรานอนเราพักผ่อน ๖,๗ ชั่วโมงก็พอเพียงเพียงพอ ถ้าเรานอนหลับลึก ๆ ๔ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมงก็เพียงพอ

 

เรามาอยู่วัดปฏิบัติธรรมมาเป็นนักบวช เรานอนพักผ่อน ๕ ชั่วโมงอย่างน้อย อย่างมาก ๖ ชั่วโมง เพราะเรามาปฏิบัติธรรมเรามีความสุขนะ การปฏิบัติธรรมนี้มีความสุขเพราะเหตุผลว่าเราบวชทำไมมีความสุข เพราะเรารู้เข้าใจว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เรามีความสุขในการทำหน้าที่ เน้นที่ปัจจุบันต้องเข้าถึงความเป็นมนุษย์เป็นเทวดา เข้าถึงพระพรหมผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารมีปิติมีความสุขในปัจจุบัน เพราะความสุขความดับทุกข์อยุ่ที่ปัจจุบัน ถ้าปัจจุบันเรามีความสงบมีปัญญาแล้วผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายจะมีความสุขจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ

 

 การปฏิบัติธรรมติดต่อต่อเนื่องกันก็จะเข้าถึงกระแสแห่งมรรคผลพระนิพพาน พระโสดาบันเข้าถึงกระแสมีแต่ความสุขมีแต่ปิติมีเอกัคคตา มันผ่านไปแล้วก็ปล่อยก็วางไม่ให้อดีตมาปรุงแต่งเราได้ นักบวชทั้งหลายถึงมีความสุขบวชทั้งกายทั้งวาจากิริยามารยาทบวชที่ใจ เราต้องรู้ว่าการบวชเค้าบวชอย่างนี้นะ ถ้าเราบวชตั้งแต่กายหัวใจไม่ได้บวช นี้แหละคือหัวใจของเราก็มีลูกมีเมียมีผัว อย่างนี้ถือว่าไม่ได้บวชนะ เป็นแต่เพียงจัดฉากเฉย ๆ

 

 การบวชเราต้องบวชทั้งกายวาจากิริยามารยาทสิ่งสำคัญอยู่ที่ใจที่เจตนาไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ถ้าเรามีต่อหน้าและลับหลังมันคือความปรุงแต่งนะ มันคือความไม่สงบ มันเป็นการหลอกลวง มันเป็นการจัดฉากเพื่อหลอกลวงเค้า ต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวชต้องให้เราเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ จะได้ทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้องสมบูรณ์

 

เราทั้งหลายน่ะต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะเราเป็นมนุษย์เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวช เราใช้งบประมาณของแผ่นดิน ใช้งบประมาณของศรัทธามหาชนที่เค้าทำความดีที่เค้าเสียสละ เราต้องรู้จักคิดเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

 เราต้องรู้จักคิดเหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช ทำอะไรเราต้องไม่ฟุ่มเฟือย เรารู้เรื่องน้ำที่เราใช้ ไฟที่เราใช้ ยานพาหนะของนักบวช วัสดุต่าง ๆ ทำอะไรเราต้องคิดเสียก่อนเพื่อความรอบคอบ เพื่อเป็นความสงบเป็นปัญญา เพราะทรัพยากรของแผ่นดินทรัพยากรของศรัทธามหาชน มันเป็นของแผ่นดินของศรัทธามหาชนนะ เราจะจับจ่ายใช้สอยอะไรเราต้องคิด ถ้าเราไม่คิดเราก็เอาบาปนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต ที่ใช้น้ำฟุ่มเฟือย ใช้ไฟฟุ่มเฟือย ไม่ดูแลอุปกรณ์ของประเทศของส่วนรวม

 

ท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ประเทศไทยค่าเงินบาทเปลี่ยนแปลง ทางธนาคารแห่งชาติของประเทศไทย ไปกราบเรียนท่านว่า ขณะนี้เวลานี้ประเทศไทยเรากำลังจะล่มสลายล้มละลายเพราะค่าเงินบาทเปลี่ยนแปลงจาก ๒๕ บาท ขึ้นไปเป็น ๕๐ บาท จึงได้อาราธนาท่านว่า ท่านหลวงตามหาบัว อย่าเพิ่งละสังขารนิพพาน ช่วยเหลือประเทศชาติก่อน แล้วนิมนต์ท่านหลวงตามหาบัวไปดูเงินในคลังหลวง ทองคำในคลังหลวง หลวงมหาบัว ท่านเป็นผู้กตัญญูกตเวที เป็นที่หนึ่งของโลกหรือว่าของประเทศ ท่านเป็นผู้กตัญญูกตเวทีต่อพ่อต่อแม่ต่อประเทศชาติต่อพระราชามหากษัตริย์ว่าที่ท่านได้ดีเป็นพระอริยเจ้า เป็นพระอรหันต์ขีณาสพก็เนื่องมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

เนื่องจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เนื่องมาจากประเทศไทยให้โอกาสให้ทุกคนได้มาบรรพชาอุปสมบท ท่านหลวงตามหาบัวท่านถึงออกรับผ้าป่าช่วยชาติ ท่านได้ออกจาริกไปในทิศทั้ง ๔ เพื่อไปรับผ้าป่าช่วยชาติ หลวงตามหาบัวท่านเป็นพระที่ประหยัด รู้จักว่าทรัพยากรนั้นเป็นของแผ่นดิน เป็นของศรัทธามหาชน ก่อนท่านจะพักผ่อนจำวัด ท่านจะเดินปิดไฟทุก ๆ ดวงเลย

 

เมื่อท่านไปพักอยู่ที่วัดแพร่ธรรมาราม อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ ก่อนจะจำวัดท่านเดินปิดไฟให้หมด มีไฟดวงหนึ่งที่สวิตซ์ไฟนั้นอยู่ในตู้ จะรู้สวิตซ์นั้นตั้งแต่เจ้าของกุฏิ ท่านหลวงตามหาบัว ท่านก็เดินหาปิดไฟดวงนั้นตั้งเป็นชั่วโมง สังเกตุดู หลวงพ่อกัณหาเลยไปถามท่านว่า ท่านหลวงตามหาบัว กำลังหาอะไร ท่านบอกว่าผมพักผ่อนไม่ได้ จำวัดไม่ได้เพราะว่าไฟดวงนี้ไม่ได้ปิด

 

ท่านให้โอวาทว่า เป็นพระมันต้องประหยัด เพราะทรัพยากรนี้ไม่ใช่ของเรานะ เป็นของแผ่นดิน เป็นของศรัทธามหาชน

 

เราทั้งหลายจะใช้สอยอะไรเราต้องคิดดูก่อนนะ เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะไม่มีความสงบไม่มีปัญญา เพราะเราไม่รู้ผิดรู้ถูกไม่รู้ดีรู้ชั่ว เราไม่รู้จักรายรับรายจ่ายนี้มันเสียหายมากนะ มันต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.แน่นอนนอนแน่ เราต้องรู้เข้าใจ ข้าราชการนักการเมืองนักบวชต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้อง ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไปเพื่อเป็นทางสายกลาง เพื่อให้เป็นความสงบและปัญญา จะได้ทั้งความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัต เราทั้งหลายมาระลึกถึงปัจฉิมโอวาท

 

โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสโอวาทสำคัญครั้งสุดท้ายไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร

 

ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาทจะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ประพฤติปฏิบัติให้เกิดความสงบและปัญญา เราจะได้หยุดความปรุงแต่งได้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน เราต้องรู้เข้าใจ เราเกิดมาเพื่อรู้เข้าใจ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราจะเข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน

 

-----------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันอาทิตย์ที่ ๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

Visitors: 99,439