๑๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันพุธที่ ๑๗ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ 

 

เราทุกคนพากันรู้พากันเข้าใจเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย ทุกอย่างนั้นอยู่ที่เหตุอยู่ที่ปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี เราทั้งหลายจึงมารู้อริยสัจสี่ เราจะได้รู้เรื่องกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรม เราทั้งหลายจะได้เอาธรรมนำชีวิต มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะอดีตก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้แล้ว ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญ

 

ให้พากันรู้พากันเข้าใจ ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญแห่งชาติเราทั้งหลายต้องเอาธรรมนำชีวิต ไม่เอาความชอบไม่ชอบนำชีวิต เราต้องหยุดความชอบความไม่ชอบของเรา เอาธรรมนำชีวิต มาถือนิสัยของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั้นคือพระธรรมคือพระวินัย ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน พระพุทธเจ้าคือพระธรรมคือพระวินัย เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์เป็นอุดมธรรม

 

เราทั้งหลายต้องมาหยุดกรรมหยุดเวรหยุดภัยด้วยความรู้ความเข้าใจ ทุกคนต้องไม่ถือทิฏฐิมานะ ทิฏฐิมานะนี้เป็นตัวเป็นตน เราจะมาถือเอาธาตุทั้ง ๔ ดินน้ำลมไฟนี้เป็นเราไม่ได้ เราจะมาถือเอาขันธ์ทั้ง ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้เป็นเราไม่ได้ เราจะมาถือเอาอายตนะทั้ง ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้เป็นเราไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นทิฏฐิมานะ เป็นอัตตาตัวตน

 

ให้ทุกคนรู้เข้าใจ ในชีวิตประจำวันของเราให้เรารู้เข้าใจ คำว่าประจำวันก็หมายถึงปัจจุบันนี้แหละ เพราะอดีตก็มาอยู่ที่ปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้แล้ว

 

ให้เราพากันรู้เข้าใจว่าพวกเราพากันเกิดมาทำไม ให้พวกเรารู้เข้าใจนะ ว่าเราเกิดมาเพื่อมารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ มารู้แจ้งธรรม เรารู้แจ้งสภาวธรรมที่ทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนแต่เป็นเหตุเป็นปัจจัย เราต้องรู้เหตุรู้ปัจจัย ตามความเป็นจริงของทุกสิ่งทุกอย่างว่าทุกอย่างนั้นมันคือธรรมะที่ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดเป็นภพเป็นชาติ คือธรรมชาติที่ทำให้เกิดภพเกิดชาติ

 

เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้รู้เหตุรู้ปัจจัย เห็นภัยในการเวียนว่ายตายเกิดที่เป็นวงกลม เป็น cycle of life เราต้องรู้เข้าใจว่าเราเกิดมาเพื่อมาหยุดปัญหา มาแก้ปัญหา ไม่ใช่มาหาเรื่องหาราวให้กับตนเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น

 

เราทั้งหลายจะได้รู้เข้าใจในการเกิดมาของเรา เราต้องรู้เข้าใจเรื่องอริยสัจสี่ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจเราก็จะสร้างปัญหาให้ตนเองมีความทุกข์เกิดทุกข์ ความทุกข์ตั้งอยู่ ความทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีเลย เปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ เปรียบเสมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ มีความบกพร่องอยู่เป็นนิจ นั้นไม่ใช่ทาง มันเป็นทางตัน ศัพท์นี้ลึกซึ้งกินใจมาก มันเป็นทางตัน เป็นตัณหา หาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น การดำเนินชีวิตของเราถึงมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีเลย ความไม่รู้ไม่เข้าใจ ชีวิตนี้ก็สูญเปล่า เช่นเดียวอย่างเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย ว่าทำไมตึกต่าง ๆ ในเมืองไทยประเทศไทยทั้งสูงทั้งใหญ่กว่าตึก สตง.ก็มีมากมาย แต่ทำไมไม่พัง ทำไมไปพังเฉพาะตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ก็เพราะความไม่ถูกต้อง เพราะเอาความผิดนำชีวิต เอาทุจริตนำชีวิต ไม่รู้อริยสัจสี่ ชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึก สตง. ฉันใดก็ฉันนั้น

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงบำเพ็ญพุทธบารมีมาหลายอสงไขยหลายล้านชาติหลายล้านปี ท่านได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าถึงความเต็ม เต็ม เต็ม เต็ม เต็ม เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป เป็นความพอดีความพอเพียง ท่านได้มาบอกมาสอนให้เรารู้เข้าใจ ความรู้ความเข้าใจเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าอื่นใด

 

ความรู้ความเข้าใจนี้จะได้หยุดสัญชาตญาณ ยานพาหนะที่เป็นนิติบุคคลตัวตน ยานที่เอาความหลงนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต ยานที่หาเรื่องให้กับตัวเอง หาเรื่องให้กับคนอื่น ยานที่มันพังทลายเหมือนกับตึก สตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศ ต้องมาหยุดยานหยุดสัญชาตญาณ เรามาเดินทางสายกลาง เพื่อเอาความถูกต้องนำชีวิต ไม่เอาความผิดนำชีวิต

 

ให้พวกเรารู้เข้าใจ ไม่มีใครเหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม เราจะหยุดกรรมได้ก็ต้องมีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม ต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการปฏิบัติในปัจจุบัน ความสงบกับปัญญาถึงเป็นคู่กันในปัจจุบัน ปัจจุบันเราถึงไม่เซ่อไม่เบลอไม่ฟุ้งซ่าน

 

ปัจจุบันถือว่าเป็นวาระสำคัญแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเราทุก ๆ คนต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติให้ชัดเจน ตั้งใจประพฤติตั้งใจปฏิบัติ มีความสงบให้เพียงพอ มีปัญญาให้เพียงพอ เพื่อใจเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา ธรรมวินัยเป็นเหตุเป็นผล ความรู้ความเข้าใจนั้นอยู่นอกเหตุเหนือผล ปัจจุบันเราถึงมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา มีความยึดมั่นถือมั่นที่เป็นความดีที่เป็นปัญญาในการประพฤติการปฏิบัติ เมื่อมันผ่านไปแล้วเราก็ปล่อยเราก็วาง เพราะสิ่งที่ผ่านไปแล้วนั้นคือมันผ่านไปแล้วมันเกษียณไปแล้ว มันตัดขาดไปแล้ว มันเอากลับคืนมาไม่ได้

 

เราทั้งหลายต้องไม่ให้อดีตมาปรุงแต่งจิตใจของเราได้ อย่าให้อนาคตที่ยังมาไม่ถึงมาปรุงแต่งจิตใจของเราได้ ปัจจุบันนี้จิตใจของเราถึงมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในปัจจุบัน เพื่อก้าวไปด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ ด้วยความรู้ความเข้าใจ ชีวิตของเราจะได้ว้าว ว้าว ว้าว สว่างไสวด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระรัตนตรัยคือพุทธะ ธัมมะ สังฆะ เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควร เป็นความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ เราทุกคนพากันทำได้ปฏิบัติได้ ให้เรารู้เข้าใจ ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาประกอบด้วยความดี มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์หาโทษมิได้

 

เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจในเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราทุกคนจะไม่ได้ถือทิฏฐิมานะอัตตาตัวตนให้มันป่วยกาลให้มันเสียเวลา ให้เข้าใจว่าเราเกิดมาทำไม เราเรียนหนังสือทำไม รับราชการเป็นนักการเมืองทำไม เป็นนักบวชทำไม ให้เรารู้เข้าใจ ว่าเราเกิดมา มาเรียนมาศึกษามาเป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวชเพื่อทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ ความไม่มีทุกข์

 

ด้วยเหตุผลนี้แหละ ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายที่เป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวชให้เข้าใจ เราจะมาถือทิฏฐิมานะ สักกายทิฏฐิ ถืออัตตาตัวตนนั้นไม่ได้ มันย่อมพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง. ไม่ผิดเลย แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์พันหมื่นแสนล้าน หลายล้าน ล้าน ล้าน เปอร์เซ็นต์ ให้เรารู้เข้าใจ

 

เบื้องต้นเราต้องรู้จักอริยสัจสี่ รู้เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ เรื่องข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ว่าพระธรรมพระวินัยเป็นพระรัตนตรัยที่ให้เราก้าวไปด้วยความดีด้วยปัญญาด้วยปฏิปทา เพื่อการประพฤติการปฏิบัติของเราจะได้ติดต่อต่อเนื่อง เพราะทุกอย่างนั้นมันเป็นวาระ ๆ ไป ความคิดคำพูดการกระทำกิริยามารยาทอาชีพรวมมาที่ใจมันเป็นวาระ ๆ เมื่อเราเข้าใจมันก็ไม่ยากอะไรเพียงแต่มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเป็นวาระ

 

เราต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ เน้นที่ปัจจุบัน ให้เรารู้ให้เข้าใจ เราทั้งหลายพากันเน้นที่ปัจจุบันนะ เราทั้งหลายต้องเข้าใจนะ ถ้าเข้าใจแล้วมีการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องมันถึงจะได้ผลถึงจะเห็นผล การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องกันถึงจะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เช่น ไก่ฟักไข่ก็ใช้เวลา ๓ อาทิตย์ขึ้นไป จะฟักด้วยแม่ไก่หรือฟักด้วยระบบไฟฟ้าสมัยใหม่ก็ใช้เวลา ๓ อาทิตย์

 

 ความรู้ความเข้าใจอันนี้แหละ เราทั้งหลายถึงไม่ให้ใครทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย เพราะพระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล ให้เรารู้เข้าใจ พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่มีทั้งคำสั่งมีทั้งคำสอน เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล เราอย่าไปมีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น

 

เราต้องมีปิติมีความสุขในการปฏิบัติตามคำสั่งและคำสอน พระธรรมพระวินัยนั้นจะให้เราหยุดตัวหยุดตนหยุดความปรุงแต่ง ให้เรารู้เข้าใจนะ พระธรรมพระวินัยอยู่นอกเหตุเหนือผล อยู่นอกเหนือความปรุงแต่ง ให้เรารู้ให้เข้าใจ ให้เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้ทิ้งอดีตไป อนาคตก็ไม่วิตกกังวล ปัจจุบันเราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในพรหมจรรย์ในพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ พระธรรมพระวินัยนั้นจะได้หยุดความปรุงแต่ง พระธรรมพระวินัยนั้นถึงเป็นธรรมอยู่นอกเหตุเหนือผล มันเป็นความสงบและปัญญา จะหยุดความปรุงแต่งของเราได้ด้วยความรู้ความเข้าใจที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นทางสายกลาง ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ตึงเกินไปมันก็จะขาด หย่อนเกินไปมันก็ไม่ดี ต้องอยู่ในความพอดี เพราะพระธรรมพระวินัยให้เรารู้เข้าใจ มันเป็นการหายพยศ ลดมานะ ละทิฏฐิ เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล อยู่นอกเหนือการปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง

 

เรามาบวชมาปฏิบัติให้เราถือเอาหลักพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตร เป็นวาระสำคัญเป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ เพราะอันนี้มันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม มันจะหยุดความปรุงแต่งของเราได้ ด้วยความสงบและปัญญา นี้เป็นความดีเป็นบารมีเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด

 

เราทั้งหลายพากันมาเน้นที่ตัวเราปฏิบัติที่ตัวเรา เราไม่ต้องไปห่วงคนโน้นห่วงคนนี้ ไม่ต้องห่วงพ่อห่วงแม่ห่วงลูกห่วงหลานห่วงประเทศชาติบ้านเมือง

 

เรามาเน้นที่ตัวเรานี้แหละ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

มีคำถามว่ามนุษย์เรามีการเรียนการศึกษาระดับปริญญาตรีโทเอก เป็นศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ทำไมถึงแก้ปัญหาไม่ได้ การแก้ปัญหาให้เรารู้เข้าใจ เราต้องรู้จักปัญหา ทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจระหว่างวัตถุระหว่างวิทยาศาสตร์ เราต้องเอาสองอย่างนี้มาแก้ปัญหานะ มันเป็นความสงบและปัญหาไปพร้อม ๆ กัน

 

มนุษย์เรานี้จะมีการเรียนการศึกษาจบปริญญาตรีโทเอกเป็นศาสตราจารย์ก็ย่อมแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะมันไปพัฒนาตั้งแต่วิทยาศาสตร์ พัฒนาตั้งแต่เรื่องตัวเรื่องตน ไม่ได้พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน การปฏิบัติธรรมกับการทำงานมันต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นอริยมรรคมีองค์แปด จะเป็นความดับทุกข์ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้แก้ทั้งภายนอกภายในไปพร้อม ๆ กันเป็นทางสายกลาง เราต้องรู้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันอยู่ตรงกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ เราจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ไม่มากเกิน ไม่น้อยเกิน ไม่ตัดไม่เพิ่ม เพราะทุกอย่างมันเป็นความพอดีเป็นความประภัสสร สิ่งที่สัญจรไปมาชั่วครั้งชั่วครู่ชั่วยามคืออาคันตุกะเท่านั้น

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลาย การเรียนการศึกษาเราถึงจะเกิดปัญญา เราทั้งหลายจะได้เอาตัวรอดในทางที่รอด มันรวยจริง มันเก่งฉลาดจริง แต่มันรวยเพื่อตัวตเพื่อตน มันฉลาดเพื่อตัวเพื่อตน มันไม่ใช่ความสงบไม่ช่ปัญญา มันเป็นการเอาตัวรอดในสิ่งที่ไม่รอด คนมีการเรียนการศึกษาถึงพากันไปเรียนเพื่อสร้างปัญหา เพื่อมีปัญหา มนุษย์สมัยใหม่เราต้องรู้เข้าใจว่ามนุษย์เราความดับทุกข์อยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ อยู่ที่ความสงบและปัญญา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นประภัสสร เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้จบลงได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราเป็นมนุษย์เราก็ต้องเข้าใจ เราเป็นเทวดาก็ต้องเข้าใจ เราเป็นพระพรหมเราก็ต้องเข้าใจ เราเป็นพระอริยเจ้าเราก็ต้องเข้าใจ มนุษย์เรา ผู้คงแก่เรียนทั้งหลายจะได้รู้เข้าใจ จะได้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เรารู้เข้าใจก็มีปิติมีความสุขในการทำหน้าที่ มีปิติมีความสุขในการเรียนการศึกาษา มีความสุขในการเป็นข้าราชนักการเมืองเป็นนักบวช เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้เอาปัญญามาเสียสละ จะได้เอาความสงบมาเสียสละ เรามีปัญญาเรามาเสียสละมันถึงจะสงบ เรามีความสงบเราก็มาเสียสละถึงจะมีปัญญา ให้รู้เข้าใจ มนุษย์สมัยใหม่ต้องเข้าใจอย่างนี้

 

ความดับทุกข์ของมนุษย์นั้นอยู่ที่เรารู้เข้าใจในอริยสัจสี่ การรู้อริยสัจสี่มันจะเป็นความพอเพียงเพียงพอเป็นความพอดี เป็นความเต็ม เต็ม เต็ม

 

เราดูตัวอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรม เสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านเข้าถึงความเต็ม เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ประสูติก็พระจันทร์วันเพ็ญ ตรัสรู้ก็พระจันทร์วันเพ็ญ แสดงธรรมก็พระจันทร์วันเพ็ญ เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็พระจันทร์วันเพ็ญ เพราะความดับทุกข์อยู่ที่ความพอเพียงเพียงพอ ไม่ไปตามผัสสะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เป็นอิสรภาพ เป็นเสรีภาพ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมาตรัสรู้ ท่านถึงมายกเลิกทาส ยกเลิกตระกูล ยกเลิกชั้นวรรณะ หมายถึงมายกเลิกตัวตนนี้แหละ ไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นใคร มาจากไหน  เชื้อชาติอะไร สูงต่ำเสมอ ความรู้ความเข้าใจนี้จะเป็นประภัสสร เป็นความดี เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผลเหนือความปรุงแต่ง ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ให้เรารู้เข้าใจ ทุกคนต้องมีหน้าที่ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ เป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ให้เอาปัจจุบันเป็นวาระสำคํญ ให้เข้าถึงความเป็นมนุษย์ ความเป็นเทวดา เป็นพระพรหม เป็นพระอริยเจ้าด้วยความรู้ความเข้าใจ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร มีความสงบมีปัญญา ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพที่ปัจจุบันให้สมบูรณ์ เพื่อเราทุกคนจะไม่ได้ตามใจของเราตามสัญชาตญาณของเรา เราทั้งหลายต้องหยุดสัญชาตญาณของตัวเรา

 

เราพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ เราเป็นฆราวาสผู้ครองบ้านครองเมืองครองประเทศชาติ เรานอนเราพักผ่อน ๖,๗,๘ ชั่วโมง ให้มีระเบียบในการนอนการพักผ่อน ให้เรารู้เข้าใจ เพราะทุกอย่างมันคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม เราเป็นฆราวาสผู้ครองบ้านครองเมืองครองประเทศ เราทานอาหารวันหนึ่ง ๓ เวลา เช้ากลางวันเย็น เอาความรู้ความเข้าใจ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบันของชีวิตประจำวัน ระบบความคิดคำพูดการกระทำกิริยามารยาทอาชีพเราต้องไปทางสายกลาง เพื่อเป็นไปเพื่อเสียสละ เพื่อสภาวธรรมเพื่อความเป็นประภัสสร เราตัดด้วยความรู้ความเข้าใจ ตัดเราตัดเขา ไม่มีเขาไม่มีเรา มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา มีแต่ความรู้ความเข้าใจ มีแต่ประภัสสร สิ่งที่สัญจรไปมานี้เป็นเพียงอาคันตุกะชั่วครู่ชั่วยาม

 

การนอนการพักผ่อนถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ การพูดจากิริยามารยาทอาชีพเป็นสิ่งที่สำคัญ ทุกอย่างสำคัญหมดให้เรารู้เข้าใจ เราจะไปประมาทไม่ได้ จะไปเพลิดเพลินไม่ได้

 

เราต้องรู้เข้าใจว่าทุกอย่างนั้นคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม กรรมนั้นจะบันทึกไว้ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ จะเป็นชิพที่ฝังอยู่ในธาตุในขันธ์ในสัญญาขันธ์ เป็นเมมโมรี่เป็นหน่วยความจำที่บันทึกกรรมบันทึกกฎแห่งกรรม เป็นเหตุเป็นปัจจัย เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้เพลิดเพลินจะไม่ได้ประมาท ความประมาทนั้นเป็นบาปหรือเป็นบาดแผล บาดแผลน้อยบาดแผลกลางบาดแผลใหญ่ ความประมาทนี้เป็นบาดแผลนะ ช่างหัวเผือกช่าวหัวมัน

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ ๙ ของเมืองไทยท่านตรัสว่าสิ่งที่ผ่านไปแล้วช่างหัวเผือกช่างหัวมัน สิ่งที่เป็นความดีระหว่างใจกับวัตถุต้องเอาปัจจุบัน

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราอย่าไปเสียใจในสิ่งที่ผิดพลาด เราอย่าไปดีใจในสิ่งที่สมหวัง เราต้องรู้เข้าใจวาระแห่งการประพฤติการปฏิบัติมันอยู่ที่ปัจจุบัน ความสงบกับปัญญาต้องพร้อม ๆ กันไป การเสียสละคือความสงบ การพักผ่อนกับการทำงาน การทำงานกับการพักผ่อน สมถะกับวิปัสสนาถึงควบคู่กันไป ปัจจุบันนี้ต้องไม่นิวรณ์ทั้ง ๕ มาครอบงำจิตใจของเรา ไม่ให้อคติทั้ง ๔ มาครอบงำจิตใจของเรา จิตใจของเราในชีวิตประจำวันจะได้อยู่กับขณิกสมาธิ อยู่กับอุปจารสมาธิเป็นพื้นฐาน เพราะการประพฤติการปฏิบัติของเรามันเป็นอริยมรรคมีองค์แปด ที่กายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจเป็นอริยมรรคมีองค์แปด

 

เปรียบเสมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้นไม้ต้นนั้นต้องได้อาหารมาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้ได้มาจากทางกิ่งทางก้านทางใบสาขาตลอดถึงทางยอดตลอดปริมณฑล ทางแสงแดดอากาศออกซิเจน ต้นไม้ถึงจะสมบูรณ์สง่างาม เราต้องรู้เข้าใจ ว่าธรรมเป็นอริยมรรคมีองค์แปดมีได้ทุกชาติทุกศาสนา เพราะพระนิพพานเป็นสาธารณะ เป็นของผู้ที่รู้เข้าใจแล้วมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ

 

มนุษย์เราต้องเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบันไม่ต้องรอชาติหน้า ต้องเข้าถึงที่ปัจจุบัน เมื่อปัจจุบันไม่มีพระนิพพานไม่ได้พระนิพพาน ชาติหน้ามันจะได้พระนิพพานได้อย่างไร เรารู้เราเข้าใจเพื่อเราจะได้มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเอาความบกพร่องมาทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ มาปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกันเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติสมควรเป็นผู้ปฏิบัติพอดีไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป ไม่เพิ่มไม่ตัด เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความปรุงแต่งด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตาด้วยความรู้ความเข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยนั้นเป็นสิ่งที่อมตะ เป็นสิ่งที่ไม่ตาย อยู่ชั่วฟ้าดินสลายด้วยความรู้ความเข้าใจ ว่าธรรมะนั้นคืออมตะที่ยกเลิกชาติชั้นวรรณะยกเลิกวงศ์ตระกูล ยกเลิกความสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นผู้หญิงผู้ชายเป็นคนหนุ่มคนสาวคนแก่คนเฒ่าคนชรา ว่าเราดีกว่าเค้าเก่งกว่าเค้ารวยกว่าเค้าเพาเวอร์สูงกว่าเค้าหรือสูงเขาไม่ได้เสมอเขา ต้องไม่มีเขาไม่มีเรา ด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้ามีเขามีเรามันก็มีสิ่งเปรียบเทียบมันก็เป็นความปรุงแต่ง มันไม่ใช่ความสงบ มันเป็นสงคราม ตัวตนคือสงครามนะ ตัวตนคือความไม่สงบตัวตนคือสงคราม

 

ความรู้ความเข้าใจ เราเสียสละสักกายทิฏฐิ เสียสละตัวตนชีวิตนี้ถึงจะยั่งยืน เราไม่รู้ไม่เข้าใจตัวตนนั้นแหละมันจะทำร้ายตัวเอง มันจะระเบิดตัวของมันเอง เรียกว่าตัวตนนั้นมันเป็นโรคภูมิแพ้ แพ้ภูมิตัวเอง ตัวตนนั้นแหละคือโรคซึมเศร้า ตัวตนนั้นแหละมันเป็นโรคไบโพล่าเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาไม่ใช่ทางสายกลาง ถ้าเรายกเลิกตัวตนใจของเราจะสว่างไสว จะมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา ด้วยเหตุผลนี้เราถึงต้องเอาธรรมนำชีวิต เราจะได้เข้าสู่หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม มนุษย์เราถึงจะเกิดความสงบเกิดปัญญา จะเป็นมนุษย์สมัยใหม่ที่ทันโลกทันสมัย จะไม่บริโภคอวิชชา ไม่บริโภคความหลง ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราทั้งหลายต้องเข้าใจเรื่องชาติเรื่องศาสน์เรื่องกษัตริย์ รู้ทั้งรูปธรรมนามธรรม นี้เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์ของเราในการประพฤติการปฏิบัติ เราที่มันผ่านไปแล้วก็แล้วไป สิ่งที่ผ่านไปแล้วมันแก้ไขไม่ได้ เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน

 

ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบทพากันนอนพักผ่อนจำวัด ๕,๖ ชั่วโมงก็เพียงพอ จะเป็นวัดป่าวัดบ้านก็ทำอย่างเดียวกัน  ผู้ที่เป็นข้าราชการทั้งหมด ผู้ที่เป็นนักการเมืองทั้งหมด ผู้ที่เป็นนักบวชทั้งหลาย ในการดำรงชีวิตดำรงธาตุดำรงขันธ์ใช้งบประมาณของแผ่นดิน งบประมาณของแผ่นดินเอามาจากไหน ก็เอามาจากภาษีอากรของประชาชน ประชาชนอยู่ในแผ่นดินนั้น ๆ ต้องเสียภาษีอากร ในการดำรงชีพทุกอย่างนั้นอยู่ในประเทศนั้น ๆ ต้องเสียภาษีอากร ทุกคนไม่มีใครยกเว้น ให้ข้าราชการนักการเมืองนักบวชพากันเข้าใจนะ นี้มันเงินภาษีอากรของประชาชนของมหาชน เราทั้งหลายเป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวชต้องรู้เข้าใจ ว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ให้การสนับสนุนให้เป็นข้าราชการนักการเมืองนักบวช ค่าใช้จ่ายทั้งหมดนี้มาจากภาษีอากรของประชาชน และได้มาจากศรัทธาของประชาชนของมหาชนที่เค้าให้การสนับสนุน ที่เราเป็นคนดีที่เราเสียสละ เค้าพากันสร้างความดีสร้างบารมี เค้าพากันเสียสละ ผู้ที่เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวชถึงต้องพากันมาทำหน้าที่มาเสียสละ มามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำงาน

 

 ขณะนี้เวลานี้ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์กำลังอ่อนแอ เพราะไม่ได้ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ เราทุกคนมองเห็นหน้าซึ่งกันและกัน ความรู้สึกที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิที่มันอยู่ที่ใจของเรา เรามองเห็นหน้าก็เหมือนมองเห็นหน้าโจรเห็นหน้ามหาโจร เห็นหน้าสัตว์เดรัจฉานมันลอยมาอยู่ตรงหน้าเลยนะ มองเห็นหน้าข้าราชการก็เหมือนมองเห็นหน้าของโจร มองเห็นหน้านักการเมืองก็เหมือนมองเห็นหน้าของโจรของมหาโจร มองเห็นหน้านักบวชก็เท่ากับว่ามองเห็นหน้าโจรหน้ามหาโจร

 

เราต้องรู้เข้าใจนะ เราจะเอาความผิดนำชีวิตเอาความหลงนำชีวิตเอาสัญชาตญาณนำชีวิตนี้ไม่ได้นะ เราทั้งหลายต้องมีจิตใต้สำนึกเพื่อจะเอาความถูกต้องกลับคืนมา เพื่อจะเอาความสงบและปัญญาของเรากลับคืนมา เพื่อจะเอาความกตัญญูกตเวทีกลับคืนมา ความถูกต้องความสงบและปัญญาเป็นคุณสมบัติของผู้ดีมีปัญญานะ ธรรมนูญรัฐธรรมนูญกฎหมายบ้านเมืองคือคุณสมบัติของผู้ดีของผู้มีปัญญานะ ศีลสมาธิปัญญาที่เป็นกายวาจากิริยามารยาทอาชีพรวมมาที่ใจ ให้เรารู้เข้าใจนี้คือคุณธรรมคุณสมบัติของผู้ดี เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเอาทุจริตเป็นที่ตั้งเค้าเรียกว่าไม่ใช่คุณสมบัติของผู้ดีของผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติสมควรนะ มันเป็นคุถณสมบัติของผู้ชั่ว

 

ความรู้สึกของประชาชนของมหาชนมองเห็นหน้าซึ่งกันและกันมันจึงเหมือนเปรตเหมือนผีเหมือนยักษ์เหมือนมารเหมือนสัตว์เดรัจฉานมันลอยมา ให้รู้เข้าใจ

 

ให้เอาใหม่เพื่อความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์ เราทั้งหลายจะได้เป็นมนุษย์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นเทวดาผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นพระพรหมผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นพระอริยเจ้าผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราทั้งหลายจะเอาความรู้สึกเอาสัญชาตญาณนำการประพฤติการปฏิบัติ ต้องเอาทางสายกลางคือพระธรรมพระวินัยที่เป็นอมตะธรรมเป็นสิ่งที่ชั่วฟ้าดินสลาย ที่พระอานนท์ทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้วจะเอาใครแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสตอบว่า "ธรรมและวินัยอันใดที่เราได้แสดงแล้วและตั้งไว้แล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไป"

 

ใจความสำคัญในหลักการประพฤติการปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราทั้งหลายพากันตั้งใจตั้งเจตนามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ ท่านจึงตรัสปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค
ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว
ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว
ทรงเข้าตติยฌาน ออกจาก ตติยฌานแล้ว
ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว
ทรงเข้าอากาสนัญจายตนะ ออกจากอากาสนัญจายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจาก วิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตน สมาบัติแล้ว
ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ

 

ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ ได้กล่าวถามท่านพระอนุรุทธะ ว่าพระผู้มีพระภาคเสด็จ ปรินิพพานแล้วหรือ ท่านพระอนุรุทธะตอบว่า อานนท์ผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคยังไม่ เสด็จปรินิพพาน ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ

 

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค
ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญา นาสัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ
ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจากวิญญานัญจายตนสมาบัติแล้วทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ ออกจากอากาสนัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน
ออกจากจตุตถฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน
ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน
ออกจากทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าปฐมฌาน
ออกจากปฐมฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน
ออกจาก ทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน
ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน
พระผู้มีพระภาค ออกจากจตุตถฌาน แล้วเสด็จปรินิพพานในลำดับ
(แห่งการพิจารณาองค์จตุตถฌานนั้น)

 

ให้พวกเราทั้งหลายพากันรู้เข้าใจในเรื่องชาติ ในเรื่องพระศาสนา ในเรื่องพระมหากษัตริย์ที่เป็นทั้งรูปธรรม นามธรรม เพื่อเราจะได้พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เราจะได้พัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจสมัยใหม่ เราจะได้เอาสองอย่างนี้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นธรรมะอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ เป็นธรรมะที่อยู่นอกเหตุเหนือผล เหนือความปรุงแต่งด้วยความรู้ความเข้าใจที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นทั้งความสงบเป็นทั้งปัญญา ใช้ได้ทั้งปัจจุบันและอนาคต เป็นประโยชน์ทั้งในชาตินี้ชาติหน้าทั้งทางใจทางวิทยาศาสตร์ด้วยการพัฒนา ไม่ใช่ก้าวไปแล้วถอยกลับมาเหมือนกับเหตุการณ์ทั้งหลายที่ผ่านมา มันเป็นวงกลม เป็น cycle of life ไปไหนไม่ได้เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้พัฒนาวิทยาศาสตร์ พัฒนาใจ

 

เรามาระลึกถึงโอวาทท่านหลวงปู่มั่น ภูริทัตโร ท่านตรัสคติธรรมประจำใจไว้ว่า

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพานให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน

 

ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาทจะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความสงบและปัญญา ธรรมะนั้นถึงหยุดความปรุงแต่งได้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ

 

-------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ใจเช้าวันพุธที่ ๑๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

 

Visitors: 101,695