๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ ๖ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวัน ๑๔ ค่ำ เป็นวันปลงผมพระ วันพรุ่งนี้จะเป็นวันออกพรรษา พรุ่งนี้ ๑๕ ค่ำ ตอนเช้าเวลา ๘ นาฬิกาก็รวมกันที่ศาลาเหมือนทุก ๆ วันฟังพระธรรมเทศนา เป็นการบรรยายเรื่องปวารณาวันออกพรรษา เพื่อให้ทุกคนเข้าใจในการปวารณา ความหมายของการปวารณาในวันออกพรรษา
เวลาตีสี่ หลังทำวัตรเช้าเสร็จ ผู้ที่อยู่จำพรรษา พระทุกรูปจะต้องกล่าวปวารณาก่อนจะออกพรรษา ให้ทุกท่านทุกรูปให้เตรียมตัวท่องคำปวารณาไว้ให้คล่อง ๆ อย่าให้ตะกุกตะกัก ใครบวชพรรษาเดียวกันก็ให้ว่าพร้อมกันเพราะเหตุผลว่ามีทั้งหมดหลายรูป ถ้าไปว่าทีละท่าน ๆ นั้นจะใช้เวลามากเกินไป ให้พากันท่องไว้ให้ขึ้นใจให้คล่องแคล่ว เพื่อเราจะได้เข้าใจในเรื่องความรับผิดชอบในธุรกิจหน้าที่การงานของตนเอง คนอื่นเค้าจะได้มองเห็นความรับผิดชอบของเรา เพราะการแสดงออกมาทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพที่คนอื่นเค้ามองเห็น มองเห็นความรับผิดชอบของเรา ความตั้งอกตั้งใจในความไม่ประมาทของเรา เราเอาใจใส่ในหน้าที่ธุรกิจหน้าที่การงานของเรา
ให้ทุกท่านรู้เข้าใจว่าธรรมะนั้นคือหน้าที่ หน้าที่นั้นคือธรรมะ เน้นการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบันอยู่ที่ปัจจุบัน เพื่อให้ทุกท่านทำหน้าที่ของท่านให้สมบูรณ์ สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ สมบูรณ์ทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาทมารวมลงที่ใจที่เจตนา ตั้งอยู่ในความตั้งใจตั้งอยู่ในความรับผิดชอบในความไม่ประมาท ให้เริ่มกล่าวคำปวารณาตั้งแต่ผู้ที่เป็นประธานบวชก่อนจนถึงผู้ที่บวชสุดท้าย
เวลา ๑๘.๐๐ น. เรารวมกันที่ศาลาสวดมนต์ทำวัตรเย็นเหมือนกับทุก ๆ วัน หลังสวดมนต์ทำวัตรเย็นแล้ว หลวงพ่อใหญ่อาราธนาพระที่บวชใหม่ในพรรษานี้พูดธรรมะอย่างน้อย ๕ นาที อย่างมากไม่เกิน ๑๐ นาที พระใหม่จะได้พูดออกมาจากใจด้วยความรู้ความเข้าใจในเรื่องพระศาสนา ว่าพระพุทธศาสนานี้มีคุณมีประโยชน์ต่อเราอย่างไร ต่อหมู่มวลมนุษย์อย่างไร
เราพากันมาบวชมาประพฤติมาปฏิบัติธรรม มาจากคนละหนละแห่งคนละทิศละทาง เรามาทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เอาปัญญาประกอบด้วยความดี การมาบวชของเราจะอยู่กับข้อวัตรกิจวัตร อยู่กับพระธรรมพระวินัย อยู่กับพระรัตนตรัย
การมาบวชส่วนใหญ่ก็ไม่ได้คลุกคลีกัน การทำวัตรสวดมนต์ทำข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ นั้นถือว่าเป็นการไม่คลุกคลี เป็นความสมัครสมานสามัคคี เป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นความว่างจากความไม่ถูกต้อง เป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ถือว่าเป็นการไม่คลุกคลี เป็นความสมัครสมานสามัคคี เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เราถึงเพียงรู้กันภายนอกเพียงผิวเผิน ว่าท่านเป็นใครมาจากไหน ต่างคนก็ต่างประพฤติปฏิบัติทำข้อวัตรกิจวัตร เรามาอยู่ด้วยกันด้วยการถือเพศพรหมจรรย์ เรามาบวชในพรรษา เมื่อออกพรรษารับกฐินแล้ว ส่วนใหญ่ก็ต้องลาสิกขาแยกแยกกันไปถือเพศคฤหัสถ์ผู้ครองบ้านครองเมืองครองประเทศ
ผู้ที่มาบวชในพรรษาใช้ระยะเวลานั้น ๆ เป็นเวลา ๔ เดือนก็ต้องลาสิกขาไปประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้านอยู่ที่ทำงาน ความรู้ความเข้าใจที่จะต้องเอาไปใช้เอาไปปฏิบัติไปทำหน้าที่ เพราะธรรมะหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ความรู้ความเข้าใจนั่นแหละที่จะเป็นความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์ ชาติหมายถึงความเกิด ศาสน์นั้นหมายถึงพระศาสนา พระมหากษัตริย์ถึงปัญญา หมายถึงนามธรรม ความู้ความเข้าใจ ในอริยสัจสี่ เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ เรื่องข้อปกิบัติถึงความดับทุกข์ การประพฤติการปฏิบัติของเราอยู่ที่ปัจจุบั นเพราะอดีตก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบันนี้แล้ว อนาที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันกายวาจากิริยามารยาทมารวมลงที่ใจ ถึงเป็นความรู้ความเข้าใจเป็นการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เป็นประโยชน์ทั้งในปัจจุบัน เป็นประโยชน์ทั้งในอนาคต ด้วยเหตุผลนี้เราถึงพากันมาบวชมาประพฤติมาปฏิบัติ ให้การประพฤติการปฏิบัติของเราติดต่อต่อเนื่อง เมื่อเรารู้เราข้าใจ เราจะเอาไปใช้เมื่อเราเป็นฆราวาส เราต้องรู่เข้าใจว่ามนุษย์เรานี้ต้องเอาใจเอาวัตถุไปพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นทางสายกลาง เป็นสงบเป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี
ความเป็นพระให้เข้าใจ พระคือพระธรรมพระวินัย กฎของกายวาจากิริยามารยาทมารวมลงที่ใจที่เจตนา เราทั้งหลายจะได้เข้างถึงชาติศาสน์กษัตริย์ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลอยู่ที่กายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจเป็นประโยชน์ทั้งตนเองเป็นประโยชน์ทั้งส่วนรวมเป็นประโยชน์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจจะได้พากันถือเพศพรหมจรรย์ ข้าราชการนักการเมืองนักบวชนี้ให้พากันเข้าใจว่าต้องถือเพศพรหมจรรย์ทั้งหมด พรหมจรรย์ระดับต้นระดับกลางระดับสูงสุด ความรู้ความเข้าใจที่เราเอาอริยมรรคมาใช้มาประพฤติมาปฏิบัตินั่นแหละคือชาติคือศาสนาคือพระมหากษัตริย์ที่เป็นทั้งรูปธรรมนามธรรมเป็นความรู้ความเข้าใจ
การที่เราเป็นมนุษย์เราทุกคนต้องเอารูปธรรมนามธรรมมาใช้ในหลักเดียวกัน เราทุกคนจะได้เข้าถึงคำว่าชาติศาสน์กษัตริย์
เราเป็นคฤหัสถ์เป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวชเราก็เอาธรรมนำชีวิตอย่างเดียวเช่นเดียวกัน ให้เราทุกคนเข้าใจว่า มันต่างกันเพียงอันหนึ่งเบื้องต้น อันหนึ่งท่ามกลาง อันหนึ่งที่สุด เหมือนนักเรียนนี้แหละ นักเรียนอนุบาลประถมมัธยมอุดมศึกษา มันต่างกันอย่างนี้ การปฏิบัติธรรมคือการทำงาน การทำงานคือการปฏิบัติธรรม
เพราะการทำงานกับการปฏิบัติธรรม ๒ อย่างนี้ต้องเป็นทั้งความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน ระหว่างจิตใจกับวัตถุ ๒ อย่างนี้ต้องไปพร้อม ๆ กัน จะแยกออกจากกันไม่ได้ ถ้าแยกจากกันนั้นมันไม่ใช่ทางสายกลางเรื่องจิตใจกับวัตถุ ใจกับวัตถุก็ต้องไปพร้อม ๆ กัน
การที่เราพามาบวชก็คือพากันมาปฏิบัติพากันมาบำบัด การทำอะไรที่ติดต่อต่อเนื่องไม่ขาดสายทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพที่เป็นอริยมรรค ที่เป็นหนทางดำเนินชีวิตที่เป็นทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจ ที่เป็นอริยมรรคทั้งทางกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ ประพฤติปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นความดีเพื่อให้เป็นบารมี เพื่อความสงบและปัญญานี้เค้าเรียกว่าการมาบวช เป็นการอบรมบ่มอินทรีย์ เอาความดีและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน เอาความสงบและปัญญาไปพร้อม ๆ กัน
ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้เป็นทั้งคนเก่งคนฉลาดเป็นทั้งคนดีไปพร้อม ๆกัน คนเก่งคนฉลาดก็ต้องเป็นคนดี เป็นคนดีก็ต้องเสียสละ เพื่อเอาความเก่งความฉลาดและความดีให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เพื่อเป็นปฏิปทาให้เรารู้เข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันเกิดได้ทีละอย่าง ไม่ใช่เกิดพร้อมกันนะ ถ้าเราเอาความดีกับปัญญาติดต่อต่อเนื่องกัน ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกันไป ตามหลักเผลตามหลักวิทยาศาสตร์ใช้เวลา ๓ อาทิตย์ขึ้นไป เราจะมองเห็นเป็นรูปธรรม นามธรรม ความรู้ความเข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยมีแต่คุณมีแต่พระคุณ เค้าถึงเรียกว่า พุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ
เราทุกคนมีการเรียนการศึกษาเป็นคนเก่งคนฉลาด จะเก่งจะฉลาดสักเท่าไหร่ เราก็ต้องทำใจให้สงบ ทำกายวาจากิริยามารยาทอาชีพให้สงบ เพื่อจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงธรรมเข้าถึงปัจจุบันธรรม ปัญญาของเราถึงจะเป็นปัญญาที่มีคุณ เป็นปัญญาไม่มีโทษ ผู้มีปัญญามากก็มีความสงบให้มาก ๆ ควบคู่กันไป เราจะไม่ได้เอาความเก่งความฉลาดไปทำร้ายตัวเอง เราเก่งมากฉลาดมาก ถ้าเราไม่รู้จักเอาความเก่งความฉลาดมาใช้มาปฏิบัติ ความเก่งความฉลาดนั้นแหละมันจะทำร้ายตัวเอง คนเก่งมากฉลาดมากมันทำร้ายตัวเองยังไม่พอมันทำร้ายคนอื่น ส่วนใหญ่คนเก่งคนฉลาดส่วนมากมันจะไม่สงบ มันจะนอนไม่หลับ คนพวกนี้แหละมันไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอมันไม่เต็มไม่เพียงไม่พอ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ เปรียบเสมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อมันไม่อิ่มไม่เต็มไม่พอ
คนเก่งคนฉลาดมาก ๆ ก็ต้องให้มีความสงบมาก ๆ ปัญญากับสมาธิต้องเสมอกัน สมถะกับวิปัสสนาต้องเสมอกันต้องไปพร้อม ๆ กัน
ความฉลาดกับการประพฤติการปฏิบัติที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมต้องควบคู่กันไป คนเก่งคนฉลาดก็ต้องเข้าสู่ภาคปฏิบัติภาคบำบัด เพราะเราทุกคนส่วนใหญ่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ยังเป็นเสขบุคคลอยู่ เราก็ต้องเข้าสู่ภาคปฏิบัติภาคบำบัด การที่เรามาประพฤติมาปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องในการประพฤติการปฏิบัติ มันจะเป็นหลักการ หลักวิชาการ มันจะเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม ผู้ที่มีความรู้ก็ต้องเอาความรู้นั้นไปประพฤติไปปฏิบัติ เพื่อความรู้กับการปฏิบัติมันถึงจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถึงจะได้ผลเห็นผล จะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี
ผู้ที่ฉลาดก็ต้องเข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ ผู้ที่มีความสงบผู้ที่ได้ความสงบก็ต้องพากันมาเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละไปติดอยู่ที่สมาธิไปติดอยู่ที่สมาบัติ เราต้องรู้เข้าใจว่าสมาธิกับปัญญาต้องเดินคู่กันไปให้เสมอกัน เราถึงจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี
ผู้ที่มาบวชทุก ๆ ท่านต้องพากันรู้พากันเข้าใจว่าเราทั้งหลายได้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นผู้ที่ประเสริฐสุด มนุษย์เราต้องเดินทางสายกลาง พัฒนาใจและพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ เอาสมาธิกับปัญญาเสมอกันเป็นทางสายกลาง เอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญาเสมอกันเป็นทางสายกลาง ปกติปัจจุบันนี้เราต้องมีสติมีสัมปชัญญะ ทุกคนต้องมีสติความสงบเป็นพื้นฐาน มีปัญญาเป็นพื้นฐาน สติปัฏฐานที่เป็นธรรมที่มีอุปการะมากแก่เราทุกคน เราทุกคนเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐสุด เราทุกคนต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ให้เราพากันรู้เข้าใจว่า ปิติสุขเอกัคคตานั้นที่เป็นธรรมที่เกิดจากปัญญาสัมมาทิฏฐิ ปัญญาสัมมาทิฏฐินี้จะยกเลิกตัวตน จะเป็นความสงบและปัญญา จะมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์หาโทษมิได้
ชีวิตของเราทุกคนปัจจุบันนี้จึงถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นวาระที่สำคัญในการประพฤติการปฏิบัติของเรา ด้วยเหตุผลนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้พวกเราทั้งหลายต้องให้รู้ให้เข้าใจ เราทั้งหลายอย่าพากันตั้งอยู่ในความหลงความเพลิดเพลินความประมาท ความหลงความเพลิดเพลินความประมาท คือความผิดพลาดคือความเสียหายมันเป็นการพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึกสตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย
เราทั้งหลายถึงต้องตั้งอยู่ในความประมาท เราต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เราต้องรู้เข้าใจว่าพระธรรมเอาพระวินัยเราเอามาใช้เอามาประพฤติมาปฏิบัติ เราจะได้เข้าใจในหลักเหตุหลักผลที่เป็นกฎของกรรม
เรามาบวชในพรรษา เพื่อให้ปฏิทาประพฤติปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง การที่เราจะยกเลิกสิ่งเสพติดต่าง ๆ การที่จะละสิ่งเสพติดทั้งหลายได้ก็ต้องอาศัยหลักการ หลักวิชาการต่าง ๆ เพื่อเข้าสู่อุดมการณ์อุดมธรรมในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้การประพฤติการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาให้เป็นปฏิปทาสม่ำเสมอ เพื่อให้เป็นรูปธรรมเป็นนามธรรม นี้ให้เรารู้ให้เข้าใจ นี้เป็นความมั่นคงของชาติของศาสน์ของกษัตริย์
เรารู้เราเข้าใจในเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม เรามาบวชเมื่อเราลาสิกขาบทไปแล้ว เราจะได้เอาความรู้ความเข้าใจ ไปใช้ไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อชีวิตของเราจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจที่เป็นปัญญากับการปฏิบัติ
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า พวกเราต้องพารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เมื่อทุกคนรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราก็เอาความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เอาไปใช้เอาไปปฏิบัติ
เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ตามความหลงไปเหมือนตั้งแต่ก่อน แต่ก่อนเราไม่รู้ไม่เข้าใจ มีผัสสะขึ้นเมื่อไหร่ก็หลงไปตามผัสสะทันที เมื่อเรารู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันจะได้จบลงเพียงผัสสะ ที่เราทุกคนนั้นมีผัสสะ เพราะทุกคนนั้นมีกรรมเก่าด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจได้เอากรรมเก่านำชีวิต เมื่อเรารู้เข้าใจเรื่องกรรมเก่า กรรมเก่าก็หมายถึงตัวเรา กรรมใหม่ก็หมายถึงสิ่งภายนอก เรารู้เข้าใจทั้งกรรมเก่ากรรมใหม่ เราทั้งหลายจะได้จบลงเพียงผัสสะ เมื่อก่อนเราไม่รู้เข้าใจ เห็นรูปเราก็ร้องโอย ๆ ในใจ ฟังเสียงเราก็ร้องโอย ๆ ในใจ ได้กลิ่นก็ร้องโอย ๆ ในใจ ได้รสก็ร้องโอย ๆ ในใจ ได้สัมผัสก็ร้องโอย ๆ ในใจ วันหนึ่งคืนหนึ่งมีแต่โอยกับโอย มีแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไปด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจมันไปคิดเองเออเองด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายมารู้มาเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้หยุดลงเพียงผัสสะ เราจะได้รู้เข้าใจว่าสิ่งต่าง ๆ นั้นมันเป็นเพียงชั่วครู่ชั่วยามเป็นเพียงสัญจรไปมา หาใช่นิติบุคคลตัวตนไม่ มันเป็นเพียงกรรมเก่าและกรรมใหม่
อายตนะภายในก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ อายตนะภายนอกก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ ความรู้ความเข้าใจเราทั้งหลายรู้ภัยเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เห็นภัยในกระบวนการของการเวียนว่ายตายเกิด เราทั้งหลายจะได้เป็นมนุษย์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นเทวดาผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นพระพรหมผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นพระอริยเจ้าผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เห็นภัยในความไม่ถูกต้อง สิ่งที่ผ่านมาถือว่าไม่ถูกต้อง
เราทั้งหลายรู้เข้าใจจะได้จบลงที่ผัสสะ เอาผัสสะที่เกิดขึ้นจากทางธาตุทั้ง ๔ คือดินน้ำลมไฟ ขันธ์ทั้ง ๕ คือรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ อายตนะ ๑๒ ตาหูจมูกลิ้นกายใจทั้งภายในภายนอก
เรามาใช้มาปฏิบัติในปัจจุบันของการประพฤติการปฏิบัติ เพราะเหตุผลว่าอดีตทั้งหลายก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันนี้เราต้องรู้เข้าใจ การประพฤติการปฏิบัติของเรามันอยู่ที่ปัจจุบัน ความรู้ความเข้าใจ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้จะได้จบลงที่ผัสสะ เราได้รู้เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ เรื่องข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราพากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายก็จะได้ดับความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงได้ในปัจจุบัน
หลวงพ่อใหญ่ให้พระเณรพากันบรรยายอย่างน้อยคนละ ๕ นาที อย่างมากคนละ ๑๐ นาทีคงพอเข้าใจ พอที่จะจับประเด็นได้ บรรยายธรรมะที่เราได้มาบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ว่าเราเข้าใจในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มากน้อยเพียงใด ให้ทุกคนพูดซื่อ ๆ ให้ทุกคนพูดออกมาอย่างซื่อสัตย์ พูดออกมาจากใจ
เราพากันรู้จักพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันแล้วหรือยัง เราจะได้นำเอาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกไปใช้ออกไปประพฤติปฏิบัติ
เราเกิดที่ไหนเป็นลูกใครหลานใครเรียนหนังสือจบที่ไหนทำงานอะไรถึงได้พากันมาบวช เราพากันพูดซื่อ ๆ ออกจากใจ ไม่มีการเสแสร้ง ไม่มีการปรุงแต่ง เราต้องยกเลิกตัวตนทุกคนจะได้สบาย
ผู้ที่มาบวชใหม่เป็นสามเณรผู้ที่จะพากันบวชเป็นพระก็ให้พากันตั้งอกตั้งใจเข้าสู่ภาคปฏิบัติภาคบำบัด เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัยให้พวกเราทั้งหลายรู้ว่าธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่ทวนกระแสไม่ไปตามกระแสไม่ตามสิ่งแวดล้อม เราทั้งหลายต้องจบลงด้วยความรู้ความเข้าใจ สิ่งทั้งหลายจะหยุดสิ่งไม่ถูกต้อง หยุดทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำแต่ความดีที่ประกอบด้วยปัญญา
การบรรยายพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะบรรยายเป็นธรรมะที่เบาสบาย ขอยุติไว้เพียงเท่านี้
----------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา