๑๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑๑ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ 

 

ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลกฐินวัดป่าทรัพย์ทวีฯ ปีนี้ทอดกฐินวันอาทิตย์ที่ ๑๒ เวลา ๑๐ นาฬิการ่วมกันที่ศาลา เวลา ๑๐ นาฬิกา ๓๐ นาทีทำพิธีทอดกฐิน วันนี้วันที่ ๑๑ ประชาชนเดินทางมาพักที่วัดและพักอยู่ตามรีสอร์ทต่าง ๆ เพื่อมาทำความดี มาสร้างบารมี มาทอดกฐินประจำปีของวัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม

 

วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมารามตั้งอยู่ติดกับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่จะมีถนนล้อมรอบเป็นขอบเขต เพื่อไม่ให้ชาวบ้านบุกรุก ที่ตั้งของวัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อยู่ที่หมู่ที่ ๒๒ เรียกหมู่บ้านนั้นว่าบ้านทรัพย์ทวีคูณ ขึ้นกับตำบลวังหมี อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา

 

เราทุกคนเป็นมนุษย์ มนุษย์เรามีอายุขัยของมนุษย์อยู่ได้ร่วม ๆ ร้อยปี ร้อยปีคือ ๑ ศตวรรษ ถ้าเรารู้เข้าใจ มนุษย์เราต้องเอาหลักการ เอาอุดมการณ์เอาอุดมธรรมเพื่อพัฒนาระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับการพัฒนาวัตถุให้เป็นทางสายกลางไปพร้อม ๆ กัน เป็นธรรมนูญชีวิต ให้เรารู้เข้าใจว่าทุกอย่างนั้นมันคือเหตุคือปัจจัย มันเป็นเรื่องเก่าไปเรื่องใหม่มา ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมีการสัญจรไปมาตามเหตุตามปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี มันเป็นเรื่องของกรรม มันเป็นเรื่องกฎแห่งกรรม มันเป็นเรื่องผลของกรรม ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเป็นของชั่วครู่ชั่วยามเป็นเพียงของชั่วคราวหาใช่นิติบุคคล หาใช่ตัวตนไม่ หากเพียงเป็นแต่เหตุเป็นปัจัย เป็นสิ่งเก่าไปเป็นสิ่งใหม่มา

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พวกเราทั้งหลายพกันรู้เหตุรู้ปัจจัย เราทุกคนพากันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารก็เพราะเหตุจากความไม่รู้ไม่เข้าใจ ว่าเราเกิดมาทำไม ทำไมเราต้องมาเกิด เราทั้งหลายได้พากันทำตามสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน มีความรู้สึกว่าเป็นเราเป็นของ ๆ เรา

 

เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราเลยพากันตกอยู่ในสัญชาตญาณที่มันเป็นตัวเป็นตน เรามีความยึดมั่นถือมั่นในตัวในตน มีความสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นผู้หญิงเป็นผู้ชายเป็นคนหนุ่มคนาวคนแก่คนเฒ่าคนชรา เป็นคนพลัดพรากจากไป เราเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐ เราต้องมารู้มาเข้าใจ เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะไปของมันเรื่อย ๆ ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนี้มันจะเป็นวัฏฏสงสารมันวกไปวนเวียนมาที่มันเป็นอัตตาเป็นตัวตน มันจะหมุนรอบตัวเองเป็น cycle of life

 

เราทุกคนต้องพากันมารู้มาเข้าใจ เมื่อมารู้มาเข้าใจแล้วจะได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ให้เราทั้งหลายมีความเข้าใจว่าอดีตทั้งหลายก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้ามันก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง ปัจจุบันถือเป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติ ที่เราจะต้องก้าวไปต้องรู้ต้องเข้าใจ เราก้าวไปด้วยความคิดคำพูดการกระทำกิริยามารยาทอาชีพก้าวไปที่ใจที่ความตั้งใจด้วยเจตนา เพราะปัจจุบันนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ ถือเป็นสิ่งที่สำคัญ ด้วยเหตุด้วยปัจจัยนี้หมู่มวลมนุษย์เราจึงต้องเอาธรรมนูญนำชีวิต ธรรมนูญชีวิตได้แก่ความสงบแลบะปัญญา ผู้มีปัญญาก็ต้องมีความสงบ ผู้มีความสงบก็ต้องเสียสละถึงจะมีปัญญา มันเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ มันเป็นความสงบที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ความสงบกับปัญญาต้องเดินไปพร้อม ๆ กัน ระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องวัตถุ

 

ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ ความสุขความดับทุกข์ของเราถึงอยู่ที่ปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเป็นพื้นเป็นฐาน เป็นกรรมฐาน มีกรรมทั้งทางกายวจากิริยามารยาทอาชีพ ปัจจุบันเป็นฐาน ธรรมะถึงเป็นอริยมรรค อริยมรรคทั้งทางกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ เป็นอริยมรรคเป็นทางสายกลาง เป็นหนทางที่ถูกต้อง ปัจจุบันเรามีความสุขมีความดับทุกข์ อนาคตเราก็มีความสงบมีความดับทุกข์เป็นสุคโต อยู่ก็มีความสุขไปก็มีความสุข ธรรมะที่เป็นสภาวธรรมเป็นความพอเพียงเพียงพอเป็นความสงบเป็นปัญญาเป็นความพอดี เป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นเศรษฐกิจเพียงพอตามโอวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชในหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่านตรัสเป็นธรรมคติเตือนใจให้ประชาชนชาวไทยและชาวโลก ให้รู้เข้าใจ ให้เดินทางสายกลางระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องวัตถุ

 

ให้พากันรู้เข้าใจ ทุกอย่างนั้นมันอยู่ที่เรารู้เข้าใจ เพราะทุกอย่างมันเป็นความพอดีเป็นความพอเพียงเพียงพอเป็นประภัสสร เราคิดดูดี ๆ เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่า เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่า ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่านจึงให้พสกนิกรชาวไทยและชาวโลกเข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงปัจจุบัน เข้าถึงปัจจุบันธรรม เราจะได้ยกเลิกตัวตน ตัวตนนั้นมันเป็นความหลง ความหลงนั้นมันคือตัวตน

 

ให้รู้เข้าใจ ว่าตัวตนมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์ตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์ดับไปที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านว่าตัวตนนั้นคือความขาดตกบกพร่องไม่อิ่มไม่พอไม่พอเพียงเพียงพอไม่ใช่ความสงบและปัญญา ที่มันเป็นอัตตาตัวตน เปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำเปรียบเสมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อของเพลิง 

 

เราต้องรู้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเป็นเพียงเหตุเพียงปัจจัย เป็นเรื่องเก่าที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ ที่มันเกิดภพเกิดชาติเกิดวัฏฏสงสารด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจของเรา มันเป็นกระบวนการของเหตุของปัจจัย ด้วยเหตุผลนี้เราต้องพากันรู้แจ้งในเรื่องจิตเรื่องใจ มารู้แจ้งทางวัตถุ รู้แจ้งทางวัตถุรู้แจ้งทั้งทางเรื่องจิตเรื่องใจ

 

มนุษย์เราทุกคนเราต้องพากันรู้พากันเข้าใจ อาศัยความรู้ความเข้าใจมาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ มามีปิติมีความสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ด้วยปัญญาที่ประกอบด้วยความดี ความดีนี้จะเป็นธรรมกับคุณธรรมเป็นธรรมนูญ หลักการของมนุษจึงเอาธรรมนูญนำชีวิต การปฏิบัติตัวเองจึงต้องเอาธรรมนูญนำชีวิต เรายกเลิกตัวตนถึงจะเอาธรรมนูญนำชีวิตได้ ถ้าเราไม่ยกเลิกตัวตนเราจะเอาธรรมนูญนำชีวิตได้อย่างไร เพราะตัวตนนั้นมันไม่ใช่ธรรมนูญ ตัวตนนั้นมันก็คือตัวคือตน ตัวตนคือวัฏฏสงสาร ตัวตนนั้นไม่ใช่นิพพาน ตัวตนนั้นคือความเกิดแก่เจ็บตายพลัดพราก ตัวตนนั้นไม่ใช่ธรรมไม่ใช่ปัจจุบันธรรม ไม่ใช่ธรรมนูญ

 

ปัจจุบันเราต้องเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราต้องมีความสงบเป็นเครื่องอยู่ มีพระธรรมมีพระวินัยด้วยปัญญาบริสุทธิคุณเป็นเครื่องอยู่ มีปัญญาเป็นเครื่องอยู่ มีธรรมนูญเป็นเครื่องอยู่เครื่องอาศัย เราจะได้เป็นสุปฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง เป็นสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าถึงความบริสุทธิคุณทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจที่เจตนาด้วยปิติสุขเอกัคคตา

 

มนุษย์ของเรา อายุขัยของเราทุก ๆ คนอยู่ได้ร่วม ๆ ร้อยปี พัฒนาใจของเราไม่ให้มีความทุกข์ มีแต่ปิติมีแต่ความสุขมีแต่เอกัคคตาด้วยปัญญาบริสุทธิคุณ พัฒนาวัตถุเทคโนโลยีทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพพร้อมทั้งใจเพื่อเป็นปัจจุบันธรรมที่เป็นธรรมนูญ

 

ความสุขความดับทุกข์ ให้เรารู้เราเข้าใจอยู่ที่เรามีปัญญา อยู่ที่เรารู้เข้าใจ เมื่อเรารู้เข้าใจเราก็เข้าสู่ภาคปฏิบัติภาคบำบัด ความสงบและปัญญาก็ย่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมเป็นธรรมนูญที่ยกเลิกตัวตนในปัจจุบันในชีวิตประจำวัน เราทั้งหลายต้องมารู้เข้าใจ มารู้ในเรื่องสภาวธรรม เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติในชีวิตประจำวันไม่ให้ขาดตกบกพร่องด้วยความไม่ประมาท

 

เรารู้เข้าใจ สิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายนั้นจะได้จบลงที่ผัสสะ จบลงเพียงผัสสะ เรามาหยุดคิดผิด คิดผิดคือเราไปตรึกในกามตรึกในพยาบาท คิดอย่างนี้เค้าเรียกว่ามีความคิดผิด คิดไม่ถูกต้อง ความคิดไม่ถูกต้องมันทำให้เราเสียหาย มันเสียหายทั้งส่วนตัว เสียหายทั้งส่วนรวม เรามีความคิดเห็นผิด เราไปคิดธาตุทั้ง ๔ เอาขันธ์ทั้ง ๕ เอาอายตนะทั้ง ๖ มาเป็นเรา คิดอย่างนี้เรียกว่ามีความคิดเห็นผิดเข้าใจผิด เราต้องยกเลิกด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยพระธรรมพระวินัยเป็นทั้งคำสั่งคำสอน เราทุกคนถึงต้องหยุดตรึกในกาม หยุดตรึกในพยาบาท เรามีความคิดเห็นที่ถูกต้องเพื่อจะมาหยุดความคิดเห็นผิด จะไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต เราเอาความผิดนำชีวิต ชีวิตนี้ถึงเสียหายต้องพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย

 

เราต้องรู้เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันเป็นเป็นความเสียหายเพราะมันเป็นความไม่ถูกต้อง เราต้องมารู้มาเข้าใจ มารู้เรื่องธาตุทั้ง ๔ ดินน้ำลมไฟที่เป็นรูปธรรม รู้อย่างไร รู้ว่าเราทั้งหลายมีการเกิดเป็นธรรมดา มีความแก่เป็นะรรมดา มีการเจ็บไข้ไม่สบายเป็นธรรมดา มีความตายมีการพลัดพรากเป็นธรรมดาเป็นสภาวธรรม เป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดา เพราะอันนี้มันเป็นเรื่องของกรรม เรื่องนี้มันแก้ไขไม่ได้แล้ว อดีตที่ผ่านมามันแก้ไขไม่ได้เพราะมันเกษียณไปแล้ว สิ่งที่เกษียณไปแล้วมันแก้ไขไม่ได้ เรามารู้เรื่องเก่า เรื่องกรรมเก่า สิ่งที่ผ่านมาแล้วเกษียณแล้วมันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เราต้องหยุดด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าเรามันก็ไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราจะได้มีความสงบมีปัญญา เราจะได้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา ด้วยความสงบด้วยปัญญาด้วยปิติสุขเอกัคคตาที่เรารู้เข้าใจ

 

เราทั้งหลายพากันหยุดไม่ต้องพากันดิ้นรนกระเสือกระสน มันเป็นทุกข์เปล่า ๆ  ทุกข์ทั้งกายทุกข์ทั้งใจ ถ้ายิ่งดิ้นรนยิ่งกระเสือกกระสนก็มีตั้งแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีเลยนะ ด้วยเหตุผลนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจึงให้หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายพากันมารู้อริยสัจสี่ จะได้ไม่ดิ้นรนกระเสือกกระสน ให้ทุกคนคิดในใจ ภาวนาในใจ ที่เรามีความเกิดแก่เจ็บตายพลัดพรากเป็นเรื่องธรรมดา เราไม่ต้องพากันดิ้นรนกระเสือกระสน มันเป็นทุกข์ทางกายก็เพียงพอแล้ว เราอย่าไปทุกข์ทางจิตใจทวีคูณ คูณ ๒ ไปอีก ให้เราพากันเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความสงบและปัญญา รูปธรรมเราก็เพียงพอทางนามธรรมเราก็เพียงพอ เราทั้งหลายจะได้จบลงที่ผัสสะเพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมเป็นธรรมนูญ

 

เราทั้งหลายต้องปฏิบัติให้มันติดต่อต่อเนื่องด้วยความรู้ความเข้าใจ เราต้องรู้ต้องเข้าใจในใจนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายมารู้อริยสัจสี่อย่างนี้ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ มารู้เรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องของกรรม เราไม่ต้องไปเอาความสุขจากในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่มีทาง มันไม่ใช่ทาง มันเป็นทางตัน ศัพท์ที่ว่าตัณหา เป็นศัพท์ที่ลึกซึ้งกินใจมาก มันหาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น เรื่องไม่มีก็มาสร้างเรื่อง ปัญหาไม่มีก็มาสร้างปัญหา

 

 มนุษย์เราทุกคนมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ อย่าไปมีอัตตาอย่าไปมีตัวตน ต้องยกเลิกนิติบุคคลตัวตน อย่างการเรียนการศึกษาให้หมู่มวลมนุษย์รู้เข้าใจว่าทำไมถึงมีการเรียนการศึกษา มีการเรียนการศึกษาตั้งแต่อนุบาลที่เยาว์วัย เรียนศึกษาไปถึงปริญญาเอกทางวัตถุ ทางจิตใจก็เรียนศึกษาตั้งแต่นักธรรมจนถึงเปรียญธรรม ๙ ประโยค ก็เพราะเหตุผลว่าเราต้องรู้ต้องเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจถึงเป็นสิ่งที่มีคุณมีประโยชน์มากความรู้ความเข้าใจเป็นสิ่งที่สำคัญมาก สำคัญมาก ๆ มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจเรื่องปัญญาสัมมาทิฏฐิเป็นสิ่งที่สำคัญเรา เรามีตาเนื้อตาหนังมีจักขุเป็นส่วนทางรูปธรรมในส่วนสรีระร่างกาย เราทั้งหลายต้องมีตาทางปัญญาได้แก่มีตาทางนามธรรม เราต้องมีตาภายนอกตาภายในไปพร้อม ๆ กัน เพื่อการพัฒนาวัตถุยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยหลักเหตุหลักผลทางวิทยาศาสตร์ และพัฒนาเรื่องจิตใจต้องไปพร้อม ๆ กัน เอาสองอย่างนี้เดินทางควบคู่กันไปเป็นทางสายกลาง เป็นธรรมนูญนำชีวิต

 

มนุษย์เราถึงมีการเรียนการศึกษาไม่ใช่เพื่อความจำนะ มนุษย์เรามีการเรียนการศึกษาเพื่อความรู้ความเข้าใจ การเรียนการศึกษาของมนุษย์ความหมายก็เพื่อความรู้ความเข้าใจ เป็นปัญาสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เพื่อจะใช้ชีวิตนี้เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ที่จะได้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ทุก ๆ คนนั้นที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารที่เป็นวัฏจักรที่หมุนรอบตัวเอง เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติภาคบำบัด ให้เรารู้เข้าใจ ภาคประพฤติภาคปฏิบัติภาคบำบัดนี้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญเป็นเรื่องสำคัญ มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจว่าการปฏิบัติที่เข้าสู่ภาคบำบัดนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่มีใครยกเว้นทุกคนต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติเข้าสู่ภาคบำบัด

 

มนุษย์เราต้องรู้เข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยนี้มันคือการปฏิบัติ คือภาคบำบัด เพื่อเปลี่ยนแปลงจากความไม่ถูกต้องให้ถูกต้อง ต้องอาศัยหลักการเป็นหนทางที่เราจะต้อง ไม่ใช่ความรู้อย่างเดียว เราต้องมีการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อรูปธรรมนามธรรมจะได้ทำงานควบคู่กันไป ถ้าไม่ทำอย่างนี้ปฏิบัติมันเป็นไปไม่ได้ เหตุการณ์ที่ผ่านมาที่มีความเสียหายมีความพังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึกสตง.มันเป็นโมฆะเป็นความเสียหาย

 

 เราทุกคนต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติภาคบำบัด เรามีความรู้เรามีปัญญาเราต้องเข้าสู่ภาคปฏิบัติภาคบำบัดเพื่อจะเข้าสู่กระบวนการของศาล ศาลก็ได้แก่กระบวนการเป็นจิ๊กซอว์เป็นอริยมรรคทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจรวมกันเป็นหนึ่งเป็นธรรมนูญเป็นรัฐธรรมนูญ เป็นศาล เป็นการติดต่อประสาน นั้นจะเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม เราจะไม่ได้เป็นเพียงผู้คงแก่เรียน เป็นเพียงนักปัญญานักปรัชญา

 

 ผู้มีปัญญามากก็ต้องเข้าสู่ภาคปฏิบัติภาคบำบัดมาก ๆ เพราะปัญญาที่ไม่เข้าสู่ภาคปฏิบัติมันจะทำให้เสียหาย มันจะทำให้พังทลายอย่างเดียวเช่นเดียวกับตึกสตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน มันต้องเข้าสู่กระบวนการเราทั้งหลายถึงจะบริโภคใช้สอยได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะตรัสรู้ ท่านมาทบทวนการประพฤติการปฏิบัติที่ได้บำเพ็ญพุทธบารมีมาหลายล้านชาติ หลายล้านปี หลายอสงไขย ว่ามนุษย์เราต้องเอาทางสายกลางนำชีวิต พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ ท่านถึงได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ท่านเข้าถึงความเต็มเต็มเต็ม ท่านมาจุติเพื่อบำเพ็ญพุทธบารมีก็เป็นวันพระจันทร์วันเพ็ญ มาประสูติก็วันพระจันทร์วันเพ็ญ มาตรัสรู้ก็เป็นวันพระจันทร์วันเพ็ญ มาแสดงธัมมจักกัปวัตตนสูตรที่เป็นปฐมเทศนาก็วันพระจันทร์วันเพ็ญ ท่านมากล่าวว่าอีก ๓ เดือนข้างหน้าพระตถาคตเจ้าสู่มหาปรินิพพานก็วันพระจันทร์วันเพ็ญ ท่านเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานท่านเข้าถึงความพอดีความเพียงเพียงพอ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเข้าใจในเรื่องกระบวนเข้าถึงความเต็มเต็มเต็มคือความพอเพียงเพียงพอ

 

ท่านรู้เข้าใจท่านจึงได้เสวยภัตตาหารของนางสุชาดา

นางสุชาดาอุบาสิกาคนแรกในพระพุทธศาสนา

นางสุชาดา สตรีผู้ถวายข้าวมธุปายาส อาหารมื้อแรกแด่พระพุทธเจ้า โดยที่นางเองก็ไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้คือพระพุทธเจ้า นางเป็นอุบาสิกาที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องให้เป็นเอตทัคคะ ผู้เป็นเลิศในการเข้าถึงสรณะเป็นคนแรก(ที่พึ่ง) ก่อนอุบาสิกาคนอื่น

.

นางสุชาดา ภรรยาของคฤหบดีในเมืองราชคฤห์ ปรารถนาอยากได้บุตรชาย เมื่อนางไปอาบน้ำในแม่น้ำเนรัญชราได้เดินผ่านต้นศรีมหาโพธิพฤกษ์ นางจึงเข้าไปกราบที่โคนต้นไม้ แล้วพูดว่า “ข้าแด่เทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์มีมหิทธิฤทธิ์ ผู้สิงสถิตอยู่ ณ ต้นไม้นี้ ดิฉันขอความกรุณาจากท่านช่วยดลบันดาลให้มีบุตรสักคนเถิด เพื่อจะให้เขาสืบสกุลต่อไป ข้าแต่เทวะหากท่านให้ดิฉันสมปรารถนาแล้ว ดิฉันจะนำเอาข้าวมธุปายาสมาแก้บนสังเวยท่านเป็นสัจกิริยา” เมื่อนางอธิษฐานเสรู้จ กลับไปอยู่กับสามีไม่นานก็ตั้งครรภ์

 

ขณะนั้นพระพุทธเจ้ามีดำริว่าจะบำเพ็ญเพื่อการตรัสรู้ ณ ต้นโพธิพฤกษ์และประทับนั่งโคนต้นไม้หันพระพักตร์สู่ทิศตะวันออก นางสุชาดามาถึงได้พบพระพุทธเจ้าครั้งแรกเข้าใจว่าเป็นรุกขเทพเจ้าจำแลงเพศ เกิดความเลื่อมใสจึงน้อมถาดข้าวมธุปายาสเข้าไปถวายแก้สัจกิริยาท่านได้บนบานไว้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสขอบคุณต่อนาง และบอกแก่นางว่าพระองค์ท่านมิได้เป็นเทพยดา แต่เป็นมนุษย์เป็นกษัตริย์แห่งเมืองกบิลพัสดุ์ออกผนวช เพื่อแสวงหาสัจธรรม

 

หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าทรงนำเอาข้าวจากถาดมาทรงทำเป็นก้อนๆ นับจำนวนได้ 49 ก้อน ให้เป็นเครื่องรำลึกถึงวันที่ทรงบำเพ็ญทุกกิริยา เสวยข้าวมธุปายาส 49 ก้อนนั้นหมดแล้ว ทรงนำถาดไปทรงอธิฐานในแม่น้ำเนรัญชรา และทรงอธิฐานว่าถ้าหากพระองค์จะได้ตรัสรู้ก็ขอให้ถาดทองนั้นลอยทวนน้ำขึ้นไป

 

เมื่อพระองค์ทรงวางถาดลงในน้ำ ก็ปรากฏว่า ถาดทองลอยทวนน้ำขึ้นเหนือน้ำดังคำอธิฐาน ซึ่งพระองค์ทรงถือว่าภัตตาหารมื้อนั้นได้มีส่วนทำให้พระองค์ตรัสรู้อริยสัจ 4 บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

 

เมื่อพระผู้มีพระภาคแรกตรัสรู้ ทรงเสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ตลอด ๗ วัน  และทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาทเป็นอนุโลม และปฏิโลม ตลอดปฐมยาม มัชฌิมยาม และปัจฉิมยามแห่งราตรี

 

วิมุตติสุข : สุขเกิดแต่ความหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะและปวงทุกข์; พระพุทธเจ้าภายหลังตรัสรู้แล้วใหม่ๆ ได้เสวยวิมุตติสุข 7 สัปดาห์ตามลำดับคือ

สัปดาห์ที่ 1 ประทับภายใต้ร่มไม้มหาโพธิ์ ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท

สัปดาห์ที่ 2 เสด็จไปประทับยืนด้านอีสาน ทรงจ้องดูต้นมหาโพธิ์ไม่กระพริบพระเนตร ที่นั้นเรียกว่า อนิมิสเจดีย์

สัปดาห์ที่ 3 ทรงนิรมิตที่จงกรมขึ้นระหว่างกลางแห่งพระมหาโพธิ์และอนิมิสเจดีย์ เสด็จจงกรมตลอด 7 วัน ที่นั้นเรียก รัตนจงกรมเจดีย์

สัปดาห์ที่ 4 ประทับนั่งขัดบัลลังก์พิจารณาพระอภิธรรมปิฎก ณ เรือนแก้วที่เทวดานิรมิตในทิศพายัพแห่งต้นมหาโพธิ์ ที่นั้นเรียก รัตนฆรเจดีย์

สัปดาห์ที่ 5 ประทับใต้ร่มไม้ไทร ชื่ออชปาลนิโครธ ทรงตอบปัญหาของพราหมณ์หุหุกชาติ แสดงสมณะและพราหมณ์ที่แท้ พร้อมทั้งธรรมที่ทำให้เป็นสมณะและเป็นพราหมณ์ พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่าธิดามาร 3 คนได้มาประโลมพระองค์ ณ ที่นี้

สัปดาห์ที่ 6 ประทับใต้ต้นไม้จิก ชื่อมุจจลินท์ มีฝนตก มุจจลินทนาคราชมาวงขนดแผ่พังพานปกป้องพระองค์ ทรงเปล่งอุทานแสดงความสุขที่แท้ อันเกิดจากการไม่เบียดเบียนกัน เป็นต้น

สัปดาห์ที่ 7 ประทับใต้ต้นไม้เกดชื่อ ราชายตนะ พาณิช 2 คน คือ ตปุสสะและภัลลิกะ เข้ามาถวายสัตตุผง สัตตุก้อน และได้แสดงตนเป็นปฐมอุบาสกถึง 2 สรณะ เมื่อสิ้นสัปดาห์ที่เจ็ดที่นี้แล้ว เสด็จกลับไปประทับใต้ต้นอชปาลนิโครธอีก ทรงดำริถึงความลึกซึ้งแห่งธรรมที่ตรัสรู้ คือปฏิจจสมุปบาทและนิพพาน แล้วน้อมพระทัยที่จะไม่แสดงธรรม

 

มีพระปริวิตกแห่งจิตว่าธรรมที่ได้บรรลุแล้ว เป็นคุณอันลึก เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก ทรงเห็นว่ายังไม่ควรจะประกาศธรรม พระทัยก็น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อทรงแสดงธรรม

 

ท้าวสหัมบดีพรหม ได้มาทูลขอให้พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม พระผู้มีพระภาคทรงอาศัยความกรุณาในหมู่สัตว์  จึงทรงตรวจดูด้วยพุทธจักษุ ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยและมาก ทั้งที่มีอินทรีย์แก่กล้าและอ่อน ทั้งที่มีอาการดีและทราม ทั้งที่จะสอนให้รู้ได้ง่ายและยาก ทั้งที่มีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย เปรียบเหมือนดอกบัว ที่เกิด เจริญ งอกงามแล้วในน้ำ บางเหล่ายังจมในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้ บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่าตั้งอยู่พ้นน้ำ อันน้ำไม่ติดแล้ว ดังนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงประทานโอกาสเพื่อจะแสดงธรรม แล้วทรงมีพุทธปริวิตกว่าควรจะแสดงธรรมแก่ใครเป็นคนแรก เมื่อทรงทราบว่า อาฬารดาบสกาลามโคตรและอุทกดาบสเสียชีวิตแล้ว

 

จึงระลึกถึงนักบวชกลุ่มปัญจวัคคีย์ พระองค์ได้เสด็จพระดำเนินไปที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันที่พำนักอาศัยของเหล่าปัญจวัคคีย์ และทรงแสดงธรรมะเป็นครั้งแรกนับแต่วันที่พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เรียกว่า ปฐมเทศนา หลักธรรมที่พระองค์ทรงแสดงในครั้งแรกนี้ชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตนสูตร


๑) เหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรงเลือกแสดงปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ มีดังต่อไปนี้


(๑) เพื่อตอบปัญหาความเข้าใจผิดของปัญจวัคคีย์ ภายหลังจากการบำเพ็ยทุกรกิริยาพระสิทธัตถะโพธิสัตว์ทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางแห่งความพ้นทุกข์จึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยาแล้วหันมาเสวยพระกระยาหาร ในมุมมองของปัญจวัคคีย์เข้าใจผิดว่าพระองค์ทรงละความเพียรพยายามเพื่อการตรัสรู้กาลายเป็นคน “เห็นแก่กิน” จึงพากันแยกทางหนีจากพระองค์ไป ดังนั้นเพื่อจะตอบปัญหาที่ค้างคาใจของปัญจวัคคีย์ และประสงค์ให้รู้ว่า “ทุกรกิริยามิใช่ทางแห่งการบรรลุธรรม แต่อริยมรรคมีองค์แปด (มัชฌิมาปฏิปทา)เท่านั้นที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์” พระองค์จึงทรงมุ่งหวังแสดงปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ก่อนใครอื่นเป็นประการสำคัญ


(๒) ทรงประสงค์ให้ปัญจวัคคีย์เป็นสักขีพยานการตรัสรู้ เป็นที่ทราบกันดีว่า ปัญจวัคคีย์คือคณะบุคคลกลุ่มแรกที่เชื่อมั่นว่าพระองค์จะตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงออกบวชตาม และรู้เรื่องราวการบำเพ็ญธรรมเพื่อการตรัสรู้ของพระองค์เป็นอย่างดี ดังนั้นปัญจวัคคีย์จึงเป็นกลุ่มบุคคลที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการเป็นสักขีพยาน การตรัสรู้ของพระองค์


๒) ใจความสำคัญของปฐมเทศนา แบ่งออกเป็น ๓ ตอนดังนี้
ใจความตอนแรก ทรงแสดงถึงทางสุดโต่งหรือสุดขั้ว ๒ สาย คือ กามสุขัลลิกานุโยค ซึ่งเป็นการใช้ชีวิตหมกมุ่นอยู่ในกามสุขอันเป็นทางหย่อนเกินไป และอัตตกิลมถานุโยค ซึ่งเป้นการทรมานตนด้วยวิธีการต่างๆ อันเป็นทางตึงเกินไป จึงทรงแนะนำทางสายกลาง เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา หรือ มรรคมีองค์แปด หรือ ไตรสิกขา เพื่อเป็นทางเลือกปฏิบัติที่ถูกต้องนำไปสู่ความสงบและการตรัสรู้


ใจความตอนกลาง ทรงแสดงถึง อริยสัจ คือ ความจริงที่ประเสริฐ ๔ ประการที่พระองค์ได้ตรัสรู้ได้แก่ ความจริงว่า ด้วยความทุกข์ (ทุกข์) ความจริงว่าด้วยเหตุให้เกิดทุกข์ (สมุทัย) ความจริงว่าด้วยการดับทุกข์ (นิโรธ) และความจริงว่าด้วยข้อปฏิบัติที่นำไปสู่การดับทุกข์ (มรรค) อันเป็นวิธีการแก้ทุกข์หรือปัญหาที่ถูกต้อง โดยทรงอธิบายถึงกระบวนการตรัสรู้อริยสัจจว่าพระองค์ได้ทรงตรัสรู้สิ่งเหล่านี้ตามขั้นตอนอย่างไร
ใจความตอนสุดท้าย ทรงแสดงว่าพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว โดยทรงรู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจทั้ง ๔ เมื่อจบการแสดงปฐมเทศนา โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม กล่าวคือ เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมมีการดับสลายไปเป็นธรรมดา” และได้ทูลขอบวช พระพุทธเจ้าทรงประทานการบวชให้ด้วยการอุปสมบทที่เรียกว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่านอัญญาโกณฑัญญะจึงเป็นพระสาวกและเป็นพระสงฆ์รูปแรกในพระพุทธศาสนา

 

เราเข้าถึงความเต็มความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความสงบและปัญญา พระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์เป็นทั้งคำสั่งคำสอนท่านให้เราทุกคนเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดีในพระธรรมวินัยนี้มันเป็นความสงบและปัญญา พระธรรมคำสั่งสอนถึงเป็นบริสุทธิคุณ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายพากันเดินทางสายกลางระหว่างวัตถุกับใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นธรรมนูญแห่งชีวิต เพราะทุกคนจะได้เข้าสู่ความถูกต้อง เข้าสู่ทางสายกลางที่เป็นความสงบเป็นปัญญา ท่านได้ส่งพระอรหันต์ขีณาสพออกไปเผยแผ่บอกอริยสัจสี่เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ เพราะทุกคนนั้นความทุกข์มันอยู่ที่รู้เข้าใจแล้วมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม

 

เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ เราจะได้เอาธรรมะที่มีความสงบและปัญญา เป็นธรรมะที่เป็นความรู้ความเข้าใจ เป็นธรรมะที่ทันโลกทันสมัยอยู่ตลอดกาลตลอดเวลา

 

 

------------------------------------

 

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในวันที่ ๑๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

รายการล่าสุดที่คุณดู
Visitors: 103,024