๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ ๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ คริสตร์ศักราช ๒๐๒๕ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖

 

เราทั้งหลายทุก ๆ คนรวมทั้งผู้ที่อยู่ที่นี่และผู้ที่อยู่ที่อื่น ต้องมาทำความรู้ ต้องมาทำความเข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติในปัจจุบัน ในชีวิตประจำวัน

 

ความเข้าใจนี้สำคัญ เราทั้งหลายจะได้พากันประพฤติพากันปฏิบัติให้ถูกต้องเพื่อเอาปัญญานำชีวิต เอาบริสุทธิคุณนำชีวิตเอาพรหมจรรย์นำชีวิต

 

การประพฤติการปฏิบัติมันเป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ถ้าเรามีสัมมาทิฐิความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องประกอบด้วยปัญญา

 

เรารู้ว่าสิ่งเหล่านี้ต้องหยุดเราก็ต้องหยุด สิ่งนี้ต้องทำเราก็ต้องทำ เพราะทุกอย่างมันขึ้นอยู่ที่เหตุที่ปัจจัย

 

ที่มีผู้ไปทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ตายแล้วเกิดหรือว่าตายแล้วไม่ได้เกิด

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตอบว่า เพราะสิ่งนี้สิ่งต่อไปมันถึงมี ทุกอย่างน่ะขึ้นอยู่ที่เหตุที่ปัจจัย เธอทั้งหลายจงพากันประพฤติพรหมจรรย์เถิด

           

ต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิตเอาพระธรรมพระวินัยนำชีวิต เพื่อให้เป็นมรรคเป็นอริยมรรค พากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายต้องพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี สมมติสัจจะของมนุษย์ทั้งหลายที่เราได้แต่งตั้ง หรือว่าสมมติขึ้นมาหลายล้านสมมติ มันเป็นสิ่งที่ดีเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถูกต้องโดยสมมติ

 

เราทั้งหลายอย่าได้ประมาท พากันมีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เน้นที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติ ความคิดคำพูดกิริยามารยาท ทั้งอาชีพนี้เป็นวาระแห่งชาติ เป็นสมมติสัจจะที่พวกเราทั้งหลายต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ เพื่อชีวิตของเราจะก้าวไปด้วยสัมมาทิฐิ ทุก ๆ คนอยู่บนโลกใบนี้ก็จะดับทุกข์ได้

 

ที่ไหนมีความรู้ความเข้าใจแล้วมีการประพฤติการปฏิบัติ ที่นั่นก็จะไม่ว่างจากความเป็นพระ เพราะว่าพระอยู่ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง

 

ทุกคนเป็นพระได้เหมือนกันหมด ศาสนาพุทธก็เป็นพระได้ ศาสนาคริสต์ก็เป็นพระได้ ศาสนาอิสลามก็ได้พระได้ ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู ซิกส์อะไรต่าง ๆ ศาสนาทุก ๆ ศาสนาในโลกนี้ก็เป็นพระได้ เป็นข้าราชการนักการเมือง เป็นพ่อค้าประชาชน เป็นนักบวชหรือไม่ได้บวชก็พากันเป็นพระได้

 

พระนี้คือรู้และเข้าใจมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติทุกคนก็เป็นพระได้ เพราะพระนี้อยู่ที่เรารู้เข้าใจมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจเรื่องความเป็นพระ พระก็อยู่ที่ตัวเรานี้แหละที่เราคิดดี ๆ ที่ประกอบด้วยปัญญา พูดดี ๆ ประกอบด้วยปัญญา กิริยามารยาทดี ๆ ประกอบด้วยปัญญา อาชีพที่ประกอบด้วยปัญญา อาชีพของเรายกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่นั่นก็เป็นพระได้หมดน่ะ

 

พวกเราทั้งหลายต้องเข้าใจเรื่องของความเป็นพระ พระก็ได้แก่พระธรรมพระวินัยพระก็ได้แก่ธรรมนูญ รัฐธรรมนูญ

 

สมมติสัจจะเรื่องผิดเรื่องถูกเรื่องดีเรื่องชั่ว เรารู้แล้วพากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ทุกอย่างมันก็จะไปด้วยเหตุด้วยปัจจัย ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี

 

เรารู้ว่าสิ่งนี้มันทำให้หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิด รู้ว่าทำอย่างนี้มันเวียนว่ายตายเกิดก็หยุดมันเสีย หยุดด้วยพระธรรมพระวินัยพระวินัย หยุดด้วยธรรมนูญรัฐธรรมนูญ มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ทุกอย่างมันก็จะไม่มีปัญหา เพราะปัญหาอยู่ที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ ทำไปด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เมื่อเรารู้เข้าใจ เราก็พากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายมาเน้นที่ตัวเรานี้แหละ เหมือนครั้งพุทธกาล มีความรู้ความเข้าใจ สามเณรน้อย ๆ หรือว่าเด็กน้อย ๆ อายุเจ็ดขวบที่ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ท่านรู้เข้าใจ ท่านมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เด็กน้อย ๆ ก็ได้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพไม่เกี่ยวกับอายุมากอายุน้อย ๆ เลย อยู่ที่รู้เข้าใจมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายพากันรู้พากันเข้าใจ เพื่อจะได้เอาพระธรรมพระวินัยนำชีวิต เอาธรรมนูญเอารัฐธรรมนูญนำชีวิต ทุกคนก็พากันเป็นพระได้ ไม่ต้องแบกภาระเรียกว่าไม่แบกความหลงพาไป ไม่แบกอวิชชาพาไป

 

ให้เรามารู้จักธรรมชาติมารู้จักความเป็นประภัสสรทุกอย่างมันก็มีอยู่อย่างนี้แหละ รูปก็มีอยู่ เวทนาก็มีอยู่ สัญญาก็มีอยู่ สังขารก็มีอยู่ วิญญาณทุกอย่างก็มีอยู่

 

มันมีเพราะอะไร..? มันมีเพราะเหตุเพราะปัจจัย

เราต้องรู้เหตุปัจจัย เราเอาพระธรรมพระวินัย เอาสมมติสัจจะนี้แหละมาประพฤติปฏิบัติ เพราะเราทั้งหลายต้องพากันรู้ว่าการประพฤติการปฏิบัติมันอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันคือการประพฤติการปฏิบัติ จิตใจของเราในปัจจุบัน มันก็คิดได้ทีละอย่าง คิดได้ไม่หลายอย่าง ปากของเราพูดได้ทีละอย่าง กายของเราก็ทำได้ทีละอย่าง กิริยามารยาทอาชีพก็ทำได้ทีละอย่าง เมื่อรู้เข้าใจเราก็มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ด้วยความรู้เข้าใจที่เป็นสมมติสัจจะ

 

เมื่อเรามีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน ทุกอย่างมันก็ไม่มีปัญหา เพราะเรารู้เข้าใจว่าอดีตก็คือปัจจุบันนี้แหละ อนาคตก็คือปัจจุบันมันจะเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ปัญญาที่ประกอบด้วยความดี

 

เราอยู่ที่ไหนก็ทำได้อยู่ทุกหนทุกแห่ง อยู่ที่เมืองกรุงก็ทำได้ อยู่ที่ต่างจังหวัดก็ทำได้ อยู่ที่ชนบทป่าเขาลำเนาไพรก็ได้ ทุกหนทุกแห่งก็ทำได้ รู้เข้าใจมีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ทำได้ทุกหนทุกแห่ง

 

การประพฤติการปฏิบัติน่ะถึงไม่เลือกกาลไม่เลือกเวลาไม่เลือกสถานที่ การประพฤติการปฏิบัติอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่มีที่ว่างในการประพฤติการปฏิบัติเลย

พวกเราทั้งหลายอย่าเข้าใจเหมือนแต่ก่อน อย่าไปคิดว่า การสร้างบารมีต้องใช้เวลาหลายร้อยหลายพันหลายล้านปี หรือหลายล้านชาติ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เอาที่ปัจจุบันนี้แหละ ให้รู้เข้าใจ แล้วพากันมีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เค้าเรียกว่าชีวิตของเรามันจะเป็นความดีเป็นปัญญา เรียกว่ามีทั้งความสงบมีทั้งปัญญาไปพร้อม ๆ กันอย่างที่มีความสงบ

 

เราคิดดูดี ๆ นะ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ธรรมเป็นพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ท่านยังไม่ได้บัญญัติพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ท่านพูดให้เข้าใจเรื่องอริยสัจสี่เรื่องทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ พูดถึงเรื่องหลักการ ๓ อุดมการณ์ ๔ วิธี ๖ ให้ทุกคนมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ทุกอย่างไม่มีปัญหาเลย ทุกอย่างมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา มีแต่ปัญญามีแต่ความสงบ

 

เหมือนกับธรรมชาตินี้แหละ ธรรมชาติเค้ามีกลางวันกลางคืน ธรรมชาติเค้ามีความสงบมีปัญญา มันจะมีความพอเพียงเพียงพอ

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ท่านบอกให้พสกนิกรชาวไทยและชาวโลกว่า เราทั้งหลายต้องพากันรู้ธรรมะ เราทุกคนต้องรู้การประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอ

 

เน้นที่ปัจจุบันนี้แหละ เพราะการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องเน้นที่ปัจจุบันเพื่อเอาหลักการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประพฤติการปฏิบัติ  

                                      

เราพัฒนาทั้งใจทั้งวัตถุเป็นอริยมรรคทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพต้องเน้นที่ปัจจุบัน เราจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอมีมากก็พอ มีน้อยก็พอ มีปานกลางเราก็พอ ไม่มีเราก็พอ เมื่อมันแก้ไขภายนอกไม่ได้ เราทั้งหลายก็มาแก้ที่ใจของตัวเราเอง

 

เราต้องรู้จักความเป็นประภัสสรของทุกสิ่งทุกอย่าง ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ความจากไปด้วยพระไตรลักษณ์มันเป็นประภัสสร มันไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน

 

เราต้องรู้จักว่าสิ่งเหล่านี้แหละมันแก้ไขภายนอกไม่ได้ เราต้องแก้ไขที่ใจของเราด้วยความรู้ความเข้าใจ พากันมีปิติสุขเอกัคคตา รู้เข้าใจแล้วก็ไม่ต้องไปเป็นทุกข์อะไร

 

เราทั้งหลายต้องมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ ทุกคนจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ รู้ที่ปัจจุบัน รู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องทำอย่างนี้ พากันมีปิติสุขเอกัคคตาอย่างนี้แหละ

 

คนที่จนเพราะเหตุเพราะปัจจัย เราไม่มีวัตถุเราก็ไม่ต้องมีความทุกข์ทางใจ คนที่รวยอย่างนี้ก็ไม่มีทุกข์เพราะความหลง ทุกข์เพราะไม่รู้จักพอ ถ้าเรามีตัวมีตน คนรวยก็ต้องทุกข์เพราะไม่รู้จักพอ คนจนก็เพราะทุกข์เพราะไม่มี สองคนนี้ก็ทุกข์พอ ๆ กันนั่นแหละ เพราะเป็นนิติบุคคลตัวตน

 

พากันรู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ พากันมีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอ เราทั้งหลายจะได้แก้ที่ต้นเหตุ รู้เข้าใจแล้วพากันมีปิติมีความสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ชีวิตของเราจะได้เป็นมรรคเป็นข้อวัตรปฏิบัติ เอาอุดมการณ์อุดมธรรมนำชีวิต

 

เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ เราจะได้ปฏิบัติตัวเองเราจะได้พัฒนาตัวเองจะได้มีความสุขทุกคน ทุกอย่างเราต้องรู้เข้าใจ เราต้องรู้ปัญหาและแก้ปัญหาไม่สร้างปัญหา ชีวิตของเรามันจะได้เป็นความดีประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาประกอบด้วยความดี เราทำอย่างนี้แหละไม่ต้องทำอย่างอื่น ทุกคนก็จะได้เป็นบริสุทธิคุณทุก ๆ คน

 

วันหนึ่งคืนหนึ่ง วันหนึ่งก็คือ ๑๒ ชั่วโมง คืนหนึ่ง ๑๒ ชั่วโมง เราต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาความสงบเอาปัญญาที่มันพอดี เป็นความสมดุล

 

พวกเราทั้งหลายน่ะ ต้องพากันนอนพากันพักผ่อน ๕,๖,๗,๘ ชั่วโมง สำหรับผู้ที่ไม่ได้มาบวช ผู้ที่ไม่ได้ไปบวช พากันนอนพากันพักผ่อน วันละ ๕,๖,๗,๘ ชั่วโมง วันไหนมันบีบตัวมากก็พากันนอนพากันพักผ่อน ๕ ชั่วโมง เราทั้งหลายถึงจะเอาร่างกายไปใช้งาน สมองของเราถึงจะไม่เซ่อ ๆ เบลอ ๆ งง ๆ เพราะเรานอนพักผ่อนเพียงพอ

 

ปัจจุบันถึงจะมีการพัฒนามีการทำงานทั้งกะกลางวันกลางคืน แต่มนุษย์เราต้องพากันนอนพากันพักผ่อน ๕,๖,๗,๘ ชั่วโมง ต้องปรับเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลาในการนอนการพักผ่อน

 

สำหรับผู้ที่ไม่ได้มาบวช นับเอาตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เชื้อพระวงศ์ ประธานาธิบดี รัฐมนตรี ข้าราชการนักการเมืองพ่อค้าประชาชนคือผู้ที่ไม่ได้มาบวช ไม่มีใครยกเว้น ต้องเอาธรรมนำชีวิตเหมือนกันทุกคน ต้องเอาสมมติสัจจะ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ทุกคนทำอย่างนี้ทุกคนก็จะมีความสุข เพราะปัจจุบันมันมีความสุขทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ก้าวไปด้วยธรรมด้วยธรรมนูญ

 

สำหรับผู้ที่มาบวชทั้งหลายทุก ๆ ศาสนาที่พากันมาบวช ต้องพากันนอนพักผ่อน ๕,๖ ชั่วโมง  ทำไมผู้ที่มาบวชพักผ่อนนอนน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้บวช เพราะเหตุผลว่าผู้ที่มาบวชยกเลิกธุรกิจหน้าที่การงานภายนอกหมด ไม่ได้ทำธุรกิจอะไร ยกเลิกหมดแล้ว

 

ได้พากันมาประพฤติปฏิบัติกันเป็นนักบวช  ได้รับสิทธิพิเศษ ยกเว้นกรณีพิเศษ บ้านก็ไม่ได้เช่า ข้าวก็ไม่ได้ซื้อ ของทุกอย่างอำนวยความสะดวกความสบายฟรีหมดน่ะ มีแต่ประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาพระธรรมพระวินัยนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต

 

พวกนี้พากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เรียกท่านเหล่านี้ว่าพระศาสนา พระศาสนาคือธรรมะ ธรรมะคือพระศาสนา

 

ในโลกนี้มีหลายศาสนา มีหลายศาสนาไม่เป็นไร เพราะความหมายของพระศาสนาคือธรรมะ ธรรมะคือศาสนา ศาสนานั้นไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน ศาสนาคือธรรมะ ธรรมะคือศาสนา ศาสนาคือยกเลิกตัวตนไม่มีตัวตน มีแต่พระธรรมพระวินัย มีแต่ธรรมมีแต่ธรรมนูญ พระศาสนามีความหมายอย่างนี้

 

ไม่เป็นไรถึงจะมีชื่อหลายร้อยหลายพันพระศาสนาก็ไม่เป็นไร

 

เหมือนกับคนอยู่ในโลกนี้แปดพันกว่าล้านคนก็มีชื่อไม่ซ้ำกัน เพราะเป็นสมมติสัจจะ เพราะใช้เพื่อโฟกัสในการประพฤติการปฏิบัติ

 

พวกเราทั้งหลายเข้าใจเรื่องพระศาสนาจะได้ไม่ได้เอาพระศาสนาเป็นนิติบุคคลตัวตน ถ้าเอาพระศาสนาเป็นนิติบุคคลตัวตนมันก็ไม่ใช่พระศาสนา เพราะมันเป็นนิติบุคคลตัวตน มันเป็นความสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นตัวเป็นตน เป็นผู้หญิงเป็นผู้ชาย เป็นคนแก่คนเฒ่าคนชราหรือว่าคนตายไป เป็นคนดีกว่าเค้า เก่งกว่าเค้า เพอร์เฟคกว่าเค้า เป็นผู้ที่มีปัญญามากเป็นผู้เพอร์เฟค เป็นคนเสมอเขาหรือสู้เขาไม่ได้อย่างนี้ พระศาสนาท่านให้เรามายกเลิกคำว่าเขาว่าเรา เราถึงจะได้เข้าถึงพระศาสนาชีวิตของเราถึงจะมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันไม่ใช่พระศาสนา

 

เราทั้งหลายต้องเข้าใจพระศาสนานะ ศาสนานั้นไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน พระศาสนานี้ไม่ได้แตกแยก ยกเลิกความแตกแยก ยกเลิกความปรุงแต่งความแตกแยก

การปรุงแต่งเรียกว่าความทุกข์เพราะมีตัวมีตน ตัวตนคือความไม่สงบ        

        

เมื่อเรามีตัวตน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่า ตัวตนนั่นแหละ มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มี ตัวตนมันเผาทั้งตัวเองเผาทั้งคนอื่น เปรียบเสมือนทะเลมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อมันบกพร่องเป็นนิจ หัวใจมันบกพร่องอยู่เป็นนิจ เรียกว่าหัวใจเป็นเปรต หัวใจเป็นความทุกข์อย่างนี้แหละ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเรื่องพระศาสนา ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจเป็นเหมือนธรรมถึกกับวินัยธรนี้แหละ ศึกษาพระธรรมพระวินัย เรื่องดีชั่วผิดถูก สมมติสัจจะ แล้วก็ไปทะเลาะกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดบอกให้ฟังอย่างไรก็ไม่เชื่อ อย่างนี้เพราะต่างคนก็ต่างมีเหตุผล

 

เราต้องเข้าใจพระศาสนานะ ถ้าเรายกเลิกตัวตน ทุกคนก็สงบทุกคนก็มีปัญญา เอาตัวตนมันก็ไม่สงบมันก็มีปัญญา

 

เราต้องก้าวไปด้วยความรู้ด้วยความเข้าใจต้องเข้าใจพระศาสนานะ เราทั้งหลายจะไม่ได้ทะเลาะกัน เพราะพระศาสนาคือความยกเลิกความแตกแยก เพราะตัวตนคือความแตกแยก ตัวตนนั้นคือสังฆเภท

 

ตัวตนน่ะ ถ้าใครมีตัวตนเค้าเรียกว่าคนหัวใจแตกแยก หัวใจไม่สงบ หัวใจสังฆเภทตัวตนคือสังฆเภทที่สำคัญมั่นหมายว่าเป็นผู้หญิงชาย เป็นโน่นเป็นนี่ เป็นคนดีไม่ดี เค้าเรียกว่าหัวใจไม่สงบ หัวใจไม่สงบเรียกว่าหัวใจสังฆเภท หัวใจเป็นนิติบุคคลตัวตน หัวใจมันไม่รู้ไม่เข้าใจ หัวใจไม่รู้จักอริยสัจสี่ ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติ ให้ถึงความดับทุกข์ เอาความหลงนำชีวิตเอาตัวตนนำชีวิตมันไม่ได้

 

พวกเราทั้งหลายต้องเข้าใจ พวกเราทั้งหลายจะได้รู้จักพระศาสนา

 

เราทุกคนยกเลิกตัวตนเราทุกคนก็ไม่มีปัญหา ทุกคนถึงจะว่ารักคนอื่นได้ แต่ก่อนมันไม่ใช่รักคนอื่น มันหลงคนอื่น หลงตัวเองหลงคนอื่น

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้มีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายน่ะอย่าไปแตกแยกกันว่าอันนี้ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม พราหมณ์ฮินดูแตกแยกอย่างนี้ไม่ได้ มันไม่รู้เข้าใจเรื่องพระศาสนา ศาสนาคือธรรมะ

 

เราจะไม่ได้แบ่งแยกกันว้าโน้นประเทศไทย ศาสนาโน้นศาสนานี้ นิกายโน้นนิกายนี้ เราต้องรู้จักธรรมะ รู้จักธรรมชาติ รู้จักสภาวะธรรม เราทั้งหลายจะได้มีความสงบความเย็นแล้วมีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ชีวิตของเราจะได้สงบเย็น เป็นมนุษย์ที่มีปัญญา เป็นเทวดาที่มีปัญญา เป็นพรหมที่มีปัญญา เป็นพระอริยเจ้าผู้มีปัญญา เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต เราก็มีปิติสุขเอกัคคตา

 

เมื่อมันผ่านไปแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่า มันเกษียณแล้วเมื่อวานเอากลับคืนมาไม่ได้ เราก็ต้องปล่อยต้องวาง เราจะไปรำพึงรำพันพิลัยอะไร เพราะเราต้องก้าวไปด้วยปิติสุขเอกัคคตา ก้าวไปด้วยความสงบกับปัญญา ใจของเราจะได้เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม

 

ถ้าไม่มีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก มันก็ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ เพราะอันนี้เป็นธรรมเป็นสภาวธรรม

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเมื่อมันมีตาเราก็เห็นรูป หูเราไม่หนวกเราก็ได้ยินเสียง มีจมูกก็ได้กลิ่น มีรสก็รับรสทั้งหลายทั้งปวง เรามีร่างกายก็ต้องมีผัสสะ

 

เราทั้งหลายจะได้รู้กรรมเก่าที่เป็นนิติบุคคลตัวตน มันเวียนว่ายตายเกิดเป็นวัฏฏสงสาร เกิดเป็นรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ เราต้องรู้จักกรรมเก่า

 

กรรมใหม่ก็คือเป็นปัจจุบันนี้แหละ ที่เราสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ สองอย่างนี้มันจะมากระทบกันสปาร์คกัน

 

เราต้องรู้กรรมเก่ากรรมใหม่ เราจะได้ยกเลิกกรรมเก่า กรรมใหม่เราก็ไม่ทำ เราจะได้มีความสงบมีปัญญา มันจะเป็นความดีเป็นบารมี ๑๐ ทัศอย่างต้น ๒๐ ทัศอย่างกลาง ๓๐ ทัศอย่างละเอียด มีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

พวกเราทั้งหลายต้องเข้าใจอย่างนี้ เราทั้งหลายก็จะเป็นพระได้ทุก ๆ คน ทุก ๆ ศาสนา

 

ต้องเข้าใจพระศาสนา เข้าใจเรื่องพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ก็ได้แก่ปัญญาบริสุทธิคุณ

 

เราต้องเอาปัญญาบริสุทธิคุณไม่ใช่เอาปัญญาเป็นตัวเป็นตน เราเอาปัญญาบริสุทธิคุณ เพราะปัญญาความรู้แจ้ง การเรียนการศึกษาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่รู้เข้าใจ เราจะเรียนหนังสือมากมายก่ายกองใหญ่กว่าภูเขา สิ่งสำคัญอยู่ที่รู้เข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วมันก็ไม่ลืม ความรู้เข้าใจมันเป็นสัมมาทิฐิ มันจะหยุดความไม่รู้ไม่เข้าใจ

 

เหมือนแต่ก่อนเราไม่รู้เข้าใจ เรามีแต่ตาเนื้อตามังสจักขุ

 

เราต้องมีปัญญา เดินไปด้วยความรู้ความเข้าใจอย่างนี้ เพราะเราต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต

 

พวกเราทั้งหลายต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าต้องเอาความถูกต้องกลับคืนมา เอาความสงบกลับคืนมา เอาออกซิเจนกลับคืนมา เอาของเสียออกไป เอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป เอาความยึดมั่นถือมั่นออกไป

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อความสมบูรณ์พูนผล เหมือนกับต้นไม้ต้นหนึ่งนี้แหละ ต้นไม้ต้นหนึ่งต้องได้อาหารมาจาก ทุกทิศทุกทางของต้นไม้ มาจากทางรากบ้าง ทางใบบ้าง ทางกิ่งก้านสาขา ได้จากทุกทิศทุกทาง ไม่ใช่มาจากทางรากอย่างเดียว

 

ฉันใดก็ฉันนั้น อริยมรรคมีองค์แปดเราก็ได้ธรรมะมาจากทุก ๆ อย่างมาจากความคิด จากคำพูดการกระทำกิริยามารยาม อาชีพยกเลิกตัวตน มีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ธรรมะเป็นมรรค เป็นอริยมรรค เป็นมรรคมีองค์แปด

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ความสงบและสมาบัติมันก็เป็นสมาธิไม่ใช่รู้อริยสัจสี่ เมื่อออกจากสมาธิแล้ว ออกจากความสงบมันก็ยังเป็นนิติบุคคลตัวตน

 

ความรู้เข้าใจอย่างนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าบอกว่ามันเป็นเพียงหินทับหญ้า เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้วิตามินโปรตีนเกลือแร่แร่ธาตุที่สมบูรณ์มาจากทุกททางเหมือนต้นไม้นี้แหละ เป็นมรรคเป็นอริยมรรคมีองค์แปด

 

ทุกคนทุกศาสนาก็พากันทำอย่างนี้ ถ้าเรามีการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ ความถูกต้องก็ย่อมมีอยู่ โลกนี้ก็จะไม่ว่างจากธรรมนูญรัฐธรรมนูญ ไม่ว่างจากมรรคผลไม่ว่างจากพระนิพพาน

 

พระนิพพานอยู่ที่รู้เข้าใจ แล้วมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ให้พวกเราทั้งหลายรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ชีวิตของเราจะได้มีการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราต้องเข้าใจอย่างนี้ อย่าไปคิดว่าไปทำบุญที่วัด ไปทำบุญที่เค้าปฏิบัติธรรม ทำบุญบ้าน บุญกุศลนี้แหละเค้าต้องทำอยู่ทุกหนทุกแห่งในความคิด คำพูดกิริยามารยาท ธุรกิจหน้าที่การงานต้องให้เป็นบุญเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ปัญญาประกอบด้วยความดี เราต้องเข้าใจอย่างนี้ อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา การประพฤติการปฏิบัติถึงอยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง

 

เราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจ เพราะทุกคนเป็นผู้ประเสริฐมาก มีลมปราณมีโอกาส มีเวลา มีบุญ มีวาสนา เราต้องมีปิติสุขเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติทุก ๆ คนเป็นพระได้เหมือน ๆ กันทั้งหมด

 

สำหรับพระเราได้สิทธิพิเศษ พากันมาบวชมาอยู่ที่วัด ต้องพากันมาประพฤติพากันมาปฏิบัติ ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็ไม่ได้เป็นพระ เราก็เป็นนิติบุคลตัวตน

 

พระนั้นคือพระธรรมพระวินัยพระวินัย ยกเลิกตัวตน ทุกคนก็ได้เป็นพระเพราะเหตุนี้แหละพระเราถึงนอนจำวัด วันละ ๕,๖ ชั่วโมง ก็เพียงพอ เพราะเป็นพระมันก็มีแต่ปิติสุขเอกัคคตาทั้งวันทั้งคืนอยู่แล้ว

 

เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงนอนหรือว่าพักผ่อนบรรทมวันละ ๔ ชั่วโมง เพราะท่านยกเลิกตัวตน แล้วท่านก็มีปิติสุขเอกัคคตา ท่านทรงบรรทมพักผ่อนวันละ ๔ ชั่วโมง เป็นผู้ที่รับใช้คนอื่นบุคคลอื่น เทพเทวา  สรรพสัตว์ทั้งหลายวันละ ๒๐ ชั่วโมง

 

สำหรับนักบวชทั้งหลายพากันเอาพระธรรมพระวินัยชีวิต พากันนอนพักผ่อนหรือว่าจำวัด ๕,๖ ชั่วโมง เพราะเราทั้งหลายยังเป็นเสขบุคคล บุคคลที่ไม่เป็นพระอรหันต์ ยังไม่ใช่พระพุทธเจ้า ต้องเอาธรรมนำชีวิต

 

เราทั้งหลายได้รับโอกาสพิเศษสิทธิพิเศษ เราต้องประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ เราถึงจะเอาธรรมนำชีวิต ไม่ใช่เอาตัวตนนำชีวิต เราต้องรู้เป้าหมายของสิ่งที่ประเสริฐของความเป็นมนุษย์ รู้เป้าหมายของการบวชว่ามุ่งมรรคผลพนิพพาน ไม่ได้มุ่งมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ มุ่งพระนิพพาน พระนิพพานคือจุดหมายปลายทางของนักบวช

 

ท่านพุทธทาสภิกขุท่านเป็นคนดีคนมีปัญญา ที่ท่านพูดจากใจพูดจากพระนิพพานว่าเราทั้งหลายต้องมารู้อริยสัจสี่กัน เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาความถูกต้องนำชีวิต    ท่านได้ประพันธ์จากใจจากพระนิพพานเป็นตัวอักษรว่า

เป็นมนุษย์  เป็นได้  เพราะใจสูง  เหมือนหนึ่งยูง  มีดี  ที่แววขน

ถ้าใจต่ำ  เป็นได้  แต่เพียงคน           ย่อมเสียที  ที่ตน  ได้เกิดมา

ใจสะอาด  ใจสว่าง  ใจสงบ ถ้ามีครบ  ควรเรียก  มนุสสา

เพราะทำถูก  พูดถูก  ทุกเวลา          เปรมปรีดา  คืนวัน  ศุขสันติ์จริง

ใจสกปรก  มืดมัว  และร้อนเร่า         ใครมีเข้า ควรเรียก  ว่าผีสิง

เพราะพูดผิด  ทำผิด  จิตประวิง แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย

คิดดูเถิด  ถ้าใคร  ไม่อยากตก จงรีบยก  ใจตน รีบขวนขวาย

ให้ใจสูง  เสียได้  ก่อนตัวตาย ก็สมหมาย  ที่เกิดมา อย่าเชือน เอย ฯ

  

เรามาระลึกถึงโอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่ท่านเป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ท่านประทานโอวาทสำคัญที่เป็นเมตตาบริสุทธิคุณ ที่ท่านมอบไว้ เป็นสิ่งที่พวกเราทั้งหลายต้องระลึกถึงอยู่เสมอ เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อจะได้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท พากันตั้งอยู่ในพระธรรมพระวินัย

หลวงปู่มั่นท่านตรัสว่า

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอน

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืน

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเท่านั้น

 

คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด เพราะการประพฤติการปฏิบัตินั้นเป็นวาระสำคัญเป็นวาระแห่งชาติ

 

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายนะท่านทั้งหลายเป็นคนดีคนมีปัญญา เป็นคนมีปัญญาเป็นคนดี

 

-----------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันจันทร์ที่ ๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

Visitors: 94,422