๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ของศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ของศาสนาอิสลาม

 

วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงาน

วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำงาน

 

การทำงานกับการปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งเดียวกัน เป็นเซทเดียวกัน เป็นมรรคเป็นอริยมรรคเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม ชีวิตนี้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ มีความสงบเป็นพื้นฐาน มีปัญญาเป็นพื้นฐาน เป็นกรรมเป็นกรรมฐาน  สติปัฏฐานทั้ง ๔ ที่เป็นบริสุทธิคุณทั้ง ๔ เป็นประภัสสรทั้ง ๔ ประการ จะเป็นความพอดีเป็นความพอเพียงเพียงพอ จะเป็นความสงบกับปัญญาควบคู่กันไป

 

ชีวิตนี้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เหมือนแพทย์ผ่าตัดน่ะ แพทย์ผ่าตัดต้องมีความรู้ความเข้าใจ แพทย์ผ่าตัดสมอง เพราะสมองของมนุษย์นี้มีเส้นประสาทมาก ควบคุมสรีระร่างกาย แพทย์ผู้ผ่าตัดต้องมีปัญญาพร้อมกับมีความสงบ แพทย์จะผ่าตัดหัวใจ หัวใจเป็นศูนย์รวมส่งเลือดเข้าสู่ร่างกาย แพทย์ผู้ผ่าตัดก็ต้องมีปัญญามีความสงบ ถึงจะปลอดภัย

 

ชีวิตของเรานี้เราต้องก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ความสงบนี้ถึงเป็นสติปัฏฐาน สัมปชัญญะตัวปัญญาถึงเป็นสติปัฏฐาน คือฐานแห่งชีวิต เพราะทุกอย่างมันคือกรรม คือกฎแห่งกรรม คือผลของกรรม

 

เราทั้งหลายต้องรู้ความเป็นประภัสสรของทุกสิ่งทุกอย่าง ในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐของเรา เราต้องเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เปรียบเสมือนเข็มก็ยังเล็ก รูเข็มก็เล็กเข้าไปอีก ผู้ที่จะแหย่ด้ายเข้าไปในรูเข็มเพื่อจะเป็นกระบวนการในการทำงานก็ต้องสงบ ก็ต้องมีปัญญา มีปัญญาต้องมีความสงบ

 

ฉันใดก็ฉันใด สติเป็นพื้นฐานก็ฉันนั้น สัมปชัญญะเป็นพื้นฐานก็ฉันนั้น เราจะได้เข้าถึงความเพียงพอพอเพียงเข้าถึงความพอดี สติสัมปชัญญะก็เหมือนกับเราคัดหนังสือ เขียนหนังสือให้สวยงาม เราเขียนหนังสือคัดลายมือใหม่ ๆ ก็เขียนช้า ๆ

 

ประเทศพม่าเค้าฝึกสติปัฏฐานทั้ง ๔ เค้าถึงเดินช้า ๆ ยกเท้าช้า ๆ ที่เค้าสอนกัน ยกหนออออ ยกช้า ๆ แล้วก็ย่างหนออออ เหยียบหนออออ นั้นมันเหมาะสำหรับผู้ฝึกใหม่ปฏิบัติใหม่ เพื่อจะเจริญสติปัฏฐาน ๔ มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เพื่อให้อยู่กับธรรมอยู่กับปัจจุบันธรรม อันนั้นสำหรับอยู่กับที่แคบ ๆ อยู่ในห้องน่ะ

 

การประพฤติการปฏิบัติธรรมมันเป็นมรรคเป็นอริยมรรค ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่าชีวิตของเรานี้มันต้องครบวงจรนะ ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพทั้งใจมันต้องครบวงจร มันถึงจะเป็นทั้งหมดน่ะ

 

การปฏิบัติธรรมมันอยู่ที่เรารู้เราเข้าใจ เพื่อเป็นมรรคเป็นอริยมรรคไม่เฉพาะ อย่างใดอย่างหนึ่ง ความรู้ถึงเป็นคู่การประพฤติการปฏิบัติ เพราะวิถีชีวิตของเรา มันไม่ใช่ต้องนั่งอย่างเดียว ไม่ใช่เดินอย่างเดียว ไม่ใช่นอนอย่างเดียว ไม่ใช่ทำอย่างโน้นอย่างนี้อย่างเดียวมันเป็นวงจร ครบวงจร ทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพทั้งใจ ต้องเอาธรรมนำชีวิต เพื่อบริสุทธิคุณ เพื่อเป็นทางสายกลาง มันเป็นความพอดี เป็นความพอเพียงเพียงพอ

เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจทุกคนจะได้ฝึกตัวเอง ถ้าเราเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต เอาสติคือความสงบเป็นฐานเอาปัญญาเป็นฐาน ชีวิตของเรามันจะเข้าถึงความดับทุกข์

เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ มันก็จะชำนิชำนาญ เพราะเราทำไปเรื่อย ๆ มันไม่ถอยหน้าถอยหลัง มันจะก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา การไปเรียนหนังสืออยู่ที่เราเข้าใจ ที่อ่านออกเขียนได้ลวกลบคูณหารที่โรงเรียน สำคัญอยู่ที่ความรู้เข้าใจ ถ้าเรารู้เข้าใจเราอ่านออกเขียนได้ บวกลบคูณหารที่ไหนก็ได้

ความรู้ความเข้าใจถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ การพัฒนาวิทยาศาสตร์ก็สำคัญอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ เราจะพัฒนาเป็นทีมเวิร์คใหญ่หรือพัฒนาด้วยตัวเอง มันก็สำคัญอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ การฟังการบรรยายในศาสตร์ต่าง ๆ มันก็สำคัญอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจนี้ถึงไม่ใช่ความจำนะ มันเป็นแสงสว่างทางปัญญา มนุษย์เรานี้มีตานะ ตาภายนอกน่ะ แล้วก็มีทั้งตาปัญญา ต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ก้าวไปความพอเพียงเพียงพอ ความพอดีน่ะ

 

เราคิดดูดี ๆ เราอยากจะได้มากมันได้มากมั๊ย ไม่ได้ มันก็เท่าเก่า เราอยากได้น้อยมันได้น้อยมั๊ย ไม่ได้ มันเท่าเก่าน่ะ เพราะทุกอย่างมันเป็นเช่นนั้นเอง

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้พากันเจริญสติเป็นพื้นฐาน การทำอะไรต้องใจอยู่กับเนื้อกับตัว เหมือนกับแพทย์ผ่าตัด เหมือนกับแหย่รูเข็ม

 

การปฏิบัติในปัจจุบันถึงถือว่ามันเป็นไฟต์นะ ไฟต์แห่งผิดถูกอย่างนี้แหละ อันหนึ่งสัญชาตญาณที่เป็นตัวตนอย่างนี้แหละ ตัวตนน่ะมันเป็นวัฏฏสงสาร มันไม่รู้ไม่เข้าใจเป็นวัฏฏสงสาร กายวาจากิริยามารยาทใจเป็นวัฏฏสงสาร มันเป็นสัญชาตญาณที่เป็นตัวเป็นตน หลง...มันไม่เข้าใจ เอาธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้าอายตนะสิบสองมาเป็นตัวเรา มันไม่รู้จักกระบวนการกระแสของกรรมของกฎแห่งกรรม ของผลของกรรม ไม่รู้กระแสของกระบวนการปฏิจจสมุปบาท

 

เราต้องรู้เข้าใจ  เราทั้งหลายจะได้พากันมีความสงบมีปัญญาไปพร้อม ๆ กัน เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี

 

ถ้าเรารู้เราเข้าใจอย่างนี้ เราทุกคนก็จะทำได้ปฏิบัติได้ ก็ตั้งใจตั้งเจตนาเพราะปัญญารู้เข้าใจแล้ว เมื่อรู้เข้าใจแล้วอันนี้ก็ไม่คิดไม่พูดไม่ทำ มันก็หยุดกรรมหยุดเวรหยุดภัยด้วยสติปัฏฐานทั้งสี่น่ะ

 

การประพฤติการปฏิบัติของเราถ้าเราปฏิบัติไปมันก็ชำนิชำนาญ ใหม่ ๆ มันก็อาจจะเครียด เหมือนไฟกองใหญ่อย่างนี้แหละ เมื่อเรารู้ว่าไฟมันลุกเป็นกองไฟกองเพลิงเราก็แยกฟืนออกไป แยกถ่านที่กำลังเผาออกไปมันก็จะเย็นลง เย็นลงน่ะ  การประพฤติการปฏิบัติมันต้องเป็นอย่างนี้

 

การประพฤติการปฏิบัติมันต้องเข้าถึงความรู้ความเข้าใจ เข้าถึงธรรมถึงปัจจุบันธรรม ชีวิตนี้มันก็จะมีความสงบมีปัญญา มีปัญญามีความสงบ เพราะรู้เข้าใจ เราจะไปตามรูปไปทำไมเพราะรูปมันไม่จบ เราจะไปตามเสียงทำไมเพราะเสียงมันไม่จบ  เราจะตามกลิ่นไปทำไมเพราะกลิ่นมันไม่จบ จะตามรสไปทำไมเพราะรสมันไม่จบ จะตามสิ่งที่ผัสสะสิ่งแวดล้อมไปทำไมเพราะมันไม่จบ เราจะตามจิตตามวาระจิตไปทำไมมันไม่จบ เราต้องรู้เข้าใจด้วยตั้งใจตั้งเจตนา เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้มันก็จะเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญาที่ติดต่อต่อเนื่อง ที่เค้าเรียกว่าบารมี ๑๐ ทัศ ๒๐ ทัศ  ๓๐ ทัศ เพื่อให้สมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะด้วยความรู้ความเข้าใจนะ

 

เราทั้งหลายไม่ต้องไปหาความดับทุกข์ที่ไหน ความดับทุกข์อยู่ที่เรานี้เอง อยู่ที่ยาววาความหนาของร่างกายคือคืบ อยู่ที่ยาววาของเราเอง อยู่ที่หนาคืบของเรา นี้เอง ตามหลักการตามอุดมการณ์อุดมธรรมมันเป็นอย่างนั้นหรือว่าเป็นอย่างนี้

 

เราทุกคนต้องเจริญสติปัฏฐาน ๔ เราทั้งหลายจะไปฟุ้งซ่านไม่ได้นะ ความฟุ้งซ่านเป็นหมอผ่าตัดไม่ได้ เพราะฟุ้งซ่านนี้แหย่รูเข็มไม่ได้ เพราะฟุ้งซ่านไม่ใช่ความสงบ ไม่ใช่ความพอเพียงเพียงพอนะ เราทั้งหลายต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัตินะ

 

เราทั้งหลายมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนนะ มันเป็นสภาวธรรม มันเป็นกรรม มันเป็นผลของกรรม มันเป็นกฎแห่งกรรม ต้องรู้กรรมรู้เวร เราต้องหยุดกรรมหยุดเวรหยุดภัยด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยความดีที่เป็นบารมีติดต่อต่อเนื่อง ไม่ตามธาตุทั้งสี่ ไม่ตามขันธ์ทั้งห้า ไม่ตามอายตนะสิบสองน่ะ ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี ใจดีใจสบายก็ต้องมีปัญญา มีปัญญาก็ต้องใจดีใจสบาย หัวใจของเราทุกคนมันจะได้เป็นแอร์คอนชั่นดิชั่น กายวาจากิริยามารยาทจะได้เป็นแอร์คอนชั่นดิชั่น ความตั้งใจตั้งเจตนาหยุดวัฏฏสงสาร ยกเลิกในการเดินทางที่ไม่ถูกต้อง มันจะย่ำต๊อกในความหลง ย่ำต๊อกในภพ ในชาติ ในอายตนะ ในผัสสะ ในอารมณ์

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา มีแต่ปัญญามีแต่ความสงบ ชีวิตของเรามันจะมีความสุขมีความดับทุกข์ ชีวิตของเราจะเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบันนะ

 

เรารู้เข้าใจ เราทั้งหลายน่ะ จะได้เอาธาตุทั้งสี่ เอาขันธ์ทั้งห้า เอาอายตนะทั้งสิบสองมาประพฤตคิมาปฏิบัติให้มีความสุข เพราะทุกอย่างนั้นมันเป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี อยู่อย่างความไม่รู้ไม่เข้าใจมันเลยไปหาเรื่อง หาราวให้กับตัวเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น คำว่าตัณหานี้มันหาเรื่องหาราวนะ  หาเรื่องหาราวให้ตนเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่ามันไม่จบนะ เราจะได้จบด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยหลักการด้วยสติปัฏฐานนี้แหละ สติคือความสงบ สัมปชัญญะคือตัวปัญญา เราทำอย่างนี้มันจะอบรมบ่มอินทรีย์ไปในตัวของมันเอง

 

เราทั้งหลายไม่ต้องไปหาความดับทุกข์ที่ไหนไปหาความสงบที่ไหน ความดับทุกข์อยู่ที่เรารู้เข้าใจ เราจะไม่ได้หาเรื่องหาราว ความไม่รู้ไม่เข้าใจมันเป็นทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำมหาสมทุรไม่อิ่มด้วยน้ำ เป็นไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ เติมเท่าไหร่ก็ไม่พอไม่เต็ม ถมเท่าไหร่ก็ไม่พอไม่เต็ม

 

เราทั้งหลายต้องเข้าใจวัฏฏสงสาร เข้าใจในสังสาระ เราไม่ต้องไปหาพระนิพพาน ที่ไหน พระนิพพานอยู่ที่รู้เข้าใจ

 

อายุขัยของเราอยู่ได้ร่วม ๆ ศตวรรษหนึ่งนะ ถ้าเราคิดดูดี ๆ น่ะ เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา พัฒนาทั้งใจพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์มันอยู่ได้มากกว่าร้อยปี เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันอายุน้อยอายุสั้นนะ เอาตัวตนนำชีวิตมันต้องไปตามผัสสะไปตามสิ่งแวดล้อมมันไม่สงบน่ะ เพราะว่าไปตามสิ่งแวดล้อม

 

ตัวตนนั่นแหละเค้าเรียกว่าคนสมาธิสั้นไปตามสิ่งแวดล้อม ตัวตนเค้าเรียกว่าเป็นคนไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญาไปตามสิ่งแวงดล้อมนะ

 

เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

 

วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำการทำงานมนุษย์ ถ้าเรารู้เข้าใจพัฒนาใจให้มีความสุขที่สุดในโลกด้วยการเจริญสติปัฏฐานนี้แหละ ทำอะไรก็ให้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา เพราะเราได้เสียสละ เราเอาธรรมนำชีวิตธรรมนูญนำชีวิต ชีวิตของเราจะได้เข้าถึงบริสุทธิคุณให้ครบวงจรทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพทั้งใจ เข้าถึงพระนิพพานน่ะ

 

พระนิพพานเป็นบริสุทธิคุณที่หยุดตัวหยุดตน หยุดความปรุงแต่ง วิทยาศาสตร์ที่ทำให้ดีเค้าเรียกว่าความปรุงแต่งนะ ใจที่รู้เข้าใจ การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เพื่อบริสุทธิคุณไม่ใช่เพื่อตัวเพื่อตน ถ้ามีตัวมีตนเมื่อไหร่มันก็มีความปรุงแต่ง ความปรุงแต่งมันก็ไม่หยุด ให้รู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้เข้าใจมันจะไม่สงบน่ะ มันก็จะหาเรื่องหาราวให้เราตลอด ความสงบกับปัญญาต้องไปพร้อม ๆ กัน

 

เราทั้งหลายน่ะจะเป็นใครที่ไหนก็ต้องเอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต ทุกคนต้องเน้นการประพฤติการปฏิบัติของเราให้สงบ อย่าไปฟุ้งซ่าน ต้องทำเหมือนแพทย์ผ่าตัดสมอง แพทย์ผ่าตัดหัวใจ ให้ทำเหมือนเค้าแหย่รูเข็มเล็ก ๆ หรือว่าแพทย์เค้าฉีดยาเข้าเส้นเลือด เค้าต้องนิ่ง เค้าต้องสงบ สติปัฏฐาน ๔ ต้องก้าวไปอย่างนี้แหละ

 

การจะทำอะไรติดต่อต่อเนื่องกันนั้นมันจะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นศิลปะแห่งชีวิตนะ จะยกเลิกตัวตน เป็นสัมมาสมาธิ เอาธรรมนูญนำชีวิต ติดต่อต่อเนื่องกัน ๓ อาทิตย์มันจะได้ผลนะ เราตอนต้นไม้ ๓ อาทิตย์รากมันจะอกมา เราจะฟักไก่ จะฟักด้วยแม่ไก่หรือฟักไฟฟ้าก็ ๓ อาทิตย์ ยกตัวอย่างให้ฟังน่ะ

 

เราทั้งหลายต้องเข้าใจด้วยปัญญานะ เราต้องเข้าสู่หลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เราทั้งหลายจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม เราทั้งหลายจะได้เป็นผู้มีศีลมีสมาธิมีปัญญา  ไม่ตามสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมมันมีอยู่ ความว่างของพระนิพพานมันเป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่นะ เมื่อเรารู้เข้าใจธาตุมันก็เป็นธาตุ ขันธ์มันก็เป็นขันธ์ อายตนะก็เป็นอายตนะ เพราะทุกอย่างนั้นมันคือเหตุคือปัจจัย ไม่ใช่อะไรหรอก เราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็หมุนไปของมันอย่างนั้น ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ

 

ในชีวิตประจำวันของเรา เราต้องให้มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่มีปิติไม่มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติมันมีความทุกข์นะ ชีวิตของเรามันจะเป็นโรคซึมเศ้านะ ที่แพทย์หมอพยาบาลที่เค้าตรวจคนไข้ เค้าบอกว่าเป็นโรคซึมเศร้านะ โรคซึมเศร้าหมายถึงเอาความหลงนำชีวิต เอาความหลงนำชีวิตมันก็ต้องมีทุกข์  มันถมเท่าไหร่ก็ไม่พอ ถมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม มันแบกความหลงของชีวิตมันก็เป็นทุกข์สิ

 

เราทุกคนต้องพากันเข้าใจ ตั้งใจตั้งเจตนา เข้าสู่อริยมรรคเข้าสู่สติปัฏฐาน เราทุกคนจะได้พากันเป็นพระ คำว่าพระคือผู้รู้ผู้เข้าใจ เอาสติปัฏฐานนำชีวิต เอาความสงบนำชีวิต เอาปัญญานำชีวิต ผู้เป็นข้าราชการก็เป็นพระได้ ผู้เป็นนักการเมืองก็เป็นพระได้ ผู้เป็นพ่อค้าประชาชนก็เป็นพระได้ ผู้เป็นนักบวชก็เป็นพระได้

 

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เรารู้เข้าใจทุกคนเป็นพระได้หมด เพราะพระนั้นคือความรู้แล้วก็เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ทุกคนก็เป็นพระได้ โลกนี้จะไม่ว่างจากความเป็นพระอรหันต์ ปกติมันวิ่งไม่หยุดมันวิ่งเร็วอย่างนี้ นี้หยุดวิ่งน่ะอย่างนี้แหละ เค้าเรียกว่าหยุดกงจักรที่มันกำลังหมุนไป หยุดกงจักรของอวิชชาของความหลงที่มันเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา

 

เราทั้งหลายก็จะเห็นคุณเห็นประโยชน์ในความถูกต้อง เห็นประโยชน์แห่งพระธรรมพระวินัย เราทั้งหลายจะไม่กลัว ไม่กลัวพระธรรมไม่กลัวพระวินัยไม่กลัวข้อวัตรปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้ยกเลิกความกลัว ยกเลิกโลกส่วนตัว โลกตัวตนเราทั้งหลายจะได้ยกเลิกไม่กลัวศีล ไม่กลัวสมาธิ ไม่กลัวปัญญา เข้าสู่ระบบศีล สู่สมาธิ สู่ปัญญา มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาด้วยความรู้ความเข้าใจอย่างนี้

 

พวกนี้แหละไม่กลัว ไม่กลัวร้อน ไม่กลัวหนาว ไม่กลัวสุข ไม่กลัวทุกข์ เพราะความกลัวคือความไม่ถูกต้องนะ มันถูกต้องอยู่แล้วจะไปกลัวทำไม เพราะมันดับทุกข์หยุดทุกข์หยุดวัฏฏสงสารหยุดสังสารวัฏนะ เรารู้เข้าใจอย่าไปกลัว

 

เราไม่รู้ไม่เข้าใจในการปล่อยวาง เอาความหลง เอาตัวเอาตนปล่อยวาง ปล่อยวางอย่างนั้นมันก็เหมือนสัตว์เดรัจฉานนะ สัตว์เดรัจฉานมันปล่อยวางมันไม่ได้พัฒนาวิทยาศาสตร์ไม่ได้พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน เพราะสัตว์เดรัจฉานมันปล่อยวางมันไม่รู้จักการประพฤติการปฏิบัติ

 

เรารู้เข้าใจ รู้จักการปล่อยวางก็คือไม่เอาความรู้สึกนำชีวิต เอาพระธรรมพระวินัยเอาสิกขาบทน้อยใหญ่นำชีวิต ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกเราทั้งหลายว่าอย่าประมาทนะ ให้รู้เข้าใจให้มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ อย่าไปตามสิ่งแวดล้อม เพราะปัจจุบันนี้ถึงว่าวาระสำคัญนะ วาระสำคัญทางกายวาจากิริยามารยาทอาชีพทั้งใจเป็นวาระสำคัญแห่งชาตินะ เป็นวาระแห่งการเกิดการแก่การเจ็บการตายการพลัดพราก เราจะได้รู้ว่าความประมาทความเพลิดเพลินนี้มันเสียหายนะ เสียหายทั้งส่วนตัวเสียหายทั้งส่วนรวมนะ

 

เราต้องรู้เข้าใจเราทั้งหลายอย่าไปประมาท ถึงสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันจะแซบมันจะลำมันจะนัวมันจะหรอยมันจะอร่อยอะไรก็ช่างหัวเผือกช่างหัวมัน

 

เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ ๙ ของเมืองไทย ได้ตรัสกับพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกว่า เราทั้งหลายรู้สิ่งแวดล้อม รู้จักปล่อยรู้จักวางในความไม่ถูกต้อง อะไรก็ช่างหัวเผือกช่างหัวมัน เราต้องรู้เข้าใจ ต้องผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยปิติด้วยความสุข เพราะสิ่งนี้ถูกต้องดีเพอร์เฟค เราต้องหยุดกาลหยุดเวลา ถ้าอย่างนั้นมันไม่หยุดกาลไม่หยุดเวลานะ กรรมมันหมุนไปด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ จะเอาไสยศาสตร์นำชีวิตไม่ได้นะ เราต้องหยุดเวรหยุดภัยหยุดวัฏฏสงสาร

 

เราทั้งหลายต้องพากันมาประพฟติปฏิบัติตัวเอง เราทั้งหลายเน้นมาที่ตัวเรา เพราะว่าเราดูแล้วพระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญบารมีหลายล้านชาติจนเป็นพระพุทธเจ้าท่านก็เน้นที่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ขีณาสพผู้ฟังพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าท่านก็เน้นที่พระอรหันต์ ใครก็เน้นที่ใคร เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราไม่ต้องไปพึ่งพาอาศัยใคร ของอย่างนี้มันพึ่งพาอาศัยกันไม่ได้ เพราะกรรมเป็นเรื่องส่วนตัวเรื่องเฉพาะตน ต้องพากันประพฤติปฏิบัติ เราทั้งหลายต้องไม่กลัว

 

เราเกิดมามันก็แก่เจ็บตายพลัดพรากอย่างนี้ เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นประภัสสรสิ่งเหล่านี้มันแก้ไขไม่ได้ ก็ต้องรู้ว่าแก้ไขไม่ได้ ก็ยอมรับก็มีความสุขน่ะ

 

การแก้ไขเค้าต้องแก้ไขทั้งภายนอกคือวิทยาศาสตร์ แต่ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากมันเป็นเรื่องของใจก็แก้ที่ใจของเรา ทุกอย่างรู้เข้าใจมันก็ไม่มีปัญหานะ                

 

ให้รู้เข้าใจเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่งพระอรหันต์ขีณาสพออกไปเผยแผ่เมื่อสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ ๆ นะ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่า ให้พระอรหันต์ขีณาสพไปทางละรูป เพราะทรัพยากรของพระอรหันต์มันมีน้อย ต้องไปทางละรูป ไปทางละรูปก็ไม่เป็นไรถ้ายกเลิกตัวตนทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา ปัญญาอยู่ที่เรามีตัวมีตน สำคัญมั่นหมายว่า เราเป็นผู้หญิงเป็นผู้ชาย เป็นคนหนุ่มคนสาวคนแก่คนเฒ่าคนชราคนพิการเป็นผู้ดีกว่าเค้า เก่งกว่าเค้า มีปัญญากว่าเค้า มีเพาเวอร์มาก มีเขามีเราอย่างนี้แหละ ถ้าเรายกเลิกตัวตนทุกอย่างไม่มีปัญหา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่จะปล่อยพระอรหันต์ออกไปเผยแผ่ท่านทดสอบด้วยคำถามน่ะ พอจะให้รู้หลักการ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่า ไปที่นั่นเมืองนั้นเค้าดุนะอย่างนี้แหละ เวลาเค้าว่าให้เรา เราจะทำอย่างไร พระอรหันต์ก็ตอบว่าก็ดีกว่าเค้าตีเรา เค้าตีเราเราจะทำอย่างไร ก็ดีกว่าเค้าใช้ศัตรา ถ้าเค้าใช้ศัตราจะทำดีกว่าเค้าฆ่า เวลาเค้าฆ่าเราจะทำอย่างไร ก็ดีกว่าเราไปกว่าเค้า

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บอกว่า เออ...ถ้าอย่างนี้ไปได้ ไม่มีปัญหา

 

ถ้าเรายกเลิกตัวตนมันไม่มีปัญหา มันมีแต่ความสงบแต่ปัญญานะ เราต้องรู้เข้าใจ มันจะแก่ก็ช่างมัน มันจะเจ็บก็ช่างมัน มันจะตายก็ช่างมัน วันนี้อากาศจะร้อนจะหนาวก็ช่างมัน ใครจะดีจะชั่วก็ไปแก้ไขเขาไม่ได้ เราต้องเข้าสู่ความสงบปัญญา รู้เข้าใจ เพื่อเอาปัญญาเป็นฐานเป็นสติปัฏฐาน ด้วยความรู้ความเข้าใจอย่างนี้

 

วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุด หยุดธุรกิจหน้าที่การงานไปพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจไปทำวัตรสวดมนต์เจริญสมาธิภาวนาในศาสนาของตน ใครเป็นศาสนาพุทธก็ไปที่วัด วัดเป็นที่อยู่ของนักบวช นักบวชที่บวชไปหรือบวชมาเพื่อเอาพระธรรมพระวินัยชีวิตยกเลิกทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน มีชีวิตอยู่ด้วยพระธรรมพระวินัย ไม่ทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย เป็นผู้บริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพทั้งเรื่องจิตเรื่องใจ อย่างนี้เรียกพระธรรมพระวินัย ไปที่วัดเพื่อไปให้ทาน ทานในสิ่งที่จำเป็น ให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ

 

พูดถึงวัด ข้อวัตรข้อปฏิบัติมันก็มีกับเราทุกคนเพราะเรารู้เข้าใจ กายวาจากิริยามารยาทนั่นแหละคือข้อวัตรข้อปฏิบัติ มันเป็นความรู้ความเข้าใจ มันจะเป็นปฏิปทาของชีวิต ชีวิของเราถึงเป็นธรรมนูญไม่ใช่เป็นตัวเป็นตน มันถึงจะมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา

 

ผู้ที่ถือศาสนาคริสต์ก็ไปที่โบสถ์ ไปทำอย่างเดียวกันเหมือนศาสนาพุทธ

 

ผู้ที่ถือศาสนาอิสลามก็ไปที่มัสยิด ทำอย่างเดียวเหมือนกับศาสนาพุทธไปประพฤติปฏิบัติธรรม

 

ใครถือศาสนาพราหมณ์ฮินดูก็ไปเทวสถาน เพื่อไปประพฤติไปปฏิบัติ เพราะที่นั้นมันเป็นศูนย์รวม เราต้องรู้เข้าใจ เค้าทำอย่างนี้มาหลายร้อยหลายพันหลายหมื่นปีแล้ว เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราเป็นมนุษย์สมัยใหม่เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเค้าเรียกว่าสมัยเก่าน่ะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเค้าเรียกว่าบริโภคของเก่านะ ให้เข้าใจ เหมือนนางวิสาขามหาอุบาสิกาเข้าใจนี้ พอที่จะพูดให้ฟังเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม

 

นางวิสาขาได้เป็นพระอริยเจ้าเป็นพระโสดาบันตั้งแต่เด็ก ๆ น่ะ ได้อุปัฏฐากเทคแคร์บิดาของสามีอย่างดีน่ะ ทุกอย่างตามมรรคตามอริยมรรค วันหนึ่งพ่อปู่อันเชิญพระชีเปลือยมาฉันอาหารที่บ้าน เพราะเลื่อมใสเห็นปล่อยวางทุกอย่างเลย เสื้อผ้าอาภรณ์ก็ไม่เหลือ ปล่อยวางน่ะ มีแต่ชุดวันเกิด เกิดมาอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นปล่อยวางหมดไม่มีอะไรเลย พ่อสามีเลื่อมใสนึกว่าเป็นพระอรหันต์

 

นางวิสาขาออกมาดู โอ้...อย่างนี้ไม่ใช่คนมีปัญญานะ อย่างนี้ไม่ใช่พระหรอก ก็กลับเข้าไปน่ะ พ่อสามีก็โกรธก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

 

วันต่อมาภิกษุในพระพุทธศาสนามาบิณฑบาตภิกขาจารที่บ้านเพราะรู้ว่านางวิสาขามหามหาอุบาสิกาอยู่ที่นั่น นางวิสาขารู้เข้าใจว่าพ่อสามีเค้าไม่เลื่อมใส เพราะภิกษุในพระพุทธศาสนาไม่ปล่อยวาง ยังใส่ผ้าอาภรณ์อยู่ พวกนี้ยังไม่ปล่อยวาง เค้าก็เฉย เพราะเค้าไม่ศรัทธาไม่เลื่อมใส

 

นางวิสาขาจึงพูดว่าขอนิมนต์พระมหาเถระเจ้าไปบิณฑบาตที่อื่น เพราะที่นี่พ่อสามีกำลังบริโภคของเก่าอยู่ เค้ากำลังเพลิดเพลินมีความสุขสนุกสนานในการบริโภคของเก่าอยู่ พ่อสามีได้ยินเข้าก็โมโหขับไล่นางวิสาขามหาอุบาสิกาให้ออกไป นางวิสาขาก็พูดว่า เมื่อก่อนจะเอานางมาก็มีพราหมณ์ผู้ใหญ่ทั้ง ๘  ทั้งฝ่ายนางฝ่ายสามีน่ะ ก็ต้องทำอะไรให้เคลียร์ให้ถูกต้อง นางวิสาขาได้แถลงการณ์ว่าคำว่าบริโภคของเก่านั้นหมายถึงบริโภคความหลงเอาตัวตนนำชีวิต เค้าเรียกว่าบริโภคของเก่า ที่เอาธาตุเอาขันธ์เอาอายตนะที่เป็นตัวเรานั่นแหละคือบริโภคของเก่ามันไม่ใช่คนบริโภคของใหม่นะ ตัวตนนั้นคือของเก่านะ พ่อผัวรู้เข้าใจว่านางนี้แหละ พูดถูกต้อง

 

เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งน่ะบริโภคของเก่าบริโภคความหลงที่รูปสวย ๆ ก็ร้องโอย ๆ ๆ ได้ยินเสียงเพราะ ๆ ก็ร้องโอย ๆ ๆ ได้อาหารอร่อย ๆ ก็ร้องโอย ๆ ๆ  ทุกอย่างมีแต่โอยกับโอย เรียกว่าผู้บริโภคของเก่าของหลงนะ เศรษฐีถึงได้เรียกนางวิสาขาว่าแม่น่ะ อย่างนี้แหละ

 

เราต้องรู้เข้าใจ คนรุ่นใหม่สมัยใหม่เราพัฒนาวิทยาศาสตร์เราต้องพัฒาใจไปพร้อม ๆ กัน

 

เราคิดดูดี ๆ สิประเทศที่เค้าพัฒนาไปไกลทางวิทยาศาสตร์มันไปไม่ได้นะ เพราะไม่เอาใจไปพร้อม ๆ กัน ผู้ที่ไม่ได้พัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจมันก็เหมือนชีเปลือยมันไปไม่ได้ ต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจแล้วชีวิตนี้มันจะพังทลายเหมือนตึก สตง.นะ

 

ตึกสตง.ที่พังทลายเพราะไม่รู้ไม่เข้าใจเอาความหลงนำชีวิตเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต ชีวิตมันต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้นะ

 

ตึก สตง.อยู่ที่กรุงเทพมหานคร ตึก ๓๐ กว่าชั้น ตึก สตง.ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เอาความหลงนำชีวิตเอาทุจริตนำชีวิต ชีวิตมันเลยพังทลาย ชีวิตมันพังทลายนะ ตึกสตง.มันพังทลายด้วยนิติบุคคลตัวตนพังทลายด้วยทุจริตมันจะไปแก้ไขตั้งแต่ภายนอกมันจะไปพัฒนาตั้งแต่วิทยาศาสตร์จะไปเอาความสุขบนความหลง ชีวิตเลยพังทลายนะ

เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งน่ะ เราคิดดูดีๆ นะ ตึกใหญ่กว่าสูงกว่าตึก สตง.ตั้งหลายสิบตึกที่กรุงเทพมหานครที่ปริมณฑล เค้าไม่พังทลายเหมือนตึกสตง. เพราะพอที่จะรับน้ำหนักได้ ไม่ใช่ไม่โกงกินคอร์รัปชั่นนะ แต่เค้าโกงกินคอร์รัปชั่นน้อยพอที่จะรับแผ่นดินไหวจากมัณฑะเลย์ประเทศพม่า ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ประเทศพม่าห่างไกลกันตั้งนับพันกิโล

นี้ให้เรามองเห็นในแง่มุมความไม่ถูกต้องน่ะ ชีวิตที่เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิตมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้แหละ

เราทั้งหลายถึงต้องเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร รู้จักความคิดรู้จักอารมณ์เหมือนท่านพระอาจารย์ลี ธัมมธโร สมุทรปราการ ท่านรู้จักความคิดการปรุงแต่งของตัวเอง

เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ชีวิตของเราทั้งหลายมันก็ต้องพังทลาย เพราะมันไม่ถูกต้อง มันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง. นี้แหละ

 

ตึก สตง.ที่อยู่กรุงเทพมหานครอยู่เมืองหลวงอยู่เมืองกรุง เป็นศูนย์รวมของประเทศ เหมือนสมองเป็นศูนย์รวมของร่างกาย เหมือนหัวใจเป็นศูนย์รวมของสรีระร่างกาย

 

สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่บริหารประเทศ บริหารแผ่นดินไม่เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เอาแต่ความรู้เอาแต่วิทยาศาสตร์เอาแต่ตัวเอาแต่ตน ไปแก้แต่สิ่งภายนอก ไม่ได้แก้ตัวเองไปพร้อม ๆ กัน

 

การพัฒนาวิทยาศาสตร์มันต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันมันถึงถูกต้องนะ พัฒนาทั้งภายนอกภายในด้วยความรู้ความเข้าใจให้ครบวงจร อริยมรรคองค์แปดถึงเป็นความรู้ความเข้าใจ เพื่อการประพฤติการปฏิบัติมันจะได้สมบูรณ์ สมบูรณ์ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพด้วยความถูกต้อง

 

มันต้องรู้ธรรมรู้ปัจจุบันธรรม รู้ธรรมธรรมนูญน่ะ ถ้าเราไปจัดการแต่สิ่งภายนอก เราไม่ได้จัดการตัวเองมันก็ต้องพังทลายเหมือนตึก สตง.นี้นะ

 

การบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่น มันต้องรู้เข้าใจแล้วมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์

 

ถ้าเรามีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติมันก็ไม่มีความทุกข์อยู่แล้ว ด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

เราต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติ ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพ เราต้องเน้นมาที่ตัวเราในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองให้มันสมบูรณ์ เราทั้งหลายจะไม่ได้พังทลายเหมือนตึก สตง.

 

ถ้าใครมีตัวมีตนบุคคลนั้นคือทุจริตนะ เราทั้งหลายจะได้รู้ว่าทุจริตนั้นคือตัวตนน่ะ ใครเอาตัวตนนำชีวิตบุคคลนั้นคือบุคคลที่ทุจริต เราต้องรู้จักธรรมรู้จักธรรมนูญ ปัญหาต่าง ๆ นั้นมันอยู่ที่ทุจริตนะ

 

การที่จะบริหารตัวเองบริหารบุคคลอื่นต้องยกเลิกทุจริต ถึงจะเป็นนักบริหารตัวเองนักบริหารคนอื่นด้วยการรู้เข้าใจในการบริหารในการปฏิบัติ

 

ตำแหน่งที่เค้าแต่งให้เราเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นตำแหน่งที่ให้เรามาเสียสละ  มารับผิดชอบโฟกัสในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ใช่ตำแหน่งที่ให้พวกเราทั้งหลายมาทุจริตนะ

 

ให้ถือว่ามันเป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติมีเกียรติมีศักดิ์ศรี เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันจะมีเกียรติมีศักดิ์ศรีได้อย่างไร ถึงพวกเราทั้งหลายจะพากันใส่สูทผูกเนคไท เป็นผู้ทรงเกียรติมันก็ไม่เป็นผู้ทรงเกียรตินะ มันเป็นผู้ทรงความหลงต่างหาก ทรงความโง่ความหลงงมงายต่างหากล่ะ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะเข้าถึงบริสุทธิคุณ เข้าถึงธรรมนูญเข้าถึงรัฐธรรมนูญไม่ได้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเป็นอบายมุขอบายภูมินะ มันตกอยู่ในภพภูมิของ ๓๑ ภพภูมิ

 

ในภพภูมิของวัฏฏสงสารนี้มีอยู่ ๓๑ ภพภูมิ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะอยู่ในระนาบของ ๓๑ ภพภูมินี้แหละ

 

เค้าถึงมีศัพท์ว่าคน คนนี้หมายถึงตัวถึงตน หมายถึง ๓๑ ภพภูมินี้แหละ ภพภูมิที่เวียนว่ายตายเกิดมีทั้งหมด ๓๑ ภพภูมิ

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ประพฤติปฏิบัติ เราจะไม่ได้ย่ำต๊อกกับความหลงที่มีศัพท์ว่า “คน” คนนี้ความหมายหมายถึงความไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้น มันจะวกวนอยู่ที่เก่า มันจะเป็นผู้ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา สัมผัสกับอะไรก็ไปกับสิ่งนั้น ๆ อยู่ในภพภูมินั้น ๆ

 

เรารู้เราเข้าใจเราจะได้หยุดภพภูมินั้น ๆ ด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยความรู้ด้วยความเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเค้าเรียกว่ามันหลง มันวกวนในความหลงอย่างนั้น จิตใจวกวนอย่างนั้นมันจะไปไหนไม่ได้ มันจะเป็นได้แต่เพียงคนเป็นได้แต่เพียงความหลง หัวใจของบุคคลนั้นมันจะอยู่ในระนาบแห่งความหลงหรือว่าหัวใจบ่อนคาสิโน เอาตัวตนเป็นที่ตั้งคือหัวใจบ่อนคาสิโน หัวใจบ่อนทำลายความถูกต้อง หัวใจบ่อนความหลง

 

ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้เห็นภัยในความไม่ถูกต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารด้วยปัญญาบริสุทธิคุณ ด้วยเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ พอใจยินดีมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิตหัวใจของเราทั้งหลายจะได้หยุดอบายมุขอบายภูมิ

 

เราทั้งหลายถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายจะพากันคิดว่า ความสุขทั้งหลายได้มาจากสิ่งที่อำนวยความสุขความสะดวกความสบายด้วยการพัฒนาวิทยาศาสตร์ อันนี้จริงอันนี้ถูกต้อง ความสุขทั้งหลายมันอยู่พัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์

 

เราทั้งหลายต้องมีสัมมาทิฐิเราต้องมีความรู้ความเข้าใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ก็ต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ถ้าเราพัฒนาวิทยาศาสตร์มันก็ยังเป็นนิติบุคคลตัวตนอยู่

 

เราต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันด้วยความรู้ความเข้าใจเราทั้งหลายน่ะ ถึงเป็นการพัฒนาครบวงจรด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็จะเอาความหลงนำชีวิตเอาวิทยาศาสตร์นำชีวิต

 

เราต้องเอาทั้งวิทยาศาสตร์เอาทั้งจิตใจไปพร้อม ๆ กันนะ

 

เราอย่าไปคิดว่าประเทศสิงคโปร์นั้นน่ะประเทศเล็ก ๆ เท่าอำเภอหนึ่งของเมืองไทยก็ไม่ได้ เค้าพัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์เป็นหนึ่งของเอเชียเพราะเค้าตั้งบ่อนคาสิโน มาเก๊าส่วนหนึ่งของประเทศจีนเค้าก็รวยเพราะเค้าพัฒนาตามหลักเหตุตามหลักวิทยาศาสตร์

 

พวกเราทั้งหลายเมื่อมีปัญญาแล้วต้องรอบคอบนะ มีปัญญาแล้วต้องรอบคอบ อย่าลืมว่าชีวิตของเรามันเป็นรายรับรายจ่ายนะ เราไปจับหางงูเดี๋ยวงูมันจะมากัดเรา  งูพิษมันจะมากัดเรานะ การที่เราเอาหลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องแล้ว เราต้องมีหลักการมีอุดมการณ์แล้วก็มีอุดมธรรมนะ หลักการอุดมการณ์มันดีแล้วถูกต้องหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์น่ะ แต่ต้องไม่ทิ้งอุดมธรรมนะ

 

เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเอาความรู้สึกที่เอาตัวเป็นที่ตั้งมันเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์แล้วอุดมด้วยความหลงนะ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราเอาทั้งหลักการอุดมการณ์แล้วก็ยกเลิกอุดมหลงนะ

 

ให้เอาอุดมธรรมให้เอาธรรมเอาธรรมนูญมันถึงจะสมบูรณ์เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี เราอยากได้มากมันก็ไม่มาก เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อย เราต้องรู้จักความพอดีเข้าสู่ความสมดุลทั้งรายรับรายจ่าย

 

เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอเข้าถึงความพอดี การประสูติของพระพุทธเจ้าถึงเป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็เป็นวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ

 

เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้รู้หลักการ รู้อุดมการณ์แล้วก็อุดมธรรม เราอยู่ที่ไหนก็พากันปฏิบัติได้ เมื่อเรามีลมปราณมีอายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ มีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้

 

ให้รู้เข้าใจมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

อย่าไปคิดด้วยอวิชชาความหลงเอาแต่หลักการอุดมการณ์เอาแต่วิทยาศาสตร์น่ะ ถ้าเรารวย รวยความหลงมันไม่ดีนะ รวยความโง่หลงงมงายเรียกว่ารวยไสยศาสตร์มันไม่ดีนะ ไม่ใช่ความดีมันไม่ใช่บารมีไม่ใช่ปัญญาบริสุทธิคุณนะ มันเป็นความหลงนะ

 

ให้เรารู้เข้าใจ อย่าไปคิดว่าทำไมเราโง่ไปตั้งหลายปี ประเทศสิงคโปร์ประเทศเค้าเล็กนิดเดียวเค้าตั้งบ่อนคาสิโนเค้ารวยกัน ประเทศมาเก๊าก็เหมือนกันเค้ารวยกัน

 

ประเทศสิงคโปร์เค้ามีหลักเหตุผลมีหลักวิทยาศาสตร์น่ะ เค้าคิดว่าประเทศสิงคโปร์มันเล็กนิดเดียว จะทำเกษตรกรรมก็ไม่ได้ จะทำอุตสาหกรรมก็ไม่ได้ ถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโนด้วยหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์ก็รวยได้ เพราะคนในนี้โลกนี้    มันคนมีความไม่ฉลาด เอาความหลงนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิตมันมีมาก ถ้าเราตั้งบ่อนคาสิโน เราสามารถรวยได้ทางวัตถุ ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เค้าถึงพากันตั้งบ่อนคาสิโน จะเรียกบ่อนคาสิโนก็ได้หรือเรียกบ่อนแห่งความหลงก็ได้ มันคืออันเดียวกัน

 

ให้เรารู้เข้าใจ ประเทศไทยเราแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลเราต้องรู้เข้าใจว่า เราทั้งหลายอย่ายินดีในการเอาความหลงนำชีวิต อย่าไปยินดีในการเอาบ่อนคาสิโน นำชีวิตนะ

 

พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ศาสดาทุกศาสนาเค้ามายกเลิกบ่อนคาสิโน มายกเลิกอบายมุขอบายภูมิ ให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเรารู้เข้าใจ ทุกอย่างน่ะไม่มีปัญหา ปัญหาอยู่ที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจนะ

 

 

ท่านพุทธทาสภิกขุเป็นคนดีประกอบด้วยปัญญา เป็นนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่สมัยใหม่ พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ พัฒนาทั้งวัตถุ เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เป็นพระดีของประเทศของโลกน่ะ ท่านถึงพูดจากใจจากพระนิพพานว่า

เป็นมนุษย์  เป็นได้  เพราะใจสูง เหมือนหนึ่งยูง  มีดี  ที่แววขน

ถ้าใจต่ำ  เป็นได้  แต่เพียงคน ย่อมเสียที  ที่ตน  ได้เกิดมา

ใจสะอาด  ใจสว่าง  ใจสงบ ถ้ามีครบ  ควรเรียก  มนุสสา

เพราะทำถูก  พูดถูก  ทุกเวลา          เปรมปรีดา  คืนวัน  ศุขสันติ์จริง

ใจสกปรก  มืดมัว  และร้อนเร่า         ใครมีเข้า ควรเรียก  ว่าผีสิง

เพราะพูดผิด  ทำผิด  จิตประวิง แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย

คิดดูเถิด  ถ้าใคร  ไม่อยากตก          จงรีบยก  ใจตน รีบขวนขวาย

ให้ใจสูง  เสียได้  ก่อนตัวตาย ก็สมหมาย  ที่เกิดมา อย่าเชือน เอย ฯ

 

……………………………………..

 

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันจันทร์ที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

 

Visitors: 94,420