๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๒ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘  ศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ศาสนาอิสลาม

 

ความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เราทุกคนต้องพากันรู้พากันเข้าใจ ต้องเอาเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นทางสายกลาง ให้เราพากันรู้เรื่องกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรม เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม เพราะทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับกรรม กรรมทั้งกายวาจากิริยามารยาทมารวมลงที่ใจ นักวิทยาศาสตร์ก็ต้องเอาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน ผู้ที่เอาเรื่องจิตเรื่องใจก็ต้องเอาวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน

 

ให้เรารู้ให้เราเข้าใจเพราะอันนี้เป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ไม่ปฏิบัติอย่างนี้มันจะไม่เป็นทางสายกลางระหว่างวิทยาศาสตร์กับเรื่องจิตเรื่องใจ การดำเนินชีวิตต้องเอาทั้งทางวิทยาศาสตร์เอาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราให้มากมันก็ไม่มากก็เท่าเก่า เราอยากให้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่า

 

มนุษย์เราต้องรู้อริยสัจสี่ ถ้าไม่รู้อริยสัจสี่นั้นจะมีทุกข์ทั้งทางกาย มีทุกข์ทั้งทางใจ การพัฒนาวิทยาศาสตร์ที่พัฒนากายเป็นเพียงการเยียวยาเรื่องของความทุกข์ทางกาย ผู้ที่เกิดมาในโลกนี้ต้องเดินทางสายกลางระหว่างวิทยาศาสตร์ระหว่างจิตใจต้องไปพร้อมกัน คนทั้งโลกนี้ต้องทำอย่างนี้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสากล มันเป็นความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์

 

คำว่าชาติก็หมายถึงความเกิด เหตุปัจจัยของความเกิด ศาสนาหมายถึงธรรมะ ธรรมะที่บริสุทธิ ธรรมะที่เป็นประภัสสร

 

เราต้องรู้ความบริสุทธิ์ ความเป็นประภัสสร เรารู้เข้าใจสิ่งที่สัญจรไปมาทั้งภายนอกภายในนี้เป็นเพียงอาคันตุกะ เช่น ร่างกายของเรานี้ ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ สัญจรไปมาเพียงชั่วครู่ชั่วคราวตามอายุขัยของมนุษย์ ตามอายุขัยของสรรพสัตว์ทั้งหลาย

 

เริ่มต้นทางร่างกาย การแสวงหาปัจจัยทั้ง ๔ ที่อยู่ที่อาศัย ธุรกิจหน้าที่การงานเพียงเยียวยาสรีระร่างกายเพื่อหมดทุกข์เพื่อบรรเทาทุกข์ เราต้องรู้เข้าใจ เพราะเหตุผลว่า สิ่งภายในภายนอก

 

ถ้าเราไม่เข้าใจก็จะเป็นเหมือนคนประเทศกัมพูชา ประเทศไทยให้ที่อยู่ที่อาศัยอพยพมาจากสู้รบแย่งชิงอำนาจในการปกครอง มาอยู่นาน ๆ หลายปีก็คิดว่าที่อยู่ที่อาศัยนั้นเป็นของประชาชนคนประเทศกัมพูชา

 

เราต้องรู้เข้าใจ เรามีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เรามีความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นนิติบุคคลตัวตนของเรา ที่ท่านพุทธทาสภิกขุท่านเทศน์ มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกู เราต้องรู้เข้าใจว่าธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมา เป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจนี้จะมีแต่ความทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอจากทุกข์ไม่มีเลย เพราะความไม่สงบ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ที่เป็นสงครามอยู่ในตัวของเราเอง

 

พระอรหันต์ขีณาสพทุกท่าน ท่านเข้าใจในเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย ในเรื่องอริยสัจสี่ ว่าธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ ได้สัญจรไปมาเท่านั้น เราทั้งหลายต้องพากันมารู้มาเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะเสียความเป็นประภัสสรนะ ประภัสสรคือความสงบ ไม่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพในสิ่งต่าง ๆ เราจะได้รู้เข้าใจว่าเราเกิดมาทำไม มาเรียนหนังสือทำไม ไปทำงานทำไม เป็นข้าราชเป็นนักการเมืองทำไม เป็นพระศาสนา เป็นนักบวชทำไม ถ้าเราไม่เข้าใจระหว่างเรื่องวิทยาศาสตร์ ระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจ ชีวิตของเราก็ย่อมพังทลายเหมือนตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย เพราะไปเอาแต่ตัวเอาแต่ตน เอาแต่วิทยาศาสตร์ เอาแต่เรื่องปากเรื่องท้อง เรื่องที่อยู่ที่อาศัย ลาภยศสรรเสริญ มันยังไม่เพียงพอนะ

 

เราต้องเอาเรื่องจิตเรื่องไปพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นทางสายกลางระหว่างใจกับวัตถุ เราทั้งหลายจะได้พากันรู้อริยสัจสี่ รู้ความจริงของความเป็นจริง จะได้เอาทั้งทางวิทยาศาสตร์เอาทั้งทางใจไปพร้อม ๆ กัน เน้นที่ตัวของเราเอง เพราะอดีตทั้งหมดก็มารวมกันที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่ยังไปไม่ถึงก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้เอง ถ้าปัจจุบันเราเอาทั้งใจเอาทั้งวิทยาศาสตร์ก็จะเกิดความสงบเกิดความพอเพียงเพียงพอ

 

 

พูดถึงความดับทุกข์นี้ ความดับทุกข์อยู่ที่เรามีปัญญาสัมมาทิฏฐิเพื่อพัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน

 

เราเป็นคนหลง เป็นคนมิจฉาทิฏฐิ เป็นการเอาความผิดนำชีวิต เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต ถ้าเราเอาตั้งแต่ทางวัตถุเอาตั้งแต่วิทยาศาสตร์ ไม่เอาจิตเอาใจไปพร้อม ๆ กัน นี้คือความผิดนะ

 

คุณสมบัติของผู้ดีอยู่ที่เราเอาทางวิทยาศาสตร์ เอาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน นี้เป็นทางสายกลางให้เราเข้าใจ เราต้องมีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เพื่อเป็นธรรมนูญชีวิต ประชาธิปไตยก็ต้องปรับเข้าหาธรรมนูญ สังคมนิยมก็ต้องปรับเข้าหาธรรมนูญ เพื่อให้สมบูรณ์ระหว่างจิตใจกับวิทยาศาสตร์

 

เราทั้งหลายให้พากันมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องรู้อริยสัจสี่อย่างนี้ เราทุกคนจะเอาความรู้สึกนี้ไม่ได้ ต้องเอาธรรมนูญ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลาย ต้องรู้จักสภาวธรรม สภาวธรรมย่อมมีผัสสะ ผัสสะทั้งภายนอกภายใน เพราะเรามีลมปราณอยู่ ก็ย่อมมีผัสสะจนกว่าเราจะหมดอายุขัย

 

ให้เรารู้ให้เข้าใจ สิ่งที่สัมผัสนั้นจะได้จบลงเพียงผัสสะ ไม่ให้เกิดเวทนาทางใจ ให้เป็นเวทนารับรู้ทางกายก็เพียงพอ เพราะร่างกายเค้าเป็นประภัสสร เค้ามีความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากเค้าเป็นประภัสสร เราต้องเข้าใจสภาวธรรมของกายว่านี้เป็นประภัสสร เราทั้งหลายจะได้รู้เรื่องกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรม

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงส่งพระอรหันต์ขีณาสพ ผู้หมดกิเลสสิ้นอาสวะแล้วไปเผยแผ่ ไปบอกธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ให้หมู่มวลมนุษย์เข้าใจในเรื่องอริยสัจสี่ พัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ พัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน จะไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต ไม่ได้เอาความหลงนำชีวิต มีความรู้แจ้งทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง เพื่อจะไม่ให้ธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ นั้นครอบงำสติปัญญาของเรา

 

เราทั้งหลายให้รู้เข้าใจถึงความพอเพียงเพียงพอ ถึงความพอดี มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่มีปิติไม่มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติเราก็มีความทุกข์ เราก็เป็นโรคซึมเศร้าทุกคนเอาความหลงนำชีวิต เอานิติบุคคลตัวตนนำชีวิต ย่อมเป็นโรคซึมเศร้าเหมือนกันหมดทุกคน

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่า ความไม่เข้าใจนี้มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไปนอกจากทุกข์ไม่มีเลยนะ เราต้องขอบใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้บำเพ็ญพุทธบารมีหลายล้านชาติ หลายอสงไขย มาบอกอริยสัจสี่ มาบอกความจริงในเรื่องวิทยาศาสตร์ในเรื่องใจต้องไปพร้อม ๆ กันเพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ

 

ธรรมะคำสั่งสอนมีทั้งคำสั่งมีทั้งคำสอน เป็นกรณียกิจ กิจที่ควรทำ และกิจที่ไม่ควรทำ ผู้ปฏิบัติธรรมถึงไม่เอาความรู้สึกเอาสัญชาตญาณ ต้องรู้เข้าใจในเรื่องสัญชาตญาณที่มันเป็นนิติบุคคล เพื่อเราจะได้ก้าวไปด้วยการประพฤติการปฏิบัติ

 

การประพฤติการปฏิบัติเรารู้เข้าใจเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าความรู้ไม่คู่กับการประพฤติการปฏิบัติมันก็ไปไม่ได้ เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจ ธรรมะเป็นสิ่งที่ทวนกระแส ปกติน่ะน้ำมันไหลลงที่ต่ำจากฟ้าจากลงสู่ภูเขา จากภูเขาลงสู่ที่ราบ ลงสู่ลำห้วยทะเลมหาสมุทร ธรรมชาติที่เป็นนิติบุคคลตัวตนมันก็จะไหลลงในที่ต่ำ ที่เป็นอบายมุขเป็นอบายภูมิ

 

เราต้องรู้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจเราก็จะไปตามกระแส เราไม่รู้ไม่เข้าใจเราเห็นรูปก็ตามไป ได้ยินเสียงก็ตามไป ได้กลิ่นก็ตามไป ได้รสก็ตามไป ความคิดความตรึกอะไรต่าง ๆ นี้ก็ตามไป สิ่งที่ตามไปนั้นเรียกว่าไปตามกระแส ธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่ทวนกระแสถึงเป็นความสงบเป็นปัญญา เพื่อจะเป็นความว่างเข้าถึงความเป็นอนัตตา เราทั้งหลายจะได้รู้จักเรื่องเวียนว่ายตายเกิด เราทั้งหลายจะได้รู้จักพระนิพพาน เพราะตัวตนนั้นคือความไม่รู้ไม่เข้าใจ ตัวตนนั้นคือความปรุงแต่ง ความปรุงแต่งนั้นเป็นความไม่สงบ เป็นการรบ เป็นสงคราม สงครามในตัวเอง สงครามในธาตุสี่ขันธ์ห้าอายตนะหกก็ยังไม่เพียงพอ ยังเป็นสงครามกับนิติบุคคลตัวตนสิ่งแวดล้อม ความสงบมันเป็นสงคราม ประเทศไหนมีการทำสงคราม ประเทศนั้นย่อมหยุดชะงักในการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ในการพัฒนาทางวัตถุ เพราะเหตุผลว่าประเทศนั้นมีสงครามระหว่างประเทศ การพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจก็หยุดชะงัก

 

การที่เรารู้อริยสัจสี่จึงเป็นคุณสมบัติของผู้ดี เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ ปฏิบัติสมควร เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี เรารู้เข้าใจ

 

 เราคิดดูดี ๆ พระโมคคัลาสารีระพระอัครรสาวกฝ่ายซ้ายฝ่ายขวา ได้ฟังพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่กี่ครั้งความรู้ความเข้าใจต้องเอาไปใช้เอาไปปฏิบัติ เพื่อจะได้เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงบอกให้หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายไม่ให้ประมาท ไม่ให้หลง ไม่ให้เพลิดเพลิน เราจะไปประมาทไม่ได้ ไปหลงเพลิดเพลินไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงบอกให้พวกเรารู้ว่า เราอย่าไปหลงตัวหลงตน อย่าลืมตัวลืมตน ความสงบเราก็ต้องเสียสละ เรามีปัญญามากเราก็ต้องสงบถึงจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ความสงบและปัญญานี้มันจะโอเค มันจะไม่มีสงคราม รู้เข้าใจว่าความปรุงแต่งนี้คือสงครามนะ การมาสงบระงับสังขารถึงเป็นความดับทุกข์อย่างยิ่ง

 

เราต้องรู้เข้าใจในหลักการอุดมการณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อเราจะได้ทวนกระแส ไม่ตามกระแส สติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ ความสงบและปัญญานี้มันจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ จะเข้าถึงความพอดี ถ้าเรามีความสงบเรามีปัญญาถึงจะหยุดความปรุงแต่งได้ หยุดวัฏฏสงสารได้ เราจะได้รู้จักวัฏฏสงสารมันหมุนไปอย่างนี้ เราต้องขอบใจนะ ขอบใจ ขอบพระคุณ มีแต่คุณไม่มีโทษในพระศาสนาเพื่อเราจะได้พัฒนาใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ที่เป็นวัตถุไปพร้อม ๆ กัน

 

เราทั้งหลายต้องเอาความดีและปัญญา เอาสมถะและวิปัสสนาไปพร้อมกัน เพื่อเป็นคุณธรรมเป็นสมบัติของผู้ดี ของคนดี

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงตรัสว่าเราต้องทวนกระแส ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อนิติบุคคลตัวตน ไปตามกระแสไปทางที่ต่ำทางอบายมุขอบายภูมิ ความขยันหมั่นเพียร การทำความเพียรพยายามหยุดเรื่องกรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่ หนี้เก่าเราแก้ได้ด้วยความรู้ความเข้าใจด้วยรู้ธรรมสภาวธรรม

 

เราทั้งหลายต้องยอมรับกรรม ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากนี้คือกรรมเก่า เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องยอมรับกรรม ให้รู้เข้าใจ มันอยากจะแก่ก็ช่างหัวเผือกหัวมัน มันจะแก่จะตายก็ช่างหัวเผือกหัวมัน มันจะเป็นอะไรก็ช่างหัวเผือกหัวมันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ท่านให้คติธรรมเพื่อเราจะได้รู้อริยสัจสี่เพื่อเราจะได้รู้จักกระแส เราจะได้ทวนกระแส เค้าถึงมีการทดน้ำทำเขื่อน ความรู้ความเข้าใจเอาพระธรรมพระวินัยเปรียบเสมือนเราทดน้ำไว้ เราทำเขื่อนไว้ เป็นเบรกเป็นเซฟตี้ เพื่อจะเอาน้ำมาใช้งาน เพราะว่าน้ำนั้นมีเฉพาะฤดูฝน ฤดูแล้งน้ำไม่มี เราทั้งหลายถึงพากันทำเขื่อน ความรู้ความเข้าใจนี้ไม่ไปตามกระแสมันจะเป็นทดเป็นเขื่อนเพื่อเอามาดื่มเอามาบริโภคใช้สอย เอามาทำเกษตรกรรม อุตสาหกรรม เราต้องรู้เข้าใจ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่า ธรรมเหล่าใดเอาความรู้สึกนำชีวิตไปตามกระแสนี้ที่อารมณ์เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาเป็นไบโพล่ามันเป็นไปตามกระแสนะ เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเสียสละ ไม่ปล่อยตัวเองไปตามกระแส พระธรรมพระวินัยถึงเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม เราเป็นข้าราชการนักการเมือง เป็นพระศาสนานี้ต้องอาศัยภาษีอากรจากประชาชนทุกคนที่อยู่ในประเทศ คนต่างประเทศมาประเทศของเราก็ต้องเสียภาษีอากร ข้าราชการนักการเมืองต้องรู้เข้าใจ เงินเดือนของเราคือภาษีอากรของประชาชนของมหาชนนะ

 

เราทั้งหลายต้องพากันเสียสละ การเสียสละนั้นคือการทวนกระแส เราดูตัวอย่างแบบอย่างที่ดีที่เป็นคุณสมบัติของผู้ดี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเสียสละ วันหนึ่งคืนหนึ่งท่านบรรทมพักผ่อนเสียสละให้สรีระร่างกาย ๔ ชั่วโมง เสียสละให้สรรพสัตว์ทั้งหลายวันละ ๒๐ ชั่วโมง การเสียสละนี้เป็นความยั่งยืนเป็นอมตะ อมตะก็ได้แก่ความสงบและปัญญาที่เป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา เป็นความยั่งยืนเป็นอมตะ ตัวตนนี้ไม่ใช่อมตะนะ ตัวตนนั้นคือความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากไม่ใช่อมตะ

 

การมาตรัสรู้เพื่อบำเพ็ญพุทธบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงมาบำเพ็ญบารมี เอาความดีและปัญญาเพื่อมาตรัสรู้ในหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลาย เพราะอายุขัยของมนุษย์นี้พอดี ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไปพอที่จะได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ ๒๐ ทัศ ๓๐ ทัศ อย่างต้นอย่างกลางอย่างละเอียด คำว่าบารมีเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นสิ่งที่ทวนกระแส รู้อริยสัจสี่ในเรื่องทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ คำว่ามีคือความพอดี ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป พอเพียงเพียงพอ คำว่าจนหรือว่าความยากจนนี้คือเราทั้งหลายไม่รู้อริยสัจสี่ เราถึงมีความยากจน ความยากจนนั้นคือความไม่เพียงพอพอเพียง คือความไม่โอเค ความไม่สงบ ความไม่สงบกับความไม่เคารพในสัจธรรมตามความเป็นจริง

 

ให้เรารู้เข้าใจนะ นี้มันคือสงคราม ความไม่เคารพมันก็ต้องไม่สงบ การที่มีนิติบุคคลตัวตนคือความไม่เคารพในสิทธิเสรีภาพของความเป็นจริงนะ ความสงบความเคารพความซื่อสัตย์ คือขบวนการเดียวกันให้เรารู้เข้าใจ นี้มันคือกระบวนการเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เราทั้งหลายต้องไม่เพลิดเพลินไม่ประมาท เพราะความประมาทคือความผิดพลาด ความผิดพลาดที่เราเอาความหลงนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต การเกิดมาเป็นมนุษย์ของเราก็ย่อมพังทลาย เสียหายพังทลายเหมือนตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเมืองไทยประเทศไทย

 

เมื่อเราได้รับสิทธิพิเศษที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว เราทุกคนต้องตั้งใจบำเพ็ญบารมีทั้งความดีและปัญญาเพื่อเป็นหนึ่งเดียว มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้ทำหน้าที่ของข้าราชการนักการเมืองของนักบวช ชีวิตของเราถึงจะไม่เสียหายจะไม่ได้พังทลาย จะไม่ได้พังทลายเหมือนตึก สตง.

 

เราต้องรู้เข้าใจนะ ให้เราเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาท เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ทุกอย่างคือกรรมคือกฎแห่งกรรมผลของกรรม เค้าถึงเรียกกรรมฐาน มีกรรมเป็นพื้นเป็นฐาน ถ้าเราคิดดีพูดดีกิริยามารยาทดีอาชีพดีมันเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัยทั้งความรู้กับการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องไม่ประมาท เพื่อจะได้ทำหน้าที่สมบูรณ์ทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ

 

เราต้องทวนกระแสอย่าไปจมอยู่ในความรู้สึก อย่าไปจมในตัวในตน ต้องทวนกระแส ต้องทำความเพียร เพื่อให้ปฏิปทาได้ติดต่อต่อเนื่อง การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องกันจะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นอนัตตาเป็นประภัสสร เป็นความสงบและปัญญา อย่างเช่นไก่ฟักไข่ก็ต้องใช้เวลา ๓ อาทิตย์ถึงจะออกเป็นตัวลูกไก่ จะฟักด้วยแม่ไก่หรือฟักด้วยไฟฟ้าก็ใช้เวลา ๓ อาทิตย์เช่นเดียวกัน ศีลสมาธิปัญญาถึงเป็นอุปกรณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องเห็นคุณเห็นประโยชน์ในศีลสมาธิปัญญานะ เพราะอันนี้เป็นยานที่ให้เราออกจากวัฏฏสงสารด้วยความดีด้วยบารมีที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นกระบวนการของกระแสปฏิจจสมุปบาทฝ่ายดีที่ประกอบด้วยปัญญา เพื่อเป็นอนัตตา เป็นพระนิพพาน

 

เราทั้งหลายถึงต้องไม่ประมาท ปรับเข้าหาพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตร คำว่าวัดนี้หมายถึงเครื่องวัด เค้าจะสร้างบ้านสร้างเรือนสร้างประเทศชาติก็ต้องมีเครื่องวัด วัดระยะใกล้ระยะไกล ระยะสูงระยะต่ำ วัดน้ำหนัก วัดหนักวัดเบาอันนี้เค้าเรียกว่าวัด วัดการประพฤติการปฏิบัติ เราเป็นใครอยู่ที่ไหนที่มีธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ อายตนะภายนอกก็ ๖ เราก็ปฏิบัติที่นั่นไม่เลือกกาลไม่เลือกเวลาให้รู้เข้าใจ ถ้าเรารู้เข้าใจ เราก็จะรู้เรื่องข้อวัตรข้อปฏิบัติ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ไม่ตั้งอยู่ในความหลงความเพลิดเพลิน หลงงมงายอยู่ในไสยศาสตร์ ศาสตร์แห่งความหลง

 

เราพากันมาเสียสละวัฏฏสงสารที่ท่องเที่ยวมานาน ถึงมันจะอร่อยจะแซบจะลำจะนัวจะหรอยก็ช่างหัวเผือกช่างหัวมัน ปฏิบัติให้ปฏิปทาติดต่อต่อเนื่อง วันหนึ่งคืนหนึ่งมนุษย์เรานอนพักผ่อน ถ้าหลับสนิท ๖ ชั่วโมงก็เพียงพอ

 

เวลาทำงานเรามีความสุขในการทำงาน ถ้านิติบุคคลตัวตน บุคคลนั้นจะไม่มีความสุขในการทำงานนะ คิดว่าทำงานเพราะจำเป็น เพราะเรามีธาตุทั้ง ๔ มีขันธ์ทั้ง ๕ มีอายตนะทั้ง ๖ เรามีความจำเป็นที่จะต้องทำงาน อันนี้เรียกว่าไม่รู้อริยสัจสี่ เราต้องรู้เข้าใจว่า มนุษย์เราเป็นผู้ที่มาสร้างบารมีเอาความดีและปัญญาก้าวไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา

 

เราต้องเข้าใจเรื่องธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ มันจะเหนื่อยก็ช่างมัน มันจะยากลำบากก็ช่างหัวมัน มันจะแก่เจ็บตายพลัดพรากก็ช่างหัวมัน เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องขอบใจสิ่งเหล่านี้ต่างหากที่มาเป็นโจทย์ เพื่อให้เราได้ตอบ ตอบด้วยความรู้ความเข้าใจ ตอบด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา ตอบด้วยอนัตตาไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ด้วยพระนิพพาน พระนิพพานคือบ้านของเรานะ ไม่ใช่ความหลงไม่ใช่ตัวตนเป็นบ้านของเรา เพราะธรรมชาติเดิมแท้เป็นประภัสสร สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะเท่านั้น ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราย่อมเอาความผิดนำชีวิต เอาความหลงนำชีวิต เป็นความไม่อิ่มไม่เต็มไม่พอไม่เพียงพอ เป็นคนรวยก็มีความทุกข์เพราะไม่รู้จักพอ เป็นคนจนก็ทุกข์เพราะเอานิติบุคคลตัวตนนำชีวิตมันก็ต้องจนทั้งกายจนทั้งใจ

 

ให้เรารู้ให้เราเข้าใจนะ เราอยู่เมืองกรุงเมืองหลวงหรือปริมณฑลก็ต้องนอนอย่างน้อย ๖ ชั่วโมง อย่างมากก็ ๘ ชั่วโมง เพราะที่นั่นค่าพีเอ็มไม่ดี เพราะศูนย์รวมการบริหารประเทศไปรวมกันอยู่ที่นั่น ประชาชนก็มากรถเรือเครื่องบินก็มาก เราต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ

 

เราต้องเอาใจใส่ในธรรมเพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม การทำงานของเราเอาทั้งทางวิทยาศาสตร์ เอาทั้งใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นทางสายกลาง เราจะได้ทั้งทางวิทยาศาสตร์ทั้งทางจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เราอย่าไปแยกเรื่องวิทยาศาสตร์ทางวัตถุ อย่าไปแยกทางจิตใจ ต้องไปพร้อม ๆ กัน

 

โลกนี้ถึงมีหลักการในการประพฤติการปฏิบัติให้รู้เข้าใจ วันจันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เป็นวันทำการทำงาน มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำงาน เพื่อให้กายวาจากิริยามารยาทอาชีพที่เป็นอริยมรรคให้สมบูรณ์ ให้เค้าเข้าถึงความเต็ม เต็ม เต็ม เต็ม เต็ม

 

เราคิดดูดี ๆ นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าถึงความเต็ม เต็ม เต็มเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอท่านมาจุติก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ประสูติก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็วันเพ็ฐ ๑๕ ค่ำ แสดงธัมมจักกัปตตนสูตรเพื่อให้หมู่มวลมนุษย์พัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันก็วันเพ็ฐ ๑๕ ค่ำ บอกกล่าวมหาชนทั้งหลายว่าอีก ๓ เดือนข้างหน้าพระตถาคตจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำนี้หมายถึงความพอเพียงเพียงพอ หมายถึงความเต็ม มันเป็นความพอดีมันเป็นความสงบและปัญญา ความสงบและปัญญานี้มันจะเป็นความโอเคเป็นความสงบและปัญญา มันจะหยุดความปรุงแต่งได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ รู้อริยสัจสี่คืนสู่ธรรมชาติให้เป็นประภัสสร

 

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงบอกหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายว่า เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด พรหมจรรย์นี้ก็หมายถึงไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน มันเป็นความสงบและปัญญา เราทำไปปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องไป เราอย่าไปอยากอย่าไปต้องการ ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ เช่น มีความสุขในการเรียนหนังสือ เราก็ต้องมีความสุขมีปิติในการเรียนหนังสือ เราไปทำงานเราก็ต้องมีปิติมีความสุขในการทำงาน เราเป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวชเราก็ต้องมีปิติมีความสุขในการทำหน้าที่ ธรรมะที่บริสุทธิคือหน้าที่ มีความสุขในการทำหน้าที่ที่ท่านพุทธทาสภิกขุท่านบรรยายไว้ว่าธรรมะคือหน้าที่ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำหน้าที่ ถ้าเรามีปิติมีความสุขเราก็ได้ทั้งเรื่องจิตเรื่องใจได้ทั้งทางวัตถุทางวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน

 

 เราทั้งหลายไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่อยากทำงานเอาสัญชาตญาณนำชีวิต ถ้าเราไม่ทำงานมันจะมีผลของงานได้อย่างไร ให้เข้าใจนะ เราเป็นข้าราชการเราก็ต้องเสียสละ เราเป็นนักการเมืองก็ต้องเสียสละ เป็นพระก็เสียสละ สถาบันหลักถึงเป็นชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ชาติก็คือความเกิด ศาสน์ก็คือพระศาสนา พระมหากษัตริย์ก็ได้แก่นามธรรมได้แก่ปัญญา ปัญญาสัมมาทิฏฐิ เอาทั้งเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กันเพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ

 

เราทั้งหลายต้องพากันมาเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละเราก็ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา เราต้องรู้เหตุรู้ปัจจัยอย่างนี้ ไม่อยากทำงานก็อยากได้ผลงานมันก็มีแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไปนอกจากทุกข์ไม่มีเลยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้นะ

 

วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงานเพื่อมาเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ มาเจริญสติสัมปชัญญะไหว้พระสวดมนต์นั่งสมาธิ ถ้าเราไม่สะดวกไปที่วัดเราก็ปฏิบัติอยู่ที่บ้านของเรา รู้เข้าใจข้อวัตรข้อปฏิบัติ ที่เราคิดดี ๆ ไม่ตรึกในกาม ไม่ตรึกในพยาบาท พิจารณาสรีระร่างกายแยกสรีระร่างกายออกเป็นสัดเป็นส่วน ร่างกายของเรานี้มี ๓๒ ชิ้นส่วน ให้แยกออกให้มันเป็นชิ้นเป็นส่วน แล้วก็เอามาประกอบกันเข้าใหม่ให้ครบเป็นดินน้ำลมไฟ เป็นธาตุทั้ง ๔ เป็นขันธ์ทัง ๕ เป็นอายตนะทั้ง ๖

 

เรามาระลึกถึงความเป็นธรรมดา ว่าเรามีความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากจากไปเป็นเรื่องธรรมชาติมันเป็นเรื่องปกติเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ เป็นเรื่องธรรมดานะ ผู้ที่จะบรรพชาอุปสมบท พระอุปัชฌาย์ถึงได้บอกกรรมฐานในการบรรพชาอุปสมบทที่ท่านเปล่งวาจาว่า เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา หมายถึงเอาออกไปเป็นชิ้นเป็นส่วนแล้วเอากลับมาประกอบ ท่านพูดเป็นตัวอย่างแบบอย่างเพียง ๕ อย่างจะได้ไม่เสียเวลาในการบรรพชาอุปสมบท

 

หลักการในการประพฤติการปฏิบัติครั้งพุทธกาลท่านเอาวัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ เป็นวันพระน้อย วันพระใหญ่ วัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ เดือนหนึ่งก็มี ๘ วัน ปัจจุบันนี้เพราะความสมัครสมานสามัคคีของโลก เรามีหลักการเอาวันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงานเพื่อพัฒนาจิตใจเพื่อเกิดความสงบและปัญญา เพื่อให้เกิดเหตุเกิดผล เพราะทุกอย่างนั้นคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม

 

เราต้องรู้เข้าใจนะ ถ้าไม่รู้เข้าใจ คิดว่าวันเสาร์วันอาทิตย์หยุดให้เราซักเสื้อผ้า ทำความสะอาดบ้าน ห้องน้ำห้องสุขา เดี๋ยวนี้น่ะความสะดวกความสบายทางวิทยาศาสตร์ซักผ้าก็ซักด้วยเครื่องซักผ้า ตากก็อบให้แห้งด้วยไฟฟ้า ทางวิทยาศาสตร์มันก็ดีอย่างนี้แหละ ถึงต้องเอาทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นวัตถุเอาทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน คนรุ่นใหม่สมัยใหม่เข้าใจนะ จะไม่ได้เอาแต่ทางวิทยาศาสตร์ที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน ต้องเอาทั้งใจทั้งวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กันเป็นทางสายกลาง

 

ทุกชาติทุกศาสนาก็ต้องใช้หลักการเดียวกันนี้เพราะมันเป็นสากล ไม่ใช่มันจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้เฉพาะศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ถ้าเรารู้เข้ใจ เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวชก็เข้าถึงพระนิพพานด้วยความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้เข้าถึงธรรมถึงปัจจุบันธรรมเข้าถึงพระนิพพานบ้านของเรา ที่เป็นประภัสสร เพราะสิ่งที่สัญจรไปมานั้นเป็นเพียงอาคันตุกะ

 

เราทั้งหลายเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐ ต้องเอาความดีและปัญญานำชีวิต ให้เราทั้งหลายระลึกถึงโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสโอวาทสำคัญครั้งสุดท้ายไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาทจะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความสงบและปัญญา ธรรมะนั้นถึงหยุดวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจ วัฏฏสงสารความปรุงแต่งนี้เป็นความทุกข์ของเราทุกคน ต้องรู้เข้าใจด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิพร้อมทั้งการประพฤติการปฏิบัติ

 

-----------------------------

 

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันจันทร์ที่ ๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

Visitors: 99,436