๑๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ 

 

ให้ทุกท่านทุกคนพากันนั่งฟังให้สบาย ๆ ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าออกให้มีความสุขมีความสบาย สติสัมปชัญญะเป็นธรรมที่มีคุณมีอุปการะมาก ความสงบและปัญญา เป็นสิ่งที่มีคุณมีประโยชน์มาก

 

ให้พวกเรารู้เข้าใจ อดีตก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบัน อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบันนี้แล้ว เราทุกคนต้องพากันรู้พากันเข้าใจ เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เรามาเดินทางสายกลาง เอาทั้งทางเรื่องจิตเรื่องใจ เอาทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กัน ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจ เราจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม เราจะไม่ได้ไปตามผัสสะ เราเอาผัสสะนั้น เอาสิ่งแวดล้อมนั้นมาประพฤติมาปฏิบัติ

 

มาประพฤติมาปฏิบัติอย่างไร..? เราก็ยกผัสสะนั้นเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เพราะผัสสะที่มันเกิดกับเราทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ให้เราเข้าใจไว้ว่า อันนี้มันเป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น มันเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป เราต้องรู้เข้าใจว่าสิ่งเดิมแท้มันว่างเปล่า ไม่มีอะไร มันว่างเปล่า เราเข้าใจว่าเรามีตามันก็มีรูป เรามีหูก็มีเสียง เรามีจมูกก็มีกลิ่น เรามีลิ้นก็มีรส เรามีกายก็ต้องมีสัมผัส เรามีใจก็มีความรู้สึกนึกคิด

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างด้วยความรู้ความเข้าใจ เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราพากันภาวนาอย่างนี้แหละ เราจะได้รู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม ไม่ไปตามผัสสะ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราจะได้จบลงเพียงผัสสะ เราไม่ต้องไปปรุงแต่ง เพิ่มเติมหรือว่าตัดออก เราต้องให้ใจของเรามีความสงบมีปัญญา เราทั้งหลายจะได้พากันรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราทั้งหลายจะได้มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เข้าถึงความสงบและปัญญาด้วยความรู้ความเข้าใจ มันจะได้หยุดผัสสะด้วยความรู้ความเข้าใจ

 

ในชีวิตประจำวันเราต้องรู้เข้าใจอย่างนี้แหละ ให้เข้าใจเรื่องกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องผลของกรรม เราทั้งหลายจะได้จบลงที่ผัสสะด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะได้เป็นผู้ปฏิบัติดีที่ประกอบด้วยปัญญา ผู้มีปัญญาประกอบด้วยความดี ผู้มีปัญญามากก็ต้องมีความสงบมาก ผู้มีความสงบมากก็ต้องเสียสละมาก ชีวิตของเราทุกคน เราต้องรู้เข้าใจ เราพากันประพฤติปฏิบัติอย่างนี้

 

เราพากันนอนพักผ่อนให้เพียงพอ เราพากันนอนสัก ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง ผู้ใดนอนหลับยากนอน ๖-๘ ชั่วโมงอย่างนี้ก็เพียงพอ มนุษย์เราถ้ารู้เข้าใจ เรามีความสุขในปัจจุบัน ยกเลิกตัวตน มนุษย์เรามันก็จะไม่มีความทุกข์อะไร ที่มันมีความทุกข์เพราะมันไม่รู้ไม่เข้าใจ เมื่อมีความไม่รู้ไม่เข้าใจ เราก็จะเอาความอยากนำชีวิต เมื่อมีความอยากมันก็มีความไม่อยาก มันเป็นความปรุงแต่ง ไม่ใช่ความสงบและปัญญา เราต้องรู้เข้าใจ ปกติเราทุกคนก็มีพื้นฐานที่เป็นนิติบุคคลตัวตน ปกติเราก็เป็นโรคจิตโรคประสาทอยู่แล้ว เราก็ยังจะมาเอามามีมาเป็น ความคิดอย่างนี้แหละมันเป็นนิติบุคคลตัวตน ชีวิตอย่างนี้มันเป็นขั้วบวกขั้วลบให้เรารู้เข้าใจ ความปรุงแต่งทั้งหลายมันเป็นขั้วบวกขั้วลบ เราทั้งหลายถึงพากันฝึกสติสัมปชัญญะ

 

ปัจจุบันให้เรารู้เข้าใจ สติของเราก็ต้องให้ว่องไว รวดเร็ว ทันใจ ต้องรู้เรื่องขั้วบวกขั้วลบ เราทั้งหลายจะได้จบลงในปัจจุบัน จบลงที่ผัสสะ เราทั้งหลายต้องรู้จักข้อวัตรข้อปฏิบัติ วัตรก็หมายถึงคิดดี ๆ ที่ยกเลิกตัวตนนี้แหละ พูดดี ๆ ที่ยกเลิกตัวตน กิริยามารยาทดี ๆ ที่ยกเลิกตัวตน อาชีพดี ๆ ที่ยกเลิกตัวตน เราต้องพากันรู้เข้าใจ ว่าตัวตนนั้นคือความทุกข์ ตัวตนนั้นแหละคือแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไปนอกจากทุกข์ไม่มีเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้เรารู้เข้าใจ จะได้ยกทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เพราะสิ่งเหล่านี้แหละมันเป็นเพียงอาคันตุกะชั่วครู่ชั่วยามเราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ปฏิบัติได้ทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้อง ให้เรารู้เข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันเป็นข้อสอบและเป็นข้อตอบของเรา เราต้องรู้จักข้อสอบ นี้ข้อสอบกำลังออกข้อสอบออกมาเพื่อให้เราได้ตอบ เรากันคิดดูดี ๆ นะ ถ้าเราไม่มีข้อสอบเราก็ไม่ได้ตอบ เราก็ไม่ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง เราทั้งหลายถึงต้องมารู้ข้อสอบเราต้องรู้จักข้อตอบ ความรู้ถึงเป็นคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ มีทั้งข้อสอบมีทั้งข้อตอบ

 

เราทุกคนพากันทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ เพราะธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราทั้งหลายจึงต้องมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้เสียโอกาสเสียเวลาในการประพฤติการปฏิบัติ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านตรัสว่าเราต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้เสียเวลาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายอย่าพากันตั้งอยู่ในความประมาท จะทำให้เราเสียกาลเสียเวลา เราต้องรู้จักข้อสอบและตอบด้วยการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

การทำหน้าที่ ให้เรารู้เข้าใจว่าศีลคืออุปกรณ์ที่มายกเลิกตัวตน พระวินัยคืออุปกรณ์ที่มายกเลิกตัวตน สมาธิคือความตั้งมั่นในการยกเลิกตัวตน เพื่อความรู้ความเข้าใจ เราจะได้ก้าวไปในปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องรู้เข้าใจ ปัจจุบันเราต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร หิริโอตตัปปะถึงเป็นธรรมะที่มีอุปการะมาก เป็นธรรมคุ้มครองโลก เราทั้งหลายต้องมีความละลายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะได้เป็นมนุษย์ผู้ที่มีจิตใจที่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะได้เป็นเทวดาผู้ที่มีจิตใจที่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะเป็นพระพรหมผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราจะเป็นพระอริยเจ้าผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร

 

เราต้องรู้ต้องเข้าใจ เราจะได้พัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ พัฒนาทั้งทางวัตถุทางวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กันให้เป็นทางสายกลาง เราจะเอาทางวัตถุทางวิทยาศาสตร์อย่างเดียวก็ไม่ได้เพราะมันไม่สมดุล เราจะเอาแต่ทางใจอย่างเดียวก็ไม่ได้เพราะมันไม่สมดุลกัน เราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียง ธรรมะเป็นสิ่งที่รู้เข้าใจที่เป็นมรรคเป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นคู่กับโลกธรรม ๘ เป็นคู่ปรับกัน เราต้องรู้ต้องเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้เข้าใจ โลกธรรมมันจะทำลายธรรมะ ทำลายความถูกต้อง มันจะทำลายความสงบทำลายปัญญา อริยมรรคมีองค์ ๘ ถึงเป็นคู่ปรับกับโลกธรรมทั้ง ๘ ปัจจุบันเราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายต้องรู้จักข้อสอบ เราจะได้ตอบด้วยหยุด หรือว่ายกเลิก เราจะได้จบลงที่ผัสสะ ไม่ไปตามผัสสะ

 

เราต้องรู้เข้าใจ เพราะว่าธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่ทวนโลกทวนกระแส ไม่ไปตามกระแส ไม่ไปตามผัสสะ เราจะจบลงที่ผัสสะ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม  ธรรมะเป็นสิ่งที่เราต้องรู้เข้าใจ เป็นสิ่งที่เป็นความพอเพียงเพียงพอ ธรรมะเป็นความสงบและปัญญา เพราะสิ่งเหล่านี้แหละมันเป็นอนัตตาไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ  เราทั้งหลายจะได้จบลงที่ผัสสะ เป็นการเจริญสมถะกับเจริญปัญญาควบคู่กันไป เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ ต้องพากันเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ต้องตั้งใจต้องสมาทาน เพื่อเข้าสู่ภาคปฏิบัติภาคบำบัด เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ ผู้ที่หลงนั้นต้องเข้าสู่ภาคบำบัดทุก ๆ คนไม่มีใครยกเว้น ต้องเข้าสู่ภาคบำบัดให้ติดต่อต่อเนื่องกัน อย่างน้อยต้องใช้เวลา ๓ อาทิตย์ขึ้นไป การถือนิสัยถือวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสำหรับนักบวชของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้ถือนิสัยถือวินัยด้วยการสมาทานตั้งใจ ต้องใช้เวลา ๕ ปีขึ้นไป ถ้าปฏิบัติยังไม่ได้ต้องประพฤติปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องจนกว่าจะสติสัมปชัญญะที่จะสมบูรณ์

 

เราต้องรู้เข้าใจ เพราะว่าเราทุกคนอาศัยใครไม่ได้ เรื่องความคิดเราจะไปอาศัยใครได้ เรื่องคำพูดกิริยามารยาทอาชีพเราจะอาศัยใครได้ เราต้องรู้เข้าใจ ตนแลเป็นที่พึ่งของตน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่า ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อตัวเพื่อตน มันไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา มันต้องยกเลิกตัวตน ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความขี้เกียจขี้คร้านมันไม่ใช่ความสงบไม่ใช่ปัญญา เราทุกคนต้องยกเลิกความขี้เกียจขี้คร้าน เพราะธรรมะเป็นสิ่งที่ทวนความรู้สึก ทวนโลกทวนกระแส มันตรงกันข้ามเลย ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเสวยภัตตาหารนางสุชาดาแล้วก็ลอยถาดทอง แล้วอธิษฐานจิตว่าถ้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต้องให้ถาดทองนั้นทวนกระแส ไม่ไปตามกระแส กระแสนั้นเราต้องรู้เข้าใจ กระแสนั้นคือพระธรรมคือพระวินัย ยกเลิกทำอะไรตามใจเราต้องรู้เข้าใจ ถ้าเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ สุขภาพกายของเราก็ดี สุขภาพใจของเราก็ดี เราจะได้เข้าถึงความพอดีความพอเพียงเพียงพอ

 

เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ สิ่งที่มีอุปการะมากที่สุดในชีวิตของเราก็คือสติสัมปชัญญะนี้แหละ สิ่งที่จะคุ้มครองเราได้ก็คือหิริความละอายต่อบาปต่อกรรมต่อเวรต่อภัยที่จะคุ้มครองกายวาจากิริยามายาทคุ้มครองใจ เราต้องรู้เข้าใจ ว่ากายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้มันเป็นเพียงอุปกรณ์ของใจเท่านั้น ด้วยเหตุผลนี้เราต้องตั้งใจตั้งเจตนา เราต้องสมาทาน เพื่อเข้าสู่ภาคบำบัด มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะตัวตนนั้นมันบีบคั้นเรา ตัวตนมันไม่อิ่มไม่เต็มไม่เพียงพอ ด้วยเหตุผลนี้เราถึงต้องเจริญสติสัมปชัญญะ มีสติสัมปชัญญะในปัจจุบันให้มาก ๆ

 

ให้รู้ให้เข้าใจ อย่างเรากลิ้งก้อนหินขึ้นบนภูเขานี้มันยากนะ เมื่อเราปล่อยให้มันกลิ้งกลับมา ไม่มีทางหรอกที่จะเบรกมันได้ สติสัมปชัญญะเป็นสิ่งที่มีคุณมีอุปการะมาก เราต้องเจริญสติสัมปชัญญะ ให้เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบันนี้แหละ ให้เข้าใจว่า การสมาทานอันไหนไม่ดีไม่คิด อันไหนไม่ดีไม่พูด อันไหนไม่ดีไม่ทำ นี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ให้เราเอาปัจจุบันให้เกิดสติเกิดสัมปชัญญะ เราทุกคนให้เข้าใจว่า เราได้ทรัพยากรที่เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐแล้ว อายุขัยของเราทุกคนให้รู้เข้าใจนะ อายุขัยของเราอยู่ได้ชั่วครู่ชั่วคราวอยู่จำกัด อายุขัยของเราอยู่ได้ศตวรรษหนึ่งคือร้อยปีเราต้องพัฒนาใจพัฒนาวัตถุให้เป็นทางสายกลางไปพร้อม ๆ กัน เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา  เราไม่ต้องไปอาศัยพ่ออาศัยแม่อาศัยครูบาอาจารย์ เราต้องพึ่งพาปฏิปทาของเราเอง เราต้องมาเป็นผู้ให้ต้องมาเป็นผู้เสียสละ ไม่ใช่มาเป็นผู้เอา เราเอาตัวอย่างดูตัวอย่างขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นท่านเป็นแบบเป็นพิมพ์เป็นตัวอย่างแบบอย่าง

 

เราทุกคนต้องพากันมารู้มาเข้าใจ รู้เข้าใจแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เน้นปัจจุบันเป็นการประพฤติการปฏิบัติการปฏิบัติของเรา ด้วยเหตุผลว่า อดีตก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบันนี้ ปัจจุบันเราถึงต้องมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เรามาหยุดมายกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ยกเลิกความชอบใจไม่ชอบใจ เรามาปฏิบัติให้เป็นทางสายกลาง ระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับเรื่องทางวิทยาศาสตร์ทางวัตถุ เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม ต้องยกเลิกกรรมที่ไม่ถูกต้อง ทำกรรมที่ถูกต้อง ที่เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา คำว่าธรรมก็หมายถึงการประพฤติการปฏิบัติ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพนี้คือกรรม คือการกระทำ เรายกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่เป็นกรรมเป็นการกระทำ เรายกเลิกความไม่ถูกต้องหมายถึงยกเลิกตัวตน เอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญา เป็นหนทางในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราพากันตั้งอกตั้งใจ ไม่ต้องอาศัยใคร ไม่ต้องเป็นกาฝากของใคร ไม่ต้องเป็นกาฝากของพ่อของแม่  เป็นกาฝากของชาติศาสนา ไม่ต้องเป็นกาฝากของสังคม เราต้องมาเป็นผู้ให้ผู้เสียสละ ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สิ่งที่ไม่ถูกต้องยกเลิกหมด มามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้องให้หมด เราต้องมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการทำสิ่งที่ถูกต้อง สติสัมปชัญญะเป็นสภาวธรรมที่มีคุณมีอุปการะมาก เราต้องมีสติและปัญญาเป็นพื้นฐานติดต่อต่อเนื่องทั้งการยกเลิกตัวตน เราทุกคนจะไม่ได้ไปตามผัสสะ ด้วยการเอาความสงบที่เป็นสมถะ เอาวิปัสสนาตัวปัญญามายกเลิกสภาวธรรมนี้เข้าสู่พระไตรลักษณ์

 

สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ให้เรารู้เข้าใจเป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ ยกสิ่งเหล่านี้เข้าสู่พระไตรลักษณ์เลยว่าเป็นสภาวธรรมที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ไม่มีอะไรหรอก เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเท่านั้น

 

เราต้องหยุดตัวเองให้ได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราจะไม่ได้เอาความหลงนำชีวิต จะไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต เดี๋ยวชีวิตของเรามันจะพังทลายล้มละลายอย่างเดียวเช่นเดียวกันกับตึก สตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของประเทศไทย

 

เราต้องหยุดตัวเองให้ได้ ความสงบ ความเป็นหนึ่งความไม่ปรุงแต่ง ความไม่ขยับเขยื้อน ไม่ขยับเขยื้อนยังไม่พอต้องยกสิ่งเหล่านี้เข้าสู่พระไตรลักษณ์ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเป็นธรรมเป็นสภาวธรรม มันเป็นกรรมเก่าของเราทุกคน ธาตุทั้ง ๔ ดินน้ำลมไฟเป็นกรรมเก่าของเราทุกคน เรารู้กรรมเก่าเพื่อให้กรรมเก่ามันปรุงแต่งจิตใจของเรา เราจะได้จบลงที่ปัจจุบัน จะได้ยกเลิกตัวตัวตนยกเลิกความปรุงแต่ง ให้รู้เข้าใจว่ามันไม่จบ มันจะจบเมื่อจบลมปราณ ให้เอาธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ เป็นข้อสอบเป็นข้อปฏิบัติ ให้รู้เข้าใจ อะไรก็ช่างหัวเผือกช่างหัวมัน เมื่อเรามีตาก็มีรูปอยู่อย่างนี้แหละ เรามีหูก็เสียงมีจมูกก็มีกลิ่นมีลิ้นก็มีรสมีกายก็มีสัมผัส มันไม่เป็นอย่างอื่น ให้รู้เข้าใจว่าอันนี้เป็นเรื่องธรรมดาของธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะภายนอกภายใน ๑๒ มันไม่วิเศษวิโสอะไร เรารู้เรื่องธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๑๒ เราต้องรู้เข้าใจเราจะได้เอากรรมเก่ากรรมใหม่ที่จบลงได้ด้วยความรู้ความเข้าใจที่เป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา สติสัมปชัญญะถึงเป็นธรรมที่มีคุณมีอุปการะมาก มันเป็นความพอเพียงเพียงพอ ธรรมะที่เป็นสภาวธรรมที่เป็นดินเป็นน้ำเป็นเป็นลมเป็นไฟ เป็นธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ เป็นสภาวธรรมที่เราทั้งหลายจะเข้าไปปรุงแต่งไม่ได้ เราต้องรู้เข้าใจ สภาวธรรมของสรีระร่างกายของขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ เราจะเข้าไปปรุงแต่งไม่ได้เพราะสิ่งเหล่านี้ไมใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่นอกตัวนอกตนอยุ่นอกเหตุเหนือผล สติสัมปชัญญะถึงเป็นความสงบและปัญญาที่จบด้วยความรู้ความเข้าใจ เพื่อไม่ให้กรรมเก่ากรรมใหม่ทำงาน

 

เราพากันมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติของเรา เรามาเห็นคุณค่าเห็นเวลาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะเราทุกคนได้ทรัพยากรที่ประเสริฐแล้วแห่งความเป็นมนุษย์ เราได้รับความสนับสนุนจากภาษีอากรของประชาชน เราได้รับการสนับสนุนจากศรัทธามหาชนที่เค้ามีศรัทธาที่เค้าสร้างความดีสร้างบารมีสร้างคุณธรรม เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้พากันตั้งอยู่ในความประมาท เห็นคุณค่าของเวลาในการประพฤติการปฏิบัติ เราอย่าไปเอาความสุขจากความหลง อย่าไปเอาความสุขจากสมาธิสมาบัติ เรามีความสงบมากเราก็ต้องเสียสละมาก ให้เข้าใจอย่างนี้ เพราะการประพฤติการปฏิบัตินั้นมันเป็นการอบรมบ่มอินทรีย์ เรามีความสงบมากก็ต้องเสียสละมาก เราต้องรู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่รู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติความสงบมันก็จะเป็นนิติบุคคลตัวตน มันจะไม่รู้เรื่องพระไตรลักษณ์ มันจะเป็นนิติบุคคลตัวตน เรายกเลิกตัวยกเลิกตน เรามีความสงบมาก ๆ เราก็ต้องเสียสละให้มาก ๆ  ถ้าไม่เสียสละให้มาก ๆ เราเป็นคนไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา เราจะมีแต่อัตตาตัวตน

 

ให้รู้เข้าใจ เราต้องรู้เข้าใจ เราไม่ต้องไปหาความดับทุกข์ที่ไหน ความดับทุกข์อยู่ที่เรารู้เข้าใจ อยู่ที่เรามีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ให้เรารู้เข้าใจว่าทุกอย่างนั้นมันเพียงผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เดี๋ยวผ่านมาเดี๋ยวก็ผ่านไป ความเกิดผ่านมาความแก่ความเจ็บความตายผ่านมาเดี๋ยวก็ผ่านไป มันไม่มีอะไร มันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เราทั้งหลายจะไม่ได้ดีใจเสียใจ

 

เดี๋ยวมันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็จากไป มันก็แก่ไป เจ็บไปตายไปพลัดพรากไปมันไม่มีอะไรมัน เป็นอาคันตุกะชั่วครู่ชั่วยาม มันผ่านไปผ่านมา เราพากันเอาปัจจุบันให้ดี ๆ ปัจจุบันเราเจริญสติสัมปชัญญะ เพื่อมีหลักการอุดมการณ์ในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อชีวิตของเราจะได้งามเบื้องต้นคือศีล งามท่ามกลางคือสมาธิ รู้แจ้งโลกแจ้งธรรม ไม่ไปตามผัสสะ บั้นปลายคือปัญญาเพื่อยกเลิกวัฏฏสงสารเห็นภัยในวัฏฏสงสาร พากันทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ที่เป็นบารมีเบื้องต้นท่ามกลางถึงที่สุด

 

เราต้องหยุดสิ่งนี้ได้ สต๊อปสิ่งนี้ได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญาด้วยปิติสุขเอกัคคตา ว้าว ว้าว สว่างไสวทั้งภายนอกภายในไปพร้อม ๆ กันทางส่วนภายนอกก็ดีทางส่วนภายในก็สบาย ทุก ๆ คนต้องพากันเข้าใจหลักการอย่างนี้ รู้อริยสัจสี่อย่างนี้ รู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติปัจจุบันถือว่าเป็นวาระสำคัญเพราะอดีตก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบันแล้วอนาคตที่จะไปข้างหน้าก็อยู่ที่ปัจจุบัน เรายกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำสิ่งที่ถูกต้องที่เป็นบารม่เบื้องต้นท่ามกลางที่สุดที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญยา เป็นปฏิปทาที่สวยสดงดงามเบื้องต้นท่ามกลางถึงที่สุด

 

ให้เราระลึกถึงครั้นเมื่อใกล้ถึงเวลาเสด็จดับขันธปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

พระบรมศาสดาตรัสเล่าถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นว่าเป็นทิพยบูชาสักการะ ที่เหล่าเทพยดากระทำถวายเป็นพุทธบูชา แต่สำหรับการสักการบูชาที่พุทธบริษัท ๔ ควรทำต่อพระองค์นั้น ทรงกล่าวว่า แม้เหล่าพุทธบริษัท ๔ มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา จะนำเอาอามิสสิ่งของมากมายเท่าใดมาทำการบูชา ก็ไม่ได้ผลมากเท่าบูชาด้วยการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบยิ่งประพฤติธรรมโดยสมควร

 

พระบรมศาสดาตรัสไว้ว่า เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว เธอทั้งหลายอาจจะคิดว่าบัดนี้พวกเธอไม่มีศาสดาแล้วจะพึงว้าเหว่ไร้ที่พึ่ง อานนท์เอย! จึงประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ธรรมวินัยอันใดที่เราได้แสดงแล้วบัญญัติแล้ว ขอให้ธรรมวินัยอันนั้นจงเป็นศาสดาของพวกเธอแทนเราต่อไป เธอทั้งหลายจงมีธรรมวินัยเป็นที่พึ่ง อย่าได้มีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย

ให้เราทั้งหลายระลึกถึงโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสโอวาทสำคัญครั้งสุดท้ายไว้ว่า

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด” นี้เป็นพระวาจาในครั้งสุดท้ายของพระตถาคตเจ้า นับแต่นั้นไม่ตรัสอะไรอีกเลย

 

 พระโอวาททั้งปวงที่ทรงสั่งสอนไว้ทั้ง ๔๕ พรรษานั้นรวมแล้วอยู่ในเรื่อง "ความไม่ประมาท" นี้เอง

 

หลังจากนั้นพระพุทธองค์ทรงทำปรินิพพานบริกรรมด้วยอนุปุพพวิหารสมาบัติทั้ง ๙ (สมาบัติในธรรมที่ประณีตสูงต่อขึ้นไปเรื่อยๆ ตามลำดับมี ๙ คือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ และสัญญาเวทยิตนิโรธ สมาบัติที่ดับสัญญาและเวทนาได้)


       เวลานั้นพระอนุรุทธเถระผู้เป็นเลิศทางทิพยจักษุส่งจิตตามดูพระผู้มีพระภาค เห็นว่าเมื่อพระองค์ทรงเข้าสมาบัติดับสัญญา ดับเวทนา ระยะเวลาหนึ่ง แล้วถอยกลับมาตั้งตนใหม่ที่ปฐมฌาน แล้วเลื่อนสมาธิจิตสูงขึ้นไปเป็นขั้นๆ ตามลำดับ พอถึงฌานที่ ๔ จตุตถฌาน ออกจากฌานที่ ๔ ก็ปรินิพพาน ในยามสุดท้ายของคืนวันเพ็ญ วิสาขบูรณมีเดือน ๖

 

 หลังจากนั้นพระอนุรุทธเถรเจ้ากล่าวคาถาว่า

 

  “พระพุทธเจ้าทรงมีจิตคงที่ในโลกธรรมทั้ง ๘ ทรงไม่หวั่นไหว สิ้นแล้วทั้งลมหายใจเข้าและหายใจออก พระองค์ไม่หวั่นไหวสะทกสะท้านด้วยมรณธรรมแต่ประการใด ทรงปรารภแต่สันติ ความสงบระงับ คือ นิพพานเป็นอารมณ์ ทรงทำกาละ พ้นวิสัยของสามัญญสัตว์ พระองค์ทรงไม่มีพระหฤทัยสะทกสะท้านหดหู่พรั่นพรึงต่อมรณธรรมเลย ทรงอดกลั้นทุกขเวทนาด้วยพระสติสัมปชัญญะเป็นอย่างดีเยี่ยมพระองค์เสด็จปรินิพพานไม่เหลือทั้งกายและใจ เปรียบเหมือนประทีปที่ลุกโพลงดับวูบไปฉะนั้น

 

คำกล่าวนี้เป็นการสอนเตือนใจว่าร่างกายที่มีใจครองอยู่นี้ ตกอยู่ในอำนาจของความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่มีผู้ใดหนีพ้น แม้แต่องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระศาสดาเอกในโลก เป็นผู้ประเสริฐสุด ไม่มีผู้ใดเปรียบ ยังหนีไม่พ้น ต้องเสด็จดับขันธปรินิพพาน ไม่ดำรงถาวรอยู่ได้


    พวกเราทั้งหลายควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ทำกุศลสัมมาปฏิบัติเป็นที่พึ่งแก่ตน เพื่อให้สำเร็จ เป็นหนทางไปสุคติโลกสวรรค์และนิพพาน ด้วยอำนาจแห่งความไม่ประมาทเป็นหลักสําคัญ

 

ให้ทุกท่านทุกคนระลึกถึงโอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร

 

ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม

 

ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทจะได้จบลงเพียงผัสสะ จะได้เป็นปัญญาเป็นความสงบ จะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล หยุดความปรุงแต่ง นี้เป็นขบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นบารมีเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัย เป็นขบวนการของกระแสในการประพฤติการปฏิบัติที่ได้นำเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันให้ติดต่อต่อเนื่อง

 

 ความสงบและปัญญาที่เป็นพระธรรมพระวินัยถึงหยุดความปรุงแต่งได้ ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน พระธรรมพระวินัยที่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่จะหยุดความปรุงแต่งได้ เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า พระนิพพานต้องอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น

 

ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐเป็นผู้ที่มีลมปราณ ได้เอาความดีและปัญญารวมกันเป็นหนึ่งเป็นความสงบและปัญญา พัฒนาเป็นทางสายกลางเพื่อเป็นบารมีเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด

 

เราต้องเข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบัน เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี ให้รู้เข้าใจ ความสงบและปัญญาเป็นอริยมรรคทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจรวมกันเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา เป็นพระนิพพานบ้านของเราตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า

 

ให้ทุกท่านทุกคนเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน เพื่อทุกสิ่งทุกอย่างนั้นจะได้จบลงที่ผัสสะ ยกเลิกวัฏฏสงสารที่ท่องเที่ยวมานาน หยุดวัฏฏสงสารด้วยความรู้ความเข้าใจ เข้าถึงพระนิพพานนี้คือบ้านของเรานะ สติสัมปชัญญะคือบ้านของเรานะ

 

ขออำนวยอวยชัยเอาคุณพระศรีรัตนตรัย คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์ จงอำนวยอวยชัยให้ทุกท่านเข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบันด้วยกันทุกท่านทุกคน ณ โอกาสนี้ด้วยเทอญ

 

---------------------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันที่ ๑๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

Visitors: 103,024