๑๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ ๑๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ของศาสนาพุทธ คริสต์ศักราช ๒๐๒๕ ของศาสนาคริสต์ ฮิจเลาะห์ศักราช ๑๔๔๖ ของศาสนาอิสลาม

 

เราทุกคน คำว่าเรานี้ก็หมายถึงทุก ๆ คนในโลกนี้ โลกที่หมุนรอบตัวเอง    หมุนรอบดวงอาทิตย์ เป็นกลางวัน ๑๒ ชั่วโมง กลางคืน ๑๒ ชั่วโมง ปัจจุบันนี้มีประชากรของโลกอยู่ประมาณแปดพันกว่าล้านคน

 

เราทุกคนต้องรู้ ต้องเข้าใจ ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นคือเหตุคือปัจจัย หาใช่นิติบุคคลตัวตน มันคือเหตุคือปัจจัย ความรู้ความเข้าใจอย่างนี้เรียกว่ารู้ความจริงของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง รู้อริยสัจสี่ รู้ทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริงว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงคือเหตุคือปัจจัย

 

ความรู้ความเข้าใจนี้เรียกว่าปัญญา ความไม่รู้ไม่เข้าใจเรียกว่าไม่มีปัญญา

 

มนุษย์เรามีการเรียนการศึกษาต่างจากสัตว์ทั้งหลาย มนุษย์เราพิเศษมีการเรียนการศึกษา เรียนจากพ่อจากแม่ เรียนที่โรงเรียน มีการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์      

       

มนุษย์เราต้องพัฒนาทั้งทางวิทยาศาสตร์ พัฒนาทางจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อความรู้เพื่อความเข้าใจ จะได้ประพฤติจะได้ปฏิบัติเพื่อให้เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา

 

สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นั้นถึงอยู่ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง นี้เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม

 

คำว่าอุดมนี้หมายถึงไม่ขาดตกบกพร่อง สมบูรณ์ด้วยอรรถะและพยัญชนะไม่ขาดตกบกพร่อง อุดมสมบูรณ์

 

เราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจนะ เราทั้งหลายจะไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัยนั้นไม่ได้นะ เราจะเอาความรู้สึกนำชีวิตไม่ได้ จะเอาความชอบความไม่ชอบนำชีวิตไม่ได้ ต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต มีปิติมีสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ผู้ที่เกิดมาในโลกนี้ต้องพากันเข้าใจ อย่าไปทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ต้องเอาธรรม เอาธรรมนูญนำชีวิต

 

เราทั้งหลายก็เน้นที่ตัวเรานี้แหละ เพราะไม่มีใครประพฤติปฏิบัติให้ใครแทนใครได้ มันเป็นความดีเป็นบารมีเฉพาะตน เรามีหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม

 

พระศาสนาในโลกนี้มีหลายชื่อ มีหลายชื่อก็ไม่เป็นไร ความหมายของพระศาสนานั้นคือธรรมะ คือธรรมนูญ เป็นสัมมาทิฐิที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต เอาพระศาสนานำชีวิตเพื่อพัฒนาให้เป็นทางสายกลางระหว่างทางวิทยาศาสตร์กับทางใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อให้เป็นทางสายกลาง เป็นความรู้เป็นความเข้าใจ เป็นความสงบเป็นปัญญา ความสงบนั้นเป็นสมถะ ปัญญานั้นเป็นวิปัสสนา ความสงบกับปัญญาสองอย่างเอามารวมกันเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม

 

ความสงบกับปัญญานั้นเป็นสิ่งที่มีคุณมีประโยชน์มีอุปการคุณมาก สติสัมปชัญญะนั้นถึงเป็นธรรมที่มีคุณมีอุปการะมาก

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ จะได้มีความสงบจะได้มีปัญญา มารู้แจ้งธรรม มารู้แจ้งสภาวธรรม เราทั้งหลายจะได้รู้หลักการ รู้อุดมการณ์อุดมธรรม จะไม่ได้ไปตามสิ่งแวดล้อม ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราก็ไปตามสิ่งแวดล้อม การที่ไปตามสิ่งแวดล้อมคือความไม่รู้ไม่เข้าใจถึงไปตามสิ่งแวดล้อม ความสงบรู้เข้าใจจะไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม

 

ความสงบกับปัญญานี้เป็นสมถะและวิปัสสนา ที่จะให้เราเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม เราทั้งหลายพากันเข้าใจ ข้อสอบก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้นะ ข้อตอบก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้นะ ปัจจุบันจึงเป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ปัจจุบันให้ถือว่าเป็นวาระสำคัญนะ ปัจจุบันมันเป็นวาระสำคัญแห่งชาติเป็นความสำคัญ นี้คือการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายต้องรู้ต้องเข้าใจในเรื่องข้อสอบของตัวเอง รู้เรื่องข้อตอบของตัวเอง

 

ความสงบกับปัญญาต้องเอามาใช้เอามาประพฤติปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน ความสงบกับปัญญาต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติ สองอย่างนี้จะแยกกันไม่ได้ ถ้าแยกกันเมื่อไหร่แล้วเราจะเป็นผู้ที่ไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจึงตรัสบอกพวกเราทั้งหลายให้เข้าใจ อย่าได้เพลิดเพลินอย่าได้ประมาท ต้องรู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ รู้จักกาลรู้จักเวลาในการประพฤติในการปฏิบัติ

 

การประพฤติการปฏิบัตินั้นต้องปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องไม่ขาดสายด้วยความรู้ความเข้าใจ ศีลที่เป็นปัญญาสัมมาทิฐิเราทั้งหลายต้องปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องไม่ขาดสาย เป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารไม่ประมาทไม่เพลิดเพลิน เป็นผู้ที่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นผู้ที่มีความละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร

 

การที่เราเห็นภัยในวัฏฏสงสาร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าการละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปนี้มันเป็นธรรมคุ้มครองภัย ไม่ให้ภัยอันตรายทั้งหลายเกิดขึ้น ถ้าเราไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป จะทำให้ศีลของเราขาดศีลของเราด่าง ศีลของเราพร้อย ให้เข้าใจนะ ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปนี้เป็นธรรมที่ยำเกรง เป็นการเคารพยำเกรง ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปเห็นภัยในวัฏฏสงสารนี้มันจะเป็นเบรกให้เราหยุด

 

 ผู้ที่มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปคือผู้ที่รู้เรื่องเหตุเรื่องปัจจัยในการประพฤติในการปฏิบัติ ผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติต้องเน้นที่ใจ เป็นผู้ที่ละลายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสาร

 

ให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจนะ กายวาจาใจกิริยามารยาทมันเป็นเพียงอุปกรณ์เพียงอุปกรณ์ของใจที่มีความหลงนะ ปัญญาสัมมาทิฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ศีลนั้นถึงเป็นธรรมนูญ จะเป็นอุปกรณ์เป็นกรรมกรในการทำงานในการปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัติธรรมถึงเน้นเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องเจตนา

 

กายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นเพียงกรรมกร เป็นเพียงอุปกรณ์

 

เราทั้งหลายมาเน้นที่ใจของเราทุกคน เน้นที่ความตั้งใจตั้งเจตนา ต้องเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ไม่กล้าตรึกนึกคิดในเรื่องของกามของพยาบาท  การปฏิบัติธรรมถึงเป็นการเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ เน้นการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน

 

การปฏิบัติของเราถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง เพื่อเป็นความบริสุทธิทั้งกายวาจากิริยามารยาททั้งใจ ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง การปฏิบัติธรรมน่ะไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ถ้าเรายังมีต่อหน้าและลับหลังมันไม่ใช่ธรรมะมันไม่ใช่ธรรมนูญ มันยังมีต่อหน้าลับหลัง ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสารนี้มันจะไม่มีต่อหน้าและลับหลัง การที่เราทำอะไรต่อหน้าอย่างหนึ่งลับหลังอย่างหนึ่ง มันยังต้องการผลตอบแทน

 

เราทั้งหลายต้องเข้าใจธรรมะ เข้าใจธรรมนูญ ธรรมะธรรมนูญเป็นบริสุทธิคุณไม่หวังอะไรตอบแทน เป็นบริสุทธิคุณทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นบริสุทธิคุณ ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ไม่หวังอะไรตอบแทน

 

ถ้าเราไปเรียนหนังสือเพื่อหวังสิ่งที่ตอบแทน เราไปทำงานเพื่อหวังในสิ่งที่ตอบแทน เราเป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวชหวังอะไรตอบแทน อย่างนี้เรียกว่ามันมีต่อหน้าและลับหลัง มันต้องการผลประโยชน์ต้องการการตอบแทน ต้องการขอบใจขอบคุณ มันจะไม่ได้เน้นเรื่องจิตเรื่องใจ มันยังต้องการผลตอบแทน

 

ให้พวกเราทั้งหลายรู้จักหน้าที่ เรามีความสุขในการทำหน้าที่ มีปิติมีความสุขเอกัคคตาในหน้าที่ อย่าไปหวังสิ่งตอบแทน ถ้าไม่อย่างนั้นการปฏิบัติธรรมของเรามันยังมีต่อหน้าและลังหลัง เพราะมันหวังสิ่งที่ตอบแทน

 

พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจนะ การประพฤติการปฏิบัติธรรม อย่าไปหวังอะไรตอบแทน การหวังอะไรตอบแทนนั้นไม่ใช่บริสุทธิคุณ มันเป็นนิติบุคคลตัวตน

 

ถ้าเรายังหวังอะไรตอบแทนอยู่เราก็ไม่ได้เน้นเรื่องจิตเรื่องใจ

 

ความรู้ความเข้าใจนี้ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

 

การเรียนการศึกษาการค้นคว้าการฟังเพื่อความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้รู้และเข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมล้วน ๆ มันเน้นที่เรื่องจิตเรื่องใจไม่มีต่อหน้าและลับหลัง การรักษาศีลของเราถึงจะเป็นพระนิพพาน การทำสมาธิของเราถึงจะเป็นพระนิพพาน การเจริญปัญญาของเราถึงจะเป็นพระนิพพาน ถ้าข้างหน้าอย่างหนึ่งข้างหลังอย่างหนึ่งไม่ใช่นิพพาน

 

เราทั้งหลายถึงต้องเน้นมาที่จิตที่ใจที่เจตนา การประพฤติการปฏิบัติถึงเป็นการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง ถ้าเราไม่มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ไม่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร การประพฤติการปฏิบัติของเรามันก็จะไม่ติดต่อต่อเนื่อง ศีลของเรามันก็ขาดช่วง การประพฤติการปฏิบัติไม่ติดต่อต่อเนื่องเราไม่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ใจของเราไม่รู้ไม่เข้าใจ ใจของเราก็จะไปตามสิ่งแวดล้อมที่ผัสสะ

 

เรามีอายตนะทั้ง ๖ สิ่งภายในก็ ๖ สิ่งภายนอกก็ ๖ มันก็จะไปตามสิ่งแวดล้อม  ถ้าเราไปตามสิ่งแวดล้อมศีลของเรามันก็ขาด มันด่างมันพร้อย ให้รู้เข้าใจ

 

เราทั้งหลายต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารต้องมีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

 

เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ ต้องมีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ถ้าเราไม่มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ไม่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นผู้ไม่เอาธรรมนำชีวิต ไม่เอาธรรมนูญนำชีวิต มันแก้ปัญหาไม่ได้นะ มันมีแต่จะสร้างปัญหาถือว่าเป็นผู้ที่ไม่รู้ความถูกต้องและความไม่ถูกต้อง เป็นบุคคลที่ไม่บรรลุนิติภาวะ

 

ผู้ที่มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เอาธรรมเอาธรรมนูญนำชีวิต เค้าเรียกว่าผู้นั้นเป็นผู้ที่บรรลุนิติภาวะ เอาตัวตนนำชีวิตเค้าเรียกว่าเป็นบุคคลไม่บรรลุนิติภาวะนะ บุคคลที่มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เป็นบุคคลที่รู้กาลรู้เวลา รู้กาละเทศะ รู้การประพฤติการปฏิบัติ เราเอาตัวเอาตนนำชีวิตเราเอาความหลงนำชีวิตเป็นบุคคลที่ไม่รู้กาลเวลาไม่รู้กาละเทศะ

 

ให้พวกเราทั้งหลายเข้าใจนะ คือบุคคลที่ไม่บรรลุนิติภาวะไม่รู้จักดีไม่รู้จักชั่ว ไม่รู้จักผิดไม่รู้จักถูก เอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต เอาความหลงนำชีวิต คือบุคคลที่ไม่รู้นิติภาวะ ปัจจุบันถึงเป็นวาระสำคัญสำหรับเราทุกคนนะ

 

การประพฤติการปฏิบัติทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาททั้งอาชีพ เราต้องรู้เข้าใจ   เราต้องเน้นที่ใจของเรา เน้นที่เจตนาของเรา มีความสุขมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายน่ะให้เข้าใจ ความสุขในทางวัตถุเป็นสิ่งที่มีอยู่ วิทยาศาสตร์ถึงมีคุณ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ ทางวิทยาศาสตร์นี้จะมีโทษนะ การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ถึงต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน

 

ธรรมนูญนี้แหละให้เราเน้นไปที่จิตที่ใจนะ เพราะกายนั้นวาจานั้นกิริยามารยาทอาชีพนั้นเป็นเพียงกรรมกรเป็นเพียงอุปกรณ์ของใจนะ

 

การพัฒนาวิทยาศาสตร์ต้องพัฒนาใจไปพร้อม ๆ กัน เข้าสู่ทางสายกลางหรือเข้าสู่ความพอเพียงเพียงพอ เข้าสู่ความพอดี

 

แพทย์จะผ่าตัด แพทย์ก็ต้องมีความรู้ความเข้าใจต้องมีปัญญา มีความสงบที่แพทย์จะผ่าตัดสมองของมนุษย์ ศูนย์รวมของสรีระร่างกายมันอยู่ที่สมอง เส้นประสาทมันเยอะ แพทย์ก็ต้องรู้เข้าใจ มีปัญญา มีปัญญาก็ต้องมีความสงบ มันถึงจะนิ่งเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมถึงจะผ่าสมองได้ปลอดภัย ถ้าอย่างนั้นไม่ได้ มันจะไปตัดเส้นประสาทน่ะ

 

การที่แพทย์จะผ่าหัวใจก็เช่นเดียวกัน เพราะหัวใจมันเป็นศูนย์รวมที่ส่งเลือดไปเลี้ยงสรีระร่างกายทุกชิ้นส่วน เราต้องรู้เข้าใจเพื่อจะเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ความสงบที่เป็นสมถะก็ต้องมี ปัญญาก็ต้องมี ต้องไปพร้อม ๆ กัน เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอดี เราอยากให้มันมากมันก็ไม่มาก เพราะสิ่งเหล่านั้นมันเป็นใหญ่เป็นประภัสสรของสิ่งเหล่านั้น เราอยากให้มันน้อยมันก็ไม่น้อย เราต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้ไปลิดรอนสิทธิของความไม่ถูกต้อง ไม่ลิดรอนสิทธิของผู้อื่น

 

เรื่องเคารพเรื่องคารวะเรื่องละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ท่านถึงให้เน้นที่ปฏิปทานะ ปฏิปทาทั้ง ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม ต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต ต้องมีสติเป็นพื้นฐาน มีความสงบเป็นพื้นฐาน เพื่อเอาปัญญานำชีวิต ตั้งใจตั้งเจตนา เราทั้งหลายจะได้ปฏิบัติที่ต้นเหตุ เราทั้งหลายจะไม่ได้แก้ที่ปลายเหตุ

 

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ใหม่ ๆ เมื่อวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เรามาคิดดูดี ๆ อายตนะทั้ง ๖ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ๖ อย่างน่ะ รู้เข้าใจ แล้วพระจันทร์วันเพ็ญอย่างนี้ รู้เข้าใจ

 

ทำไมถึงเดือน ๖ เพราะอายตนะทั้ง ๖ ภายใน อายตนะภายนอก ๖ เป็น ๑๒ น่ะ แล้วก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำมันเต็มมันพอดีมันเพียงพอพอเพียง ประสูติก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ตรัสรู้ก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ แสดงธรรมจักรกัปปวัตนสูตรก็วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำน่ะ

 

เรามาคิดดูดี ๆ นะมันเป็นความเต็ม เป็นความพอเพียงเพียงพอ มันเป็นความพอดี มันเป็นการพัฒนาทั้งทางวิทยาศาสตร์ทั้งทางใจไปพร้อม ๆ กันด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายอย่าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่ามันไม่เต็มนะ มันพร่องอยู่เป็นนิจนะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเป็นทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำ เป็นไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ เค้าเรียกว่าตัณหา ศัพท์นี้ลึกซึ้งกินใจมาก มันหาเรื่องหาราวให้กับตัวเองยังไม่พอมันไปหาเรื่องหาราวให้คนอื่น มันไปเอาความสุขจากความหลงน่ะ ไม่ได้เอาความสุขจากปัญญาสัมมาทิฐิ มันเป็นความเห็นไม่ถูกต้อง เป็นความเข้าใจไม่ถูกต้อง ปฏิบัติไม่ถูกต้อง การกระทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ไม่ได้ มันเสียหาย มันไม่ใช่ทางไม่มีทางไป

 

ให้เรารู้เข้าใจ ธรรมนูญคือทางไปนะ รัฐธรรมนูญคือทางไปให้เรารู้ให้เราเข้าใจ  เราทั้งหลายจะได้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เพิ่มความสงบเข้าใจ เพิ่มสติสัมปชัญญะเข้าไปด้วยความรู้ความเข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ

 

ถ้าเรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายก็ไม่มีความทุกข์อะไร ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็จะเป็นเหมือนทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำ เหมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ มันหาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง หาเรื่องหาราวให้กับคนอื่น

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่าอย่าเอาความไม่รู้ไม่เข้าใจนำชีวิต   อย่าไปตรึกในกาม อย่าไปตรึกในพยาบาท กามกับพยาบาทมันคือความหลงนะ ถ้าใครไปตรึกในกามตรึกในพยาบาทคือบุคคลนั้นเอาความหลงนำชีวิต ความหลงคือความไม่ถูกต้องนะ ความหลงนั้นน่ะมันอร่อยมันแซบมันลำมันนัวมันหรอย

 

ที่มีผู้ไปทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมพระนิพพานก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ ผู้บอกหนทางไปก็มีอยู่ แต่ทำไมคนส่วนใหญ่ไม่พากันไปนิพพานกัน สาเหตุเพราะอะไร ไปทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เพราะความอร่อยของโลกมันทำให้เราทุกคนหลงเพลิดเพลิน ตั้งอยู่ในความประมาท ความหลงความเพลิดเพลินความประมาทมันเป็นสิ่งเสพติด เราจะออกจากสิ่งเสพติดก็ต้องอาศัยหลักการ อุดมการณ์อุดมธรรม ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องด้วยศีล การปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องด้วยศีลมันจะเป็นสัมมาสมาธิติดต่อต่อเนื่อง

 

เหมือนไก่ฟักไข่ ไก่ฟักไข่จะฟักด้วยแม่ไข่หรือฟักด้วยไฟฟ้า มันก็ต้องใช้เวลา ๓ อาทิตย์ถึงจะออกมาเป็นลูกไก่น่ะ

 

ความหลงความเพลิดเพลิน จะทำให้เราเพลิดเพลินทำให้เราประมาททำให้เราเนิ่นช้า ให้เราเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสารเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปให้รู้จักข้อสอบข้อตอบ พระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ให้เรารู้ให้เราข้าใจ เพื่อให้เราทั้งหลายเอามาใช้เป็นอุปกรณ์เป็นกรรมในการประพฤติการปฏิบัติ ที่เป็นสมถะเป็นความสงบเป็นวิปัสสนาเป็นปัญญา เข้าสู่ฐาน ศีลถึงเป็นพื้นเป็นฐาน เราทั้งหลายต้องเป็นผู้มี พระธรรมพระวินัยเป็นพื้นฐาน เข้าสู่รูปแบบ เข้าสู่อุดมการณ์อุดมธรรม

 

ทุก ๆ คนน่ะพากันตั้งอกตั้งใจพากันประพฤติพากันปฏิบัติ เอาธรรมเป็นหลักเอาธรรมนูญเป็นหลัก ให้เรามีความสงบให้เพียงพอ ให้พอดี สมถะกับวิปัสสนาจะได้ไปพร้อม ๆ กัน

 

เราคิดดูดี ๆ นะ มองดูดี ๆ เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งนี้ ต้นไม้ต้นนั้นที่อุดมสมบูรณ์ สง่างาม ต้นไม้ต้นนั้นต้องได้อาหารมาจากทุกทิศทุกทางของต้นไม้นะ ไม่ใช่ได้มาจากทางรากอย่างเดียว ต้นไม้ต้นนั้นต้องได้อาหารมาจากทางรากทางใบทางกิ่งก้านสาขาจากทางยอดตลอดปริมณฑล แสงแดดอากาศ วิตามินโปรตีนเกลือแร่แร่ธาตุต่าง ๆ  ถึงจะอุดมสมบูรณ์ ไม่ใช่ได้มาจากทางรากอย่างเดียวเราต้องรู้เข้าใจ เราจะได้ไม่มองข้ามปัจจุบันว่าปัจจุบันเป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายอย่าพากันใจอ่อนไปตามสิ่งแวดล้อม ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเดือน ๖ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ๖ อย่างน่ะวันเพ็ญคือความอุดมสมบูรณ์ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะจึงเป็นความพอดีเป็นความพอเพียงเพียงพอ

 

การที่เรามีความเคารพนับถือ ที่เอาธรรมนำชีวิตเป็นผู้ที่มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปทั้งต่อหน้าและลับหลัง มีความเคารพคารวะทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งจิตใจ ความเคารพนับถืออย่างนี้ถึงเป็นสิ่งที่ครอบครองเรา ถ้าเราไม่เข้าใจแล้วเราจะข้ามปัจจุบันนะ ถ้าเราไม่เข้าใจแล้วเราจะไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ไม่เห็นความสำคัญทั้งทางกายวาจาใจกิริยามารยาทอาชีพ ไม่เห็นความสำคัญ ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปมีความเคารพคารวะในพระพุทธเจ้าในพระธรรมในพระอริยสงฆ์

 

เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเราก็เป็นบุคคลที่ไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปไปเอาแต่ทางวัตถุไปแต่ทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวเป็นตนมันไม่ได้ ต้องเอาเรื่องจิต เรื่องใจ เรื่องธรรม ต้องมีความเคารพคารวะ ต้องมีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ความถูกต้องน่ะมันสิ่งที่ไม่ตายนะ ความถูกต้องก็มีอยู่เป็นสิ่งที่ไม่ตาย พระพุทธเจ้าน่ะเป็นนามธรรมเป็นความรู้ความเข้าใจ

 

พระพุทธเจ้าน่ะเป็นอมตธรรมนะ เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย

 

ให้เราทั้งหลายมีความเคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในพระอริยสงฆ์ ถ้าเราไม่มีความเคารพ ไม่มีคารวะ ไม่ได้นะ องค์สมเด็จพระสัมมา  สัมพุทธเจ้าท่านบอกว่าท่านตรัสว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้เป็นพระพุทธเจ้าคือผู้ที่ยกเลิกตัวยกเลิกตน เป็นผู้คารวะธรรม เคารพคารวะในธรรมไม่ลิดรอนสิทธิของธรรมชาติ ไม่ลิดรอนสิทธิความแก่ความเจ็บความตาย ความพลัดพรากเป็นผู้ที่เคารพคารวะธรรม

 

ที่มีคนไปถามพระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้ามีอะไรเป็นที่เคารพนับถือ

 

พระพุทธเจ้าบอกว่าพระพุทธเจ้าน่ะเคารพธรรม เคารพธรรมนูญ เอาธรรมนำชีวิตเพราะธรรมชาติเป็นสิ่งที่มีอยู่ ให้เรารู้เข้าใจ พระพุทธพระธรรมพระอริยสงฆ์มันเป็นสิ่งที่ไม่ตายนะ สิ่งที่ตายนั้นน่ะมันเป็นธาตุเป็นขันธ์เป็นอายตนะแต่พระพุทธเจ้าน่ะคือความรู้ความเข้าใจในเรื่องอริยสัจสี่

 

ให้รู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ได้มันหยาบ มันหยาบคาย ตัวตนมันหยาบคาย ตัวตนนั้นมันสกปรก มันหยาบคายนะ

 

ท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านได้ตรัสว่าอย่าเอาตัวตนเป็นที่ตั้งนะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันหยาบคาย เอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ เพราะตัวตนเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ตัวตนนั้นมันเหม็นนะ มันเหม็นหลายแดนโลกธาตุ ให้เรารู้เข้าใจ ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็จะแบกความหลงพาไป ความไม่รู้ไม่เข้าใจเอาความหลงนำชีวิต

 

เรามาคิดดูดี ๆ นะ วันหนึ่งเวลาเช้านางวิสาขามหาอุบาสิกา เสริฟอาหารอุปัฏฐากพ่อแม่สามีอยู่ พระมาภิกขาจารบิณฑบาตมายืนอยู่ต่อหน้า นางวิสาขาเห็นแล้ว รู้เข้าใจว่า พ่อสามีเค้าไม่ทำบุญตักบาตร นางวิสาขาก็กราบเรียนถวายพระว่านิมนต์ท่านไปภิกขาจารที่อื่นเถิด เพราะที่นี่พ่อสามีเค้าไม่ทำบุญตักบาตรเค้าไม่ถวายทาน เค้ากำลังทานของเก่าอยู่

 

พ่อปู่พ่อผัวของนางวิสาขาได้ฟังแล้วโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลย ว่าทำไมลูกสะใภ้ถึงมาว่าเรากินของเก่าของเสียของเน่าของเดน ของปฏิกูล ทั้งที่อาหารนั้นพึ่งใหม่พึ่งสดร้อน ๆ น่ะ

 

พ่อปู่โมโหขับไล่นางวิสาขามหาอุบาสิกา นางวิสาขาก็พูดกับพ่อปู่ว่าเมื่อก่อนก่อนที่จะเอานางมาเป็นลูกสะใภ้ก็มีญาติผู้ใหญ่ญาติวงศ์ตระกูลทั้งสองฝ่ายถูกต้องตามกฎหมายมีลายเซ็นต์น่ะ ถ้าจะให้นางไปก็ต้องมีการชี้แจงแถลงเหตุผลน่ะ  มีเหตุมีผล เมื่อเอาผู้หลักผู้ใหญ่มาร่วมรวมกันประชุมกันแล้วนางวิสาขาก็แถลงการณ์ด้วยวาจาว่า ที่กล่าวว่าพ่อปู่นั้นกำลังบริโภคของเก่าอยู่นะ มันเป็นความจริง เพราะเมื่อก่อนพ่อปู่เป็นคนดีเป็นคนมีปัญญาถวายทานได้สร้างบารมีได้สร้างความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ถึงได้มีบุญมีวาสนาเป็นคนร่ำคนรวยเป็นมหาเศรษฐี เมื่อได้เป็นคนดีคนร่ำคนรวยเพลิดเพลินแต่ตั้งอยู่ในความประมาท

 

ความหลงความประมาทนี้ได้แก่ไม่เห็นภัยในวัฏฏสงสารเป็นผู้บริโภคความหลงเป็นผู้บริโภคตัวตนเป็นผู้บริโภคของเก่านะ ตัวตนนี้คือความหลงคือของเก่าน่ะคือความยึดมั่นถือมั่นไม่รู้จักเสียสละไม่รู้จักให้ทานไม่ได้เป็นผู้ให้ไม่ได้เสียสละ ไม่เป็นธรรมไม่เป็นปัจจุบันธรรมมันเป็นนิติบุคคลตัวตน บุคคลเช่นนี้เรียกว่าผู้บริโภคของเก่านะ

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราทุกคนเข้าใจ ให้พากันเสียสละจะได้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมจะไม่ได้บริโภคความหลงจะไม่ได้บริโภคของเก่า

 

พ่อปู่ได้ฟังแล้วรู้เข้าใจมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาจึงเรียกนางวิสาขาว่าเป็นแม่ เป็นแม่แบบแม่พิมพ์เป็นตัวอย่างจึงขอโทษขออภัย

 

นางวิสาขาบอกว่าให้ไปขอโทษขออภัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโน่น เพราะความรู้ความเข้าใจนี้เป็นพุทธะ เป็นผู้ที่มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป

 

ความรู้ความเข้าใจเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นผู้หยุดบริโภคความหลง ความงมงาย หยุดบริโภคของเก่า ด้วยความรู้ความเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้เอาธรรมนำชีวิตเอาธรรมนูญนำชีวิต

 

ให้เรารู้ให้เข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจเราทั้งหลายจะพากันบริโภคความหลง บริโภคความไม่ถูกต้อง ความไม่ถูกต้องมันคือความผิดนะ

 

-------------------------

 

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันจันทร์ที่ ๑๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

 

 

Visitors: 94,982