๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๖ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

 

วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดทำงานของข้าราชการ เราทุกคนที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ต้องประพฤติปฏิบัติให้เป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ

 

ให้เรารู้เข้าใจเพราะทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี เราพากันมามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นทางสายกลาง เป็นความพอดีความพอเพียงความเพียงพอ เราทั้งหลายนั้นจะไปทำตามอัธยาศัยทำตามความชอบไม่ชอบนั้นไม่ได้

 

เราต้องพากันทำให้ถูกต้อง ระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับทางวัตถุที่เราต้องพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ เอาความผิดพลาดมาแก้ไข ให้เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง เป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ เพื่อให้เป็นมรรคเป็นอริยมรรค

 

เราทุกคนมาเน้นที่ตัวเรา สิ่งภายนอกเราจะช่วยเหลือ เช่น ญาติพี่น้องปู่ย่าตายาย ลูกน้องพ้องบริวาร เราจะช่วยเค้าได้เป็นเพียงบอกเพียงสอน เราประพฤติปฏิบัติแทนเขาไม่ได้ เรื่องการประพฤติการปฏิบัติเป็นหน้าที่ของเราทุก ๆ คน

 

อริยมรรคมีองค์แปดที่เป็นกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจที่เจตนา เราต้องให้ปฏิปทาของเราให้สมบูรณ์ อย่าไปประมาท ขาดตกบกพร่อง เพราะนี้มันคือเรื่องกรรม กฎแห่งกรรมผลของกรรม กรรมนี้เป็นเงาตามตัว ความคิดคำพูดการกระทำกิริยามารยาทนี้เป็นกรรม ทุกคนนั้นจะเหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรมนั้นไปไม่ได้ สิ่งไหนเราช่วยเหลือคนอื่นไม่ได้ เราต้องทำใจในการรู้เรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม ใจของเราต้องมีอุเบกขาวางเฉย สิ่งที่ช่วยเหลือไม่ได้ก็ได้แก่การเวียนว่ายตายเกิด เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดเราช่วยเหลือใครไม่ได้

 

การประพฤติการปฏิบัติให้เราปฏิบัติที่ปัจจุบัน เพราะเหตุผลว่า อดีตก็มารวมที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่ยังไปไม่ถึงก็ไปจากปัจจุบันนี้เอง มันเป็นขบวนการ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี 

 

ปัจจุบันเราคิดพูดกระทำกิริยามารยาทตลอดถึงอาชีพเราทำได้ทีละอย่าง เราต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ การประพฤติการปฏิบัติของเราจะได้ติดต่อต่อเนื่องเป็นขบวนการของกรรมกฎแห่งกรรม ที่เราทุกคนมีเรื่องมีปัญหา เพราะสาเหตุว่าเราไปเอากายวาจากิริยามารยาทเอาใจไปประพฤติไปปฏิบัติ เพราะเราไม่รู้เหตุไม่รู้ปัจจัย

 

โภชนีมัตตัญญุตาเป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุที่เป็นความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ ที่เป็นอริยมรรคมีองค์แปด

 

ธรรมะนั้นคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราจะไปทำอะไรเพราะความอยากความไม่อยากนั้นไม่ได้ ธรรมะระหว่างเรื่องจิตเรื่องใจกับวัตถุนั้นเป็นทางสายกลาง ธรรมะต้องเป็นทางสายกลางอยู่เหนือความชอบ อยู่เหนือความไม่ชอบ เพื่อจะหยุดความปรุงแต่ง หยุดสัญชาตญาณ ที่เป็นตัวเป็นตนที่เวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่จบไม่สิ้น เป็นวงกลม เป็น cycle of life ที่หมุนรอบตัวเอง หมุนรอบสิ่งภายนอก

 

เราต้องรู้เข้าใจในธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะทั้ง ๖ นี้เป็นเพียงอาคันตุกะที่สัญจรไปมา เป็นของชั่วครู่ชั่วยาม เราต้องรู้เข้าใจสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงอาคันตุกะ ความว่างเปล่าที่เป็นความสงบเป็นปัญญาที่เป็นพื้นเป็นฐาน สิ่งที่สัญจรไปมานั้นเป็นเพียงอาคันตุกะเท่านั้น ให้เรารู้เข้าใจ เราจะไม่ได้ตามสิ่งภายนอกไป เราจะไม่ได้ตามสิ่งภายในไป

 

ธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพุทธบารมีเป็นความดีและปัญญา ใช้เวลายาวนานหลายล้านชาติ หลายล้านปี เป็นบารมีเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ให้หมู่มวลมนุษย์เทพเทวา อินทร์พรหมยมยักษ์ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นยานในการประพฤติการปฏิบัติ

 

เราจะเดินทางไกลเราก็ต้องอาศัยยาน ยานคือกายวาจากิริยามารยาทอาชีพรวมลงที่ใจ รวมลงที่เจตนา การประพฤติการปฏิบัติธรรมนั้น ถึงไม่มีต่อหน้าและลับหลัง ถ้ามีต่อหน้าและลับหลังไม่ใช่ทางสายกลาง มันยังเป็นการหลอกลวงไปในตัว

 

เราต้องตั้งใจตั้งเจตนา มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ใจของเราคนอื่นส่วนใหญ่เค้าไม่รู้นะ ที่คนอื่นเค้ารู้คือผู้ที่อยู่ที่สูงมากกว่าเรา มีคุณธรรมอยู่เบื้องสูงกว่าเรา ให้เรารู้เข้าใจ คนอื่นเค้าไม่รู้แต่เราเป็นคนรู้

 

ปัจจุบันนี้แหละ เราเอาตั้งแต่วิทยาศาสตร์ เอาแต่ตัวแต่ตน เอาตั้งแต่วัตถุ เราทั้งหลายก็พากันเป็นได้แต่เพียงคน คำว่าคนนี้ก็หมายเอานิติบุคคลตัวตนนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต ทำทั้งดีทั้งชั่วทั้งบาปทั้งบุญวกไปวนมาเดินข้างหน้าแล้วก็ถอยกลับมาอยู่ที่เก่า ที่เรามีศัพท์ใช้กันว่าคนโน้นคนนี้

 

การประพฤติการปฏิบัติถึงมาเน้นที่จิตที่ใจที่เจตนา ให้ทุกคนเข้าใจว่า กายวาจากิริยามารยาทอาชีพเป็นเพียงอุปกรณ์ของจิตของใจเท่านั้น เราเข้าใจ นี้เป็นเพียงอุปกรณ์ของจิตของใจ เราทั้งหลายต้องตั้งอกตั้งใจ การประพฤติการปฏิบัติเป็นอริยมรรคมีองค์แปด เพื่อให้เข้าสู่ทางสายกลาง เพื่อเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เราต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ทุกแง่ทุกมุม ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ

 

วันหนึ่งคืนหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง เวลาเราตื่นอยู่เป็นการเจริญอริยมรรคทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ เน้นที่ใจที่เจตนา เราพากันนอนพักผ่อน ฆราวาสผู้ครองบ้านครองเมือง พากันนอนหลับพักผ่อนวันละ ๖-๘ ชั่วโมง เราต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ถ้าเรานอนไม่เพียงพอ สรีระร่างกายก็ไม่พร้อมที่จะทำงาน การทำงานของเราก็ต้องมีความสุข ให้ถือว่าการงานคือหน้าที่ หน้าที่คือการทำงาน ให้มีความสุขในการทำงาน การพูดจากิริยามารยาทอาชีพคือการปฏิบัติธรรมที่เป็นทางสายกลาง

 

เรามีกายวาจากิริยามารยาทมีอาชีพ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติที่นั่น การประพฤติการปฏิบัติถึงไม่เลือกกาลเวลาสถานที่ เพราะการประพฤติการปฏิบัติธรรมมันอยู่ที่ปัจจุบัน เราต้องเข้าใจเรื่องปัจจุบัน เพราะปัจจุบันมันเป็นพื้นเป็นฐาน เป็นเหตุเป็นปัจจัย เราทุกคนพากันมาเสียสละ

 

เราจะเอาความรู้สึกที่เป็นสัญชาตญาณที่เป็นตัวเป็นตนนำการประพฤติการปฏิบัติไม่ได้ เราทำอะไรอย่าไปหวังอะไร เราทำอะไรเพื่อทำหน้าที่มันจะเป็นความพอดีความพอเพียงเพียงพอ ถ้าเราทำอะไรความอยากความต้องการ หรือความไม่อยากความไม่ต้องการ เพราะความอยากและไม่อยากนั้นมันเป็นสัญชาตญาณที่เป็นตัวเป็นตน มันเป็นความปรุงแต่ง ทางวิทยาศาสตร์ทางวัตถุต้องมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ จิตใจได้รับผลทางวิทยาศาสตร์ ที่เราเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพระพรหมก็มาจากกรรม มาจากผลของกรรม

 

เราทั้งหลายถึงต้องรู้กรรมรู้กฎแห่งกรรมรู้ผลของกรรม เราทั้งหลายจะไม่ได้หลงติดอยู่ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมีความสุขมีความเพลิดเพลินไปในตัว เราทั้งหลายถึงมารู้ความสุข ความสุขที่เราได้รับผลจากทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นตัวเป็นตน ย่อมเป็นของชั่วครู่ชั่วยาม เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป มีเจริญมีเสื่อมมาจากเหตุมาจากปัจจัย เราทั้งหลายจะได้รู้เรื่องวัตถุรู้เรื่องของใจ เราทั้งหลายมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ จะได้ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น เอาธาตุทั้ง ๔ เอาขันธ์ทั้ง ๕ เอาอายตนะทั้ง ๖ มาหลงในความสุขความสะดวกความสบาย ความสุขความสะดวกความสบายนั้นน่ะดีอยู่แล้ว ใจของเราถึงต้องมีปัญญา รู้อริยสัจสี่ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราจะได้ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง

 

คำว่ากระแสหมายถึงติดต่อต่อเนื่อง เราต้องมาหยุดกระแสด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยพระธรรมพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตร มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติด้วยการหยุดกระแส รถก็ย่อมมีเบรก เครื่องก็ย่อมมีเบรก เรือก็ย่อมมีเบรก ให้เรารู้เข้าใจ เรามีความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อหยุดขบวนการ เราจะให้ทุกอย่างนั้นมันไม่มีนั้นไม่ได้ เพราะมีเหตุมีปัจจัย เรามีตาก็ย่อมมีรูป เรามีหูก็ย่อมมีเสียง เรามีจมูกก็ย่อมมีกลิ่น เรามีลิ้นก็ย่อมมีรส เรามีกายก็ต้องมีสัมผัส เรามีสัมผัสก็ย่อมมีเวทนา ให้เรารู้เข้าใจ เราจะได้ดับมันได้เพียงผัสสะ ไม่เกิดเวทนาคือความชอบความไม่ชอบ ความชอบไม่ชอบมันเป็นขั้วบวกขั้วลบ มันเป็นเรื่องเก่ากับเรื่องใหม่ที่เป็นขั้วบวกขั้วลบ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ เพราะเรารู้เข้าใจ

 

เราต้องขอบใจ สิ่งต่าง ๆ ที่เราจะได้มีข้อวัตรกิจวัตร ได้ประพฤติได้ปฏิบัติในปัจจุบัน ถ้าไม่มีข้อสอบเราก็ไม่ได้เลื่อนขั้นในการเรียนการศึกษาในการประพฤติการปฏิบัติ บุคคลที่ตายแล้วถึงไม่มีโอกาสได้ประพฤติได้ปฏิบัติ ถ้าเราไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราก็ไม่มีโอกาสได้ประพฤติได้ปฏิบัติ

 

เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราจะได้มีปัญญา มีความสงบ เราจะได้รู้เรื่องจิตเรื่องใจ รู้เรื่องทางวัตถุ เป็นผู้มีศีลมีสมาธิมีปัญญา อยู่ที่ไหนทำอะไรก็ประพฤติปฏิบัติได้ ไม่ไปหาความดับทุกข์หาความสงบอยู่ที่ไหน อยู่ที่เราอยู่ทุกหนทุกแห่ง เราไปคิดเหมือนฤาษีชีไพรน่ะ ไปเอาความสงบจากสิ่งที่ไม่มี ที่ตาไม่เห็นรูป หูไม่ได้ฟังเสียง จมูกไม่ได้ดมกลิ่น ลิ้นไม่ได้ลิ้มรส กายไม่ได้สัมผัส อันนี้เป็นความว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่

 

เราต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ ต้องให้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ถ้าเรารู้เข้าใจ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เรารู้จักข้อสอบ รู้จักข้อตอบ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ความรู้เข้าใจเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติกรรมนั้นจะหยุดได้ที่ผัสสะ เป็นผู้ไม่ตรึกในการไม่ตรึกในพยาบาท ลงที่ใจลงที่ปัญญาที่รู้แจ้งเห็นธรรม รู้แจ้งเห็นโลก โลกจะไม่ได้ทำร้ายเรา เราจะได้อยู่เหนือโลกธรรม

 

ทุกวันนี้น่ะเรามองไปที่ไหนก็เห็นตั้งแต่คนไม่ได้เห็นมนุษย์เลย เห็นแต่คน ใครก็เอาแต่ตัวเอาแต่ตน เอาสัญชาตญาณ เราได้มองเห็นตั้งแต่คน คำว่าคนมันก็คือตัวตน เราต้องรู้เข้าใจในเรื่องของกรรมกฎแห่งกรรมรู้อริยสัจสี่ด้วยเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เอาตัวรอดในทางที่รอดที่ถูกต้อง ที่เป็นความพอดีความพอเพียงเพียงพอ ความไม่รู้ไม่เข้าใจพากันเอาตัวรอดในทางที่ไม่รอด ไปเอาความสุขจากความหลง

 

เรามีปัญญาเราก็ต้องรอบคอบ เรามีปัญญาถึงเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้ปัญญาและความสงบไปพร้อม ๆ กัน ศีลสมาธิปัญญาที่เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมของเรา เราต้องตั้งอยู่ในหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมอย่างนี้ เราจะได้ทำประโยชน์ตนและประโยชน์ของผู้อื่นถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท

 

เราทั้งหลายต้องรู้จักประมาณในการบริโภค เพื่อจะได้เข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา ผู้มีปัญญาก็ต้องมีความสงบ ผู้มีความสงบก็ต้องเสียสละ เราต้องรู้จักประมาณในการบริโภค เราต้องบริโภคด้วยปัญญา เราบริโภคเหยื่อเราจะไม่ได้ติดเหยื่อ เราจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ความพอดี ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป เป็นผู้รู้จักประมาณ เพื่อให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราบริโภคทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราต้องรู้เข้าใจ ว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นอาคันตุกะชั่วครู่ชั่วยาม

 

เราต้องรู้จัก เค้ามีเครื่องวัดความดัน ความดันนั้นต้องอยู่ในความพอดี ไม่ต่ำเกินไป ไม่สูงเกินไป ความดันนี้จะเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา เรารู้จักความดันตั้งแต่ทางร่างกายไม่ได้นะ เราต้องรู้จักความดันในเรื่องจิตเรื่องใจ กายวาจากิริยามารยาทอาชีพมารวมลงที่ใจที่เจตนาเป็นความดันของจิตของใจนะ โภชนีมัตตัญญุตา ต้องรู้จักประมาณในการบริโภค เราทั้งหลายต้องเอาความสงบและปัญญา ความสงบและปัญญาต้องไปพร้อม ๆ กันเพื่อความดันนั้นถึงเข้าถึงความพอดีความพอเพียงเพียงพอ เราไปวัดแต่ความดันทางร่างกายไม่ได้นะ เราต้องวัดความดันทางเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน เค้าจะสร้างบ้านสร้างเรือสร้างประเทศชาติบ้านเมืองนี้ เค้าต้องมีเครื่องวัดความยาวความสั้นสูงต่ำน้ำหนัก เค้าต้องมีเครื่องวัด ปัจจุบันเราต้องเอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญาเป็นเครื่องวัดเป็นเครื่องรังวัด เราจะได้วัดทั้งกายวาจากิริยามารยาทวัดทั้งใจ วัดทั้งความดันของส่วนร่างกาย วัดทั้งความดันในเรื่องจิตเรื่องใจ เพื่อเข้าสู่ความพอดีความพอเพียง เข้าสู่มาตรฐาน ไม่มากไม่น้อยเกิน เปรียบเสมือนสายพิณสายกีต้าร์ ถ้ามันตึงเกินไปสายพิณสายกีต้าร์นั้นก็ย่อมขาด ถ้ามันหย่อนเกินไปเสียงก็ไม่ไพเราะ

 

เราทั้งหลายต้องวัดทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาท เราต้องมีสติมีสัมปชัญญะ สติต้องเป็นพื้นฐาน ปัญญาต้องเป็นพื้นฐาน เพราะเหตุผลว่า สตินั้นเป็นความหยุด ธรรมะ พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายได้พากันประพฤติพากันปฏิบัติให้ถูกต้องที่จะเอาตัวรอดในทางที่จะต้องรอด

 

มนุษย์เราต้องเอาตัวรอดในทางที่รอด พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เป็นทั้งคำสั่งคำสอน บอกทางชี้ทางให้เราเอาตัวรอดในทางที่รอด พระธรรมเป็นคำสั่งเป็นคำสอน ถึงมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์หาโทษมิได้ เค้าถึงมีศัพท์เรียกว่า พุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ ปฏิบัติที่สมควร เป็นความพอดี เป็นความพอเพียงเพียงพอ ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป เป็นทางสายกลาง เป็นตัวอย่างแบบอย่างเป็นโมเดลให้กับลูกให้กับหลาน

 

เราต้องรู้เข้าใจ ทำไมลูกหลานเค้ามาเถียงเราเค้ามาย้อนศรเรา ทำไมเค้าออกมาเดินขบวน เพราะเราเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิต ลูกหลานถึงมาเถียงเรามาย้อนศรเรา ประชากรของประเทศเค้าไม่โอเคเค้าไม่เห็นด้วยเพราะมันเป็นความเสียหาย เค้าถึงพากันออกมาเดินขบวนให้ข้าราชการนักการเมืองที่เอาความหลงนำชีวิตเอาความผิดนำชีวิตให้ออกไป ๆ  การเถียงพ่อเถียงแม่ปู่ย่าตายายไม่มีใครอยากจะเถียงเพราะเหตุผลว่า พ่อแม่ปู่ย่าตายายบรรพบุรุษเป็นผู้มีพระคุณอย่างสูงยิ่ง ใครเค้าก็ไม่อยากออกมาเดินขบวนไล่ข้าราชการนักการเมืองนักบวช เพราะว่าข้าราชการนักการเมืองนักบวชไม่ได้เอาทางสายกลางนำชีวิตไม่ได้พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เพราะการเดินขบวนไม่มีงบประมาณในการเดินขบวนไม่สะดวกสบายด้วยประการทั้งหลายทั้งปวง ห้องน้ำห้องสุขาอาหารไม่สะดวกสบายทั้งนั้น

 

ปัจจุบันนี้เวลาประชาชนมหาชนทั้งหลายมองเห็นหน้าข้าราชการ มองเห็นหน้านักการเมือง มองหน้านักบวชทั้งหลาย ความรู้ความเข้าใจนั้นเราจะเห็นแต่เปรต แต่ยักษ์ แต่มาร หน้าอสุรกายมันลอยขึ้นในความจริงความเป็นจริง มองเห็นหน้าข้าราชการมันจะมีความรู้สึกนี้โจร นี้มหาโจร มองเห็นหน้านักการเมืองก็มีความรู้สึกว่านี้โจรนี้มหาโจร มองเห็นหน้านักบวชมีความรู้สึกว่านี้เป็นโจรเป็นมหาโจร ด้วยเหตุผลนี้เราต้องมารู้เข้าใจ เพื่อเราจะได้เป็นมนุษย์ เป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวช อย่าให้ความรู้สึกของประชาชนมองเราเป็นโจรเป็นมหาโจร ประชาชนทั้งหลายเค้าไม่พากันโอเค คำว่าโอเคนี้คือความสงบและปัญญาคือความพอเพียงเพียงพอเป็นความพอดี

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชรัชกาลที่ ๙ ของเมืองไทยท่านให้พวกเราทั้งหลายรู้อริยสัจสี่ เพื่อเราจะได้หยุดความไม่ถูกต้อง ทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง เราจะได้เข้าถึงความรู้ในเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรม เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ อยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่า เราจะไปอยากทำไม เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่า

 

เราจะไปทุกข์ทำไม เพราะเราเกิดมาเพื่อมารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ มามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะเอาความชอบความไม่ชอบนั้นไม่ได้เลย เราทั้งหลายจะได้เป็นมนุษย์ เป็นผู้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต

 

ประเทศไทยเราถึงมีโรงเรียนธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศาสตร์ไหน ๆ ก็ต้องเอาธรรมนำชีวิต การเรียนการศึกษาของมนุษย์มีทั้งหมด ๑๘ ศาสตร์นะ ที่มนุษย์เราดำรงชีพดำรงธาตุดำรงขันธ์อยู่ในการเรียนการศึกษาทั้งหมด ๑๘ ศาสตร์ ๑๘ ศาสตร์ก็มารวมลงที่ธรรมศาสตร์ที่เป็นทางสายกลาง เป็นมรรคเป็นอริยมรรคเป็นความสงบและปัญญา เป็นความพอดีความพอเพียง ผู้ที่เอาความผิดนำชีวิตไม่เอาธรรมนำชีวิต เอาทุจริตนำชีวิต เค้าถึงเรียกบุคคลนั้นว่า ๑๘ มงกุฏ ประชาธิปไตยเสียงข้างมากเป็นส่วนใหญ่ก็ต้องเอาธรรมนำชีวิต สังคมนิยมชมชอบที่เป็นคอมมิวนิสต์ คอมมิวนิสต์ก็ต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาความสงบและปัญญานำชีวิต ถ้าประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์ไปเอาตั้งแต่ทางวิทยาศาสตร์เอาตั้งแต่วัตถุไม่เอาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อม ๆ กันมันก็ย่อมแก้ปัญหาไม่ได้

 

เราคิดดูดี ๆ นะ เป็นคนรวยเราก็ต้องรู้ความจริงรู้อริยสัจสี่ เพื่อไม่ได้เอาความผิดนำชีวิต ต้องรู้เข้าใจ ต้องเอาความสงบเอาความพอเพียงเพียงพอให้เป็นทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุไปพร้อม ๆ กัน ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจเราจะไปเอาตั้งแต่ทางวิทยาศาสตร์เอาแต่ทางวัตถุมันไม่ได้ มันไปไม่ได้ สังคมนิยมก็ต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนูญนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิตนั้นมันใช้ไม่ได้ เพราะตัวตนนั้นแหละคือสีดำ สีเทา สีสกปรก สีกา สีอีกา

 

ประเทศไทยของเรามีโรงเรียนจุฬาฯ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จุฬามณีที่ประดิษฐสถานอยู่บนสรวงสวรรค์เป็นสิ่งที่สูงสุดเปรียบเสมือนพระเกศของพุทธปฏิมากรณ์ เปรียบเสมือนพระเศียร เป็นนามธรรมที่เราระลึกถึงความถูกต้อง เพื่อจะได้เอาความถูกต้องนำชีวิต เพื่อจะให้เข้าถึงทางสายกลางระหว่างจิตใจกับวัตถุ จุฬานี้หมายถึงสิ่งที่สูงสุด ปัญญานี้ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นการพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ เป็นการพัฒนาทางวัตถุที่เป็นวิทยาศาสตร์ไปพร้อม ๆ กัน

 

มนุษย์เราทุกคนอยู่บนโลกนี้ ทุกชาติทุกศาสนาก็ต้องปฏิบัติไปทางเดียวกัน เอาเรื่องจิตเรื่องใจเอาเรื่องวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เพื่อความสมดุลระหว่างจิตใจกับวัตถุ ไม่มีใครที่ได้อภิสิทธิ์พิเศษ ให้เรารู้ให้เข้าใจ เราจะได้มีปัญญามีความสงบ เพราะความถูกต้องมันเป็นสากล ความไม่ถูกต้องก็เป็นสากล

 

เราทั้งหลายทุกชาติทุกศาสนาก็ต้องพากันมารู้ความจริงตามความเป็นจริง เพราะความเป็นจริงนั้นคือประภัสสร เราเอาตัวเอาตนนำชีวิต เอาความผิดนำชีวิตมันเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพทั้งทางวัตถุและทางจิตใจ นี้ไม่ใช่ทางสายกลางนะ ในชีวิตประจำวัน เรานอนให้เพียงพอ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำงานเรียนหนังสือให้มีความสุข เรียนหนังสือก็เพื่อความดับทุกข์ ทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ ทำธุรกิจหน้าที่การงานก็เพื่อความดับทุกข์ เป็นการทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ เรารู้เข้าใจว่าธรรมชาตินั้นเป็นประภัสสรเราจะไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพนั้นไม่ได้ ธรรมชาติเค้ามีอยู่ เมื่อเรามีตาก็มีรูป มีหูก็มีเสียง มีจมูกก็มีกลิ่น มีลิ้นก็มีรส มีกายก็ย่อมมีสัมผัส เราทั้งหลายอย่าไปปรุงแต่ง เราต้องรู้ทุกอย่างด้วยความเป็นจริง เพื่อความไม่ลิดรอน มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ

 

เน้นที่ปัจจุบัน ปฏิบัติที่ปัจจุบัน มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้เป็นมนุษย์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นเทวดาผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นพระพรหมผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นพระอริยเจ้าผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปจะเป็นเบรก เป็นเซฟตี้ เพราะความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เห็นภัยในวัฏฏสงสารมันจะเป็นเบรกเป็นเซฟตี้

 

เราทั้งหลายต้องไม่หมกมุ่นในกามไม่หมกมุ่นในพยาบาท ต้องเห็นภัยในวัฏฏสงสาร มีการประพฤติการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง การทำอะไรติดต่อต่อเนื่อง ๓ อาทิตย์ขึ้นไปมันถึงจะเห็นผล มันถึงจะได้ผล เรารู้เข้าใจพระธรรมพระวินัย เราต้องปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องด้วยปิติด้วยความสุขด้วยเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติเพื่อให้ติดต่อต่อเนื่อง

 

เราต้องรู้เข้าใจ เราต้องปฏิบัติให้ติดต่อต่อเนื่องทำอะไรติดต่อต่อเนื่องตามหลักวิทยาศาสตร์ถึงจะได้ผลเห็นผล จะเป็นชิฟฝังอยู่ในสัญญาขันธ์ มันจะเป็นเมมโมรี่หน่วยความจำที่มันเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมเป็นผลของกรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้หลักการว่าเราต้องเอาพระธรรมพระวินัยมาประพฤติมาปฏิบัติ มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติให้ติดต่อต่อเนื่องกันเป็นเวลา ๕ ปี อย่างนี้มีคิด ๕ ปี อย่างนี้ไม่ตรึก ๕ ปี กิริยามารยาทอย่างนี้ไม่ทำ ๕ ปี อาชีพอย่างนี้แหละ ไม่ทำอาชีพอย่างนี้ ๕ ปี เพื่อดับไม่เหลือด้วยปฏิปทาติดต่อต่อเนื่องกัน การประพฤติการปฏิบัติถึงจะเป็นการไม่เดินไปแล้วถอยกลับมาด้วยปฏิปทา ด้วยความประพฤติในการประพฤติการปฏิบัติ

 

หิริโอตตัปปะ ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปที่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร นี้เป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรมที่สำคัญนะ เราไม่มีหิริไม่มีโอตตัปปะนี้เป็นความเสียหายเป็นการพังทลายเหมือนตึก สตง.นะ ตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เพราะเงินแผ่นดินนั้นได้จากภาษีอากรของประชาชนทุกคนที่อยู่ในประเทศนั้น ๆ เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ไม่รู้ไม่เข้าใจไปตรวจแต่คนอื่น ไปจัดการแต่คนอื่น ลืมตัวเองที่เป็นกายวาจากิริยามารยาทเป็นใจ ไม่ได้ตรวจดูตัวเองเลย สาเหตุนี้ตึก สตง.ของเมืองไทยจึงได้พังทลาย ตึกอื่นมีมากมายหลายร้อยทั้งกรุงเทพฯทั้งปริมณฑลอยู่ต่างจังหวัดไม่พังทลาย พังทลายแห่งเดียวคือตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ให้รู้เข้าใจ ความไม่ถูกต้องก็ย่อมพังทลายเหมือนตึก สตง. เช่นเดียวกัน เราทั้งหลายด้วยเหตุผลนี้เราต้องเป็นผู้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปเห็นภัยในวัฏฏสงสาร

 

ให้รู้เข้าใจว่าชีวิตของเราชั่วครู่ชั่วยาม อายุขัยของเราจะอยู่ได้ ๑ ศตวรรษ คือร้อยปี เราต้องเอาสรีระร่างกายมาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ เพื่อเราะจะได้สร้างความดีสร้างบารมีอย่างต้นอย่างกลางอย่างสูงสุด ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติชีวิตสังขารร่างกายนี้ก็ย่อมอยู่ได้มากกว่าร้อยปี

 

เราไม่รู้ไม่เข้าใจ การดำเนินชีวิตของเราก็ย่อมเอาความผิดนำชีวิต ชีวิตก็ย่อมเป็นอบายมุขอบายภูมิ ไม่ได้เป็นมนุษย์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ไม่ได้เป็นเทวดาผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ไม่ได้เป็นพระพรหมผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารไม่ได้เป็นพระอริยเจ้าผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารมันเป็นอบายมุขอบายภูมิ เราไปพัฒนาตั้งแต่วิทยาศาสตร์ไม่ได้ เราต้องพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์พัฒนาทั้งใจไปพร้อม ๆ กันเพื่อเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เราเอากามเอาพยาบาทนำชีวิตไม่ได้ ต้องเอาความสุขความสงบ ความสงบความความเคารพความซื่อสัตย์ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง มันจะเป็นความพอดีความพอเพียงเพียงพอมันจะหยุดอบายมุขอบายภูมิ

 

เราคิดดูดี ๆ เค้าปราบปรามความผิดให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะกฎหมายนั้นเป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นความพอดี เพราะเหตุผลว่า สิ่งที่เสพติดพวกเหล้าพวกเบียร์ ฝิ่น เฮโรอีน กัญชา ยาม้า ยาอี เล่นการพนันต่าง ๆ เที่ยวกลางวันเที่ยวกลางคืน ตำรวจทหารข้าราชการนักการเมืองพากันรณรงค์ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องมานับเป็นเวลาเป็นร้อยปีก็แก้ปัญหาไม่ได้มีแต่มากทวียิ่ง ๆ ขึ้นไป

 

อย่างโครงการขับขี่รถจักรยานยนต์เพื่อความสะดวกความสบายให้สวมหมวกกันน็อค รถจักรยานยนต์เข้ามาในเมืองไทยเป็นเวลาช้านานมากกว่า ๖๐ ปี เรื่องสวมหมวกกันน็อคนี้ก็ยังทำไม่ได้ เพราะเราไม่เห็นความสำคัญในการที่จะแก้ไข พ่อแม่ต้องประพฤติปฏิบัติให้เป็นตัวอย่าง ข้าราชการนักการเมืองก็ต้องปฏิบัติให้เป็นตัวอย่างแบบอย่าง ผู้ที่มาบวชในพระศาสนาทุก ๆ ศาสนาก็ต้องประพฤติปฏิบัติให้เป็นตัวอย่างแบบอย่าง การพูดให้ฟังหลายร้อยหลายพันครั้งก็ไม่มีค่าเท่ากับการประพฤติการปฏิบัติให้ดูทำให้ดู

 

การปฏิบัติต้องให้ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เราเอาหลักการ เช่นผู้ที่มาบวช ข้าราชการลางานมาบวชหรือว่าลูกประชาชนมาบวช มาบวชในพรรษาก็ต้องใช้เวลาติดต่อต่อเนื่องในการประพฤติการปฏิบัติ เป็นระยะเวลา ๔ เดือน ให้มาเตรียมตัวที่จะบวช มาฝึกในการจะบวช ตั้งใจตั้งเจตนา เพราะอะไรก็ไม่ดีเท่ากับบวช บวชนี้หมายถึงอบรมบ่มอินทรีย์ ทำความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ยกเลิกนิติบุคคลตัวตน มาปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง ระยะเวลา ๑๒๐ วัน ลาราชการได้ก่อนจะเข้าพรรษา ๑๕ วัน ออกพรรษาแล้วอีก ๑๕ วัน รวมกันทั้งก่อนพรรษา ในพรรษา ออกพรรษา รวมเป็นเวลา ๑๒๐ วัน เพื่อเป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม การทำอะไรติดต่อต่อเนื่อง ระบบความคิดคำพูดการกระทำ จะเข้าสู่ความเป็นประภัสสร หยุด ละ เลิก หยุดยกเลิกลิดรอนสิทธิเสรีภาพเพื่อเป็นปฏิปทาที่ติดต่อต่อเนื่องเป็นเวลา ๑๒๐ วัน ผู้ที่มาบวชมาบรรพชาทั้งหลายให้รู้เข้าใจนะ เราจะได้บวชทั้งกายทั้งวาจากิริยามารยาททั้งอาชีพ

 

การที่จะบริหารประเทศพวกนักเมืองเขาถึงให้มีวาระทั้งหมด ๔ ปีน่ะ การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องกัน ๔ ปีที่เป็นนักการเมืองต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาความถูกต้องนำชีวิต อย่าเอาความผิดนำชีวิต ต้องเอาความดีที่ประกอบด้วยปัญญา ต้องติดต่อต่อเนื่องกัน ระบบข้าราชการนักการเมืองต้องอาศัยเวลาประมาณ ๔ ปี ประเทศไหนเค้าทำได้ติดต่อต่อเนื่องกัน ๔ ปี มันจะได้ผลเห็นผล นักการเมืองทั้งหลายต้องเข้าใจอย่างนี้นะ ส่วนราชการ การประพฤติการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกันนาน ๆ จนเกษียณอายุของส่วนราชการ เราต้องเอาความถูกต้อง เอาความดี เอาความสงบและปัญญา เราทั้งหลายจะไม่ได้เป็นข้าราชกิน เราเอาแต่เงินเดือนก็พอเพียงเพียงพอ เพราะความสุขความดับทุกข์อยู่ที่เรารู้เข้าใจไม่เอาความหลงนำชีวิตไม่เอาอบายภูมินำชีวิต ความดับทุกข์มันดับได้ด้วยความสงบด้วยปัญญา ด้วยความพอดีความพอเพียงเพียงพอ

 

เราทั้งหลายให้รู้เข้าใจนะ ทุกคนเป็นพระได้ คำว่าพระนี้คือพระธรรมคือพระวินัย คำว่าข้าราชการนักการเมืองคือพระธรรมคือพระวินัยคือความสงบและปัญญา เป็นความถูกต้องเป็นความสงบและปัญญา เข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา ยกเลิกสิทธิเสรีภาพ ไม่เอาความหลงนำชีวิต เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นประภัสสรเราต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะได้มีปิติมีความสุขในการเป็นข้าราชการนักการเมืองเป็นนักบวช

 

เราให้รู้เข้าใจนะ เราต้องรู้เข้าใจ ทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายน่ะเป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวชก็ทำได้ คนที่ทำไม่ได้คือบุคคลที่เอาสัญชาตญาณนำชีวิตเอานิติบุคคลตัวตนนำชีวิต บุคคลเช่นนี้คือบุคคลที่ทำไม่ได้ บุคคลที่ทำไม่ได้อีกก็คือคนบ้าคนวิกลจริต เพราะสมองมันเสีย ทางส่วนราชการนักการเมืองเค้าถึงไม่เอาโทษกับคนบ้า คนวิกลจริต ทางศาสนาก็ไม่เอาเรื่องเอาราวกับคนบ้าคนวิกลจริต ข้าราชการนักการเมืองนักบวชนี้ทำได้หมด

 

ให้เราทั้งหลายรู้เข้าใจ มีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร การปฏิบัติของเราต้องติดต่อต่อเนื่องกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนี้จะได้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เราทั้งหลายมาระลึกถึงปัจฉิมโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านตรัสไว้ก่อนที่จะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน ท่านได้ตรัสไว้ว่า

 

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

 

เรามาระลึกถึงโอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตพูดให้เรารู้เข้าใจจะได้ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท

ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ

ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู

ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร

 

ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละ คือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม

 

ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาทจะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความสงบและปัญญา ธรรมะนั้นถึงหยุดความปรุงแต่งได้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ

 

ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายที่ได้สรีระร่างกายที่ประเสริฐเกิดมาเป็นมนุษย์

เราต้องรู้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เพื่อให้เข้าถึงพระนิพพานที่เป็นประภัสสร เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ที่งามในเบื้องต้นท่ามกลางในที่สุดเป็นความสง่างามทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพมาลงที่ใจเป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ปิติสุขเอกัคคตาต้องมีอยู่กับเราในการประพฤติการปฏิบัติ เมื่อมันผ่านไปแล้วเราก็ต้องปล่อยต้องวางเพราะมันผ่านไปแล้วมันเกษียณไปแล้วต้องรู้เข้าใจเพราะความถูกต้องเป็นทางเดินของเรา พระนิพพานที่หยุดเรื่องกรรมกฎแห่งกรรมเรื่องผลของกรรม พระนิพพานคือความสงบและปัญญา เราทั้งหลายต้องหยุดด้วยความสงบด้วยปัญญาด้วยปฏิปทาที่ติดต่อต่อเนื่อง นี้เป็นการทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ ทุกคนก็เป็นพระได้พอ ๆ กัน เราต้องรู้จักคำว่าพระ รู้จักคำว่านิพพาน พระนิพพานคือบ้านของเรานะ ไม่ใช่ความหลงเป็นบ้านของเรา

 

ขออนุโมทนาอย่างยิ่งกับท่านทั้งหลายในวันเสาร์วันอาทิตย์พากันมาให้ทานพากันมารักษาศีลพากันมาฟังพระธรรมเทศนาเพื่อเป็นความดีเป็นบารมีเป็นความสงบและปัญญา ความสงบและปัญญาจะมารวมกันเป็นหนึ่งที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นธรรมนูญเป็นรัฐธรรมนูญอยู่กับเราทุกท่านทุกคนให้รู้เข้าใจนะ

 

การบรรยายพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันเสาร์ที่ ๖ เช้าวันนี้ก็เห็นสมควรแก่เวลา

----------------------------------

โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม

เมตตาให้ไว้ในเช้าวันเสาร์ที่ ๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

Visitors: 99,436