๒๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ ๒๕ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ ดำเนินชีวิตที่ถูกต้องให้เป็นทางสายกลาง จะได้พัฒนาทั้งใจพัฒนาทั้งวัตถุไปพร้อม ๆ กัน เราต้องรู้เรื่องของความทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ เรื่องข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เรามีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบันในชีวิตประจำวัน เพราะปัจจุบันเราถือว่าเป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ อดีตก็มารวมกันอยู่ที่ปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มาอยู่ที่ปัจจุบัน เป็นประโยชน์ทั้งปัจจุบันและในอนาคตต่อไป ด้วยความดีด้วยบารมี ด้วยปฏิปทาที่เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ
เราทั้งหลายทุก ๆ คนมาเน้นการประพฤติการปฏิบัติของตัวเราเอง เราไม่ต้องไปอาศัยใคร อาศัยตัวของเราเองนี้แหละ ตนแลเป็นที่พึ่งของตน เราพากันเอาหลักการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้พวกเราเข้าใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นได้แก่พระธรรมพระวินัย ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นคือพระธรรมคือพระวินัย หาใช่นิติบุคคลตัวตนไม่ คือพระธรรมคือพระวินัย เราจะเอาพระธรรมพระวินัยเป็นหลักการในการประพฤติการปฏิบัติ
เราอาศัยหลักการคือพระธรรมคือพระวินัย พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้บำเพ็ญพุทธบารมีเป็นเวลายาวนานหลายล้านชาติ หลายล้านปี หลายอสงไขย เราเอาตัวอย่างแบบอย่างที่เป็นหลักการอุดมการณ์อุดมธรรม
เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยเป็นหลักการเป็นอุดมการณ์อุดมธรรม เราทั้งหลายต้องหยุดทำอะไรตามใจตามอัธยาศัย ต้องตามพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะเราต้องรู้เข้าใจว่าพระธรรมพระวินัยนั้นมันเป็นกฎของกรรม เป็นกฎแห่งกรรม เป็นปัจจุบันธรรม เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล เหนือความปรุงแต่งใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นความสงบและปัญญา เป็นปัญญาและความสงบ เพราะเหตุผลว่าอดีตก็รวมอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน การประพฤติการปฏิบัติของเราถึงเป็นประโยชน์ต่อชาติปัจจุบันและชาติต่อ ๆ ไป ด้วยพระธรรมด้วยพระวินัยที่เป็นเหตุเป็นปัจจัย
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ให้เรารู้เข้าใจนะ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ปัจจุบันถึงเป็นฐานของอนาคต
ให้พวกเรารู้ให้เข้าใจ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นอดีตนั้นจะได้หยุดลงหรือดับลงที่ปัจจุบัน สิ่งที่เป็นอนาคตสิ่งที่ไม่ถูกต้องจะได้หยุดลงดับลงที่ปัจจุบัน เราทั้งหลายต้องพากันประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ เราทุกคนต้องรู้เรื่องในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะได้ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ จะได้ผ่านไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เป็นประโยชน์ทั้งปัจจุบัน เป็นประโยชน์ทั้งอนาคต ด้วยเหตุผลนี้เราถึงต้องเอาพระธรรมพระวินัยดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ เพื่อให้ก้าวไปด้วยเหตุด้วยปัจจัย
เราทั้งหลายถึงลงใจวางไว้ใจในพระรัตนตรัย ได้แก่พระพุทธ พระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ไม่ลังเลสงสัยในการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ถือทิฏฐิมานะ อัตตาตัวตน ยกเลิกทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน รู้ธรรมรู้สภาวธรรมแห่งควรมจริงว่าทุกอย่างนั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นเพียงเหตุเพียงปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี มีตาถึงมีรูป มีหูถึงมีเสียง มีจมูกถึงมีกลิ่น มีลิ้นถึงมีรส มีกายถึงมีสัมผัส มีใจถึงมีความรู้สึกนึกคิด รู้เข้าใจ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี สิ่งต่าง ๆ นั้นรู้เข้าใจ ว่าเป็นเพียงอาคันตุกะชั่วครู่ชั่วยามที่สัญจรไปมา ชั่วครู่ชั่วยาม สิ่งเดิมแท้นั้นคือความประภัสสร สิ่งที่สัญจรไปมานั้นเป็นเพียงอาคันตุกะ
ด้วยเหตุผลนี้เราถึงตั้งมั่นในพระรัตนตรัย เพื่อถือเอาหลักการอุดมการณ์อุดมธรรมดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ เราพากันมารู้จักปัญหา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นจะได้จบลงเพียงผัสสะ ไม่ต้องให้เกิดความปรุงแต่งที่เป็นเรื่องเป็นราวไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นจะได้จบลงเพียงผัสสะ เอาผัสสะทั้งหลายทั้งปวงมาพิจารณายกผัสสะนั้นเข้าสู่พระไตรลักษณ์ ว่าทุกอย่างนั้นไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นเพียงสภาวธรรมที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปตามอายุขัยของผัสสะนั้น ๆ รู้จักวงจร รู้จักขบวนการ
เราทั้งหลายพากันรู้พากันเข้าใจ เราทั้งหลายถึงได้บำเพ็ญบารมีที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เพื่อมาร้อยเป็นพวงมาลาที่สวยสดงดงาม ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่างามในเบื้องต้นคือศีล งามในท่ามกลางคือสมาธิ งามในที่สุดคือปัญญา ด้วยความรู้ความเข้าใจ ว่าศีลสมาธิปัญญาเป็นความงามในเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุด ความรู้ความเข้าใจมีปิติมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติเป็นความสวยสดงดงาม ความตั้งมั่นไม่หวั่นไหวตามผัสสะตามอารมณ์ตามสิ่งแวดล้อมเป็นความงาม จิตใจรู้แจ้งในเรื่องอดีตที่ผ่านมา รู้แจ้งอนาคต เอาปัจจุบันนี้มาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ เพื่อจะได้จบลงเพียงผัสสะ จบลงด้วยศิลปะ คือจบลงด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา รู้เรื่องอัตตา หยุดด้วยอนัตตา ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ที่เป็นมรรคเป็นอริยมรรค เป็นปัจจุบันธรรม
เราทั้งหลายต้องพากันรู้ พากันเข้าใจ เอาพระธรรมเอาพระวินัยนำชีวิต ให้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้จบลงเพียงผัสสะ ความสงบของเราต้องให้เพียงพอ เราต้องหยุดสิ่งที่เป็นอดีตให้ได้ด้วยรู้เข้าใจในเรื่องพระไตรลักษณ์ ว่าทุกอย่างนั้นมันคือเหตุคือผลของกรรม เราทั้งหลายอย่าให้กรรมเก่ามันปรุงแต่งใจของเราได้
ให้เรารู้เข้าใจ ว่าเราทั้งหลายนั้นมีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บไข้ไม่สบายเป็นธรรมดา มีความพลัดพรากจากไป เกษียณไปเป็นธรรมดา ให้เรารู้เข้าใจว่านั้นคือกรรม กรรมเก่า เราต้องรู้เข้าใจเรื่องกรรมเก่า เราทั้งหลายจะได้หยุดเพียงเท่านี้ ไม่ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรน เรายอมรับ มีหนี้มีสินก็ต้องยอมรับหนี้สิน เราอย่าไปกระเสือกกระสนสร้างหนี้ใหม่ขึ้นมาอีก ให้เรารู้เข้าใจว่า ความปรุงแต่ง ความดิ้นรนกระเสือกกระสนเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง ความสงบระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจ
เราต้องหยุดตัวเองด้วยพระธรรมพระวินัยด้วยความเข้าใจ เราต้องหยุดความปรุงแต่งด้วยสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธินั้นเป็นองค์ประธาน สัมมาสมาธิของเราต้องเข้าถึงพระนิพพานอยู่ในปัจจุบัน ด้วยความรู้ความเข้าใจว่า ความสงบระงับสังขารทั้งหลายที่เป็นความสงบและปัญญา ที่เป็นปัจจุบันธรรมนี้จะอบรมบ่มอินทรีย์ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราต้องรู้เข้าใจ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเป็นวาระ ๆ ไป ใจของเรามันก็คิดได้ทีละอย่าง ถ้าเรารู้เข้าใจ เราก็หยุดด้วยสัมมาสมาธิ เพื่อเป็นเบรกเป็นเซฟตี้ เหมือนรถเหมือนเครื่องบินเหมือนเรือ เค้าก็มีเบรกมีเซฟตี้ เราต้องรู้กรรมรู้กฎแห่งกรรมรู้ผลของกรรม เราต้องเบรกตัวเอง หยุดตัวเอง เซฟตี้ตัวเอง
การประพฤติการปฏิบัติต้องประพฤติปฏิบัติให้ติดต่อต่อเนื่องใช้เวลานาน ด้วยอาศัยหลักพระธรรมหลักพระวินัย เพื่อการประพฤติการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ความปรุงแต่งมาแทรกมาแซง เหมือนสถานีออกอากาศโทรทัศน์ รายการดี ๆ ก็ย่อมมีโฆษณา สิ่งที่ไม่รู้ทุกข์ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์มันจะเป็นรายการโฆษณาสรรพสินค้าต่าง ๆ นานา เราทั้งหลายถึงต้องมีสัมมาสมาธิติดต่อต่อเนื่องกัน การทำอะไรติดต่อต่อเนื่องกันจะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ไม่เปิดโอกาสให้รายการต่าง ๆ มาโฆษณาสรรพสินค้าต่าง ๆ นานา ปัจจุบันนี้ถึงเป็นวาระสำคัญของเราทุก ๆ คน เราทั้งหลายถึงต้องเจริญสติสัมปชัญญะ เอาความสงบและปัญญา ให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ปัจจุบันต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย
ปัจจุบันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเราให้ทั้งหลายเจริญพระกรรมฐาน คำว่าพระคือพระธรรมคือพระวินัย ปัจจุบันเราต้องมีพระธรรมพระวินัยเป็นพื้นฐานจะได้เป็นพระกรรมฐาน จะได้เป็นความดีจะได้เป็นบารมีทั้งเบื้องต้นท่ามกลางถึงที่สุด เราทั้งหลายถึงต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ถือว่าปัจจุบันนี้เป็นวาระแห่งชาติของการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องมีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ มีฉันทะมีความพอใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตา ก้าวไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เพราะอันนี้มันเป็นยาน เพื่อหยุดวัฏฏสงสารให้เราออกจากวัฏฏสงสาร เค้าจะเดินทางไกลก็ต้องอาศัยยาน ยานก็ได้แก่เท้าซ้ายเท้าขวา ยานสมัยใหม่ก็ได้แก่รถเรือเครื่องบินที่เป็นยาน ที่นำเราเดินทางไกล อย่างที่นำเราออกจากวัฏฏสงสารถึงเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เมื่อเรามันผ่านไปแล้วเราก็ต้องปล่อยต้องวางเพราะมันผ่านไปแล้วมันเกษียณแล้ว เราอย่าดีใจเสียใจในอดีตที่ผ่านมา เอาปัจจุบันเป็นวาระสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ
เราทั้งหลายเน้นการประพฤติการปฏิบัติมาที่ตัวของเราเอง ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใคร เพราะสิ่งเหล่านี้เราพึ่งพาอาศัยใครไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องเฉพาะตน เรามีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติทุกอย่างนั้นก็จะมีแต่คุณไม่มีโทษไม่มีปัญหาไม่สร้างปัญหา พระธรรมพระวินัยพระรัตนตรัยถึงมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ถึงเรียกว่าพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ปฏิบัติสมควรที่จะเคารพกราบไหว้ ตัวเราเองก็กราบไหว้ตัวเราเองได้ คนอื่นก็กราบไหว้เราอย่างลงใจ ชีวิตนี้ก็ย่อมก้าวไปด้วยความสว่างไสว ว้าว ว้าว เหมือนไซเรนจราจรที่นำเสด็จของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าอยู่หัวก็หมายถึงปัญญาบริสุทธิคุณที่เป็นนามธรรม
ให้เรารู้เข้าใจ กายวาจากิริยามารยาทที่เอาความดีที่ประกอบด้วยความดี ความดีประกอบด้วยปัญญา เป็นคุณสมบัติคุณธรรมของผู้ดี พระธรรมพระวินัยเป็นคุณสมบัติคุณธรรมของผู้ดีที่เป็นทั้งความสงบเป็นทั้งผู้มีปัญญา ผู้มีปัญญาทั้งหลายผู้พัฒนาวิทยาศาสตร์ทั้งหลายต้องรู้เข้าจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ มีปัญญามากก็ต้องเข้าใจว่าต้องมีความสงบมาก มีความสงบมากก็ต้องเข้าใจต้องเสียสละให้มาก
ความสงบและปัญญาจะเป็นหนึ่งเดียวจะเป็นความพอเพียงเพียงพอเป็นความพอดีไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป เพราะความพอดีความพอเพียงเพียงพอต้องรู้เข้าใจ เราอยากให้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่านี้แหละ ของมันมีอยู่เท่านี้แหละเราอยากให้น้อยมันก็ไม่น้อย เราต้องรู้จักความพอดีความพอเพียง ศีลสมาธิปัญญาถึงเป็นความพอเพียงเพียงพอ
เราต้องรู้เข้าใจเราทั้งหลายจะได้ก้าวไปด้วยความสงบด้วยปัญญา เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราทั้งหลายต้องมายกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้องให้หมด ยกเลิกธุรกิจหน้าที่การงานที่เป็นวัฏฏสงสารที่ท่องเที่ยวมานาน ให้เข้าใจเหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ท่านตรัสว่าปล่อยวาง ช่างหัวเผือกช่างหัวมัน ให้ปล่อยวาง อดีตก็ปล่อยวาง อนาคตก็ปล่อยวาง ปัจจุบันเอาความสงบและปัญญาเพื่อเข้าถึงความพอดีเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงพระนิพพานบ้านของเราคือพระธรรมพระวินัยที่เป็นความงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลางคือความตั้งมั่น งามในที่สุดคือปัญญา
รู้เรื่องอัตตารู้เรื่องอนัตตาให้เข้าถึงปัจจุบันธรรม ด้วยเหตุผลนี้ เราถึงยกเลิกสักกายทิฏฐิ ยกเลิกตัวยกเลิกตน เข้าถึงธรรมเข้าถึงคารวธรรม เข้าถึงฐานเข้าถึงพื้นฐาน เราถึงจะเข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญา ถ้าเราถือตัวถือตนเราก็ไม่สงบ เพราะตัวตนนั้นคือความไม่สงบ ตัวตนนั้นมีแต่ความฟุ้งซ่าน ตัวตนมีแต่ความลังเลสงสัย ตัวตนนั้นมีแต่ความอยากได้อยากมีอยากเป็นอยากเด่นอยากดัง ตัวตนถึงเป็นสงครามในปัจจุบัน ในชีวิตประจำวัน คารวธรรม เราทุกคนต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติ คารวธรรมที่เป็นหลักการมีอะไรบ้าง คารวธรรมก็ได้แก่
คารวะ หรือ คารวตา ๖ ความเคารพ การถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะพึงใส่ใจและปฏิบัติด้วยความเอื้อเฟื้อด้วยความตั้งใจตั้งเจตนา หรือโดยความตั้งมั่นหนักแน่นเอาจจริง ๆ จัง ๆ การมองเห็นด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ เห็นคุณค่า เห็นความสำคัญแล้วปฏิบัติต่อบุคคลอื่นหรือต่อวัตถุนั้น ๆ โดยถูกต้อง ด้วยความจริงใจ เป็นเหตุให้เกิดสติเกิดปัญญา เป็นโอกาสเป็นเวลาที่เราจะได้ละอัตตาตัวตน เราทั้งหลายจะได้มีความสงบมีปัญญา
หนึ่ง สัตถุคารวตา ความเคารพในพระรัตนตรัย ในพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ เพื่อยกเลิกสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน ถ้ามีตัวตนมีตนแล้วมันก็ตกอยู่ในสัญชาตญาณมันเป็นการเอาตัวตนครองธาตุครองขันธ์ครองอายตนะ เป็นการที่เราไม่ได้เอาความถูกต้อง ไม่ได้เอาพระรัตนตรัยนำชีวิต ด้วยการเอาตัวเอาตนนำชีวิต เอาอีโก้นำชีวิต ข้อนี้บางแห่งเขียนไว้ในหนังสือ ว่าเราทุกคนต้องเคารพคารวะต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั้นคือพระธรรมคือพระวินัย ข้อวัตรกิจวัตร ในการดำเนินชีวิต เราทั้งหลายต้องเคารพในพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ เพราะพระธรรมพระวินัยเป็นพระรัตนตรัยเป็นพระพุทธพระธรรมพระอริยสงฆ์ พระอานนท์ได้ตรัสทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้วจะให้ตั้งใครแทนองค์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่นตรัสว่า อานนท์เอย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เอาพระธรรมพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ ให้เราพากันจับหลักจับประเด็นให้ได้ พระธรรมพระวินัยแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ที่อยู่ในพระไตรปิฎก แบ่งเป็น พระวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระสูตร ๒๑,๐๐๐ พระอภิธรรม ๔๒,๐๐๐ รวมกันเป็น ๘๔,๐๐๐ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้เอาพระธรรมเอาพระวินัยข้อวัตรกิจวัตรต่าง ๆ แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทั้งหลายต้องมาเคารพคารวะในพระรัตนตรัยคือพระธรรมพระวินัยคือข้อวัตรข้อปฏิบัติเป็นธรรมที่จะทำให้เราเจริญไม่มีความเสื่อม
สอง ธัมมคารวตา เคารพในพระธรรม ตั้งอยู่ในความไม่เพลิดเพลิน ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพราะการประพฤติการปฏิบัติเน้นที่ปัจจุบัน กงเกวียนกงกรรม ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ ปัจจุบันเป็นวาระแห่งชาติ เราอย่าได้ไปประมาท ประมาทเล็กน้อยก็ผิดพลาดเล็กน้อย ประมาทปานกลางก็ผิดพลาดปานกลาง ประมาทอย่างใหญ่ก็ผิดพลาดอย่างใหญ่ ให้รู้เข้าใจเรื่องความประมาท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานท่านได้ตรัสแก่พระภิกษุทั้งหลายว่า การประพฤติการปฏิบัติ ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ เป็นวาระแห่งชาติในการประพฤติการปฏิบัติเธอทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด อย่าคิด่าเรามีปัญญา เราจะแก้ปัญหาได้ เมื่อเรามีปัญญาเราก็ต้องมีพระธรรมพระวินัย เพราะพระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ เมื่อเรามีปัญญาเราก็ต้องมีความสงบ เมื่อเรามีความสงบเราก็ต้องมีปัญญา เราทั้งหลายต้องพากันรู้เข้าใจ เราต้องเคารพคารวะในธรรมในสภาวธรรม เพราะทุกอย่างคือกรรมคือกฎแห่งกรรมคือผลของกรรม ที่เรามีธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้าอายตนะหกมันเป็นผลของกรรมในการเวียนว่ายตายเกิดที่เราทุกคนไม่รู้ไม่เข้าใจ
สาม สังฆคารวตา ความเคารพในสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้แก่ ผู้ที่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์เป็นผู้ปฏิบัติสมควรปฏิบัติเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป มีความสงบมีปัญญาไปพร้อม ๆ กันมีศีลมีสมาธิมีปัญญาไปพร้อม ๆ กันเป้นผู้ที่สมควรแก่พวกเราทั้งหลายต้องเคารพกราบไหว้บำรุงกับท่านผู้นั้น เพราะท่านผู้นั้นก็ได้แก่ความสงบและปัญญา ยกเลิกอัตตายกเลิกตัวตนไม่มีอีโก้อะไร มีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา
สี่ สิกขาคารวตา หมายถึงเคารพในการเรียนการศึกษา มนุษย์เราต้องมีการเรียนการศึกษา การเรียนการศึกษาของมนุษย์มีอยู่ทั้งหมด ๑๘ อย่าง ๑๘ อย่างมีอะไรบ้าง ๑๘ อย่างก็ได้แก่
- ยุทธศาสตร์ วิชานักรบ
- รัฐศาสตร์ วิชาการปกครอง
- นิติศาสตร์ วิชากฎหมายและจารีตประเพณีต่างๆ
- วาณิชยศาสตร์ วิชาการค้า
- อักษรศาสตร์ วิชาหนังสือ
- นิรุกติศาสตร์ วิชารู้ภาษาของตนแตกฉานดี และรู้ภาษาของชนชาติที่ติดต่อกัน
- คณิตศาสตร์ วิชาคำนวณ
- โชติยศาสตร์ วิชาดูดวงดาวต่างๆ คือรู้จักว่าดวงดาวนั้นๆ ตั้งอยู่ทางทิศนั้นๆ และประจำเมืองนั้นๆ และรู้จักสีแสงของดวงดาวต่างๆ อันบอกลางดีและลางร้ายในกาลบางครั้ง
- ภูมิศาสตร์ วิชารู้พื้นที่ต่างๆ หรือรู้จักแผนที่ของประเทศต่างๆ
- โหราศาสตร์ วิชาโหร คือรู้พยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ ได้ และรู้ทายดวงชะตาราศีของคนได้ด้วย
- เวชศาสตร์ วิชาหมอยา
- สัตวศาสตร์ วิชารู้ลักษณะของสัตว์และเสียงสัตว์ว่าร้ายหรือดี
- เหตุศาสตร์ วิชารู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งผลว่าร้ายหรือดี
- โยคศาสตร์ ยันตรศึกษา คือรู้จักความเป็นช่างกล
- ศาสนศาสตร์ วิชารู้เรื่องศาสนา คือรู้จักประวัติความเป็นมาแห่งศาสนาทุกๆ ศาสนาที่มหาชนนิยม เพื่อปฏิบัติไม่ขัดแก่สังคมใดๆ และรู้คำสอนในศาสนานั้นๆ ด้วย
- มายาศาสตร์ วิชารู้กลอุบาย หรือรู้ตำรับพิชัยสงคราม
- คันธรรพศาสตร์ วิชาคนธรรพ์คือวิชาร้องรำ(ละคอน) ที่เรียกชื่อว่า "นาฏยศาสตร์" และวิชาดนตรีปี่พาทย์ ที่เรียกชื่อว่า "ดุริยางคศาสตร์"
- ฉันทศาสตร์ วิชาประพันธ์ คือแต่งหนังสือได้ ทั้งที่เป็นร้อยกรอง(บทกลอน) และร้อยแก้ว(ความเรียง)
เราทุกคนเกิดมา ต้องรู้ต้องเข้าใจ เราต้องมีทั้งตาเนื้อตาหนังตาปัญญาเพื่อความรู้ความเข้าใจ มนุษย์เราต่างจากสรรพสัตว์ทั้งหลายก็เพราะมาจากการเรียนการศึกษา การเรียนการศึกษานี้เป็นความรู้ความเข้าใจมันไม่ใช่ความจำ การที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจความหมาย เราไปเรียนหนังสือ ไปศึกษาค้นคว้า ไปฟังการบรรยายความหมายเพื่อความรู้ความเข้าใจ เพื่อจะเอาความรู้ความเข้าใจไปประพฤติปฏิบัติให้เกิดความสงบเกิดปัญญา ให้เกิดปัญญาเกิดความสงบ ไม่ใช่ไปเรียนไปศึกษาเพื่ออัตตาตัวตนให้รู้เข้าใจ เราทั้งหลายอย่าไปคิดว่าการเรียนการศึกษานั้นเพื่อตัวเพื่อตน ไม่ใช่นะ การเรียนการศึกษาเพื่อเสียสละเพื่อละตัวละตน พระนักปฏิบัติทั้งหลายอยู่ป่าอยู่เขา ที่มุ่งมรรคผลพระนิพพานอย่าไปว่าให้ในบ้านในเมืองในกรุง เค้าเรียนเค้าศึกษา ไปว่าให้เค้าเรียนศึกษาเพื่อตัวเพื่อตนเพื่อยศเพื่อตำแหน่ง การเรียนการศึกษาความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติให้เข้าใจอย่างนี้ เรามีความคิดเห็นผิดเข้าใจผิด เราไม่เรียนไม่ศึกษาเรายังไปว่าให้เค้าอีกเรายังไปตำหนิเค้าอีกนั้นไม่ได้ ผู้ที่เป็นพระธรรมกถึกก็ต้องรู้เข้าใจ ผู้ที่เป็นวินัยธรก็ต้องรู้เข้าใจ เราทั้งหลายจะไม่ได้ทะเลาะกัน จะได้ไม่ยกหูชูงวงในการประพฤติการปฏิบัติ เราทั้งหลายจะรู้การประพฤติการปฏิบัติ เพราะการประพฤติการปฏิบัตินั้นรู้เข้าใจอยู่ที่ไหนก็พากันปฏิบัติที่นั่นอยู่ที่ไหนเรามีธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้าอายตนะทั้งหกเราก็ปฏิบัติที่นั่น ธรรมะคือความสงบคือปัญญา ธรรมะนั้นลดทิฏฐิมานะอัตตาตัวตนธรรมะจะมีแต่ความสงบมีแต่ปัญญา เราเป็นนักปฏิบัติอยู่ในป่าในเขา เป็นผู้เรียนผู้ศึกษาอยู่ในเมืองกรุงทั้งหลายอย่าไปทะเลาะกัน เราทั้งหลายต้องมีความสงบมีความเคารพ เพราะตัวตนมันปรุงมันแต่งมันไม่สงบไม่เคารพมีแต่อัตตาตัวตน ผู้ที่อยู่ในเมืองกรุง อยู่ชนบทอยู่ป่าอยู่เขา เราทั้งหลายก็ต้องมีความสงบมีปัญญามีพระธรรมพระวินัยเป็นเครื่องอยู่ก้าวไปด้วยความสงบด้วยปัญญา ไม่ใช่ก้าวไปด้วยอัตตาตัวตนไม่ใช่ก้าวไปด้วยอีโก้ยกหูชูงวงให้รู้เข้าใจ
ห้า อัปปมาทคารวตา ความเคารพในความไม่ประมาท ความประมาทคือความผิดพลาดแน่นอนนอนแน่ ให้เราเข้าใจ ถ้าใครมีความประมาทคนนั้นย่อมผิดพลาดแน่นอน พากันไปเผยแผ่ถ้าไปประมาทก็ต้องนอนแผ่ด้วยความประมาทผิดพลาดนะ ให้เข้าใจอย่างนี้ ให้เราละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป หวาดสะดุ้งเกรงกลัวต่อบาปอย่าไปคิดว่าตัวเองมีปัญญามากจะเอาตัวรอด เดี๋ยวจะเป็นการเก็บเล็กผสมน้อยของความประมาทจะเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตมันจะพังทลายเหมือนตึก สตง.ของเมืองไทย สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ก็เพราะเอาความประมาทนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิต เอาอีโก้นำชีวิต เราต้องเข้าใจในเรื่องของความประมาทนะ เข้าใจในเรื่องความไม่ประมาทนะ ความไม่ประมาทมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้มีเมตตาบอกมหาชนทั้งหลาย ในกาลเวลาที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานว่า ความประมาทนี้เป็นอันตรายที่ยิ่งใหญ่ใหญ่ยิ่ง
ข้อที่ ๖ ข้อสุดท้ายของคารวธรรม คือเคารพในพระธรรม เคารพในการต้อนรับปฏิสันถาร ไม่แบ่งชั้นวรรณะ เป็นผู้ให้เป็นผู้เสียสละ ไม่หวังอะไรตอบแทน เทคแคร์ทุก ๆ คนเหมือนกัน มนุษย์เราคือผู้ที่รู้เข้าใจว่ามนุษย์เราต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาทางสายกลางระหว่างวัตถุกับจิตใจไปพร้อม ๆ กัน เป็นผู้ที่ไม่ไปตามผัสสะ ไม่ไปตามสิ่งแวดล้อม รู้เข้าใจแล้วให้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นดับลงเพียงผัสสะ ไม่เอาความชอบความชัง ไม่เอาความดีใจเสียใจ เอาความสงบและปัญญา เอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญาเป็นการดำเนินชีวิต เน้นที่ปัจจุบันด้วยความรู้ความเข้าใจ มีปิติมีความสุขมีเอกัคคตาในการประพฤติการปฏิบัติ ละอดีตที่ผ่านไปแล้ว ปัจจุบันเป็นวาระสำคัญ ได้ทั้งประโยชน์ชาตินี้ ได้ทั้งประโยชน์ชาติหน้า เน้นที่ปัจจุบัน เป็นผู้ที่รู้จักอริยสัจสี่ รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์ รู้จักข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เป็นผู้มีศีลเป็นผู้ที่มีสมาธิ เป็นผู้ที่มีปัญญา มีสติมีปัญญา เป็นความรู้ความเข้าใจเป็นประภัสสร รู้สิ่งที่สัญจรไปมาในเรื่องอาคันตุกะ ชั่วครู่ชั่วยาม การต้อนรับปฏิสันถารในแขกที่มาเยี่ยมเยือน เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้อง มาทางตาก็ให้จบเพียงตา มาทางหูก็ให้จบเพียงหู มาทางจมูกก็ให้จบเพียงจมูก มาทางลิ้นก็ให้จบเพียงลิ้น มาทางกายก็ให้จบเพียงกาย สิ่งทั้งหลายนั้นต้องให้จบลงเพียงผัสสะ เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติ จะได้ไม่เอาความหลงนำชีวิต ไม่เอาความผิดนำชีวิต เราต้องรู้จักสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริงว่าธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๑๒ เป็นสิ่งที่สัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยามเราต้องต้อนรับด้วยความถูกต้องด้วยความรู้ความเข้าใจเพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นประภัสสร เราทั้งหลายจะได้รู้ทางสายกลาง อดีตก็ให้จบไป อนาคตก็ให้เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เราจได้มีปฏิปทาเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง เราจะได้ต้อนรับอาคันตุกะที่สัญจรไปมาด้วยคารวธรรม เราทั้งหลายต้องรู้เข้าใจเรื่องการต้อนรับและปฏิเสธ เราต้องเอาความสงบและปัญญาเป็นปฏิปทานำชีวิต เอาความสงบและปัญญา เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงความพอดี ด้วยเหตุผลนี้ธรรมะที่เป็นคารวธรรม ๖ ประการถึงเป็นสิ่งที่สำคัญของผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติทางสายกลางระหว่างวิทยาศาสตร์กับเรื่องจิตใจ
ด้วยเหตุผลนี้ ทุกคนจะมีทิฏฐิมาอัตตาตัวตนนั้นไม่ได้ เพราะทิฏฐิมานะอัตตาตัวตนนั้นเป็นขบวนการของการเวียนว่ายตายเกิด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้เราละสักกายทิฏฐิ ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เกิดความสงบและปัญญายิ่ง ๆ ขึ้นไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้หลักการในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะเอาเพียงความสงบเพียงสมาบัตินั้นไม่ได้ ต้องอาศัยปัญญาวิปัสสนามาเพิ่มมาเสริมมาประพฤติมาปฏิบัติ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้หลักการในการพิจารณาเพื่อละสักกายทิฏฐิที่ยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้หลักการให้ทุกคนพิจารณาร่างกาย สาธยายร่างกาย ร่างกายของมนุษย์มีส่วนประกอบอยู่ ๓๒ ชิ้นส่วน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้แยกออกเป็นชิ้นส่วน ออกเป็นชิ้น ๆ ไป ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบทต้องให้พิจารณากรรมฐาน เพื่อให้ฐานเกิดความสงบเกิดปัญญา ผู้ที่เป็นอุปัชฌาย์ที่บวชกุลบุตรลูกหลานถึงบอกหน้าที่การงานของผู้ที่จะบรรพชาอุปสมบทก่อนที่จะครองผ้ากาสาวพัสตร์ ที่พระอุปัชฌาย์ได้บอกพระกรรมฐานว่า เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตตา นะขา โลมา เกสา ว่ากลับไปกลับมา หมายถึงแยกสรีระร่างกายออกเป็น ๓๒ ชิ้นส่วน แล้วก็เอามาประกอบกันกลับคืน
ให้ปฏิบัติอย่างนี้ทำไม เพื่อให้เรารู้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นหาใช่นิติบุคคลตัวตนไม่ มันเป็นเพียงส่วนประกอบที่เกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี เราทุกคนเราคิดดูดี ๆ นะ เราตั้งรูปไว้ รูปสวยหรือว่ารูปหล่อไว้ ถ้าเราเอาผมออกแล้วจะเป็นอย่างไร ถ้าเราเอาหนังออกแล้วจะเป็นอย่างไร เพียงแต่เอาหนังออกเท่านั้นทุกนั้นก็สะอิสะเอียน เพราะจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นปฏิกูล ไม่น่ารักใคร่ชื่นชม เราพิจารณาส่วนไหนก็มีแต่สิ่งที่น่าเกลียดปฏิกูล เอาหนังออกหมดแล้วไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงผู้ชายเลย ไปกอดจูบลูบไล้ก็ไม่มีใครเอา การพิจารณาพระกรรมฐานนี้ถึงเป็นสิ่งที่ดีมาก ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายต้องรู้เข้าใจ เราจะเอาแต่เจริญสติสัมปชัญญะนั้นไม่เพียงพอ เราต้องเจริญวิปัสสนาด้วยการภาวนา เพื่อให้เราเกิดความสงบเกิดปัญญา เพื่อเราทั้งหลายจะได้ยกเลิกอัตตา ยกเลิกเรายกเลิกคนอื่นด้วยความรู้ความเข้าใจ สิ่งดี ๆ อย่างนี้แหละ เราทุกคนต้องเข้าใจนะ สิ่งดี ๆ ที่จะให้เกิดความสงบเกิดปัญญา เกิดคุณเกิดประโยชน์
ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เราทุกคนต้องรู้เข้าใจ พวกเราทั้งหลายจะได้เจริญภาวนาวิปัสสนา เพื่อเราจะได้เข้าถึงความว่างจากความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ การประพฤติการปฏิบัติธรรมนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราว่างจากสิ่งที่อยู่นี้แหละ เราทั้งหลายจะได้เอาพระธรรมเอาพระวินัย เอาพระรัตนตรัยมาใช้มาประพฤติมาปฏิบัติ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจ ชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายล้มละลายเช่นเดียวอย่างเดียวกันกับตึก สตง.ของเมืองไทยประเทศไทย ประเทศไทยเมืองไทยของเรานี้มีตึกมากมายหลายสิบปี เป็นร้อย ๆ ตึก ตึกไหนก็ไม่พัง มันไปพังตึกเดียวตั้งแต่ตึก สตง.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน มันไปแก้ไขตั้งแต่ปลายเหตุ ไม่ได้แก้ทั้งต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ ไม่ได้แก้ที่ตัวเรา ไปแก้แต่ภายนอก
การพัฒนาเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์พัฒนาใจไปพร้อม ๆ กันถึงมีความสงบมีปัญญา
ให้เราทั้งหลายระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เราทั้งหลายรู้เข้าใจเราจะไม่ได้ตั้งอยู่บนความหลงไม่ได้ตั้งอยู่บนความผิด เพราะชีวิตนี้ก็ย่อมพังทลายด้วยไม่รู้อริยสัจสี่ ไม่รู้ความจริง ให้เราระลึกถึงปัจฉิมโอวาทของพระบรมศาสดาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้เมตตาตรัสโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า
“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
โอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนนะ
ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืนนะ
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรม ความดีเป็นปัญญาบริสุทธิคุณเท่านั้น การระงับสังขารทั้งหลายด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นความรู้คู่กับการประพฤติการปฏิบัตินั่นแหละคืออริยมรรค เป็นหนทางที่ประเสริฐมีพระนิพพานตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอพระนิพพานเมื่อตายแล้ว ปัจจุบันไม่มีพระนิพพาน อนาคตจะมีพระนิพพานได้อย่างไร
ให้เรารู้เข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยที่เป็นสัมมาทิฐิ เพื่อหยุดวัฏฏสงสารนั่นแหละคือพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้พวกเรารู้เข้าใจในเรื่องพระนิพพาน ให้เข้าใจนะว่าสิ่งเดิมนั้นคือความว่างเปล่า สิ่งที่สัญจรไปมาเป็นเพียงอาคันตุกะ เราจะได้เอาหลักการอุดการณ์ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นมรรคเป็นอริยมรรคที่ตรงกันข้ามกับโลกธรรม ให้รู้เข้าใจ เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรมเหนือกฎแห่งกรรมเหนือผลของกรรม พระนิพพานความรู้ความเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาทจะเป็นความสงบเป็นปัญญา เป็นพระนิพพานบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรานะ พระนิพพานคือบ้านของเรา ความสงบและปัญญาถึงเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะหยุดวัฏฏสงสารได้ด้วยความสงบและปัญญา ธรรมะนั้นถึงหยุดความปรุงแต่งได้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ
-----------------------------------------
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
เมตตาให้ไว้ในเช้าวันพฤหัสบดีที่ ๒๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา